โพล้เพล้ของวันเดียวกันนั้นเอง ผมฟื้นขึ้นมาและพบว่ามีอาการไข้รุมๆ คงเป็นเพราะอาการระบมจากแผลที่หัวกุ้งตำ ไม่น่าเชื่อว่าแค่กุ้งตัวเดียวจะเล่นผมนอนเสื่อได้ถึงขนาดนี้
“ฟื้นแล้วหรือพ่อ” เสียงหมอปีย์ปิดสมุดตำราฝรั่งเล่มหนาดังปึก ผมหันไปมองเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่างในห้องผม
“นี่นายเฝ้าชั้นทั้งวันเลยเหรอ” ผมถาม
“ใช่ ก็เจ้าเพ้อตลอดเวลา ตัวก็ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว จักให้บ่าวไพร่มาดูแลพวกมันก็มีงานอื่นจักต้องทำ เราก็เลย เอ่อ ก็เลยมาดูแลเจ้าแทน” หมอปีย์หหลบสายตาไม่กล้าสู้หน้าผม
“ขอบใจนะหมอ อึ๊บ” ผมยันตัวเองขึ้นนั่ง “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นถึงขนาดนี้นะ”
“มันจักไม่ลามไปเยี่ยงนี้ดอก หากเจ้ามิกินเหล้าขาว พิษจากหัวกุ้งเมื่อเจอฤทธิ์ของเหล้าเข้าไป มันก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ” เขาทำท่าตำหนิ
“เท้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า”
“ปวดตุบ ตุบ น่ะ” ผมตอบ
“สงสัยจะกลัดหนอง ระหว่างนี้เจ้าก็ระวังตัวหน่อยอย่ากินของแสลง ข้าวโพดข้าวเหนียว ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว กินไปแผลจะกลัดหนองทำให้หายช้า สร่างไข้แล้วก็ห้ามกินแตง แตงไทย ผลไม้เย็นๆ” เขาลุกขึ้นไปหยิบกาน้ำแล้วเทน้ำบางอย่างสีขุ่นเหลืองใส่ในแก้วชาให้ผม
“น้ำชูบาน ทำมาจากมะตูมสุกต้มใส่น้ำตาล ดื่มเสียสิ จักได้สดชื่น” เขายื่นให้ผม ก่อนที่ผมจะรับมาดื่มเฮือกใหญ่และรู้สึกชุ่มคอ ดีขึ้นอย่างที่เขาบอกจริงๆ
“ห้ามซะขนาดนี้แล้วจะให้ชั้นกินอะไรหล่ะ ไม่อดตายเลยหรือไง” ยังปากดี
“เราให้บ่าวมันทำข้าวเปียกกินกับปลาดุกย่างไว้แล้ว เดี๋ยวจักให้มันยกมาให้ ป่วยไข้เช่นนี้กินอาหารอ่อนๆไว้เป็นดี ไข้จะได้หายเร็วๆ”
หมอนี่ดูแลผมดียิ่งกว่าแม่เสียอีก ผมนั้นหัวใจพองโตจนคับหน้าอก อยากจะโผเข้ากอดเป็นการขอบคุณในมิตรภาพที่มันมีให้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครดูแลผมถึงขนาดนี้ การดูแลเอาใจใส่ของมันครั้งนี้ ทำให้ผมมองหมอนี่ในแง่ดีมากขึ้นทีเดียว
หนึ่งวันหลังจากนั้นอาการของผมก็ดีขึ้น จริงๆมันดีขึ้นตั้งแต่วันรุ่งขึ้นนั้นแล้ว แต่ด้วยความที่ยังอยากให้หมอนั่นมาดูแลอยู่ เลยแกล้งป่วยต่อ เพราะรู้สึกดีที่มีคนมาดูแล
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเยอะมาก เรื่องการดูถูกคนนี่เห็นได้ชัดเจน เมื่อก่อนผมนึกเสมอว่าคนซื้อได้ด้วยเงิน และคนพวกนั้นก็เป็นคนที่ซื้อได้ด้วยเงินจริงๆนั่นแหละ
ยกตัวอย่างว่า วันหนึ่งหลังจากกลับมาจากปาร์ตี้ที่ผับดังแห่งหนึ่ง ผมเกิดไปถูกใจแฟนสาวของนักเที่ยวคนหนึ่ง จังหวะที่เธอขอตัวแฟนเข้าห้องน้ำ ผมก็ตามเธอเข้าไป ก่อนจะใช้เงินฟาดหัวเธอและก็มีอะไรกับเธอในห้องน้ำนั้น
หรือการที่ผมใช้เงินฟาดหัวคนใช้ที่บ้านจนเคยตัว เพื่อให้ช่วยกันปกปิดเรื่องที่ผมพาใครต่อใครมานอน
ผมตวาดคนใช้ลั่นบ้าน ทำราวกับพวกเขาไม่ใช่คน
ผมเคยสาดน้ำใส่หน้าแม่บ้านคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผมเพียงเพราะเธอเอาน้ำที่ไม่เย็นมาให้
ผมขับรถเฉี่ยวคนสวนที่เดินกวาดใบไม้เพียงเพราะเขาเกะกะ
ผมทำสิ่งเลวร้ายมากมาย จนพ่อแม่ทนไม่ไหว จับผมส่งไปเมืองนอกในที่สุด
พฤติกรรมเช่นนี้ใช่ว่าจะหายไปเมื่อผมอยู่เมื่อนอก ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ผมเหลวไหลกว่าเดิมเสียอีก
แต่พอได้มาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างของที่นี่ทำให้ผมเปลี่ยนไป ผมไม่โทษสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูหรอกทั้งๆที่ยอมรับกันตรงๆมันก็มีส่วน แต่ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ความจริงใจ และความรักอย่างที่ผมไม่เคยได้รับเลยในยุคสมัยที่ผมจากมา
“หมอ วันนี้มีอะไรกินมั่ง” ผมเดินกะโผลกกะเผลกมาหาหมอปีย์ที่ศาลาชานเรือน
“มิรู้สิ ลองถามนังอ่ำมันดูเถิดวันนี้เราไม่ทานข้าวที่เรือน” เขาก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
“อ้าว แล้วนายจะไปไหนอ่ะ” ผมทรุดตัวลงนั่งริมศาลาถัดจากเขา
“เราจักไปทานข้าวเรือนคุณชั้น วันนี้เธอให้บ่าวมาเชิญ”
“จะไปกินข้าวกับคำแก้วละสิ”
“ใช่”
“โธ่ แล้วทำเป็นมาอ้างคุณชั้น”
“ทำไมรึ”
“ปล๊าว”
“เรามิได้เจอคำแก้วเสียหลายวัน มัวแต่มาดูแลเจ้า”
“อ๋อ หาว่าชั้นเป็นภาระงั้นสิ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราหมายถึง เราน่าจะไปเยี่ยมเยียนเธอบ้าง”
“ตามประสาคู่หมั้น”
“ใช่”
...............................จึก...............................
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง นี่มันเรื่องอะไรของผมที่ไปต่อล้อต่อเถียงกับมันเรื่องคำแก้ว เขาเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน มันก็เรื่องของเขา แล้วกูไปยุ่งอะไรด้วยเนี๊ยะ
“เอาเถิด อย่าน้อยใจไปเลย ประเดี๋ยวรุ่งเช้า เราจักพาเจ้าไปเรือนแม่รำพึงตามที่สัญญา” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับผมก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป
ค่ำคืนที่เงียบสงัด ผมกำลังเดินเท้าเปล่าเปลือยผ่านทางเดินแคบๆที่รายล้อมไปด้วยต้นกระถินณรงค์ ทางเดินข้างหน้านั้นมืดมิดจนผมต้องใช้มือทั้งสองข้างคลำทาง มันมืดมาก มืดจนมองไม่เห็นแม้แต่แสงไฟจากหิงห้อย ผมคลำทางมาเรื่อยๆ ในใจเริ่มหวาดหวั่นว่าสิ่งที่จะต้องพบเจอข้างหน้าจะเป็นอะไร ผมกลัว กลัวไปหมด กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวความมืด ความความไม่แน่นอน
เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าและแผ่นหลัง ใจผมเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมาจากหน้าอก ลมหายใจถี่แรงที่ตอบรับกับอัตราการเต้นของหัวใจ ริมฝีปากที่สั่นระริกนั้น ตอนนี้อาการเหล่านั้นกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า
แต่แล้วก่อนที่ผมจะบ้าตายเสียก่อน ผมก็เห็นแสงไฟเล็กๆจากตะเกียงที่สาดแสงไม่จ้ามากนัก แต่ก็พอให้รู้ว่าข้างหน้าผมเป็นสะพาน
“ใครน่ะ” ผมร้องถามด้วยความกลัว
ผู้ถือตะเกียงเจ้าพายุยกตะเกียงขึ้นเสมอใบหน้า
“หมอปีย์” ผมอุทานออกมาด้วยความดีใจ แสงจากตะเกียงนั้นส่องให้เห็นใบหน้าและแววตาของหมอนั่น แต่แววตานั้นดูเหมือนจะไม่ใช่หมอปีย์ที่ผมรู้จัก
“หมอ” ผมวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ
“หมอชั้นอยู่ที่ไหน ทำไมที่นี่ถึงมืดอย่างนี้” ผมละล่ำละลักถาม แต่หมอปีย์ไม่มีวี่แววการตอบสนองใดๆทั้งสิ้นแม้แต่กระพริบตา
“หมอ ชั้นอยู่ไหน หมอ” ผมเร่งเร้าคำถามเดิมๆ
สะพานไม้ที่เราทั้งคู่ยืนอยู่นั้นดูมั่นคง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันกำลังสั่น
“หมอ พูดอะไรซะบ้างสิวะ หมอ” ผมเขย่าตัวหมอปีย์ จากค่อยๆจนแรงๆขึ้นแรงขึ้นตามความรู้สึกร้อนใจที่กำลังจะปะทุ แต่หมอนั่นเหมือนซากศพเดินได้ เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆเลย
“หมอ!!!!” ผมตวาดเขาลั่น และทันใดนั้นเอง สะพานฝั่งที่ผมยืนก็สั่นอย่างแรง จนมันขาดแยกผมกับหมอนั่นออกจากกันคนละฝั่ง
ผมก้มลงมองสะพานไม้ที่ขาดนั้นด้วยความตกใจ
หมอปีย์ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือมาหมายให้ผมกระโดดไปฝั่งเขา ผมนิ่งคิดอยู่นาน หันกลับไปข้างหลังที่มืดมิดก็พบว่าไม่มีประโยชน์ที่จะยืนอยู่ตรงนี้ จึงตัดสินใจกระโดดข้ามไปหาเขา แต่รอยแยกนั้นกว้างเกินไป ผมเหยียบไม้กระดานแผ่นหนึ่งไว้ได้ แต่มันกลับหลุดร่วงฉุดร่างผมลงไป
โชคยังดีที่หมอปีย์จับมือผมไว้ได้
“หมอ หมอ ช่วยชั้นด้วยหมอ ฉุดชั้นขึ้นไปที” ผมขอร้องเขาด้วยแววตาอ้อนวอน หมอปีย์จับมือผมไว้แน่น แต่ร่างกายท่อนล่างของผมนั้นร่วงลงไปจากสะพาน ปลายเท้าสัมผัสผืนน้ำที่เย็นเฉียบจนรู้สึกได้
“หมอ หมออย่าปล่อยชั้นนะหมอ”
“หมอ จับมือชั้นไว้ดีๆนะ” ผมพยายามตะเกียกตะกายขึ้นสะพาน แต่ดูเหมือนหมอปีย์ไม่ได้ออกแรงช่วยผมเลยแม้แต่น้อย
“หมอ หมอ” ผมร้องตะโกนเมื่อจู่ๆ หมอปีย์ก็ค่อยหย่อนผมลงไปในน้ำทีละน้อย
“จะทำอะไรน่ะหมอ ดึงชั้นขึ้นไปสิ หมอ”
“โธ่เว้ย ไอ้หมอบ้า อย่าเล่นแบบนี้นะเว้ย” ผมเริ่มใจคอไม่ดี
แล้วหมอปีย์ก็ค่อยๆปล่อยมือออกอย่างเลือดเย็นจนในที่สุดร่างของผมก็หล่นตูมลงไปในแม่น้ำที่เย็นเฉียบ
“นายเล่นบ้าอะไรของนายน่ะ หมอ” ผมพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี ตะเกียกตะกายแหวกว่ายขึ้นมาเหนือน้ำ พอโผล่พ้นน้ำก็พบมือของหมอนั่นยื่นมาอีกครั้ง ผมยิ้ม คิดว่าเขาจะช่วย แต่เปล่า
เขากลับกดหัวผมลงไปในน้ำ
“หมอ ทำอะไรน่ะ หมอ” ผมสำลักน้ำอย่างหนัก แต่ก็ยังดิ้นรนอยู่ “ หมอ หยุดนะเว้ย ไอ้หมอ” เขากดหัวผมแรงขึ้น น้ำในแม่น้ำกระเซ็นกระสายไปตามแรงที่ผมดิ้นรน แต่ผมก็จับมือเขาไว้ได้ ยังไงผมก็ยอมให้หมอปีย์ฆ่าผมไม่ได้หรอก
ช่วงเวลานั้นช่างผ่านไปเนิ่นนานสำหรับผม ผมรู้สึกว่ากำลังยื้อชีวิตอยู่กับหมอนั่นอยู่นาน และเขาเริ่มอ่อนแรง ผมจึงรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายที่มือพุ่งตัวขึ้นเกาะขอบสะพานได้สำเร็จ
“มึงจะฆ่ากูเหรอ ไอ้หมอ มึงจะฆ่ากูเหรอ” ผมกรีดร้องด้วยความโกรธแค้น
แต่ขณะที่ผมกำลังจะยกขาทั้งสองขึ้นจากน้ำนั้น จู่ๆ ก็มีมืออันเย็นเฉียบแทรกผ่านสายน้ำขึ้นมาจับที่ข้อเท้าผม มือนับสิบมือที่ขาวซีดเหล่านั้นไม่รู้ว่ามาจากไหน มือพวกนั้นกำลังกระชากผมอย่างแรงจนมือที่เกาะเกี่ยวสะพานไว้นั้นหลุดออก
“ตูม!!!”
ผมจมลงสู่แม่น้ำอีกครั้งมือปริศนาเหล่านั้นลากผมลงสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำ ผมหมดหนทางดิ้นรน สิ้นหวัง และไร้ประโยชน์ที่จะยื้อชีวิต ปล่อยตัวเองดำดิ่งตามแรงดึงของมือปริศนา
ผม เงยหน้ามองขึ้นไปยังพื้นน้ำเบื้องบน เห็นแสงไฟจากตะเกียงที่ส่องหน้าหมอปีย์ แววตาของเขายังคงไม่ใช่ของเขา สีหน้าของเขาเศร้าสร้อย และแสงไฟจากตะเกียงนั้นก็ค่อยๆมอดจางและดับไปในที่สุด..............................
“ไอ้หมอออออออออออออออออออออออออออออออ” ผมกรีดร้องเสียงดังพร้อมๆกับกระชากตัวขึ้นมาจากเตียงอย่างแรง ก่อนจะสูดเอาอากาศเข้าไปราวกับโหยหามันมาตลอดชีวิต
“ฮ่า ฮึ ฮ่า ฮึ ฮ่า” ปากที่อ้าพะงาบๆนั้น ช่างให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่จมน้ำครั้งนั้นไม่ผิด
“ฝันไปหรือนี่” ผมปาดเหงื่อที่หน้าผาก และพบว่าตอนนี้เหงื่อออกเต็มตัวเหมือนคนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
“ทำไมมันถึงได้.................................................”