10
“ว้าว สวยจัง”ปวันรัตน์ร้องอุทานออกมาทันทีที่เปิดประตูเข้าไปและมองเห็นการตกแต่งภายในห้อง เธอพยายามจะเดินสำรวจให้ทั่วแต่คนเป็นพี่ชายรู้สึกอับอายกับอาการลิงโลดออกนอกหน้าของน้องสาวจนต้องรั้งข้อศอกไว้
คุณหมอเจ้าของไข้อนุญาตให้ปวันรัตน์กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว แต่หลังจากนี้เธอยังต้องไปโรงพยาบาลตามกำหนดนัดเพื่อรับยาเคมีบำบัดเนื่องจากก้อนเนื้อที่ถูกตัดออกไปนั้นเป็นเนื้อร้าย ช่วงเช้าพฤทธิกรจึงโดดงานตั้งแต่สิบโมงเพื่อพาปภินวิชเดินทางไปรับน้องสาว
“ไม่ใช่บ้านเรานะ เกรงใจคุณฤทธิ์หน่อย”เด็กหนุ่มกระซิบบอกเสียงเบา
“แหม...พี่ปลาคอนโดสวยขนาดนี้มันก็ต้องตื่นเต้นกันบ้างสิคะ”เด็กสาวกระซิบตอบกลับไปด้วยระดับความดังเสียงที่ไม่ต่างกันนัก
ปภินวิชไม่แปลกใจที่น้องสาวจะตื่นเต้นกับคอนโดของนายท่าน เพราะบ้านของพวกเขาสองพี่น้องเป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้นหลังเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่หน้าบ้านอยู่ไม่กี่ตารางวา ห้องนอนของเขาแคบกว่าห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนของพฤทธิกรเสียอีก แต่การมาเดินสำรวจบ้านของคนอื่นทั้งที่เจ้าของไม่ได้เอ่ยอนุญาต มันดูเป็นการเสียมารยาทเกินไปสักหน่อยในความคิดของเด็กหนุ่ม
“ลองเดินดูก็ได้ ตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่เคยเห็นเธอเดินออกไปดูสวนสักครั้ง”พฤทธิกรเอ่ยบอกอย่างเต็มใจ และประโยคหลังเขาก็เจาะจงพูดกับปภินวิช ก่อนจะช่วยประคองจับจูงเด็กสาวให้เดินสำรวจทั่วถ้วน
สวนที่ระเบียงห้องไม่ได้ลงไม้ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นไม้พุ่มและไม้ขนาดกลางเพื่อเสริมจุดเด่นให้สระว่ายน้ำ และมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยายามเย็น ระเบียงห้องของชายหนุ่มหันไปทางทิศตะวันออก พอบ่ายแก่ ๆ หน่อยก็มีร่มเงาอาคารมาช่วยบังแดด แต่ตอนที่พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเป็นช่วงเที่ยง แดดจึงแรงจนต้องหยีตา
“สระว่ายน้ำ”ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาของเด็กสาวแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างชัดเจน อันที่จริงเธอเดินได้คล่อง ทั้งสีหน้าท่าทางก็ดูแข็งแรง จะมีส่วนที่บ่งบอกว่าเธอเพิ่งหายจากอาการป่วยคงเป็นศีรษะที่ยังไร้เส้นผมซึ่งมีหมวกไหมพรมสีแดงมีหูกระต่ายสวมคลุมไว้ หมวกใบนี้พี่ชายของเธอเป็นคนซื้อให้
เด็กสาวหันมาส่งสายตาเป็นประกายให้เขา “ลงไปว่ายได้ไหมคะ” ซึ่งพฤทธิกรยินดีตอบรับทุกคำขอเพื่อเป็นการเอาใจ
“ได้อยู่แล้ว แต่รอให้แข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า”เขาจำต้องต่อคำพูดในประโยคหลังเพราะเห็นพี่ชายของเด็กสาวมองเขาตาเขียว
“กลับเข้าข้างในก่อนดีกว่า กินข้าวแล้วพักสักหน่อยแล้วเย็นนี้เราสามคนออกมานั่งทานอาหารที่ระเบียงกัน”พฤทธิกรเอ่ยชวนพลางบังคับด้วยการรุนไหล่ให้ปวันรัตน์เดินนำหน้า
ในช่วงที่ผ่านมา ชายหนุ่มใช้เวลาที่เขาและปภินวิชได้อยู่ด้วยกันพยายามสร้างความผูกพันของพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาเข้านอนด้วยกัน ตื่นเช้ามาเจอกัน ไปทำงานด้วยกัน และตกเย็นเขาก็พาเด็กหนุ่มไปเยี่ยมน้องสาวที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มเชื่อว่าได้เห็นหน้ากันตลอดเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้ไม่เดียงสาต่อเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ ย่อมต้องมีใจโอนเอียงมาทางเขาบ้าง อย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายก็ยังออกอาการหน้าแดงเบือนหน้าหลบยามที่เขาส่งสายตาให้
เขาสั่งอาหารเที่ยงมาพร้อมเพราะคิดว่าทานอาหารที่คอนโดน่าจะสะดวกกว่าไปนั่งในร้านข้างนอก
ปภินวิชเป็นคนจัดเตรียมอาหารใส่จานอย่างรู้หน้าที่และเอ่ยปากบอกน้องสาวที่กำลังเดินเข้ามาช่วยให้นั่งรออยู่เฉย ๆ อาหารเที่ยงมื้อนั้นเน้นไปที่ปลาและผักซึ่งถูกปรุงรสอ่อนเกือบทั้งหมด
“พวกพี่สองคนจะกินได้ไหมคะ ที่จริงกับข้าวของหนูแค่อย่างเดียวก็พอแล้ว”ปวันรัตน์พูดบอก อาหารหน้าตาจืดชืดจนกังวลว่าคนอื่นจะต้องฝืนใจทานเพราะเธอ
“ทำไมจะกินไม่ได้”พฤทธิกรเห็นพี่ชายของเด็กสาวยังนั่งเงียบเขาจึงกล่าวออกไปเช่นนั้นพลางให้ช้อนตักกับข้าวใส่จานของเธอ แล้วตักอีกช้อนใส่จานของปภินวิช “กินอาหารรสจัดมาก ๆ ก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะ แล้วอีกอย่างกับข้าวร้านนี้อร่อยมาก ลองชิมดูก่อน”
เห็นเจ้าบ้านนั่งรอเหมือนให้พวกเขาได้เริ่มลงมือทานก่อน เด็กหนุ่มจึงตักกับข้าวใส่จานของชายหนุ่มแล้วพูดคะยั้นคะยอบ้าง“คุณฤทธิ์เองก็ทานด้วยสิครับ”
“ได้ ๆ”พฤทธิกรตอบรับแล้วตักอาหารใส่ปาก จากนั้นจึงส่งเสียงในลำคอพลางพยักพเยิดให้ผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนได้ลงมือทานอาหาร ระหว่างทานสองพี่น้องก็ส่งเสียงคุยเรื่องกับข้าว เรื่องโน้นเรื่องนี้ไปด้วย พาให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องฟังเพลิน ซ้ำปวันรัตน์ยังถามถึงเมนูอาหารมื้อเย็น
“อยากกินปิ้งย่างหรือไม่ก็สุกี้อะ”
“ปุ้ยยังไม่หายดี งดไปก่อนไม่ดีเหรอ”พี่ชายเอ่ยขัดขึ้นมาทันควัน
“นั่งกินลมชมวิวแบบนั้นมันควรเป็นสองอย่างนี้สิคะ”
“ก็เอาไว้ให้หายดีก่อนไง”พูดจบเด็กหนุ่มพลันชะงักเพราะดันเผลอตัวพูดจาทำราวกับว่าคอนโดห้องนี้เป็นของตัวเอง เขาเหลือบมองเจ้าของห้องที่นั่งฟังเงียบ ๆ และยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า พฤทธิกรเห็นสายตาของเขาจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่กระนั้นเด็กหนุ่มกลับเบือนสายตากลับมามองหน้าน้องสาวดังเดิม
“ก็นั่นแหละ อย่าเพิ่งกินของแบบนั้นเลย”ปภินวิชเอ่ยย้ำ
“แล้วจะได้กินไอศกรีมไหมอะ”เด็กสาวถามเสียงอ่อย
“ได้สิ”พฤทธิกรชิงตอบออกไปเสียก่อน ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะพาเด็กหนุ่มคนที่แอบชอบไปเดตแม้จะเป็นการเดตแบบสามคนก็เถอะ“เอาไว้วันอาทิตย์นี้ไปทานไอศกรีมกันและดูหนังกันสักเรื่อง”
ปวันรัตน์ปรบมือด้วยสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที แต่คนเป็นพี่ชายตวัดสายตาเขียวขุ่นมองเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มยกยิ้มรับซ้ำยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเด็กหนุ่มจ้องเขาเขม็ง
หลังทานอาหารเสร็จพวกเขาเคลื่อนย้ายไปจับจองที่นั่งกันที่ชุดโซฟาหน้าทีวี เด็กสาวบอกอยากดูทีวีเพราะติดละครช่วงบ่ายมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่เป็นละครรีรันแต่เธอก็นั่งดูตาแป๋ว ฝ่ายพี่ชายเขาได้ยินเสียงทำอะไรก๊อก ๆ แก็ก ๆ อยู่ในครัว จึงใช้ช่วงที่ปวันรัตน์สนใจแต่ภาพบนหน้าจอโทรทัศน์เดินเข้าไปดู
ปภินวิชกำลังปอกแอปเปิลกับสาลี่ใส่จาน
“น่ารักจังมาปอกผลไม้ให้กินด้วย”
คนฟังย่นคิ้วทันที “ผมปอกให้ปุ้ย ไม่ได้ปอกให้นายท่านเสียหน่อย” ทว่าประโยคถัดไปของชายหนุ่มยิ่งทำให้ปภินวิชหน้าหงิก
“อะไรกัน จะใจร้ายขนาดไม่ให้เจ้าของห้องกินด้วยเชียวเหรอ”
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบคำแต่หน้างอคล้ายฉุนเคืองขณะที่มือทำงานไม่หยุด
“โกรธอะไรหรือ”ชายหนุ่มร่างสูงถามเสียงเบา ขยับเข้าไปใกล้จนปภินวิชชะงักถอยห่างพลันตอบปฏิเสธกลับไปอย่างรวดเร็ว
“หึงหรือไง”พฤทธิกรเห็นได้โอกาสจึงเอ่ยปากถาม ยามที่เขาเอาใจน้องสาวของเจ้าตัวทีไร เด็กหนุ่มต้องขึงตาใส่เขาทุกที
“ห...หึง”ปภินวิชเหลือบมองคนพูดแค่ชั่วแว็บและรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว เหมือนว่ามือกำลังสั่นจนต้องยอมถือมีดไว้เฉย ๆ “หึงอะไรกันครับ”
“หึงที่ฉันคอยเอาใจน้องปุ้ย”
เด็กหนุ่มย่นจมูกกับคำที่พฤทธิกรเรียกขานเด็กสาวว่า ‘น้องปุ้ย’ เสียเต็มปากเต็มคำ ลอบสูดลมหายใจเข้าเพื่อคุมจิตใจให้สงบ มัวแต่ก้มหน้าก้มตามองมือจนไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายจับจ้องตนเองอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เห็นแม้กระทั่งมือเรียวบางนั้นอยู่ไม่สุขทั้งที่กำลังถือของอันตราย ขยับสับคมมีดลงบนเปลือกผลไม้ที่ปอกกองทิ้งไว้ ชายหนุ่มยกยิ้มเอื้อมมือไปรั้งการกระทำที่ดูน่าหวาดเสียว คลายมืออีกฝ่ายและดึงของมีคมออก จากนั้นจึงจัดการงานที่เหลือเสียแทน
“พ...พูดถึงเรื่องเอาใจปุ้ย”ปภินวิชพยายามเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น “อย่าตามใจน้องสาวผมนักเลยครับ”
“น้องสาวเธอเพิ่งได้ออกจากโรงพยาบาล แค่ตามใจนิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก”
ปภินวิชยังขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจกับคำตอบนั้น ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงอ้าม กลับเห็นผลไม้ชิ้นสีขาวมาจ่ออยู่ตรงหน้า เขาเบี่ยงศีรษะเอนหลบไปด้านหลังกำลังจะกล่าวคำต่อว่า ผลไม้ชิ้นนั้นกลับถูกส่งดันให้ปิดกั้นการพูดจาตามด้วยใบหน้าคมเข้มที่โน้มเข้ามากัดงับปลายชิ้นสาลี่ที่โผล่พ้นเรียวปาก ทำให้ริมฝีปากของพวกเขาทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วผิว
“อืม หวานอร่อยดี”พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ยกจานผลไม้ออกไป
ปภินวิชหน้าร้อนฉ่า ยกมือขึ้นแตะสัมผัสริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวพลางขยับเคี้ยวสาลี่เนื้อฉ่ำ “ส...สาลี่หวานจริงๆด้วย นายท่านเขาหมายถึงสาลี่”เด็กหนุ่มพยายามพร่ำบอกตัวเอง และต้องบอกตัวเองซ้ำอีกหลายนาทีกว่าหัวใจที่เต้นโครมครามจะสงบลง
พฤทธิกรใช้เวลาในวันนั้นหมดไปกับการดูทีวีและนั่งเล่นนั่งคุยกับน้องสาวของปภินวิช ผู้เป็นพี่ชายก็ร่วมวงอยู่ด้วยแต่เมื่อเทียบกับเด็กสาวแล้ว ปวันรัตน์คุยเก่งกว่ามาก เพราะถึงขนาดนั่งดูละครยังหันมาชวนคนรอบข้างคุยเกี่ยวกับเนื้อหาละครที่ดู
“พรุ่งนี้ไปดูหนังในโรงจะชวนคุยแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย”ชายหนุ่มถามเป็นเชิงเอ่ยแซว
“เห็นแบบนี้แต่ปุ้ยเป็นคนมีมารยาทนะ ในโรงหนังปุ้ยไม่กล้าคุยหรอก อีกอย่างไม่เคยดูมาก่อนก็ต้องตั้งใจดูสิคะ มัวแต่คุยเสียดายค่าบัตรตายเลย”
“นั่นนะสิ ไปดูหนังในโรงเปลืองจะตาย นั่งดูทีวีอยู่บ้านดีกว่านะ”
เด็กสาวออกอาการหน้างอทันที พฤทธิกรยกยิ้มกว้างหลุดหัวเราะเสียงเบาเพราะยามที่สองพี่น้องเกิดรู้สึกขัดใจทำหน้างอคอหักดูคล้ายกันมากทีเดียว
“ปุ้ยออกค่าตั๋วให้ก็ได้ แต่พี่ปลาเคยบอกไว้ว่าจะเลี้ยงไอศกรีมหนูนะ”เธอทวงถามคำที่พี่ชายเคยรับปากไว้ ทว่าสองพี่น้องยังไม่ทันตกลงอะไรกันได้ ชายหนุ่มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเลี้ยงทั้งไอศกรีมทั้งหนังเลย”
“คุณฤทธิ์ใจดีจังค่ะ”เด็กสาวยิ้มหวานส่งมาให้
“เรียกคุณฤทธิ์ฟังดูห่างเหินจังเลย”
ปวันรัตน์เลิกคิ้วเอียงคอมองด้วยความแปลกใจ จากนั้นจึงหันหน้ามองพี่ชายก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มเจ้าของประโยคนั้นอีกที
“ปุ้ยเรียกตามพี่ปลาค่ะ คุณฤทธิ์เป็นเจ้านายพี่ปลา เรียกแบบนี้... ไม่ถูกหรือคะ”
“อืม แต่ฉันไม่ได้เป็นเจ้านายเธอนี่”พฤทธิกรยกนิ้วชี้บอก คนเป็นพี่ชายฟังคำโต้ตอบสนทนาแล้วเอะใจ แต่เฉลียวคิดในทางที่ไม่ดีเสียมากกว่า
“เรียกฉันว่าน้าฤทธิ์ตามที่กลอนเรียกแล้วกัน”
ปวันรัตน์รู้จักหลานชายของพฤทธิกรเพราะกวีวัธน์เคยตามไปเยี่ยมเด็กสาวอยู่บ่อย ๆ แถมยังคุยกันถูกคอชนิดที่ไม่เรียกไม่เลิกคุยด้วยซ้ำ
“จะดีหรือคะ”เด็กสาวยังมีทีท่าเกรงใจ เขาจึงย้ำว่าดีแล้วอีกครั้งพลางคิดว่าไม่มีคำไหนเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้ว เพราะเขายังไม่อยากแก่ถึงขนาดโดนเรียกว่า ‘ลุง’ จะให้เรียกว่า ‘พี่’ ก็กลัวว่าจะโดนหลานชายที่อายุมากกว่าเด็กสาวล้อเลียน ส่วนคำที่เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายเรียกขานเขาปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป พฤทธิกรคิดว่ามันก็ให้ความรู้สึกที่ดี ยามที่อยู่กันตามลำพังสองคน และอีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ เป็นคำที่ฟังดูแล้วจั๊กจี้ดี นานเข้าจึงให้ความรู้สึกเหมือนคำเรียกแปลกๆเฉพาะคนพิเศษแบบที่วัยรุ่นนิยมกัน แม้ความจริงการที่ปภินวิชหยิบยกคำนั้นมาใช้จะประสมรวมอารมณ์ประชดประชันอยู่เล็กน้อยก็ตาม
“ไปนอนได้แล้ว”ปภินวิชตัดบทเสียงแข็งด้วยใบหน้าบึ้งตึง และเหมือนเจ้าตัวจะจับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน จึงพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน “พรุ่งนี้จะได้สดชื่น จะไปดูหนังกันไม่ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มช่วยจับพยุงตัวน้องสาวให้ลุกขึ้น
“ไปนอนแล้วนะคะน้าฤทธิ์ ฝันดีค่ะ”
“ฝันดีเช่นกันครับ”พอเขาตอบรับด้วยคำนั้น พี่ชายของเด็กสาวกลับตวัดสายตาเขม่นมองเขา พฤทธิกรยังยกยิ้มระรื่นเช่นเดิม เห็นสองพี่น้องเดินพ้นประตูห้องไปแล้วเขาจึงกดรีโมตปิดโทรทัศน์และลุกขึ้นปิดไฟ เดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองได้แค่พักเดียว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเขาตอบรับ เจ้าของเสียงเคาะประตูจึงเปิดประตูเดินเข้ามาก่อนปิดมันลงเสียงเบา
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับนายท่าน”เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องพยักหน้ารับ เขานั่งอยู่บนเตียงดึงผ้าห่มมาไว้บนตัก พร้อมที่จะล้มตัวลงนอนทุกเมื่อ
หลังจากพ้นคืนที่จงใจแกล้งผู้ร่วมอาศัยที่อยู่ในฐานะพ่อบ้าน คืนต่อ ๆ มาเขาได้กลับมาสวมใส่ชุดนอนตามเดิม
สำหรับค่ำคืนนี้ เนื่องจากปวันรัตน์ได้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว ชายหนุ่มอยากพี่ชายน้องสาวได้อยู่ด้วยกัน จึงไม่ได้เรียกให้ปภินวิชมานอนด้วย กระนั้นเจ้าตัวกลับมาหาเขาถึงที่ พฤทธิกรนึกเข้าข้างตัวเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
“นายท่านคิดอะไรกับปุ้ยหรือเปล่าครับ”ปภินวิชพูดโพล่งออกมาอย่างไม่มีความลังเล
“หือ”เขาส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่เข้าใจกับคำถาม
“ก็คุณ...”เด็กหนุ่มชะงักอึกอักเนื่องด้วยนึกคำพูดที่ฟังดูไม่รุนแรงก้าวร้าวไม่ออก อย่างไรเสียเขายังมีสำนึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าช่วยเหลือเจือจุนพวกเขาสองพี่น้องมาโดยตลอด “น้องสาวผมยังเด็ก อายุห่างจากนายท่านตั้งหลายสิบปี เธอไม่เหมาะสมกับคุณหรอก”
“อ๊ะ”พฤทธิกรเข้าใจขึ้นมาในทันใด เขาเบือนหน้าหลบนัยน์ตาที่จ้องเขม็งพร้อมหลุดเสียงหัวเราะ อีกใจหนึ่งก็นึกอ่อนใจ จากนั้นจึงหันกลับมาและกวักมือเรียกให้คนที่ยังจังก้าเข้ามาใกล้
ปภินวิชมีสีหน้าคลางแคลงกังขาแต่เมื่อชายหนุ่มส่งเสียงเอ่ยเรียกซ้ำจึงจำต้องเดินเข้าไปหา อีกฝ่ายยังตบที่ว่างบนเตียงปุ ๆ ให้รู้ว่าต้องทรุดตัวลงนั่ง กระนั้นยังไม่ทันจะขยับตัวให้ดีร่างกายกลับโดนตวัดรัดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มเสียแล้ว
“นายท่าน!!!”ฝ่ายที่เสียท่าร้องห้ามปรามพลางดันตัวออกห่าง เพียงแต่ถ้าแรงกำลังของเด็กหนุ่มจะต่อกรอีกฝ่ายได้ เขาคงไม่โดนรวบกอดง่ายดายเช่นนี้มาหลายครั้งหลายครา
“ได้ทั้งพี่ทั้งน้องเขาเรียกพระยาเทครัวนี่เนอะ”
“เอ๊ะ!”ปภินวิชชะงักนิ่ง แววตาไหววูบก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองฉุนโกรธ จากนั้นจึงมโนเออเองเอาว่าที่ชายหนุ่มมาคอยสนับสนุนช่วยเหลือเพราะมีความคิดสกปรกแบบนี้นี่เอง
“ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการแน่นอน”
“อืม แล้วเธอจะทำอะไรได้”พูดพลางจรดจมูกเข้าหาใบหน้าที่พยายามเบือนหนี ผิวกายหอมกรุ่นเรียกร้องให้เขาสูดลมหายใจเข้าปอด พฤทธิกรเหลือบตามองปลายจมูกแดงเรื่อและแววตาคลอน้ำ
“ฉันชอบเธอ”
หัวใจของปภินวิชกระตุกวูบหันมองใบหน้าของคนพูดด้วยความตกใจ ด้วยระยะห่างเพียงแค่นั้นมันใกล้เสียจนเห็นแววตาที่สะท้อนภาพเงาของตัวเอง ปลายจมูกที่สัมผัสกันพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนที่คอยเป่ารดริมฝีปาก กระตุ้นเร้าความวาบหวามและฉุดดึงสัมผัสผิวเผินยามที่ริมฝีปากใกล้แนบชิดกันเมื่อกลางวันให้หวนย้อนกลับมาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มรู้สึกเก้อเขินทั้งยังเป็นฝ่ายเบนสายตาหนีไปก่อนเช่นทุกคราว ความคิดวุ่นวายสับสนจนลืมเลือนความโกรธเคืองที่เคยมี เขาเม้มริมฝีปากโดยแรง คาดหวังว่าความเจ็บจากการรั้งสติด้วยวิธีนี้จะขจัดความกระดากอายให้ความคิดพร่ามัวและความร้อนผ่าวบนใบหน้าจางหายไป
“อยากจูบหรือ”
“เปล่าสักหน่อย”ปภินวิชตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด
“แต่คิดว่าถ้าได้จูบจริงๆก็คงดี”
เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดตาขวาง พอเห็นประกายแววตาก็หันหน้าหนีพลางบ่นพึมพำว่า “ทำไมกลับกลายเป็นพูดเรื่องพรรค์นี้ได้ ผมไม่ชอบให้นายท่านมาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่น้องสาวของผมนะครับ”ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับคู่สนทนาที่ยังรวบกอดเขาไว้แน่นด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง
“อืม รับทราบ”
แต่ปภินวิชกลับเห็นว่าคนพูดรับปากแบบขอไปที “ผมจริงจังนะครับ”เขาย้ำ
“อืม รู้แล้ว”พฤทธิกรจึงย้ำด้วยความจริงจังด้วยเช่นกัน “ฉันชอบเธอ กับน้องสาวของเธอก็แค่เอ็นดู”
เด็กหนุ่มพยายามเมินผ่านคำว่า ‘ชอบ’ ที่อีกฝ่ายพูดมา แม้มันจะทำให้หัวใจของเขาเต้นโลดรุนแรงอีกครั้ง “แค่เอ็นดูนี่ เอ็นดูแบบไหนครับ”
พฤทธิกรพ่นลมหายใจกับคำถามที่คล้ายจะรวนหาเรื่อง เขากลอกตาราวกับพยายามคิดหาคำตอบแต่กลับตัดบทไปว่า “ง่วงแล้ว นอนกันเถอะ” พลางใช้วงแขนข้างเดียวเกี่ยวเอวของปภินวิชไว้ แล้วใช้อีกมือดึงผ้าห่มพร้อมรั้งร่างคนที่ยังอยู่ในวงแขนให้ล้มตัวนอนบนเตียง จากนั้นจึงเบี่ยงตัวหยิบรีโมตเพื่อปิดไฟ
“ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยนะครับ”
“ขี้เกียจนั่ง นอนคุยดีกว่า”พูดพลางขยับโอบดึงร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มเข้ามาชิด
“กอดแน่นไปแล้ว ผมหายใจไม่ออก”ปภินวิชร้องโวยวาย เขาผละตัวออกห่างเมื่อชายหนุ่มยอมคลายแรงกอดรัด ยกศีรษะขึ้นพร้อมยกท่อนแขนของอีกฝ่ายซึ่งวางรองอยู่ด้านล่างออก
“เดี๋ยวก็เหน็บกินหรอก”แล้วทิ้งศีรษะลงบนหมอน พฤทธิกรขยับเข้าหาวางมืออีกข้างไว้บนบั้นเอวของเด็กหนุ่ม กลายเป็นว่าหลังจากจัดตำแหน่งที่นอนกันได้ ทั้งห้องกลับตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยังไม่หลับตาแต่รอจนกระทั่งสายตาชินกับความมืดและเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของบุคคลซึ่งนอนอยู่ด้วยกันชัดเจนขึ้น
ปภินวิชขยับศีรษะอีกครั้งเมื่อเห็นแววตาที่ทอดมองมา เขาซุกศีรษะเข้ากับซอกคอของอีกฝ่ายและหลับตาลง ไม่นึกอยากคุยอะไรอีกแล้ว เพราะใบหน้าของเขาร้อนขึ้นจนคิดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มให้เหตุผลกับตัวเองเช่นนั้น
ช่วงสายๆของวันรุ่งขึ้น พฤทธิกรพาสองพี่น้องออกจากห้องโดยตั้งใจว่าจะขับรถเอง เขาจึงอนุญาตให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนลาพัก และเพราะชีวิตที่สงบราบเรียบของเขาทั้งพุฒิพงศ์และธนาจึงก้มศีรษะรับคำแต่โดยดี
พฤทธิกรอยู่ในชุดลำลองอย่างเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีน ไม่ต่างกับสองพี่น้องที่คนพี่ใส่เสื้อยืดคอกลม คนน้องใส่เสื้อมีกระดุมแขนตุ๊กตาสวมหมวกไหมพรมสีแดงใบเมื่อวานไว้บนศีรษะ สวมกางเกงยีนแนบเนื้อแบบสมัยนิยมทั้งคู่ และถึงแม้ปภินวิชจะมีส่วนสูงที่น้อยกว่าเขา แต่ท่อนขาดูเรียวยาวน่ามองจนเขาต้องแอบเหล่ทุกครั้ง
“มองอะไรครับ”
ชายหนุ่มเหลือบสายตากลับมามองหน้าคนถามด้วยท่าทีเฉยๆ ไม่แสดงอาการกระโตกกระตาก “ก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่”กระนั้นเด็กหนุ่มยังมองเขาด้วยความระแวงไม่วางตา กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกยังหลีกทางให้เขาเดินนำหน้าไปก่อน พฤทธิกรยักไหล่เดินนำออกไปอย่างไม่นึกเดือดร้อน
“น้าฤทธิ์”พ้นประตูอาคารชั้นที่จอดรถ เสียงของหลานชายก็ดังขึ้นทันที ซ้ำเมื่อปวันรัตน์เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ยังส่งเสียงเรียกพี่กลอนด้วยอาการดีอกดีใจ
“มาได้ยังไง”
“ขับรถมาไงครับ”คนพูดยิ้มเผล่
“ฉันหมายถึง... แกไม่ไปทำงานหรือไง”
“อ้าว ทีน้าฤทธิ์ยังเกไม่ไปทำงานเลย แล้ววันนี้จะไปดูหนังกันไม่ใช่หรือครับ ผมเลยอยากไปด้วย”
“ดีจังเลยค่ะ ไปดูหนังเที่ยวนี้มีแต่ผู้ชายรุมล้อม อุย! หลุดความในใจ”เธอแกล้งยกมือปิดปากคล้ายเผลอพูด กวีวัธน์ส่งเสียงหัวเราะร่าก่อนจะกล่าวออกไปว่า
“ใช่ซะที่ไหน เขาเรียกเดตคู่ต่างหาก”
เด็กสาวจึงแสร้งทำหน้าตาตื่น “เอ๊ะ! เอ๊ะ! ปุ้ยตกข่าวอะไรหรือเปล่า”
คนต้นเรื่องจึงสาวเท้าขยับหาหมายจะกระซิบกระซาบขยายความ แต่เธอโดนพี่ชายรั้งไหล่เข้าหาตัว ซ้ำร้ายเด็กหนุ่มผู้เป็นพี่ชายยังจ้องกวีวัธน์ตาขวาง
“ถ้าอยากไปด้วยก็รีบเดินเลย”พฤทธิกรพูดพลางรุนหลังให้หลานชายเดินนำ กวีวัธน์จึงหันมาถามเรื่องรถกับคนขับ
“ฉันขับเอง หรือแกอยากอาสาขับให้”
“ผมขับให้ก็ได้ครับ”กวีวัธน์ยื่นมือไปรับกุญแจ จากนั้นจึงหันไปคุยกับเด็กสาว “น้องปุ้ยมานั่งข้างหน้ากับพี่นะ”ใช่พูดเพียงอย่างเดียว เขายังคว้าจับข้อมือของปวันรัตน์แล้วพามาส่งที่ประตูที่นั่งข้างคนขับ พร้อมกับเปิดประตูรถแล้วดันร่างเด็กสาวให้เข้าไปด้านใน ก่อนย้ายมาประจำที่อย่างหน้าซื่อตาใส รอจนผู้โดยสารอีกสองคนที่เหลือขึ้นรถแล้วจึงออกเดินทาง
เขาหันไปชวนปวันรัตน์คุยแต่สายตาแอบเหลือบมองกระจก สังเกตสังกาชายหนุ่มสองคนซึ่งอยู่ที่นั่งตอนหลัง นึกหงุดหงิดเล็กๆที่ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบเป็นเป่าสาก
“วันนี้ตั้งใจจะดูหนังเรื่องอะไรกันหรือครับ ดูหนังรักดีไหมน้องปุ้ย”
“ง่ะ ไม่ล่ะค่ะ ปุ้ยจะดูอะนิเมชัน”
“ช่วงนี้มีอะนิเมชันเข้าฉายด้วยเหรอ”
“มีสิคะ”หลังจากนั้นเธอจึงหันไปขอยืมโทรศัพท์จากพี่ชายมาเช็กรายการภาพยนตร์และรอบเวลา ก่อนจะจัดการวางแผนให้ไปซื้อตั๋วกันก่อน จากนั้นไปทานข้าว ดูหนังเสร็จแล้วค่อยไปทานไอศกรีมกันอีกรอบ
“ไม่มีรอบที่เร็วกว่านั้นหรือไง”ปภินวิชเอ่ยถาม
“มีค่ะ แต่กว่าจะได้ออกจากโรงก็หิวพอดีแหละ แหมพี่ปลาไปกินที่ฟู้ดคอร์ตแค่มื้อเดียวไม่เป็นไรหรอก ปุ้ยเอาเงินเก็บมา เดี๋ยวปุ้ยเลี้ยง น้าฤทธิ์เลี้ยงหนังกับไอศกรีมแล้ว ปุ้ยเลี้ยงข้าวเอง”
“โถๆ หนูน้อย ไม่ต้องไปจ่ายเงินเลี้ยงมหาเศรษฐีอย่างน้าฤทธิ์หรอก”
“ค่า ปุ้ยรู้แหละว่าน้าฤทธิ์รวย แต่ใช้เงินไม่ระวัง คนรวยก็กลายเป็นคนจนได้นะ พี่กลอนเองก็เถอะโดดงานบ่อยๆระวังน้าฤทธิ์จะไล่ออก”
“เฮ้ย! ทำไมมาแช่งพี่อย่างนี้ล่ะ”
“นั่นสินะ สงสัยต้องไปเช็กแอตเทนแดนซ์(Attendance)[1] ของพนักงานที่ชื่อกวีวัธน์หน่อยแล้ว”พฤทธิกรพูดสมทบด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นขึงขัง
“โธ่ น้าฤทธิ์ครับ ผมไม่ได้โดดงานไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย งานที่ผมต้องรับผิดชอบก็ทำเสร็จส่งตามเวลา”ชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยโอดครวญ พาให้เด็กสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกันส่งเสียงหัวเราะ ปวันรัตน์ยังยิ้มระรื่นเมื่อรถยนต์ถึงที่หมาย เธอก้าวลงจากรถแล้วสาวเท้าเข้าไปหาพี่กลอนที่เธอเรียกขาน ชายหนุ่มยังทำหน้างอราวกับกำลังรอให้เด็กสาวมาง้อขอโทษ
“พี่กลอนไม่โกรธนะ เนี่ยปุ้ยพูดด้วยความเป็นห่วงเหอะ”เธอยิ้มประจบ
“ผู้ชายตัวโตๆทำหน้างอแล้วดูน่าเกลียดเนอะว่าไหม”ปภินวิชเดินตามมาถามน้องสาว จนกวีวัธน์คิ้วกระตุกเพราะโดนรุมมาตลอดทาง เด็กหนุ่มได้โอกาสจึงยักคิ้วส่งรอยยิ้มเยาะตามไปให้แล้วโอบไหล่พาน้องสาวเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า พฤทธิกรเดินตามมาด้านหลังเห็นหลายชายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจึงถามว่า “ไม่ไปดูหนังแล้วใช่ไหม”
“ดูสิครับ น้าฤทธิ์ดูเถอะ เด็กน้าน่ะไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เลย”
“อ้าว แล้วตอนนี้แกไปเป็นผู้ใหญ่อยู่ที่ไหน”
“เอ๊ะ... ฮะ!”กวีวัธน์ส่งเสียงอุทาน ก่อนจะนึกได้ในวินาทีถัดมา “มุกอะไรของน้าอะ ไม่ตลกเลย”
กระนั้นพฤทธิกรก็ส่งเสียงหัวเราะ
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
[1] แอตเทนแดนซ์ (Attendance) = ใบรายงานการขาดลามาสายของพนักงาน
เมื่อเลี้ยวรถไปตามถนนในเขตหมู่บ้าน พุฒิพงศ์ต้องชะลอความเร็วลงอีกเพื่อบังคับรถยนต์
พุฒิพงศ์ <<< เป็นใคร
ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ และเป็นคำถามที่ดี ทำให้รู้เลยว่าเขียนรวบไปหน่อย ส่วนคำตอบ พุฒิพงศ์คือหนึ่งในสองบอดี้การ์ดของน้าฤทธิ์ค่ะ นายมันช่างเป็นตัวประกอบที่จืดจางจริงๆ
พุฒิพงศ์ : เพราะคุณนั่นแหละ อุตส่าห์ให้ผมโชว์ตัวตั้งแต่บทแรกแต่ดันไม่แนะนำชื่อผมบ้าง
คนเขียน : อ้าว ก็บทแรกนายมันเป็นแค่ตัวประกอบ จะให้แนะนำอะไร สงสัยคงต้องให้น้าฤทธิ์เลิกจ้างจริงๆดีกว่า
พุฒิพงศ์ : เฮ้ย!!! (ธนาก็ส่งเสียงเฮ้ยมาด้วย แล้วปรี่เข้ามาร่วมวงทันที) งั้นให้ผมเป็นสายลับของบริษัทคู่แข่งเข้ามาล้วงความลับดีไหม
คนเขียน : ป๊าด!!! นิยายรักเว้ยเฮ้ย ไม่อยากต้องวางแผนซับซ้อนชิงไหวชิงพริบ