บทที่ 18 ความคาดหวัง [ครึ่งแรก]
เพราะมัวแต่ทำตัวอ่อนแอให้อีกฝ่ายปลอบใจ คนขี้ห่วงเลยกังวลจนเกินเหตุ
กว่าผมจะปลีกตัวออกมาจากคลินิกได้ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พอนับรวมเวลาเดินทางไปด้วย อะไรต่อมิอะไรรอบด้านเลยถูกความมืดกลืนไปเสียหมด โชคยังดีที่ตามรายทางมีบ้านที่แขวนโคมไว้บ้าง จุดไต้ไว้บ้าง ทำให้การเดินทางกลับบ้านของผมไม่ลำบากมากนัก
เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งวิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไปจากปกติ แสดงว่าวันนั้นจะเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติตามมาอีกเป็นหางว่าว
ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อนักหรอก แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ...
เสียงกรีดร้องสลับกับเสียงตะโกนดังมาจากทางบ้านของผม สองเท้าที่เดินเอื่อยเฉื่อยเมื่อครู่จึงเปลี่ยนเป็นถีบตัวออกวิ่ง ไม่นานนักภาพทิวทัศน์ที่คุ้นเคยก็ปรากฏในสายตา
แต่มีบางอย่างที่ผมไม่คุ้น
ชายรูปร่างกำยำหนึ่งคนยืนจังก้าอยู่หน้าบ้าน พอมองลอดเข้าไปจึงเห็นว่าในตัวบ้านมีชายรูปร่างคล้ายกันอยู่อีกสองคน คนหนึ่งกำลังจิกทึ้งผมของอาม้า ส่วนอีกคนกำลังซัดหมัดใส่ใครสักคน
ไม่อาป๊าก็คงเป็นอาเฮีย
ผมรีบแทรกตัวเข้าไปในบ้านจนคนเฝ้าหน้าบ้านคว้าไว้ไม่ทัน
“หยุดนะ!”
พวกมันสองคนหยุดมือแล้วหันมามองผมเป็นตาเดียว เพราะแบบนั้นผมจึงเห็นถนัดตาว่าคนที่โดนเตะเมื่อครู่คืออาเฮีย
ร่างที่เคยแข็งแรงนั้นบวมช้ำ แขนแกร่งที่เคยเป็นที่พึ่งพาให้คนอื่นกำลังกอดแน่นเพื่อปกป้องตัวเอง
...น่าสังเวชจริงๆ...
ผมหันหลังตัวเองเข้าหาผนังเพื่อไม่ให้โดนใครลอบทำร้ายจากด้านหลังแล้วกวาดตามองหน้าพวกมันทุกคน
“พวกคุณเป็นใคร มาทำแบบนี้กับคนในบ้านของผมได้อย่างไร”
ผมได้ยินเสียง ‘ฮึ’ จากคนที่ยืนเฝ้าหน้าบ้าน
ชายคนนั้นคลี่ยิ้มสมเพชใส่ผม
“มึงอย่าแส่เลยไอ้หนู เรื่องนี้พี่ชายมึงมันก่อไว้ แม่มึงเข้ามาห้ามเลยต้องสั่งสอนนิดหน่อย”
แล้วอาป๊าล่ะ อาป๊าอยู่ไหน
มันกระตุกยิ้มเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร
“ส่วนพ่อมึง มันเป็นลมล้มชักไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ป่านนี้นอนตายอยู่ในครัวแล้วกระมัง”
ใจผมหายวาบ
...ไม่จริงน้า...
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ใคร่ครวญคิด ชายคนนั้นก็พยักหน้าให้สองคนที่เหลือเป็นสัญญาณให้ทำต่อ ผู้ชายที่อยู่ใกล้กับอาเฮียที่สุดก็เริ่มเตะอัดท้องอีกฝ่ายอีกครั้ง ในขณะที่อาม้าก็พยายามจะพนมมือร้องขอให้พวกเขาหยุดทำให้ผู้ชายอีกคนต้องทั้งผลัก ทั้งถีบเพื่อให้เธอหยุดส่งเสียงน่ารำคาญ
ไม่ไหวแล้ว
ผมปรี่เข้าไปผลักชายร่างใหญ่ที่กำลังทำร้ายอาม้าให้พ้นทาง มันเซไปเล็กน้อยและดูหัวเสีย แต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้ามายุ่งยุ่มย่ามอะไรต่อ ตรงกันข้าม มันกลับเดินไปสมทบกับเพื่อนของมันในการรุมกระทืบอาเฮีย
บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าไปแล้ว
“อาโซ้ยตี๋ ช่วยเฮียลื้อด้วยนะ ช่วยอาตั่วตี๋ด้วย”
เสียงอ้อนวอนปนสะอื้นได้นั้นแค่ฟังก็แทบขาดใจ ใบหน้าบวมช้ำจากการโดนทำร้ายนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
เกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้ว
“พอ! หยุด!”
พวกมันไม่คิดจะฟังผมเลยสักนิด
“ผมบอกให้หยุดไง!”
เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังผสมกับเสียงกรีดร้องของอาม้าทำให้ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ไอ้พวกเหี้ยกูบอกให้หยุดไง!”
สิ้นคำพูดของผมทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ
ทุกคนเหมือนจะหันมามองผมเป็นตาเดียว แต่ผมไม่คิดจะสนใจ คนเดียวที่ผมสนใจคือคนที่ยืนขวางอยู่ตรงประตูและดูมีท่าทีจะเป็นหัวหน้ามากที่สุด
ผมสบตากับเขานิ่ง
“พี่ผมไปทำอะไรไว้”
มันกระตุกยิ้ม
“จะให้กูบอกครอบครัวมึงไหมไอ้ชาติ ว่ามึงไปทำเลวระยำอะไรไว้”
ใบหน้าขึงขังนั้นยังจับจ้องอยู่ที่ผม แต่คำพูดที่เปล่งออกมากลับไม่ได้สื่อถึงผมเลยสักนิด
...ชาติเหรอ...
ผมหันไปมองคนที่นอนคู้อยู่กับพื้น ใบหน้านั้นแม้จะบวมจนผิดรูปหรืออาบไปด้วยเลือดมากแค่ไหน แต่สีหน้าตื่นตระหนกที่สื่ออกมานั้นก็ชัดเจนเหลือเกิน
เฮียของผมชื่อชาติ และคนชื่อชาติมีความผิดติดหลังอยู่
ผมหันกลับมาสบตากับชายคนนั้นอีกครั้ง
“ผมอยากรู้”
มันแสยะยิ้ม
“ก็พี่มึงไปเป็นชู้กับเมียของเจ้านายกูไง”
ความรู้สึกบางอย่างเอ่อแน่นขึ้นมาในใจ
“เห็นว่าเอาพลอยไปให้หล่อนด้วย พอนายกูจับได้เลยให้พวกกูสืบดู สืบไปสืบมาถึงรู้ว่าพลอยนั้นมันก็ไปขโมยเขามา พวกกูเลยไปบอกเจ้าของพลอย กะว่าจะให้มันโดนจับขังเสียให้เข็ด น่าเสียดาย...”
แววตาของมันที่ทอดมองมาที่ผมเปลี่ยนไปชั่วอึดใจก่อนจะกลับไปเป็นแววตาสมเพชเวทนาดังเดิม
เมื่อครู่คืออะไร
...เขา...เห็นใจผมเหรอ...
“มันมีครอบครัวที่ดีเกินไป”
มันละสายตาจากผมแล้วผินไปมองคนที่นอนกองอยู่กับพื้น
“คนเฒ่าคนแก่เขาว่ากันว่า ถ้าพ่อแม่มันดี ลูกก็จะดี ถ้าพี่น้องมันรักกัน มันก็จะดี ถ้าเกลอมันเป็นคนใฝ่เจริญ มันก็จะเจริญ สงสัยจะใช้ไม่ได้กับไอ้เหี้ยนี่แล้วกระมัง”
ใบหน้าดุดันนั้นหันกลับมามองผมอีกครั้ง
“วันนี้นายกูให้พวกกูมาสั่งสอนเพราะมันไม่ได้เข้าคุกอย่างที่ควรเป็น แต่ถ้ามันยังฝืนทำอีก คราหน้าจะไม่ใช่แค่สั่งสอน แต่มันจะได้กลายเป็นศพ มิมีผู้ใดพบอีกเลย”
พอพูดจบมันก็หันไปพยักหน้าให้อีกสองคนเป็นเชิงสั่งให้กลับ
ผมได้ยินเสียงอาม้าร้องไห้
ผมได้ยินเสียงอาม้ากรีดร้องราวกับจะขาดใจ
ผมได้ยิน ผมเข้าใจ ผมรับรู้มันทุกอย่าง
...รับรู้ว่าไอ้ตัวเหี้ยนี่เกิดมาเพื่อสร้างปัญหาเท่านั้น...
“เฮีย”
มันหันมามองผมก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมหัวเราะเงียบๆ ในใจ
ตอนทำล่ะไม่คิดจะกลัว
“เฮียมีปัญญาทำเรื่องดีๆ บ้างไหม”
นัยน์ตานั้นแข็งกร้าวขึ้นมาเล็กน้อย
ยัง มันยังไม่สำนึก
“คนอย่างเฮียนี่มัน...”
ผมฉีกยิ้ม
“หนักแผ่นดินจริงๆ”
“อาโซ้ยตี๋! ลื้อพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”
เสียงของอาม้าร้องขัดขึ้นมาแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ ฝ่ามืออ่อนโยนนั้นประคองร่างของคนเจ็บให้ลุกขึ้นมานั่งอย่างเบามือ พออีกคนนั่งได้ก็เอาแต่ลูบหัวปลอบโยนไม่หยุด
ทั้งๆ ที่อาม้าเองก็หน้าบวม ตัวเขียวไปหมด
ทั้งๆ ที่อาม้าเองก็เจ็บแท้ๆ
ไม่ยุติธรรมเลย
ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อสงบสติอารมณ์ ยังไม่ทันจะสงบดีก็ดันโดนสุมไฟเพิ่มขึ้นไปอีก
“อาโซ้ยตี๋ พักนี้ลื้อซี้ซั้วใหญ่แล้วนะ พูดจารู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่หน่อย”
อาป๊าที่เดินโขยกเขยกออกมาจากด้านในตำหนิผมเสียงแผ่วแต่ยังแฝงความดุดัน
เขาแกล้งเข้มแข็งไปอย่างนั้นล่ะ
ร่างผอมชรานั้นดูเจ็บปวดทุกย่างก้าว หว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันทุกครั้งที่หายใจไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยสักนิด
อาป๊าเป็นอะไร
“ป๊าเป็นอะไร”
ผมถามออกไปอย่างใจคิด แต่มือเหี่ยวย่นนั้นโบกไปมาเป็นทำนองว่า ‘ไม่เป็นไร’ ก่อนจะหันมาสบตาผม
“ขอโทษเฮียลื้อเสีย”
ผมขมวดคิ้ว
ทำไม
...ทำไมผมต้องขอโทษ...
คงเพราะเห็นท่าทางดื้อดึงของผมเขาจึงพูดต่อ
“อาตั๋วตี๋เป็นพี่ ลื้อเป็นน้อง ตั่วแปลว่าหนึ่ง โซ้ยแปลว่าสุดท้อง ลื้อเป็นน้องก็ต้องเคารพพี่”
อยากจะหัวเราะให้ดังถึงดาวอังคาร
คนที่ได้รับการเคารพควรประกอบไปด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ พวกที่โตแต่ตัวบอกเลยว่า...
มอสไหว้ไม่ลง
“อาโซ้ยตี๋”
เสียงแหบพร่านั้นเอ่ยกดดันจนผมต้องยอมเพื่อให้ปัญหามันจบๆ
ผมยกมือไหว้แล้วผละออกมาโดยไม่สนใจเสียงที่ตะโกนตามหลังมา
จะดุด่าหรืออะไรก็ช่าง ผมพอแล้ว ไม่เอาด้วยแล้ว
ผมช่างเป็นน้องที่แย่จริงๆ...
...เพิ่งจะมาเข้าใจความรู้สึกของอาเจ้ก็ตอนนี้เอง...
สภาพของผมตอนนี้จะบอกว่าเป็นโจรสะกดรอยก็คงไม่ผิดนัก
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อคืน ทันทีที่พระอาทิตย์สาดแสงต้อนรับวันใหม่ ผมก็รีบพุ่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปหาคนๆ เดียวที่เข้าใจผมมากที่สุด เพราะแบบนั้นผมจึงมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านหลังนี้พักใหญ่แล้ว
มันเป็นบ้านหลังใหญ่ มีรั้วรอบขอบชิด หนำซ้ำยังมีบริเวณกว้างขวางร่มรื่นยากจะมองเห็นด้านใน ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่ผมก็ยังพยายามเขย่งมองลอดรั้ว ทำทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร
อย่างน้อยก็สบายใจว่าได้พยายามทำอะไรสักอย่างล่ะนะ
“ไอ้หนุ่ม มาหาใครเหรอ”
เสียงร้องทักที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งโหยง
มาไม่ให้ซุ้มให้เสียงกันเลย
พอหันหลังไปจึงพบว่าคนที่เอ่ยทักก็คือชายชราคนหนึ่งในชุดเสื้อคอจีนสีขาวกับกางเกงแพรสีน้ำเงิน หลังของเขาค้อมลงเล็กน้อยแต่กลับดูมีอำนาจ น่าเคารพแปลกๆ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเขาจะชื่อ...
“โธ่ลุงอ่ำ ผมตกใจแทบตาย ขวัญหนีหมดแล้ว”
เขาคลี่ยิ้มใจดี
“ก็เห็นเอ็งมาทำตัวลับๆ ล่อๆ น่าสงสัยพิกล ข้าก็ต้องเข้ามาถามไถ่สิ”
ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยตอบเขาก็ยกมือขึ้นชี้หน้าผม
“นี่...เป็นพวกในวงดนตรีไทยใช่ไหม”
ยอมใจความจำของลุงแกจริงๆ
“ใช่จ้ะลุง จำได้ด้วยรึ เห็นหน้าผมประเดี๋ยวเดียวเอง”
เขาเอามือตบหน้าอกตัวเองสองสามครั้ง
“นี่ใคร นี่ลุงอ่ำ บ่าวของท่านเจ้าคุณอธิป จะมาทำตัวไร้ปัญญาเห็นจะไม่ได้”
ยอม ยอมลุงจริงๆ
“ว่าแต่วันนี้เอ็งมาทำอะไรล่ะ ไม่มีงานไม่ใช่รึ”
ในที่สุดลุงก็วกกลับมาเข้าประเด็นสักที
ผมก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพยำเกรงคนตรงหน้า
แถวบ้านเรียกอยู่เป็นครับ
“ผมมาหาพี่สาวครับ พอดีที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อยเลยต้องมาแจ้งข่าวน่ะจ้ะ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นนั่นเคลื่อนที่ขึ้นลงช้าๆ
“พี่สาวเอ็ง...ลูกคนจีนตรงแถวคลองบางลำพูใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ”
เขาทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ผมเลยต้องช่วยเสริมแรงกระตุ้นความน่าเห็นใจ
“นะจ๊ะลุงอ่ำ ที่บ้านผมมีปัญหาจริงๆ อย่างไรเสียก็ต้องคุยกับพี่ให้ได้”
เขาตวัดสายตามองหน้าผมสลับกับพื้นดินด้านล่างก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
“เอ้าๆ ตามมาๆ รีบคุยรีบกลับ โรงครัวจะได้ไม่วุ่นวาย”
นั่น ลูกอ้อนเท่านั้นที่ครองโลก
ลุงอ่ำเดินไปเปิดประตูบานเล็กสำหรับคนเดินเข้าออกแล้วนำผมเข้าไปข้างใน
บ้านของคุณเปรมเป็นบ้านที่มีบริเวณกว้างขวาง ตัวบ้านสร้างตามแบบตะวันตกผสมสถาปัตยกรรมไทยตั้งอยู่ตรงในกลางที่ดิน ในขณะที่โรงครัวและเรือนนอนบ่าวแยกออกมาทางทิศตะวันตก ส่วนบริเวณที่เหลือเป็นสวนทั้งหมด ในสวนใหญ่มีทั้งไม้ดอกไม้ประดับ มีทั้งดอกไม้ที่มีกลิ่นและไม่มีกลิ่น ตัดแต่งจัดวางอย่างสวยงามทำให้ดูร่มรื่นเย็นตาน่าอาศัย
ดูจากนอกโลกยังรู้เลยว่ามีอันจะกิน
ลุงอ่ำพาผมเดินลัดเลาะสวนไปเรื่อยๆ จนถึงโรงครัว ที่นั่นยังคงวุ่นวายและเสียงดัง แต่ก็นับว่าดีกว่าวันที่มีงานบุญอยู่มาก บ่าวมากมายรีบกินอาหารเพื่อไปทำงานต่อ หนึ่งในนั้นก็คืออาเจ้ของผมเอง
ผู้หญิงชาวไทยเชื้อสายจีนมีผิวพรรณที่เหลืองกว่าผู้หญิงไทยแท้ทั่วไป เมื่ออาเจ้มานั่งอยู่ท่ามกลางชาวไทยทั้งหมด ผิวขาวเหลืองของเธอจึงดูโดดเด่น มีเอกลักษณ์กว่าใคร ดวงตาชั้นเดียวรับกับรูปหน้าเรียวรูปไข่นั้นก็แตกต่างจากคนไทยทั่วไปไม่น้อย เธอแตกต่างจากทุกคน
...ผมเองก็แตกต่างจากทุกคน...
บ่าวหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในวงกินข้าวเดียวกับอาเจ้สะกิดเธอยิกๆ ก่อนจะชี้นิ้วมาทางผม ดวงตาคู่เรียวนั้นมองตามทิศทางที่นิ้วชี้มา ทันทีที่เห็นหน้าผมถนัดตา นัยน์ตาคู่สวยนั้นก็เบิกกว้างพร้อมๆ กับปากที่อ้าออกอย่างตกใจ
เธอตกตะลึงอยู่ไม่นานก็รีบกระโดดผลุงมาหาผมแทบจะทันที
แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะไหว้ลุงอ่ำซึ่งยืนอยู่ข้างผมด้วย
“เอ้า เจอกันแล้วก็ดี รีบคุย รีบกลับ เดี๋ยวข้าไปทำงานก่อน พวกเอ็งก็คุยกันไปแล้วกัน”
พวกเราพี่น้องยกมือไหว้ชายชราแทบจะพร้อมกัน เขาโบกมือเชิงว่า ‘ไม่เป็นไร’ แล้วเดินเชื่องช้าจากไป ทิ้งผมกับอาเจ้ไว้ในโรงครัวที่แสนวุ่นวาย
พวกเรายืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอาเจ้ต้องเป็นคนเริ่มบทสนทนา
ผมยอมรับว่าไม่รู้จะเริ่มพูดมันออกมายังไงดี
“ไปหาที่เงียบๆ คุยกันไหม”
ผมส่ายหน้า
“อย่าเลย เดี๋ยวคนจะเอาเจ้ไปนินทาได้”
เธอถอนหายใจ
“ถ้าคนมันจะพูด มันก็พูดอยู่ดี มาเถอะ”
พอพูดจบ ร่างบอบบางนั้นก็หมุนตัวเดินนำผมไปที่ไหนสักแห่ง
ผมไม่รู้หรอกว่าอาเจ้จะพาผมไปไหน แต่สิ่งเดียวที่รู้คือผมเชื่อใจ
...ผมเชื่อใจอาเจ้มากกว่าใครทั้งหมด...
เธอพาผมเดินเข้ามาไกลพอสมควร ก่อนจะหยุดนิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ผมเงยหน้ามองกิ่งก้านของมันเล็กน้อยแล้วก็ต้องตกใจกับดอกไม้สีเหลืองอ่อนบานสะพรั่งเต็มต้น
...ดอกการเวก...
“ตกลงว่ามีอะไรรึ”
คำถามนั้นดึงสติผมกลับมา นัยน์ตาของเราสบกันอย่างมีนัยยะ
“เรื่องเฮียใช่ไหม”
แค่สบตาก็มากเกินพอแล้วจริงๆ
ผมพยักหน้านิ่มๆ ไม่รู้ว่าควรทำตัวแบบไหน ผมควรโกรธแต่นั่นก็ครอบครัว จะให้ทิ้งไปไม่ดูดำดูดีก็คงไม่ได้
“อีกแล้วเหรอ”
น้ำเสียงนิ่มหวานนั้นฟังดูเหนื่อยหน่ายใจ
ผมเองก็เหนื่อยหน่ายใจเหมือนกัน
“คนแบบนั้น จะเป็นตายอย่างไรเราปล่อยไปเสียมิได้รึ”
“เจ้ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ”
เพียงเท่านั้นคำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมา
“อั๊วไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องมาคอยรับผลการกระทำที่คนผู้นั้นก่ออยู่ไม่เว้นไม่ว่าง อั๊วเบื่อ เกินจะทนแล้ว คราวนี้มันไปก่อเรื่องอะไรมาอีกล่ะ อาป๊า อาม้าก็เข้าข้างมันอีกใช่ไหม แค่มันเป็นผู้ชาย มันก็ได้ทุกอย่าง”
ใบหน้างดงามนั้นบิดเบี้ยวผิดจากที่เคยเป็น
มันน่ากลัว ผมรู้สึกว่าเธอน่ากลัว
“ถ้ามันตายๆ ไปเสีย ชีวิตพวกเราคงดีกว่านี้”
...น่ากลัว....
เกิดอะไรขึ้นกับอาเจ้ของผม ทำไมเธอถึง...ไม่สิ บางที...
...ผมอาจจะไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอเลยด้วยซ้ำ...
“แล้วตกลงมาหาอั๊ววันนี้มีอะไร”
น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนนั้นแข็งกร้าว
...ผมกลัว...
...เพราะผมกลัวจึงเลือกที่จะส่ายหน้าออกไป...
“ก็เรื่องเดิมๆ นั่นล่ะ ไม่มีอะไรหรอก อั๊วแค่อยากถามว่าเจ้พอจะช่วยได้ไหม”
ใบหน้าสวยหวานนั้นดูถมึงทึงยิ่งกว่าเก่า ผมจึงต้องรีบพูดเสริม
“แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะเจ้ อั๊วหาได้”
พอผมพูดจบ ความโหดร้ายบนใบหน้าของเธอก็เจือจางลง
เธอเสตาหลบผมเล็กน้อย
“ตอนนี้คงไม่ได้ แต่หลังจากนี้ถ้าจะให้ช่วยอย่างไรก็บอกมาแล้วกัน”
ผมพยักหน้าเล็กน้อย
“ตามมาสิ จะไปส่ง”
ผมพยักหน้ารับ
การมาเยี่ยมคนที่ผมไว้ใจที่สุดไม่เห็นจะเป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรักใครมากไปกว่าตัวเองอยู่ดี
พอคิดได้แบบนั้นคำพูดของชายฉกรรจ์เมื่อวานก็ผุดขึ้นมาในหัว
“คนเฒ่าคนแก่เขาว่ากันว่า ถ้าพ่อแม่มันดี ลูกก็จะดี ถ้าพี่น้องมันรักกัน มันก็จะดี ถ้าเกลอมันเป็นคนใฝ่เจริญ มันก็จะเจริญ สงสัยจะใช้ไม่ได้กับไอ้เหี้ยนี่แล้วกระมัง”คำพูดของเขาเป็นจริง
เฮียไม่ได้มีพ่อแม่ที่ดี
พวกเราพี่น้องไม่ได้รักกัน
และเท่าที่จำความได้ เฮียไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน
สุดท้าย เฮียก็คือคนที่ไม่มีอะไรเลย เพราะแบบนั้นเขาเลยเติบโตมาไม่ดี
เพราะแบบนั้น...อาเจ้เลยเติบโตมาไม่ดี
แล้วกรวิกล่ะ? ก่อนที่ผมจะมาเขาเป็นคนแบบไหนกันนะ
“อั๊วส่งแค่ตรงนี้นะ”
ผมยกมือไหว้ลา
ประตูบ้านนั้นปิดลงแล้ว เหลือไว้เพียงผม ความว่างเปล่าและกำแพงบ้านสีขาวสะอาดตา
แย่จริงๆ
*************************************************************************************