05-…ก็พี่ขี้บ่น
อ้วกกก..
สุดท้าย…ผมก็ต้องแบกพี่กันย์กลับมาที่ห้องอีกแล้วครับ และจนตอนนี้พี่เขายังคงนั่งเฝ้าชักโครกไม่ยอมไปไหน
"ไหวมั้ยครับเนี่ย" ผมเดินไปลูบหลังก่อนจะส่งแก้วน้ำให้พี่กันย์ แต่พี่เขากลับเทน้ำลงในชักโครกแล้วนั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแทนที่จะเอาไปดื่มเสียนี่
"ดูดิมึง เชี่ยนี่ตลกว่ะ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม อ้วกกก..." พี่กันย์ชี้น้ำในชักโครกที่ไม่ว่าพี่เขาจะเทน้ำลงไปเท่าไหร่มันก็ยังรักษาระดับน้ำไว้เท่าเดิม
...มันก็ปกติของมันเปล่าวะพี่
ยังดีที่ตอนนี้อาการปีศาจหายไปแล้วครับ ไม่เรียกผมว่า ‘น้องปืน’ หรือ ‘เรา’ ให้ผมขนลุกเล่นๆ เหลือเพียงแค่ความเพี้ยนระยะเริ่มต้นกับอาการอ้วกที่ยังไม่สิ้นสุดเท่านั้น
"หมดยังครับ" ผมถามเมื่อพี่กันย์ทำท่าจะฟุบหน้าลงไปกับพื้นห้องน้ำซะงั้น
"อือ"
"งั้นไปนอนกันพี่" ผมว่าก่อนจะแบกพี่กันย์ไปพิงไว้หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วหาเสื้อกล้ามสีขาวซึ่งดูเป็นตัวที่ใส่ง่ายที่สุดแทนชุดเก่าที่ถอดทิ้งไปเพราะเลอะอ้วก
...จะยอมเปลี่ยนให้แค่วันนี้เท่านั้นแหละครับ จำไว้
"เฮ้อ" ผมถอนหายใจออกมาดังๆ เมื่อในที่สุดผมก็ลากคนตัวสูงมาทิ้งลงบนที่นอนได้สำเร็จก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพี่เขาไว้ลวกๆ
"ห้ามทำที่นอนผมเลอะเด็ดขาดนะพี่" พูดไม่ทันขาดคำพี่กันย์ก็ทำท่าจะเอาของเสียออกมาอีกรอบจนผมรีบวิ่งไปเอาถุงจากในครัวมาแทบไม่ทัน
"ฮ่าๆๆ" เสียงหัวเราะทำให้รู้ว่าพี่มันเล่นผมซะแล้ว ผมเลยจัดการเอาหูของถุงทั้งสองข้างจนเกี่ยวหูพี่เขาไว้จนคนที่นอนอยู่เริ่มโวยวาย
"ห้ามอ้วก.. นะครับ" ผมกำชับอีกครั้งแล้วดึงถุงออกไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
[Gun's]
...เหมือนหนังรีรัน
ผมตื่นมาในห้องที่มองยังไงก็ไม่ใช่ห้องผมอีกแล้ว แต่ไม่ต้องเดาหรอกครับผมจำได้ ห้องไอ้เด็กปีหนึ่งคณะเกษตรแน่ๆ
...นี่ผมปล่อยให้มันหิ้วมาอีกแล้วหรอวะ
ผมคิดอย่างเซ็งๆ ปกติถ้าผมคิดจะเมาผมจะไม่เอารถไป แต่เมื่อวานนี้ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเมาอะไรขนาดนั้น เพราะไปกินกับเด็กคณะอื่นแถมผมยังคอแข็งอยู่แล้วด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เด็กนั่นดันสั่งเหล้าปั่นรสแอปเปิ้ลมา แล้วผมก็ดันกินเข้าไป...
06:15 น.
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมถึงตื่นก่อนแปดโมงได้ นี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมค้นพบ คือถ้าวันไหนผมเมาหนักๆ ผมจะตื่นเช้ามาก แต่อาการแฮงค์นี่ก็แล้วแต่โอกาสกันไป บางวันซวยตื่นมายังอ้วกอยู่เลยก็มี แต่ถึงอย่างนั้นเตียงข้างๆ ของผมก็ว่างซะแล้ว
...ไอ้เด็กนั่นมันจะตื่นเช้าไปไหนเนี่ย
ผมเดินงงๆ ออกมาจากห้องนอนก่อนจะพบข้าวต้มปลาส่งกลิ่นหอมฉุยออกมาจากห้องครัว ส่วนตัวคนทำกำลังสาละวนกับอะไรบางอย่างอยู่ที่ระเบียงข้างนอก
"ทำอะไรวะ" ผมเดินออกไปพยายามสอดรู้สอดเห็นเต็มที่ก็พบกระถางต้นไม้อยู่สี่ห้ากระถาง มีผักใบเขียวๆ ขึ้นงอกงามน่าเด็ดทีเดียว
"ทำไมตื่นเช้าจังครับ ไหนว่าข้อ 1..."
"หุบปากมึงไปเลย" ผมด่ามันก่อนที่มันจะได้ล้อเลียนผมแล้วนั่งยองๆ ลงข้างมัน
"กินได้ป่ะ" ผมชี้ไปที่ต้นผักชีที่มันกำลังบรรจงเด็ดใบอยู่ก่อนมันจะพยักหน้าให้ ผมเลยเด็ดมาใบหนึ่งแล้วส่งมันเข้าปาก
"เชี่ยย รสธรรมชาติ... ดีว่ะ กูมันพวกมือร้อน ปลูกอะไรก็ตาย มึงคิดดูกระบองเพชรกูยังทำมันตาย" มันหันมาทำหน้าภาคภูมิใจใส่ผมก่อนจะเด็ดต้นหอมออกมายื่นให้ผม
"กูไม่ใช่วัว" ผมด่ามันแต่ปากก็อ้างับต้นหอมที่มันยื่นมาให้เรียกเสียงหัวเราะจากมันได้เบาๆ
"แต่กูรักธรรมชาติไง.."
"กูปวดหัวกับเสื้อผ้ามึงจริงๆ ว่ะ" เป็นอีกครั้งที่ผมต้องขอยืมเสื้อผ้ามัน และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องมานั่งปวดหัวกับเสื้อลายกราฟฟิกพวกนี้
...ลายมึงจะเยอะไปไหนวะ
ผมพลิกไปกี่ตัวๆ ก็ต้องมีลายไม่ต้องนู้นก็ตรงนี้สักแห่ง ให้ตาย ถึงจะบ่นอยู่ในใจแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องหาเสื้อใส่อยู่ดี แต่รอบนี้มันเปิดโอกาสให้ผมรื้อเอง โดยกำชับว่า 'ต้องรื้ออย่างเรียบร้อย' นี่มึงเข้าใจคำว่า ‘รื้อ’ ผิดไปเปล่าวะ
"เฮ้อ" เสียงถอนหายใจดังมาจากคนที่ยืนพิงผนังอีกด้าน ผมหันไปมองหน้ามันก่อนที่ไอ้เด็กนั่นจะเคาะหน้าปัดนาฬิกาแล้วชูสองนิ้ว
...2 ชั่วโมง
…ก็เกินไป 20 นาทีพอเหอะครับ
สุดท้ายเลยตัดสินใจหยิบเชิ๊ตขาวกับกางเกงสแลคสีดำอันคุ้นตาออกมา
"ชุดนักศึกษา?" ไอ้เด็กนั่นถามขึ้นมาอย่างสงสัย
"เออ ยืมหน่อย กูขี้เกียจคิดละ" ผมตอบก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ยังคงผึ่งไว้ที่ระเบียงตั้งแต่ที่ผมมาเมื่อวันก่อน
"แค่แต่งตัวต้องคิดด้วย"
"เอ้า คิดดิมึง เรื่องใหญ่นะเว้ย" มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นแปรงสีฟันสีดำให้ผม
"ของกู?" ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ขืนมันเอาของที่ใช้แล้วมาให้ผมนี่เรื่องใหญ่เลยนะ
"ครับผม กว่าจะหาสีดำได้นี่แทบพลิกแผ่นดิน" มันตอบก่อนจะเดินออกไปรอที่โซฟาข้างนอกเหมือนเดิม
"หาให้กูเพื่อ? อะไรของมันวะ?" ผมได้แต่เดินงงๆ เข้าห้องน้ำไป
...อย่างน้อยคราวนี้กูก็มีแปรงสีฟันใช้ละ
[Bpuen's]
วันนี้ผมว่างทั้งวันเลยกะจะไปซื้อของบางอย่างเพิ่มเติมเผื่อเข้าห้อง พี่กันย์เลยบอกให้ติดรถพี่เขาออกมาเพราะอีกนิดมันก็จะถึงถนนเส้นหลักอยู่แล้วจะได้ไม่ต้องเดินให้ร้อนเปล่าๆ แต่สุดท้ายไม่รู้พี่เขาอารมณ์ไหนเลยจะไปกับผมด้วย โดยให้เหตุผลว่า
"กูขอไปเสพรสนิยมมึงสักหน่อยเหอะว่ะ"
และตอนนี้ผมเลยต้องมาอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าของคนที่บอกว่า 'เรื่องแต่งตัวน่ะมันเรื่องใหญ่'
...ใหญ่จริงๆ ครับ ห้องแต่งตัวพี่กันย์ใหญ่มาก ขอย้ำนะครับ ไม่ใช่ตู้เสื้อผ้า แต่มันคือห้องแต่งตัว
จะว่ายังไงดี ไอ้หอของพี่กันย์เนี่ย มันเป็นหอเก่าแต่เขาขายขาดทำให้ไอ้คนซื้อเนี่ยจะปู้ยี่ปู้ยำมันขนาดไหนก็ได้ ห้องของพี่กันย์ใหญ่กว่าห้องผมมาก เป็นห้องสตูดิโอหนึ่งห้องใหญ่ๆ กับห้องน้ำ 1 ห้องแล้วกั้นทุกอย่างออกเป็นสัดส่วนด้วยชั้นวางของหรือฉากสวยๆ แทนที่จะแบ่งเป็นห้องๆ อย่างห้องผม
มีส่วนรับแขกที่ดูสบายๆ ใช้พวก Bean bag กองๆ กับพื้นแทนโซฟา มีมุมครัวเล็กๆ ที่น่าจะไว้แค่ประกอบอาหารง่ายๆ ได้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือห้องนอนครับ ความเท่มันเริ่มตั้งแต่การที่ประตูห้องนอนถูกออกแบบให้คล้ายกับประตูบานพับเหล็กตามร้านขายของชำ พื้นของห้องนอนถูกยกระดับขึ้นมาจากพื้นห้องปกติแล้วมีฟูกอันหนึ่งวางข้างบนอย่างห้องญี่ปุ่น ไม่มีเตียง ซึ่งมันเชื่อมอยู่กับไอ้ห้องที่เป็นประเด็นนี่แหละครับ
ห้องแต่งตัวที่โคตรใหญ่ มันเหมือนตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีบานเปิดปิดแต่สูงจนชิดเพดานแปะอยู่บนผนังทั้งสามด้าน สไตล์เสื้อผ้านี่แขวนไล่ไปตามสีซึ่งมากกว่า 80 เปอร์เซ็น คือโทนขาวเทาดำ ส่วนพวกเสื้อผ้าสีสันก็พอมีบ้างแต่เป็นโทนเย็นเป็นส่วนใหญ่ แล้วไอ้พวกขาวเทาดำนี่ก็แยกเรียงกันตั้งแต่สไตล์เป็นทางการไปจนถึงเสื้อยืดที่ดูสบายๆ แต่ไอ้ที่เด่นสุดคงเป็นโต๊ะกระจกกลางห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับสี่ชิ้นในตำนานของพี่เขา
...ข้อ 4 ต่างหู จิว นาฬิกา สร้อยข้อมือ
แล้วไอ้นาฬิกานี่น่าทึ่งมาก บอกเลยครับ ไม่มีอันไหนที่ดูเวลาง่ายๆ เลยสักอัน
"ผมรู้แล้วครับว่า..."
"หยุด ห้ามด่ากูเยอะ โอเค๊?" พี่กันย์พูดดักคอจนผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างขำๆ
"ไม่ได้จะว่าเลยครับ แค่จะบอกว่ารู้แล้วว่าทำไมพี่ถึงใส่เสื้อผ้าผมไม่ได้แค่นั้นเอง" ผมพูดอย่างยิ้มๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปเลือกชุดสำหรับใส่วันนี้
"มึงจะไปดูของที่ไหนนะ" พี่กันย์ถามในขณะที่หยิบเสื้อสองตัวออกมา ตัวหนึ่งเป็นเสื้อยืดคอวีสีขาว ส่วนอีกตัวเป็นเสื้อโปโล เรียบๆ สีดำ ก่อนจะเดินไปหยุดหน้าตู้ที่มีจำพวกเสื้อคลุม
"สยามครับ สยามร้อน" ผมเน้นคำว่า ‘ร้อน’ เป็นพิเศษเพื่อให้พี่เขารับรู้ถึงอากาศเมืองไทยจนเหลือไว้แค่เสื้อโปโลสีดำตัวเดียว
"พี่ชอบแต่งตัวสินะครับ" ผมพูดขึ้นขำๆ ระหว่างที่ยืนดูพี่เขาพลิกกางเกงตัวนั้นตัวนี้มาเป็นนาทีแล้ว
"เปล่าอ่ะ มันจำเป็น" พี่เขาหันมาตอบก่อนจะวุ่นวายกับการหากางเกงต่อไป
"จำเป็น?"
"ก็ไอ้ว่าที่อาชีพกูเนี่ย มันต้องเข้าสังคมไง แล้วสังคมก็มีโคตรจะหลายแบบ การแต่งตัวก็เป็นกาลเทศะอย่างหนึ่งที่มึงต้องเรียนรู้ เข้าใจ๊?"
"พี่แมร่ง.." ผมอุทานจนพี่เขาหรี่ตามอง
"อะไร"
"โคตรเท่อ่ะ" ผมตอบแล้วขยิบตาให้ก่อนจะเห็นรอยยิ้มกว้างจากคนตรงหน้า พี่กันย์ยักคิ้วให้ทีนึงก่อนจะไล่ผมออกมาเพราะพี่เขาจะแต่งตัว
ตอนนี้พวกผมกำลังเดินวนไปในสยามร้อนที่ร้อนสมชื่อจริงๆ ครับ จนผมทนไม่ได้ต้องข้ามกลับไปเดินฝั่งสยามปกติที่มีเครื่องทำความเย็นก็เพราะไอ้คนข้างหลังนี่แหละครับ ที่เดินมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เหงื่อท่วมที่เหมือนเพิ่งไปอาบน้ำมายังไงอย่างงั้น
"ตกลงมึงจะซื้ออะไรครับเนี่ย" พี่กันย์ที่ดูเหมือนจะคืนชีพขึ้นหลังจากได้รับอากาศเย็นถาม
"ก็จะซื้อพวกของใช้เนี่ยแหละพี่ แต่ยังไม่เจอของที่อยากได้เลย" ผมตอบไปพลางมองสองข้างทางอย่างไม่ได้จริงจังนัก
"แล้วมึงอยากได้อะไรวะ"
"ชั้นหนังสือ"
ป้าบบ.. กำปั้นของคนข้างๆ ตีลงมากลางหัวผมแบบพอดิบพอดี จนผมต้องหันไปมองอย่างคาดโทษ
"จะซื้อชั้นหนังสือจะมาสยามทำเพื่อ? ควรไปอิเกียร์อะไรเทือกนั้นมั้ยล่ะ" พี่กันย์ถามอย่างเซ็งๆ
"ก็ไม่รู้จะไปไหนอ่ะ แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนล่ะคร้าบบ"
"ก็กูเพิ่งรู้เมื่อกี้เองนี่คร้าบบ ไม่บอกกูล่ะคร้าบว่าจะซื้อชั้นหนังสืออ่ะ" พี่กันย์ประชดก่อนจะลากผมกลับไปที่ลานจอดรถอย่างรวดเร็ว
"โอเค ตอนนี้บอกกูมามึงจะซื้ออะไรบ้าง"
"ก็ชั้นหนังสือ ชั้นวางต้นไม้ กระถางใหม่ด้วยก็ดี อืมม.. แต่ก็อยากได้พวกเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูด้วยนะครับ"
"เยอะจังวะ ถ้ามาคนเดียวจะขนกลับยังไง ใช้สมองบ้างป่ะเนี่ย โว๊ะ" ถึงจะบ่นแต่คนข้างๆ ก็ยอมเคลื่อนรถออกจากชั้นใต้ดินแต่โดยดี
[Gun's]
หลังจากบึ่งรถข้ามค่อนสยามประเทศมา ตอนนี้เราเลยมาอยู่ห้างสรรพสินค้าที่รวมทุกสิ่งอันที่มันอยากได้ไว้หมดแล้ว
"เชิญครับคุณมึง" ผมพูดพลางภายมือไปยังโซนของของแต่งบ้านเป็นอันดับแรกแล้วเดินตามมันเข้าไป ที่นี่เป็นที่ๆ ผมชอบมาเดินบ่อยๆ เพราะนอกจากจะมีของเยอะแล้ว มันยังมีมุมจำลองห้องต่างๆ พร้อมเฟอร์นิเจอร์ให้ได้ศึกษาเพื่อเป็นไอเดียเสมอ แล้วราคาก็ยังอยู่ในขั้นพอรับได้ จะติดก็ตรงที่มันออกจะไกลไปหน่อยนี่แหละครับ
"พี่ว่าอันไหนดีอ่ะ" ผมหันไปตามทิศทางที่มันชี้ก่อนจะเจอเข้ากับชั้นวางขนาดเล็กสีดำ กับชั้นวางสีครีมลายไม้ขนาดสูงกว่าตัวมันนิดหน่อย
"มึงอ่านหนังสือด้วยหรอ" ผมถามมันอย่างสงสัย คราวก่อนไปนี่แทบจะไม่เห็นหนังสืออะไรของมันนอกจากหนังสือเรียนเลยด้วยซ้ำ
"ก็ไม่ค่อยหรอกครับ แต่มีไว้มันก็...ดูน่ารักดี"
...รู้แล้วครับ ไอ้เด็กนี่ต้องเป็นพวกชอบของสิ้นเปลือง ประโยชน์ไม่ เอาที่สบายใจไว้ก่อน ชัวร์!
"กูว่าอันนี้แจ่ม" ผมลากมันมาอีกฝั่งที่เป็นโซนเด็ก ซึ่งโซนนี้เป็นโซนที่ข้าวของทุกย่างจะถูกย่อขนาดลงจนดูจิ๋วไปเลย
"แน่ใจหรอพี่" มันถามผมก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างชั้นวางหนังสือนิทานสีสันสดใสแถมยังมีล้อและราวจับเพื่อให้ใช้เข็นไปได้รอบๆ อีกด้วย
"กูประชด ก็เห็นชอบของน่ารักนี่"
"แต่จริงๆ ก็ไม่เลวนะพี่" ...ผมนี่เกลียดไอ้สายตาวิบวับประหนึ่งเจอของถูกใจของมันเหลือเกิน
แล้วไอ้ชั้นหนังสือนิทานเด็กที่ว่านี่ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวเดี่ยวๆ นะครับ มันมีมาทั้งเซทครับผม ถ้าดูดีๆ ชั้นหนังสือมันจะมียอดประสาทข้างบนแล้วลิ้นชักข้างหน้าสามารถดึงพาดลงมาให้กลายเป็นสะพานแขวนอย่างในนิทานได้ ส่วนเก้าอี้เด็กตัวข้างๆ นี่เหมือนกำแพงเมือง มีช่องเล็กๆ ไว้สำหรับปืนใหญ่ซึ่งดันยิงได้จริง นอกจากนี้ก็มีโต๊ะเล็กๆ ซึ่งเอามาพับแล้วประกอบกันเป็นร้านค้า หรือบ้านเรือนต่างๆ ในเมืองได้อีกด้วย
"ซื้อเถ๊อะ!" ไม่ใช่เสียงมันนะครับ เสียงผมนี่แหละ เห็นแล้วนี่มันช่างปลุกไฟความเป็นสถาปนิกในตัวผมได้ดีจริงๆ
...ก็ขนาดแค่เกมเดอะซิมส์ยังหลอกล่อให้พวกผมหน้ามืดมาเรียนคณะนี้ได้ แต่นี่มันเมืองจำลองขนาดย่อมๆ ที่เอาตัวมุดเข้าไปได้จริงๆ แบบนี้เนี่ยไม่พลาดแน่ๆ
...แล้วประเด็นคือไม่ใช่เงินผมไง ฮ่าๆๆ
"ตกลงไอ้ที่ซื้อนี่ของใครนะครับ" ไอ้เด็กเกษตรถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจแต่ก็หยิบเซทเมืองจำลองที่กล่องโคตรใหญ่มาใส่รถเข็นทันที
"อือ ของมึงอ่ะ แต่กูอยากเล่น" ผมตอบส่งๆ
...เข้ากับห้องรึเปล่าไม่รู้ กูอยากเล่นเป็นพอ
เมื่อครู่นี้เป็นโซนของเด็ก’ถาปัตย์ คราวนี้ได้เวลาของเด็กเกษตรเขาบ้างแล้วครับ เมื่อไอ้เด็กนี่เดินเข้าโซนของจุกจิกส่วนครัวและ OUTDOOR ได้ไม่ถึงห้านาที กระถางต้นไม้หลากสีนี่ลงรถเข็นเป็นอย่างแรกเลย
...แถมยังตามมาด้วยตะเกียงเซรามิกสีขาวและเทียนไขในเบ้าอะลูมิเนียม
"บ้านมึงไฟฟ้าเข้าไม่ถึงหรอครับ" ผมถามมันอย่างสงสัย คือมึงจะเอาเทียนไขไปทำไมตั้งมากมาย ห๊ะ!
"หุบปากพี่ไปเลย ผมซื้อไอ้เซทบ้านจำลองนั่นให้ก็บุญแล้วครับ" โอ๊ะ... ไอ้เด็กนี่ร้ายกาจเว้ยเฮ้ย
"เดี๋ยวๆๆ ไอ้พวกเมื่อกี้กูยังเข้าใจ แต่มึงจะเอาเปลแขวนเพดานอันใหญ่เท่าบ้านนี่ไปไม่ได้" ผมด่ามันในขณะที่มันกวักมือเรียกผมยิกๆ ให้ไปขนไอ้เปลที่ตัวโคตรใหญ่ใส่ลงไปในรถ
"ทำไมล่ะครับ" มันถามพลางเบะปากเหมือนเด็กไม่ได้ดั่งใจ
"หยุดเบะเลยมึง กูสั่งทุบห้องมึงละเอาเปลวางไว้ให้เอามั้ยล่ะ เตียงเติงไม่ต้องใช้มันละ นอนเปลแมร่งไปแล้วกัน" มันทำหน้างอจนผมต้องลากไอ้เด็กโลภมากออกมาจากโซน OUTDOOR ก่อนที่มันจะยอมให้ผมสั่งทุบห้องมันจริงๆ
"ซื้อผักบุ้ง ผักกาดมึงไปไป๊" ผมพูดก่อนจะปล่อยให้มันไปวิ่งเล่นในดงเมล็ดพันธุ์พืชของมันแทน
"พี่อยากกินอันไหนเป็นพิเศษมั้ยครับ ไม่อยากจะอวดแต่ผมนี่ปลูกโคตรเก่งอ่ะ" มันพูดพร้อมกับหอบเมล็ดพืชมากกว่าสิบถุงมาโยนใส่ในรถ
"กูกินหมดอ่ะ กูเลี้ยงง่าย" ผมตอบก่อนจะยิ้มขำๆ เมื่อมันเดินกลับไปยังชั้นวางถุงเมล็ดพืชแล้วโกยมาอีกสิบถุงใหญ่
"สบายมาก เดี๋ยวผมคนนี้จะเลี้ยงพี่เอง" มันหันมายักคิ้วให้ก่อนจะเดินนำไปโซนถัดไป
…อยากเลี้ยงกูหรอ ก็ลองดู!
"เดี๋ยวๆ มึงไว้ทุกข์ใครหรอครับ" ผมถามพลางกระชากรถเข็นหนีเมื่อมันยังไม่หยุดโยนทุกสรรพสิ่งที่เป็นสีดำลงรถเข็นตรงบริเวณโซนของใช้จิปาถะ
"เอ้า" มันสบถก่อนจะจ้องผมตาโตก่อนจะหรี่ตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
…แน่นอนครับ ร่างกายผมมีแต่สีดำ
"ของกูเนี่เรียกสไตล์ครับ ส่วนของมึงนี่เกินไป" ผมพูดก่อนจะเขี่ยๆ ดูของในรถเข็นที่มีทั้งผ้าขนหนูผืนเล็ก ผืนใหญ่ ผ้าเช็ดมือ ถ้วย แก้ว จาน ชามรวมไปถึงเสื้อกล้าม บอกเซอร์ มีแม้แต่...กางเกงใน
…ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็น สีดำ!
"เป็นเชี่ยไรของมึงเนี่ย อยู่ใกล้กูมากไปรึไง"
"ของผมที่ไหน ของพี่ทั้งนั้นอ่ะ"
"ของกู?"
"ก็พี่ขี้บ่นอ่ะ มาห้องผมทีก็จะเอาแต่สีดำๆ เนี่ยดำพอป่ะ อยากใช้อะไรอีกก็หยิบๆ มา" มันพูดอย่างรำคาญก่อนจะเดินไปหยุดหน้าไม้แขวนเสื้อแล้วหยิบอันที่เป็นสีดำใส่ลงมาอีก
"ประชดกูป่ะเนี่ย" ผมหรี่ตามองอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเก็บพวกถ้วยโถโอชามกลับไป รวมถึงเครื่องแต่งกายภายในเหล่านั้นด้วย
"คืนไปหมดแล้วพี่จะใส่อะไรล่ะ"
"เดี๋ยวขากลับกูแวะเอาที่หอให้"
"ห๊ะ?"
"เอ้า ก็อยากได้ไปไว้นักก็เอาของกูไปเลยไง ของกู สไตล์กู จะได้ไม่บ่นกันทั้งมึงทั้งกูอ่ะ" มันพยักหน้าเข้าใจก่อนหยิบอะไรบางอย่างส่งให้
"ต้องการมั้ย?"
...มันคือถุงสำหรับอ้วก
...สีดำ
"กวน-ตีน!"