-18-
เซินเฟยค่อนข้างรู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ในช่วงเย็นก็มีคนของเหล่าโหวมาขอยืมตัวฉู่เหวินจือออกไปช่วยทำงาน แต่เขาก็คิดว่าการที่ให้ฉู่เหวินจือไปทำงานข้างนอกบ้างจะได้รู้จักเปิดหูเปิดตา ต่อไปในอนาคตจะได้ให้ทำงานใหญ่ ๆ ได้สะดวกมือขึ้น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเอ่ยอนุญาตแล้วสั่งให้ฉู่เหวินจือไปกับคนของเหล่าโหว ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะอิดออด ไม่คิดว่าพอสั่งปุ๊บ ฉู่เหวินจือก็ตอบรับแล้วออกไปทำงานอย่างกะตือรือร้น
ความจริงการที่ฉู่เหวินจือออกไปทำงานข้างนอกก็ดีต่อเขาเหมือนกัน ทุก ๆ คืนเขามักถูกฉู่เหวินจือรบเร้าให้มีสัมพันธ์ทางกาย ยกเว้นคืนที่เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักฉู่เหวินจือจึงยอมถอย ซึ่งในบางครั้ง เขาเองก็อยากจะนอนหลับสบาย ๆ ไม่ต้องมีใครรบกวน ดังนั้นการที่ฉู่เหวินจือออกไปทำงานอย่างนี้นับเป็นโอกาสดีที่ร่างกายและสมองของเขาจะได้พักผ่อนพร้อมกัน น่าเสียดายก็แต่คืนนี้เป็นคืนวันอาทิตย์ ถึงจะนอนสบายอย่างไร พรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องลุกขึ้นแล้วไปทำงานตามปกติอยู่ดี
ระยะนี้เพราะเซินเฟยใช้พลังงานในตอนกลางคืนไปมาก หวางซือที่รู้สถานการณ์ดีจึงจัดการทุกอย่างโดยไม่พูดอะไร เขาจะสั่งให้คนต้มชาซึ่งเป็นยาบำรุงไปให้เซินเฟยดื่มก่อนนอนทุกคืน หรือหากคืนไหนเซินเฟยบ่นว่าเบื่อยา เขาก็จะจัดการต้มเม็ดบัวหรือสมุนไพรอื่น ๆ ที่ทำเป็นขนมได้ไปให้แทน
หลังจากดื่มชาที่เจือจางแล้วและกำลังอุ่น ๆ เสร็จ เซินเฟยก็เตรียมตัวเข้านอนตามปกติ แม้จะรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้างที่ต้องนอนคนเดียวหลังจากมีคนนอนด้วยมานาน แต่เขาก็ทำไม่ใส่ใจไปเสีย อย่างไรการที่ฉู่เหวินจือกับเขาได้ร่วมเตียงกันก็เป็นไปด้วยผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งเข้ามาพัวพัน ดังนั้นแค่นอนคนเดียวคืนหนึ่งก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร
เครื่องปรับอากาศส่งเสียงหึ่ง ๆ ในมุมของมัน นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้ยินเสียงที่จะดังต่อเมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ ทั้งเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เสียงเดินของเข็มนาฬิกา เสียงผ้าเสียดสีสวบสาบเมื่อขยับตัว และเสียงลมหายใจของตัวเอง
เซินเฟยปรือตาลงท่ามกลางความมืด ทว่าเพิ่งจะคล้อย ๆ เคลิ้ม ๆ ไปได้นิดเดียวเท่านั้น เสียงประตูห้องก็ดังขึ้นในความเงียบ เซินเฟยไม่ได้สนใจจะหันไปดูเพราะคนที่เข้ามาต้องเป็นคนในอยู่แล้ว การที่ไม่เคาะประตูอย่างนี้คงจะเป็นฉู่เหวินจือ เขาไม่ได้คำนวนว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเร็วขนาดนี้ แต่เพราะรู้สึกเสียดายการพักผ่อนอันหาได้ยากเขาจึงแสร้งทำเป็นหลับลึกต่อไป อย่างน้อยฉู่เหวินจือก็ยังมีมารยาทพอที่จะรู้ว่าไม่ควรปลุกเขาตอนหลับ
เซินเฟยเป็นคนขี้หนาว เวลานอนจึงมักจะซุกตัวอยู่ในผ้าตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงคอ ผู้ที่เข้ามาในห้องนั่งลงตรงปลายเท้าที่ถูกคลุมด้วยผ้าจนมิดก่อนจะแตะมือลงไปอย่างแผ่วเบาแล้วนวดคลึงจนเซินเฟยรู้สึกสบายตัว แม้จะอยู่ใต้ผ้าห่มแต่ความอุ่นของมือก็ส่งผ่านลงไปจนถึงผิวเนื้อได้
“อืม.....” เสียงครางจากลำคอทำให้ฝ่ามือนั้นชะงักไปเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วถลกขึ้นทีละน้อย
เซินเฟยมุ่นคิ้ว วันนี้ฉู่เหวินจือคึกอะไรนักนะ เห็นอยู่ว่าเขากำลังหลับยังไม่วายรบเร้าอยู่ได้
เด็กหนุ่มชักเท้าหนีทำให้ผู้กระทำหยุดมือไป แต่ก็ไม่ได้ขยับไปจากที่เดิม เจ้าตัวนั่งนิ่งไม่ไหวติงรอจนกระทั่งเซินเฟยสงบลงเช่นเดิมจึงค่อย ๆ โน้มตัวลงอย่างระมัดระวังจนแขนคร่อมอยู่เหนือร่างของผู้ที่แสร้งทำหลับใหล เซินเฟยรู้สึกได้ว่าที่นอนข้างตัวยุบลงไปด้วยแรงกดจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่ทันที่จะลืมตาขึ้นมอง พลันร่างเบื้องบนก็โน้มลงมาเสียก่อน ฝ่ายนั้นไถสันจมูกไปกับรอยโค้งเว้าของร่างกายผ่านเนื้อผ้าตั้งแต่บริเวณสะโพกขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ เส้นผมที่ละลงมาบนคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้แต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง เพราะฉู่เหวินจือเป็นคนผมแข็งและเส้นใหญ่ แต่ผมที่ละผิวเนื้อของเขาอยู่นั้นอ่อนนุ่มซ้ำยังเส้นเล็กละเอียด เซินเฟยที่รู้สึกผิดสังเกตจึงรีบลืมตาขึ้นทันที
เงาร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนไม่ได้สูงใหญ่กว่าเขามากนัก เพราะสายตายังไม่ชินกับความมืดเซินเฟยจึงเพิ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อฝ่ายนั้นรุกเข้าหาแล้วกดเขาลงกับเตียงอย่างเบามือ
“อ....อาซิง....” เขาจำโครงร่างและวิธีการสัมผัสได้ในทันที หวางซิงมักจะสัมผัสเขาด้วยความรักและเทิดทูนเสมอไม่ว่าเวลาใด
“คุณเซิน....” หวางซิงขานชื่ออีกฝ่ายอย่างระมัดระวังก่อนจะก้มลงจูบปรนเปรออย่างแผ่วเบา ไม่กล้ารุกล้ำรุนแรง
“เดี๋ยว....!” เซินเฟยตื่นตระหนกด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่วันนี้หวางซิงดูผิดแปลกไปจากปกติ ทว่าเมื่อยันมือผลักออก หวางซิงกลับตรึงแขนของเขาลงบนเตียงแล้วบดจูบแรงขึ้นราวกับจงใจยัดเยียดให้เขายอมรับ หวางซิงไม่เคยดื้อดึงอย่างนี้มาก่อนยิ่งทำให้เซินเฟยสับสนยิ่งกว่าเดิม สมองของเขายังไม่แจ่มชัดนักจากความเบลอเพราะถูกปลุกจากอารมณ์กึ่งหลับกึ่งตื่น
หลังจากตรึงมืออยู่ได้ไม่นาน หวางซิงก็เริ่มลดมือลงอีกครั้ง เขาปลดกระดุมเซินเฟยออกทีละเม็ดอย่างใจเย็นที่สุด ไม่เหมือนคนที่กำลังทำไปด้วยแรงอารมณ์แม้แต่น้อย ทุกกระบวนการล้วนแต่คำนึงถึงการตอบรับของเจ้าของร่างจนไม่น่าจะเป็นไปเพราะขาดสติ
“อาซิง....เกิดอะไรขึ้น?” เซินเฟยจับใบหน้าอีกฝ่ายแล้วพยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ถูกบดบังด้วยความมืด หวางซิงถอดแว่นออกด้วยรู้สึกเกะกะและเกรงว่าแว่นจะบาดโดนใบหน้าของผู้เป็นนายก่อนดึงมือของเซินเฟยมาจูบทีละนิ้ว ๆ ด้วยความทนุถนอม เซินเฟยรีบชักมือกลับและตะเกียกตะกายออกจากจุดที่ตนเองถูกตรึงไว้ แม้หวางซิงจะไมได้สูงใหญ่กว่าเขามาก แต่ท่าที่คร่อมทับกันก็ทำให้เขาเสียเปรียบ แต่ขยับได้ไม่เท่าไหร่เขากลับถูกโถมทับลงบนแผ่นหลัง ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบลงบนหลังคอและเลื่อนไล้เข้าไปใต้เสื้อที่ถูกเลื่อนลงทีละน้อย
“เดี๋ยว....อ...อาซิง....ทำอะไร.....”
“เป็นผมไม่ได้หรือครับ?” หวางซิงที่เงียบไปนานถามขึ้นมาทำให้เซินเฟยชะงักจะมุ่นคิ้ว การชะงักท่าทีของทั้งสองทำให้เซินเฟยพอจะได้สติกลับคืนมาบ้าง
“หมายถึงเรื่องฉู่เหวืนจือหรือ?” เซินเฟยลองถามกลับไป
“....ครับ....” หวางซิงตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาแล้วจูบเบา ๆ ที่ลาดไหล่ กริยาเหล่านั้นไม่ได้แสดงถึงความพิศวาสดังที่ฉู่เหวินจือกระทำ กลับเต็มไปด้วยความนอบน้อมและกริ่งเกรง
“ลุกออกไปซะอาซิง” เซินเฟยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ตอนนี้เขาต้องกำกับการกระทำของอีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันจะดีกว่า
“สิ่งที่ฉู่เหวินจือทำผมก็ทำได้ แค่คุณเซินสั่ง ถึงจะต้องไปตายแทนผมก็ยินดี” นอกจากจะไม่ยอมทำตามคำสั่งแล้ว หวางซิงยังโอบกอดเซินเฟยจนแน่น ตัวเขานั้นเลี้ยงดูเซินเฟยมาตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เขาที่เห็นเซินเฟยตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นผ้าขาวแสนบริสุทธิ์และค่อย ๆ ถูกอาบย้อมด่ำดิ่งลงสู่อ่างหมึกสีดำใบใหญ่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างและปกป้องจากสิ่งแปดเปื้อนทั้งมวล สำหรับเขาแล้วเซินเฟยไม่ได้เป็นเจ้านายแต่ยังเป็นสิ่งล้ำค่าเทียบได้กับชีวิตตนเอง ความผูกพันที่ก่อเกิดทำให้หวางซิงมองว่าการปกป้องเซินเฟยเป็นหน้าที่ของตนไปเสียแล้ว
สิ่งที่เขารู้สึกกับเซินเฟยไม่ใช่ความรักฉันท์ชู้สาว...เรื่องนั้นหวางซิงรู้อยู่เต็มอก
ทว่า....ฉู่เหวินจือก็เช่นกันไม่ใช่หรือ? ทั้งอย่างนั้นกลับกกกอดเซินเฟยได้โดยไม่รู้สึกผิดสักนิด
หวางซิงไม่อาจทนให้ความสัมพันธ์นั้นดำเนินต่อไปได้อีก เขารู้ว่าฉู่เหวินจือจะฉุดให้เซินเฟยตกต่ำลงไป ดังนั้นแม้อาจสายเกินไป แต่เขาก็จะต้องปลุกเซินเฟยให้ตื่นขึ้นเผชิญกับความจริง แม้ว่าจะต้องถูกเกลียดชังเขาก็ไม่นึกสนใจ ขอเพียงแค่เซินเฟยเข้มแข็งขึ้นอีกสักนิดเท่านั้นก็พอ เข้มแข็งพอที่จะต้านทานการเย้ายวนของฉู่เหวินจือที่กำลังค่อย ๆ ชักนำได้
“อาซิง!” เซินเฟยตะคอกเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าหวางซิงเริ่มถอดเสื้อของเขาออกอีกครั้ง เพราะหวางซิงเป็นคนสนิทที่เขาให้ความรักและเคารพกว่าใคร ๆ รองแต่เพียงซากุระเท่านั้น จึงไม่กล้าที่จะลงไม้ลงมือด้วยกำลัง ทำได้เพียงขู่ด้วยเสียงเท่านั้น
แต่หวางซิงกลับไม่ฟังเสียง เขาข่มกลั้นความจงรักในหัวใจและกลั้นใจดึงเสื้อของเซินเฟยออกจนพ้นตัวก่อนจะเลื่อนมือลงไปดึงกางเกงยางยืดจนพ้นสะโพก
“อาซิง! หยุดนะ!” เซินเฟยดิ้นรนด้วยการผลักอีกฝ่ายออก ทว่าเพราะหวางซิงเป็นคนทับอยู่ด้านบน ด้วยน้ำหนักตัวจึงไม่อาจสู้ได้อยู่แล้ว
“ได้โปรด...อยู่เฉย ๆ เถอะครับ” หวางซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนเซินเฟยใจหาย แต่ไหนแต่ไรมา เสียงที่หวางซิงใช้กับเขาจะแฝงไว้ด้วยความเทิดทูนสุดหัวใจ และต่อเมื่อหวางซิงกำลังหลดกางเกงตนเองลงเพื่อปลุกเร้าให้ตัวเองนั้น เซินเฟยก็มาถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน เขาตวัดมือตบหน้าหวางซิงฉาดใหญ่จนใบหน้านั้นสะบัดไปอีกทางตามแรงกระทบ การกระทำของเซินเฟยทำให้ทุกอย่างนิ่งสงบไปชั่ววินาที
“ได้สติหรือยัง? ลุกออกไปซะ ผมไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์” เซินเฟยพูดจบก็ขยับตัวถอยหมายจะสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทว่า หวางซิงที่หันกลับมาไม่แม้แต่จะคลำแก้มตนเองที่คงจะแดงเป็นปื้น กลับคว้าเอาตัวเซินเฟยลงมานอนราบแล้วกัดฟันดึงดันแทรกตัวเข้าไปในช่องทางที่ยังไม่ทันถูกตระเตรียม ความเจ็บจากการถูกขยายกะทันหันทำให้เซินเฟยขบกรามจนแน่นและเบิกตากว้างพยายามกลั้นลมหายใจตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
การร่วมรักที่ทุลักทุเลเพราะคนรุกไร้ประสบการณ์ คนรับก็ไม่ได้เต็มใจทำให้เซินเฟยแทบจะกัดลิ้นตัวเองหลายครั้ง ทั้งเจ็บปวดทรมานไม่ต่างจากตอนที่โดนฉู่เหวินจือข่มขืนสักนิด เพียงแต่ว่าตอนนั้นสติของเขาพร่าเลือนเต็มที ตอนนี้สติของเขากลับแจ่มชัดเสียจนอยากจะเอาหัวโขกผนังให้สลบไปเสียเลย
ใช้เวลายื้อยุดอยู่นานกว่าที่การร่วมรักที่เหมือนจะเป็นการลงทัณฑ์จบสิ้นลง ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครที่ได้ปลดเปลื้องสมใจ แต่หว่างขาเซิยเฟยกลับเกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดที่ไหลซึมออกมาตามรอยปริแยก เขาแทบไม่มีแรงขยับตัวเพราะแค่คิดจะลุกขึ้นท่องล่างก็ปวดระบมขึ้นมาเป็นริ้ว
หวางซิงลุกขึ้นเงียบ ๆ แล้วเดินหายไป สักครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมอ่างที่บรรจุน้ำจนเต็มและผ้าขนหนู
ไฟดวงสีเหลืองอ่อนถูกเปิดขึ้นเพื่อให้หวางซิงเห็นอะไรได้ชัดเจน ทว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นบนร่างของเซินเฟยทำให้หวางซิงคิดว่าไม่เปิดเสียยังจะดีกว่า
บนผิวซีดขาวมีรอยฟกช้ำจากการยื้ดยุดต่อสู้ปรากฏเป็นจ้ำหลายจุด ริมฝีปากเซินเฟยถูกขบด้วยฟันคมของตนเองจนแตกเลือดซิบ นัยน์ตาของเซินเฟยเหลือบขึ้นด้านบนอย่างคั่งแค้นแต่ไม่มีน้ำตาออกมาแม้สักหยด หวางซิงกลั้นใจก้มลงมองจุดที่เกิดความเสียหายมากที่สุด ช่องทางที่รองรับอารมณ์บวมแดงและเปรอะไปด้วยหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหยดลงบนผืนผ้าสีขาวไม่ต่างกับเลือดแรกของหญิงพรหมจรรย์ เพียงแต่....ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นต่างกันมากนัก ต่างกันมากทั้งทางร่ายกายและจิตใจ
เซินเฟยหายใจแรงจนได้ยินเสียงชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันพาให้อึดอัดหายใจแทบไม่ออก
หวางซิงใช้ผ้าสะอาดค่อย ๆ ชุบน้ำหมาด ๆ แล้วเช็ดบาดแผลอย่างเอาใจใส่ แค่เพียงกล้ามเนื้อกระตุกเกร็งสักน้อยก็ไม่มี
การที่เซินเฟยต้องเจ็บถึงอย่างนี้ใช้ว่าหวางซิงจะไม่รู้สึกอะไร หัวใจของเขาปวดร้าวยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ได้แต่คิดในใจว่าไม่ว่าจะถูกลงโทษเช่นไรก็เต็มใจจะก้มหน้ารับด้วยความเต็มใจ เพราะหากเซินเฟยสามารถออกปากลงโทษเขาได้ก็หมายความว่าจูเชว่ผู้เฉียบขาดคนเดิมได้กลับมาแล้ว
หลังจากทำความสะอาดเสร็จ หวางซิงก็ออกไปจากห้องแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกล่องยา เขาบรรจงชะโลมยาลงบนแผลอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงเก็บของทั้งหมดออกไปแล้วเดินเข้ามาคุกเข่าข้างเตียงอย่างเงียบ ๆ ในมือของเขามีแก้วน้ำอยู่ใบหนึ่งกับยาอีกเม็ด
“ออก.....ไป.....” เซินเฟยเค้นเสียงลอดไรฟัน
“ยาแก้อักเสบครับ” หวางซิงกล่าวเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“หูหนวกหรือยังไง!” เซินเฟยคำรามออกมาก่อนจะหายใจแรงเมื่อการตะคอกทำให้กระทบลงไปถึงท้องน้อย
“ได้โปรดทานยาก่อนเถอะครับ” หวางซิงอ่อนวอนก่อนจะพยุงตัวเซินเฟยขึ้นมา ทว่าเซินเฟยกลับเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม เขายกมือปัดแก้วตกพื้นแตกกระจายแล้วลงไปนอนหอบแรง นึกโมโหร่างกายตัวเองที่บอบบางแค่โดนใช้กำลังก็ลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว
หวางซิงก้มลงเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายโดยไม่พูดอะไร แม้จะโดนเศษแก้วบาดนิ้วก็ไม่ปริปากอุทธรณ์ให้เซินเฟยระคายหู
จากนั้นเซินเฟยก็นำผ้ามาเช็ดน้ำที่นองพื้น แต่เสียดายที่เป็นพื้นพรมจึงไม่อาจซับให้แห้งได้ ต้องปล่อยให้น้ำระเหยไปเอง หากเหลือคราบจึงค่อยมากำจัดคราบอีกทีหนึ่ง ที่น่ากลัวกว่าคือเศษแก้วที่อาจฝังอยู่กับพรม หวางซิงจึงใช้มือกวาดไปตามผิวพรมเพื่อดึงเอาเศษแก้วออกมาให้หมดเพราะหากใช้เครื่องดูดอาจทำให้เซินเฟยอารมณ์เสียขึ้นมาได้ ดังนั้นกว่าจะเก็บจนแน่ใจว่าไม่เหลือเศษแก้วแล้ว มือของหวางซิงก็เต็มไปด้วยรอยขูดขีดและเลือดที่ไหลซิบจากบางบาดแผล เลขาหนุ่มลุกขึ้นนำเศษแก้วไปทิ้งถังขยะ แต่เขาก็พบว่าเซินเฟยยังนอนเบิกตาโพลงจ้องมองเพดานอยู่อย่างนั้น ไม่ได้หลับไปดังคาด
หวางซิงเดินไปคุกเข่าลงตรงปลายเตียงแล้วประคองเท้าของเซินเผยขึ้นมาอย่างเบามือก่อนจะจูบเบา ๆ แสดงถึงความเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด
เซินเฟยกัดฟันพยุงตัวเองขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนก่อนจะออกแรงถีบหวางซิงออกไปให้พ้นตัว
“กล้าดีนักนะ......” เขาพูดพลางหอบก่อนจะยิ่งเดือดมากขึ้นเมื่อเห็นหวางซิงก้มหน้าลงรอรับโทษแต่โดยดี ไม่มีคำแก้ตัวแม้สักคำ “ก็ดี....ดีมาก.......” เซินเฟยขบฟันแรงจนกรามแทบแตก
ตอนนี้ความโกรธบดบังความนับถือที่เซินเฟยเคยมีแทบหมดสิ้น คนสุดท้ายที่เขาเคยคิดว่าจะทำร้ายเขาก็คือหวางซิง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครหน้าไหนมันก็เหมือนกันไปหมด!
“นักสืบมู่.....ทำงานได้ดีเกินคาด คำขอนั่น....เขาสมควรจะได้รับ.....” เซินเฟยพูดพลางหอบหนัก พอขยับตัวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดจนถึงก้านสมองแต่ก็ยังฝืนพูดต่อไป “ใช่ไหม.....อาซิง?”
“เข้าใจแล้วครับ” หวางซิงรับเรียบ ๆ ก่อนจะถอยออกไปจากห้องโดยไม่ต้องให้สั่งซ้ำสอง กระนั้นก็ยังไม่ลืมปิดไฟแล้วกล่าว “ราตรีสวัสดิ์ครับ”
เซินเฟยทิ้งตัวลงนอนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ความเหนื่อยล้าที่คิดว่าหายไปแล้วโถมทับเข้ามาในหัวใจราวกับว่าเขื่อนกั้นได้พังทลายลงและปล่อยให้สิ่งที่ปิดกั้นไว้ไหลทะลักออกมาจนท้นท่วม หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลลงจากหางตา ทั้งที่เขาพยายามเก็บกลั้นเอาไว้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้มันแห้งเหือด ทำได้เพียงแค่ชะลอการหยาดไหลของมันเท่านั้น
เหมือนกับถูกกระชากออกมาจากความฝันไม่มีผิด....
“ปลุกกันรุนแรงเกินไปแล้ว.....” เซินเฟยพึมพำในลำคอแล้วหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยาดไหลหยดแล้วหยดเล่าโดยไม่สนใจจะเช็ดมันออกจากแก้มแต่อย่างใด
----------------------->
มู่อี้จิงยืนค้างอยู่หน้าประตูเมื่อพบว่าคนที่เพิ่งกลับไปเมื่อตอนเย็นมาหาเขาที่ห้องอีกครั้ง ซ้ำยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาเยี่ยมใคร เรื่องนี้อีกฝ่ายน่าจะรู้ดี มู่อี้จิงจึงได้รู้สึกแปลกที่คนเคร่งครัดอย่างหวางซิงมากดออดเอาดึกดื่นป่านนี้ ซ้ำท่าทางก็ดูไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อย ชายเสื้อบางส่วนหลุดออกมานอกกางเกงแสดงถึงความเร่งรีบรวบรัดในการสวมใส่ เข็มขัดไม่ได้สวม ทั้งกระดุมยังกลัดเพียงไม่กี่เม็ด บางเม็ดก็หลุดออกไปเสียด้วยซ้ำ หากไม่นับรวมแว่นตาที่อยู่ในสภาพดี มู่อี้จิงก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไปฟัดกับใครหรืออะไรมา
สีหน้าของหวางซิงดูไม่ได้นิ่งขรึมอย่างปกติ อีกฝ่ายทำหน้าราวกับว่าโลกแตกสลายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันนิ่งสนิท เบ้าตามีน้ำคลออยู่แต่ไม่ได้ไหลออกมา แก้มข้างหนึ่งมีรอยแดงช้ำและบางจุดมีรอยถูกเล็บเกี่ยว
มู่อี้จิงเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู เขาไม่กล้าถามให้มากความ แต่ว่าเมื่อหวางซิงเข้ามาแล้ว เจ้าตัวกลับถอดเสื้อออกเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยว! นี่คุณจะทำอะไรน่ะ!” มู่อี้จิงดึงเสื้อกลับเข้าที่ ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะคิดลึกเกินเหตุ ผู้ชายแก้ผ้าต่อหน้ากันเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าปกติที่สุดในโลก แต่พอเป็นหวางซิงที่แต่งตัวเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่เสื้อยืดก็ไม่เคยสวมใส่ ซ้ำตอนกลางวันยังมาถามเรื่องแบบนั้นกับเขา แม้จะเป็นผู้ชายที่ซื่อบริสุทธิ์ก็คงจะรู้สึกขึ้นมาได้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ
“คุณเซินบอกว่า....พิจารณาคำขอของคุณแล้วครับ” หวางซิงพูดเสียงเรียบ ๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“คำขอ?” มู่อี้จิงทวนคำแล้วมุ่นคิ้วก่อนจะก้มลงมองมือของหวางซิงที่เลื่อนขึ้นมาบนแผ่นอก ทันใดนั้นเขาก็รีบจับมือทั้งสองข้างขึ้นมามองให้ชัด ๆ “แผลพวกนี้มาจากไหนน่ะครับ?”
ทั้งที่ตอนออกไปยังไม่มีแท้ ๆ แต่ตอนกลับมานิ้วกลับมีแต่รอยขีดข่วน บางแผลก็เลือดซึม และบางนิ้วมีปลาสเตอร์ปิดไว้
“เอ่อ...ผม.....” หวางซิงอึกอักแล้วดึงมือกลับ “ผมทำแก้วแตก”
มู่อี้จิงไม่ใคร่เชื่อนัก เขารุนหลังให้หวางซิงไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลฉุกเฉินออกมา แน่นอนว่าความพรักพร้อมของอุปกรณ์ไม่อาจเทียบกระเป๋ายาส่วนตัวของหวางซิงได้ แต่เทียบกับคนปกติก็ถือว่าเป็นกระเป๋าปฐมพยาบาลที่พร้อมสรรพแล้ว
มู่อี้จิงจัดการใส่ยาฆ่าเชื้อให้บนแผล รวมถึงแผลที่เจ้าตัวปิดปลาสเตอร์ไว้ด้วย มองไปก็เห็นว่าเป็นรอยถูกแก้วบาดจริง ๆ แต่หวางซิงไม่น่าจะเป็นคนซุ่มซ่ามถึงขนาดนั้น
เขาปิดปลาสเตอร์ให้ใหม่อย่างเรียบร้อยก่อนจะนั่งเอนตัวบนโซฟา ความจริงแล้วเขากำลังจะนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน ไม่คิดว่าจะถูกรบกวนกลางดึกจึงรู้สึกง่วงอยู่นิด ๆ
“ว่าแต่ จูเชว่ฟังคำขอไหนของผมล่ะ?” ช่วงนี้สถานการณ์ทางนั้นดูปกติดีจึงไม่มีงานให้เขาเข้าไปแทรกแซงมากนัก อยู่ ๆ เซินเฟยคิดจะใจดีอะไรขึ้นมาถึงให้รางวัลคนที่ไม่ได้ทำงานอย่างเขา
“คุณเคยบอกว่า อยากจะนอนกับผมไม่ใช่หรือครับ?” หวางซิงพูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
“เรื่องนั้นผมก็บอกแล้วว่า....”
“กรุณานอนกับผมเถอะครับ” โดยไม่รอให้ปฏิเสธ หวางซิงก็โผเข้าใส่มู่อี้จิง แต่ว่าเพราะขนาดตัวที่ต่างกันรวมถึงแรงกาย สิ่งที่หวางซิงทำจึงเป็นเพียงการโผเข้าไปซบอยู่บนอกของมู่อี้จิงที่ขืนตัวไว้ทัน “ได้โปรด....นอนกับผมเถะครับ” หวางซิงอ้อนวอนจนมู่อี้จิงใจอ่อนยวบ กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าการทำตามคำขอนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีกฝ่ายกำลังสั่นเป็นลูกนกแบบนี้ใครจะไปทำลง
“คุณทะเลาะกับจูเชว่มาหรือครับ?” ทันทีที่มู่อี้จิงถามออกไป เสียงสะอื้นฮักก็เล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน ของเหลวอุ่นหยดใส่แผ่นอกเปล่าเปลือยของเขา ชายหนุ่มลนลานตกใจทำอะไรไม่ถูก เขารีบดึงหวางซิงขึ้นนั่งแล้วโอบกอดเอาไว้หลวม ๆ “นี่เดี๋ยวสิ! ทำไมอยู่ ๆ ก็ร้องไห้ได้ล่ะ!”
หวางซิงยังคงร้องไห้ต่อไปโดยไม่พูดอะไร เขายกแขนเสื้อขึ้นป้ายน้ำตาแล้วถอดแว่นออก มู่อี้จิงถอนหายใจเฮือก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะพูดอะไรดี เกรงว่าหากพูดอะไรผิดหูเข้าอีกหวางซิงคงร้องไห้หนักกว่าเดิม ถึงตอนนั้นคืนนี้เขาคงหมดหวังจะได้นอนเป็นแน่
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่