พบรัก ▪×วันที่13×▪
บรรยากาศในช่วงเช้าหนาวกว่าปกติเล็กน้อย อาจเพราะว่ากำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้วก็เป็นได้ ผมเดินออกมารดน้ำต้นไม้ในยามเช้าพร้อมกับสุนัขใหญ่ทั้งสี่ตัว ตอนนี้เหล่าลูกสุนัขในวันวานมีขนาดพอๆ กับตัวแม่อย่างมะนาวแล้ว ถูกกระโดดใส่ทีเป็นต้องเซ
บรู๊ววว~
“อย่าหอน ราตรี” ผมหันไปบ่นสุนัขสีขาวแซมน้ำตาลและดำที่กำลังส่งเสียงหอนรบกวนเพื่อนบ้านอยู่
ราตรีเป็นสุนัขที่ไฮเปอร์ที่สุดในสี่ตัว ทุกครั้งที่พาออกมาข้างนอกจะส่งเสียงหอนพร้อมกระดิกหางไปมาด้วยความดีใจ แค่นั้นยังไม่พอราตรียังชอบไปหาอะไรแล้วคาบมาให้ผมด้วย อย่างวันนี้ก็เป็น...
หืมม์?
นั่นมันรองเท้าข้างหนึ่งของผมที่หายไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่
“เธอเป็นคนเอาไปจริงๆ สินะราตรี!” ผมขึ้นเสียงเมื่อเห็นรองเท้าสีดำที่หายไปอยู่ในปากของสุนัขตรงหน้า
หงิ๋ง!
“ไม่ต้องมาหง๋อย” คิดว่าผมจะใจอ่อนกับท่าทางแบบนั้นรึไง
บรู๊ววว~
“เฮ้ย! ไม่กระโดดนะต้นสน” ผมตะโกนพร้อมกับหลบสุนัขตัวใหญ่ขนสีดำสนิทที่กำลังจะพุ่งกระโดดใส่
ต้นสนเป็นสุนัขตัวผู้เพียงตัวเดียวที่ชอบเรียกร้องความสนใจโดยเฉพาะกับผม ถ้าผมไปสนใจตัวอื่นมากกว่าก็จะกระโดดใส่ทุกครั้งไป ...ไม่รู้ว่าจะสนใจอะไรผมนัก
ส่วนต้นโมกก็เป็นสุนัขสีขาวล้วนซึ่งได้ต้นว่านช่วยตั้งชื่อให้ อาจเพราะแบบนั้นจึงได้ชอบอ้อนต้นว่านมากกว่าผม ทุกครั้งที่ต้นว่านนั่งที่โซฟาต้นโมกก็จะกระโดดขึ้นไปนอนข้างๆ ด้วยเสมอ
หลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จผมก็เดินกลับเข้ามาในบ้านและตรงไปยังห้องครัวเพื่อทำมื้อเช้าง่ายๆ เพื่อรอต้นว่านที่น่าจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า การมีต้นว่านมาเป็นเลขาส่วนตัวถือเป็นเรื่องดีมาก ต้นว่านทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่โดยไม่มีอิดออด แถมยังทำงานที่ให้ไปอย่างรอบคอบ อาจเพราะแบบนั้นประธานอย่างผมเลยไว้ใจให้ไปเข้าประชุมแทนอยู่บ่อยๆ ถึงจะถูกสายตาเคืองๆ มองมาแต่ผมก็ไม่สนใจหรอก คนที่มีความสามารถระดับนี้ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
“ทำอะไรดีนะ โอ๊ะ...มีไก่เหลือนี่นา” ผมตัดสินใจทำอาหารง่ายๆ อย่างขนมปังราดไก่ผัดซอสมะเขือเทศ อย่างที่เคยบอกไปว่าผมทำได้แต่พวกอาหารฝรั่ง ดังนั้นอาหารที่มักทำจึงเป็นอาหารที่ดัดแปลงจากสูตรที่รู้มาทั้งนั้น
แกร็ก!
“ต้นว่าน? วันนี้มาเร็วจัง อ๊ะ...เกิดอะไรขึ้น!”
ทันทีที่โผล่หน้าออกไปมองที่ประตูก็ต้องตกใจกับสภาพของต้นว่าน ตอนนี้ใบหน้าหล่อๆ นั่นเต็มไปด้วยบาดแผล ผมรีบหันไปปิดเตาก่อนจะวิ่งไปหาคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูด้วยความเป็นห่วง
“สวัสดีครับพี่ใบไผ่”
“เจ็บอยู่ก็อย่าพึ่งพูดอะไร เข้ามาก่อนสิ” ผมบอกพลางพยุงอีกฝ่ายมานั่งบนโซฟา ต้นว่านเองก็ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วทำตามที่บอกเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้นกัน? จะบอกว่าไปมีเรื่องก็ไม่น่าใช่ ต้นว่านไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องกับคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลแบบนั้น
“กินยาแก้ปวดอะไรมารึยัง แล้วนี่ยังไม่ได้ทำแผลใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปหยิบกระเป๋าพยาบาลก่อนนะ” พูดจบก็รีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนชั้นหนังสือออกมาจัดการทำแผลให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ระหว่างทำแผลต้นว่านก็เอาแต่นิ่งเงียบเหมือนกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
ก็อยากรู้...แต่ผมเชื่อว่าต้นว่านจะบอกเองเพราะเราสัญญากันแล้ว
ต้นว่านจะรักษาสัญญาแน่นอน
“...พี่ใบไผ่” เสียงทุ้มที่ออกแปลกๆ ดังขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา ริมฝีปากของอีกฝ่ายเม้มเข้าหากันแน่นเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีไหม
“อย่าเม้มปากแน่นขนาดนั้นสิ เรายังเจ็บอยู่ พี่รอได้...ไม่ต้องรีบหรอก” มือที่ว่างอยู่เอื้อมไปลูบเส้นผมสีดำสนิทตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“ผม...มีเรื่องอยากปรึกษา...ได้ไหมครับ”
“ได้สิ” ผมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
รู้สึกดีใจจังที่ต้นว่านมาปรึกษาผมด้วย
“พี่จำคนที่หาเรื่องผมตอนทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อได้ไหมครับ”
“ได้สิ...” คำถามที่เริ่มเกริ่นนำทำให้เดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้
อย่าบอกนะว่าคนที่ให้ต้นว่านเป็นแบบนี้คือ...เด็กคนนั้น?
“เขากำลังไล่ครอบครัวผมออกจากบ้าน”
“ไล่เหรอ ทำไมถึงไล่ได้ล่ะ”
ปกติถึงจะมีอำนาจขนาดไหนก็ไม่น่าจะไล่ใครออกจากบ้านได้นี่นา นอกจากจะเป็นพวกบ้านเช่าที่ตัวเองเป็นเจ้าของอยู่
“บ้านผมเป็นบ้านเช่า...”
นั่นไง...ว่าแล้วเชียว
“พวกเขาขึ้นค่าเช่าเพื่อกดดันให้พวกเราย้ายออก ช่วงแรกพ่อกับแม่ก็ทำงานมากขึ้นจนมีเงินพอจ่าย แต่ช่วงหลังถูกไล่ออกจากงานเลยค้างค่าเช่ามาหลายเดือนแล้ว”
“ตอนนี้ค้างอยู่เท่าไหร่”
เรื่องราวทั้งหมดผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องไปสืบก็พอจะเดาได้ว่าคนที่ไล่พ่อกับแม่ต้นว่านออกจากงานคือใคร
“...สามแสน”
คำตอนนั่นทำให้คิ้วสีน้ำตาลของผมขมวดเข้าหากันแน่น
“ค้างมากี่เดือนแล้ว?” หลักแสนนี่ไม่น่าจะแค่เดือนหรือสองแล้ว
“พ่อบอกว่าสามเดือนครับ แล้วก็ยังมีหนี้ที่ไปกู้ออกมอเตอร์ไซค์ด้วย”
“แค่สามเดือน...ยังตั้งสามแสน ถึงจะมีหนี้ค่ามอเตอร์ไซค์รวมด้วยก็ยังมากเกินไปอยู่ดี”
ถึงจะมีดอกเบี้ย แต่แบบนี้มันโกงกันเกินไปหน่อยมั้ง พูดง่ายๆ คือคิดจะทำทุกทางไม่ให้ครอบครัวของต้นว่านได้ใช้เงินคืนได้เลยสิท่า
แค่เด็กทะเลาะกัน คนเป็นผู้ใหญ่ถึงกับต้องทำขนาดนี้เลยรึไง
ในเมื่อเป็นแบบนี้ จะให้อยู่เฉยๆ คงไม่ได้
“พี่ใบไผ่ พี่ว่าผมควรไปกู้เงินดีไหม”
“ไม่จำเป็น” ผมตอบพลางเลื่อนมือที่ลูบเส้นผมสีดำสนิทไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลแทน
“...แล้วพี่ว่าควรจะทำยังไงดี” ต้นว่านนิ่งไปสักพักก่อนจะถามต่ออีกรอบ
อารมณ์ของผมตอนนี้เหมือนจะเริ่มหงุดหงิดนิดหน่อยแล้วสิ
“ต้องใช้เงินคืนภายในกี่วัน” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับแทน
“สามวันครับ นี่พี่คิดจะทำอะไร” ดูเหมือนต้นว่านจะรู้แล้วว่าผมคิดจะทำอะไรสักอย่าง
“พี่จะจัดการให้” ผมไม่ยอมให้ใครมาใช้อำนาจในทางที่ผิดแบบนี้หรอก
“ไม่ได้นะ ผมแค่มาปรึกษาพี่ ไม่ได้อยากให้พี่มาช่วย” อีกฝ่ายรีบคว้าแขนแล้วกำแน่นเหมือนจะบอกว่าไม่ยอมให้ผมทำตามใจแน่
“แล้วเราทำอะไรได้บ้างล่ะ ถึงเราจะกู้เงินเพื่อไปใช้คืน แล้วคิดว่าเรื่องมันจะจบลงง่ายๆ แบบนั้นเหรอ? ” ผมถามกลับพร้อมกับกุมมือของอีกฝ่าย
ความเงียบถือเป็นสัญญาณที่บอกว่าสิ่งที่ผมพูดไปนั้น อีกฝ่ายก็คิดอยู่เช่นกัน
ไม่มีทางเลยที่เรื่องจะจบลงเพียงแค่เอาเงินนั่นไปใช้คืน ตราบใดที่ยังไม่มีฝ่ายไหนหลาบจำ เรื่องพวกนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ แล้วคนที่จะซวยคือต้นว่านและครอบครัว เพราะไม่มีอำนาจหรือทางเลือกมากเท่าตระกูลของเด็กคนนั้น
“เรื่องนี้เราให้พี่จัดการได้ไหม” ผมเอ่ยขอตามตรง
คนที่จะสามารถช่วยต้นว่านได้คือผมเท่านั้น ถ้าต้นว่านตกลงที่จะให้ช่วย ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง
“...นี่ผมกำลังสร้างความเดือดร้อนให้พี่สินะ” เสียงทุ้มพึมพำพร้อมกับก้มหน้าลงเพื่อซ่อนใบหน้าที่เจ็บปวดเอาไว้
“ไม่เลย พี่ดีใจที่เราบอกเรื่องนี้กับพี่ มันไม่ได้ลำบากอะไรเลย” ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากทำให้ผมเดือดร้อน แต่ผมกลับคิดว่าการได้ผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปด้วยกันจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราแน่นแฟ้นขึ้น
“พี่บอกได้ไหมว่าจะทำยังไง”
“ขอไม่บอกได้ไหม” สิ่งคิดจะทำคงไม่ใช่เรื่องที่จะบอกอีกฝ่ายได้
ถ้ารู้...ต้นว่าก็อาจคัดค้าน
“คิดจะทำอะไรที่อันตรายเหรอ” ต้นว่านถาม น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยจนผมคลี่ยิ้มออกมา
“ไม่แน่นอน พี่จะไม่ทำเรื่องอันตราย”
ใช่...มันไม่อันตรายสำหรับผม แต่สำหรับครอบครัวเพชรเกษมศักดิ์คงเป็นเรื่องที่อันตรายพอดูเลยล่ะ
“...ผมไม่อยากให้ครอบครัวต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก เพราะงั้น...ช่วยผมด้วยนะพี่ใบไผ่”
คำขอร้องนั่น ผมขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดี
“แน่นอน เราพยายามมามากแล้วต้นว่าน สิ่งที่จะใช้จัดการกับอำนาจก็มีเพียงอำนาจด้วยกันเท่านั้น” ผมบอกพร้อมกับขยับเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ ต้นว่านเองก็กอดตอบ ใบหน้าคมซุกตัวเข้าที่ต้นคอก่อนจะดันให้หลังผมติดกับเบาะโซฟาด้านล่างโดยมีต้นว่านคร่อมอยู่ด้านบน
“ผมอยากโตเร็วๆ อยากเป็นคนที่เป็นที่พึ่งให้พี่ ไม่ใช่ตัวเองมาทำให้พี่เดือดร้อนแบบนี้”
“เราเป็นที่พึ่งให้พี่ได้เสมอต้นว่าน แม้แต่ตอนนี้ที่พี่ไม่เหลือใครก็มีเราคอยช่วยอยู่ข้างกายเสมอ เราทำให้ความเศร้าที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพังเปลี่ยนไป ถ้าไม่มีเราพี่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือจากนี้ไปเพื่อใคร”
“พี่ใบไผ่...” อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“ขอบคุณที่อยู่ข้างพี่นะ ตอนนี้ให้พี่ได้ทำอะไรเพื่อเราบ้างเถอะ...นะ”
“...ครับ ขอบคุณครับพี่ใบไผ่”
เสียงกระซิบนั้นดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ผมทำเพียงกอดตอบอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี...
ต้นว่านกำลังอ่อนแอและคนที่สามารถช่วยได้คือผม
ต้นว่านที่เข้มแข็งอยู่เสมอกลับหมดหนทางขนาดนี้แปลว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการง่ายๆ แต่ยังไงผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้หรอก
มาลองดูกันสักหน่อย...เพชรเกษมศักดิ์
ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รอยยิ้มนั้นของต้นว่านกลับคืนมา
หลังจากวันที่ต้นว่านมาขอให้ช่วยก็มาถึงวันสุดท้ายในการคืนเงิน วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมเอกสารหลายๆ อย่างที่จำเป็น รวมทั้งติดต่อเพื่อนในกลุ่มที่ค่อนข้างมีอิทธิพลให้มาช่วยเมื่อวันก่อน และตอนนี้ก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาเยอะพอสมควร
ผมเดินทางไปหาครอบครัวเพชรเกษมศักดิ์ แน่นอนว่าไม่ได้พาต้นว่านมาด้วยแต่ก็ไม่ได้มาคนเดียว สถานที่ที่ไปเยือนคือคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ท้ายซอยหมูบ้าน ไม่ไกลจากบ้านที่อยู่ตอนนี้นัก ด้วยนิสัยที่ค่อนข้างชอบทำอะไรให้ใหญ่โตผมเลยขอให้เพื่อนพาลูกน้องมาด้วยซึ่งลูกน้องของเพื่อนผมนี่ก็...ค่อนข้างจะเสียงดังเล็กน้อย
“เฮ้ย! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนของหนึ่งในลูกน้องของเพื่อนผมดังขึ้นพร้อมใช้เท้าถีบยันประตูรั้วสีทอง
“นี่เซน บอกให้ลูกน้องนายถอยไปก่อนดีกว่ามั้ง” ใบไผ่หันไปกระซิบเพื่อนหลังจากที่ลงรถมายืนอยู่หน้าประตูรั้ว
แบบนี้เหมือนมากับพวกยากูซ่าเลย...ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ
เซนเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันพร้อมๆ กับเจมส์ เป็นลูกของยากูซ่าที่มีอิทธิพลระดับประเทศ แม้จะเป็นแบบนั้นแต่นิสัยจริงๆ เป็นคนที่ยึดถือหลักความยุติธรรมมาก เรื่องวันนี้เองก็เหมือนกันพอผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เซนถึงกับของขึ้นจนต้องรีบห้ามก่อนที่ตระกูลเพชรเกษมศักดิ์จะพินาศภายในไม่กี่นาที
“ไม่เป็นไรน่า ฉันมาเองก็ต้องให้ยิ่งใหญ่หน่อยสิ” เซนบอกพลางส่งยิ้มมาให้
“เฮอะๆ เอาไงดีซัน ห้ามน้องชายนายหน่อยสิ” เมื่อพูดกับคนน้องไม่รู้เรื่องผมเลยเปลี่ยนไปคุยกับคนพี่ที่ยืนอยู่อีกข้างแทน
ด้วยใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะทำให้หลายคนเดาได้ไม่อยากว่าทั้งคู่ต้องเป็นฝาแฝดกัน แต่เป็นฝาแฝดที่ทำอาชีพที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนน้องเป็นผู้สืบทอดยากูซ่าต่อจากพ่อ ส่วนคนพี่เป็นผู้สืบทอดงานตำรวจต่อจากแม่แถมตอนนี้ยังเป็นถึงพลตำรวจโทอีกด้วย
“ปล่อยไปเถอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวฉันปิดเรื่องเอง”
“นั่นไม่ใช่ปัญหามั้ง” พูดเหมือนกำลังจะไปก่อเหตุอะไรงั้นแหละ
นี่เราไม่ได้มาจับผู้ร้ายหนีข้ามประเทศนะ
“รอนานเกินไปแล้วนะ จัดการเปิดประตู” ซันหันไปบอกกับเหล่าลูกน้องในเครื่องแบบ
“ครับผม!” เหล่าลูกน้องตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะจัดการเปิดประตูตรงหน้าด้วยแรงถีบของตำรวจกว่า 20 นาย
“ซัน...แบบนี้มันไม่ดีมั้ง” เป็นตำรวจมาทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องแล้ว
“เออน่า ไปกันได้แล้ว” นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังเดินนำเข้าไปเหมือนเป็นหัวหน้าอีก
“ให้ตายสิ ใครที่เป็นยากูซ่ากันแน่เนี่ย”
“ยังไงซันก็เหมาะจะเป็นยากูซ่ามากกว่าจริงๆ นั่นแหละ น่าเสียดายที่เขาชอบเครื่องแบบตำรวจมากกว่าเลยทิ้งตำแหน่งไป” เซนบอก ก่อนจะเดินตามพี่ชายไป
“เฮ้อ...” เจ้าของเรื่องอย่างผมได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะตามทั้งคู่เข้าไปภายในคฤหาสน์
เมื่อเข้ามาจนถึงตัวห้องโถงขนาดใหญ่ก็มีเสียงการต่อสู้ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
ว่าแล้วเชียวว่าต้องมีคนคุ้มกัน...
ผั๊วะ!
“ไผ่หลุดไปคนนึงจัดการเลย!” เสียงตะโกนของซันดังขึ้นพร้อมกับชายร่างยักษ์ที่วิ่งออกมา
“ถอยไปไอ้ขี้ก้าง อั๊ก!...”
โคร่ม!
ร่างของชายที่วิ่งออกมาถูกผมเตะเข้าที่ข้อเท้า ก่อนจะถูกศอกอัดเข้าที่ท้ายทอยอย่างรุนแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้นในเวลาไม่กี่วินาที
“นายว่าใครขี้ก้างกัน” เห็นแบบนี้ผมก็เล่นพวกศิลปะป้องกันตัวนะ
“วิ๊ว! สุดยอดเลย” ซันยืนผิวปากส่งยิ้มมาให้
“จงใจให้หลุดสินะ” ผมพึมพำเบาๆ เพราะไม่มีทางที่ซันจะปล่อยให้ใครหนีออกมาได้หรอก
“น่า เข้ามาจัดการสิ ฉันมีเวลาอีกชั่วโมงก่อนจะต้องไปเคลียร์คดีต่อนะ”
“ขอแค่ 5 นาทีก็พอแล้ว” พูดจบก็เดินเข้าไปภายห้องโถงที่ตอนนี้มีครอบครัวเพชรเกษมศักดิ์นั่งอยู่กันครบ และมีผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาคุ้นๆ อยู่
...รู้สึกว่าคนนี้น่าจะชื่อ ‘เป้’ ละมั้ง
“พวกแกต้องการอะไรจากฉัน?” เสียงทุ้มห้าวจากผู้ชายที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของคฤหาสน์ดังขึ้น
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย ยินดีที่ได้รู้จักผมกิตติพิชญ์ ศิริวัฒนิวงศ์ คุณคงรู้จักผมจากลูกชายคุณแล้วสินะ” ผมแนะนำตัวเองอย่างมีมารยาท และมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดการแนะนำตัว
“ศิริวัฒนิวงศ์? ทำไมคนนามสกุลนั้นถึงได้มาที่นี่ นี่แกทำอะไรลงไปห๊ะ?!”
ทันทีที่รู้ว่าผมเป็นใคร เจ้าบ้านก็หันไปตะหวาดใส่ลูกชายที่นั่งตัวสั่นทันที
“ผมเปล่านะ แล้วไอ้นามสกุลนั่นมันน่ากลัวตรงไหนกัน พ่อก็จัดการมันไปเลยสิ!”
แสดงว่าเด็กนั่นไม่ได้เอานามบัตรของผมไปให้พ่อดูสินะ
ก็ว่าอยู่แล้วเชียว ถ้าเป็นคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักผม
“ไอ้ลูกบ้า! แส่หาเรื่องดีนัก” คนเป็นพ่อหันไปตวาดลูกชาย แล้วหันมาทางผม “เอ่อ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้มากันถึงที่นี่ด้วยตัวเอง”
ก็อย่างว่าละนะ เมื่อก่อนนามสกุลศิริวัฒนิวงศ์อาจเป็นที่รู้จักกันในนามสกุลของบริษัทขนส่งขนาดใหญ่เพียงแค่นั้น แต่พอผมขึ้นเป็นประธานได้ไม่นานก็มีข่าวลือกันหนาหูว่าผมเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพล อาจจะเป็นเพราะช่วงแรกผมไปไหนมาไหนกับพวกเซนและซันตลอด แถมพวกนั้นฉายเดี่ยวได้ที่ไหน ไปออกงานแต่ละทีก็ยกโขยงกันไปจนเป็นที่จับตามอง
ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังมีนักธุรกิจต่างชาติระดับแนวหน้าอย่างเจมส์ กลาสเป็นคนหนุนหลังอีก แต่จะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะมันทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่มย่ามกับผมมากนัก
“ผมเอาเงินมาคืนน่ะ” พูดจบก็ยื่นเช็คที่มีตัวเลขสามแสนเขียนเอาไว้ส่งให้เจ้าของบ้าน
“คืนเงิน? คือคุณติดเงินเราเหรอครับ”
“เปล่า ไม่ใช่ผมแต่เป็นคนรักของผม ครอบครัวมั่งมีทรัพย์ที่พวกคุณคิดจะยึดบ้านของเขาไง” ผมอธิบายให้อีกฝ่ายนึกออก
“ครอบครัวนั้น... เป้ไหนแกบอกว่าจะจัดการเองไง แล้วทำไมบ้านนั้นถึงได้รู้จักคุณกิตติห๊ะ!”
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้”
“จะทะเลาะกันก็เอาไว้หลังจากนี้เถอะ ผมขอสัญญาที่ว่านั่นคืนด้วย ยังไงก็ใช้เงินคืนแล้ว”
“ได้สิครับ เป้ไปเอาสัญญามา”
“ครับพ่อ” อีกฝ่ายทำหน้าเซ็งก่อนจะเดินไปหยิบมาตามคำสั่ง
“อ้อ แล้วก็นี่ครับ” พูดจบผมก็หยิบเช็คอีกใบที่ใส่จำนวนเงินกว่าสามล้านยื่นให้เจ้าของบ้านอีกครั้ง
“...นี่คือ?”
“ผมขอซื้อบ้านหลังนั้นด้วยเงินสามล้าน หวังว่าคงจะพอนะ”
ผมไม่แน่ใจเรื่องราคาที่ดินของบ้านต้นว่านนักเพราะไม่เคยไป แต่จากการคาดคะเนก็ไม่น่าจะสูงมากแต่ที่จงใจให้เยอะเท่าราคาบ้านมือหนึ่งเพราะต้องการให้อีกฝ่ายขายให้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
“พอแน่นอนครับ ผมจะทำเรื่องให้เดี๋ยวนี้”
“แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากบอก”
“ว่ามาเลยครับ”
“อย่ามายุ่งกับครอบครัวนั้นอีก ไม่อย่างนั้นเรื่องการยักยอกเงินและหนีภาษีได้ถึงมือตำรวจแน่ โอ๊ะ...คนที่ยืนอยู่ข้างผมก็เป็นตำรวจนี่นา” ผมเอียงหน้าไปหาซันที่ยืนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ไม่มีทางที่ซันจะกลับมือเปล่าแน่ ยิ่งได้รู้เรื่องฉาวโฉ่ของคนตระกูลนี้แล้วยิ่งไม่มีทางปล่อย
หลังจากนี้ก็ขอปล่อยให้เป็นเรื่องของตำตรวจกับยากูซ่าก็แล้วกัน
ผมขอกลับไปเตรียมตัว ก่อนจะไปหาครอบครัวของต้นว่านดีกว่า
.................................................................................................
-Rewrite- >> มาอัพรีไรท์ตอนสุดท้ายของวันค่ะ แจ้งข่าวอีกเล็กน้อยตอนนี้เรื่องพบรักกำลังเปิดพรีอยู่สามารถเข้าไปสั่งซื้อกันได้นะคะ
สวัสดีค่า
มาอัพต่อแล้ววว
แต่งตอนนี้แล้วรู้สึกมันส์มากเลย 555
โดยส่วนตัวชอบพี่ใบไผ่มากถ้าเทียบกับตัวหลักที่เคยแต่งมา
ให้ความรู้สึกมีหลายด้านให้ค้นหาดี
สำหรับเรื่องนี้ตอนหน้าก็จะจบแล้วค่ะ
หลายคนอาจอยากให้แต่งต่อ แต่เราวางเรื่องไว้แบบนี้ถ้าแต่งต่อก็อาจดูเป็นกายืดเรื่องเพราะงั้นจะแต่งตอนพิเศษมาลงให้แทนนะคะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังใจค่า
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪