ภาคความจริง : บทที่ 27
ณัฐดนัยหันกลับไปมองพิธานที่วิ่งสวนออกไปจากบ้าน ท่าทีของเจ้าตัวเหมือนคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลาถึงกับมองข้ามหัวเขาไปแบบไม่มีทักทั้งที่ปกติแล้วต้องมีจิกมีกัดเขาพอเป็นพิธีบ้างแล้ว ชายหนุ่มร่างโปร่งหันกลับไปยกมือไหว้พิรัลที่เดินตามออกมาก่อนจะถาม “พีทมันรีบไปไหนเหรอเฮีย”
“ไปบ้านเมฆน่ะ เหมือนจะมีเรื่อง”
พิรัลถอนหายใจออกมาเบาๆ มองตามน้องชายที่วิ่งออกไปทันทีเมื่อได้รับโทรศัพท์จากภูหมอก เขาไม่ได้ยินบทสนทนาก็จริงแต่ท่าทางที่เครียดขึ้นของเจ้าตัวทำให้เขาพอจะเดาได้ ชายหนุ่มในวัยเกือบสามสิบหันมาพยักหน้าให้ณัฐดนัยเดินเข้ามาในบ้าน สมองคิดให้กำลังใจน้องชายอยู่เงียบๆ
ขอให้ผ่านพ้นไปด้วยดีเถอะ
พิธานกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าบ้านหลังคุ้นเคย เขาสังหรณ์ใจแปลกๆ ตั้งแต่ส่งข้อความไปแต่ไม่มีการตอบกลับจนเช้าวันนี้ พยายามคิดในแง่ดีว่าม่านฟ้าคงไม่เห็นข้อความของเขาหรือไม่ก็ลืมตอบ แต่ดันได้รับโทรศัพท์จากลูกศิษย์คนเก่งเข้าเสียก่อน
ภูหมอกไม่ได้บอกอะไรกับเขามากนอกจากว่ามีเรื่องอยากคุยให้มาหาที่บ้านหน่อย แม้จะขัดใจกับน้ำเสียงที่ดูอ้ำอึ้งมากกว่าปกติแต่คิดไปก็ไม่ช่วยอะไร เขาจึงรีบออกจากบ้านมาเพื่อไขข้อสงสัยทั้งหมด
หนุ่มวิศวะยกมือไหว้ผู้ใหญ่สองคนที่นั่งอยู่บนโซฟากลางบ้าน สอดส่ายสายตาหาสมาชิกในบ้านอีกคนแต่ก็ไม่พบจึงวนกลับมาสบตากับลูกศิษย์ตนเอง สายตาที่สื่อถึงคำถามถูกส่งไปให้ภูหมอกจนเด็กหนุ่มได้แต่ละล่ำละลักถามออกไปตรงๆ
“เออ คือ.. พี่พีทพอจะรู้ไหมอ่ะว่า.. พี่เมฆเขามีแฟนแล้ว”
แค่คำถามแรกก็ทำเอาพิธานนิ่งงันไป เขาเหลือบไปมองผู้ใหญ่อีกสองคนที่นั่งอยู่ ก่อนจะรีบเก็บอาการสะดุ้งของตัวเองเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของชายวัยกลางคน พิธานกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วหันกลับมามองภูหมอกอีกครั้ง เขาไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่รู้ว่าควรตอบเด็กหนุ่มไปอย่างไร
เมื่อนั้นเด็กหนุ่มจึงชิงพูดออกมาอีกประโยค
“แถม... เป็นผู้ชายด้วยอ่ะ”
พิธานเกร็งตัวขึ้นมาทันที เหงื่อเย็นไหลลงมาตามขมับ เขาไม่รู้ว่าม่านฟ้าบอกอะไรกับครอบครัวไปบ้างจึงยังไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแต่จากลางสังหรณ์และคำถามของภูหมอกทำให้เขามั่นใจว่าคงเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
อีกทั้งยังพุ่งเป้ามาถามเขาแบบนี้ แสดงว่า..
“เมฆมันบอกหมดทุกอย่างแล้ว”
เสียงประมุขของบ้านดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ นัชชาและภูหมอกหันกลับไปมองชายวัยกลางคนอย่างงุนงงในคำกล่าวแต่ก็รีบเก็บอาการไว้เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวจากชายหนุ่มอีกคน
พิธานขมวดคิ้วเครียดเมื่อสิ้นคำกล่าว ใจพะวงถึงอีกคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ขึ้นมาทันที ถึงกระนั้นก็จำเป็นต้องแก้ไขเรื่องตรงหน้าให้เรียบร้อย
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปคุกเข่าลงต่อหน้าชายหญิงเจ้าของบ้าน ดวงตาที่มักฉายแววขี้เล่นสะท้อนออกมาถึงความจริงใจและเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับเสียงที่เอ่ยออกมา
“ครับพ่อ ผมนี่แหละ แฟนเมฆ”
----
ม่านฟ้าปล่อยสายตามองเหม่อไปยังเพดานห้องก่อนเหลือบมองโทรศัพท์ที่กำลังชาร์จแบตอยู่ข้างหัวนอน หัวเขาหนักและอยากนอนเต็มทีเสียแต่พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็ยังนอนไม่หลับ เขาพลิกตัวมองโทรศัพท์ที่แสดงแบตเตอรี่เพียง 2% แล้วถอนหายใจหลับตาลงเพื่อพักสายตาอีกครั้งหวังว่าครั้งนี้จะหลับลงได้
เสียงเดินขึ้นบันไดและประตูห้องที่แง้มเปิดออกทำให้ม่านฟ้าลืมตาขึ้นมอง เห็นน้องชายแอบแง้มประตูเข้ามาเหมือนกลัวจะรบกวนการนอนของเขา ม่านฟ้าจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นทีแล้วคงหลับไม่ลงจริงๆ
“ไม่นอนล่ะ” ภูหมอกส่งคำถามมาที่เขาแล้วขยับตัวไปนั่งที่เตียงของตัวเอง ม่านฟ้าส่ายหน้าให้เล็กน้อยเป็นคำตอบก่อนมองหน้าน้องชายอย่างจริงจัง เด็กหนุ่มที่ถูกมองก็เหมือนรู้ตัว เขามองสบตาพี่ชายกลับไปอย่างตั้งคำถามแต่คำถามที่ถูกส่งกลับมากลับทำให้เขางุนงง
“โกรธกูไหม?”
“หืม?”
“ที่กูไม่เคยบอกเรื่องนี้กับมึง” ไม่ต้องรอให้น้องชายถามม่านฟ้าก็อธิบายเพิ่มขึ้นมาเสียก่อน
“...” ภูหมอกนิ่งไปกับคำถามนั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ หากว่ากันตามจริงตอนนี้ภูหมอกยังคงมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากกว่า
“ที่ผ่านมา...กูทำเหมือนดีที่ช่วยมึงคุยกับพ่อ แต่จริงๆ ส่วนหนึ่งกูก็ทำเพื่อตัวกูเองด้วย” ม่านฟ้าถอนหายใจออกมา หลบสายตาที่สบกับน้องชายลงมามองมือของตัวเอง “แม่งเหมือนกูเอามึงมาเป็นหนูทดลองว่าพ่อจะรับได้ไม่ได้แค่ไหน แล้วพอทุกอย่างมันออกมาว่าพ่อเริ่มยอมเปิดใจ กูถึงเพิ่งมาสารภาพว่าจริงๆ กูก็เป็นไม่ต่างจากมึงเลย”
ภูหมอกขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มองไหล่สองข้างของพี่ชายที่ลู่ลง ดวงตาสองข้างที่บวมช้ำยิ่งทำม่านฟ้าดูอ่อนแอลงไปกว่าเดิมเป็นเท่าตัว บทสนทนาที่เคยคุยไว้กับอดีตครูสอนพิเศษในวันวานดังย้อนขึ้นมา
“จริงๆ อย่างพี่พีทก็ดีนะ ไม่กลัวอะไรเลย”
ภูหมอกเคยพูดคำนี้ไว้กับอดีตครูสอนพิเศษอย่างพิธาน ในคราวนั้นเขาเห็นพิธานมองเหม่อไปทางม่านฟ้าด้วยสายตาที่สื่อความหมายบางอย่าง ครั้งเมื่อการสอนพิเศษในวันนั้นจบลงเขาถึงได้มีโอกาสคุยกับพิธานอีกครั้ง
“หมอกต้องทำยังไง ถึงจะเข้มแข็งขึ้นได้บ้างอย่างพี่พีทหรือพี่เมฆล่ะ”
เด็กหนุ่มถามออกไปพร้อมเหม่อมองไปทางพี่ชายที่ตอนนี้ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ พิธานที่ลุกขึ้นจากโต๊ะญี่ปุ่นมาบิดขี้เกียจ หันกลับไปมองตามสายตาภูหมอกแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบเด็กหนุ่ม “คนเรามันไม่ได้เข้มแข็งมาตั้งแต่เกิดหรืออยู่ๆ จะเข้มแข็งก็เข้มแข็งขึ้นมาหรอก”
“พี่จะเข้มแข็งขึ้นก็ต่อเมื่อมีน้อง พ่อแม่จะเข้มแข็งขึ้นก็ต่อเมื่อมีลูก กูเองก็เป็นน้องคนเล็กของบ้านได้รับการปกป้องดูแลมาตลอด แต่กูว่ากูเริ่มเข้มแข็งก็ตอนที่กูมีแฟน” พิธานพูดแล้วเดินไปชะโงกหน้ามองม่านฟ้า แก้มของเจ้าตัวยู่เพราะแรงกดของหนังสือที่ทับอยู่จนเขาเผลอยิ้มออกมา “แฟนกูไม่ใช่คนอ่อนแอแต่มันก็ไม่ได้เข้มแข็ง เพราะฉะนั้นกูถึงคิดว่ากูเองก็ต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อดูแลเขาให้ได้”
ภูหมอกเห็นพิธานยิ้มออกมาเมื่อพูดถึงแฟนแล้วก็ยิ้มตาม เอ่ยแซวออกมาอย่างทีเล่นทีจริง “แหม แค่พูดถึงแฟนนี่ต้องยิ้มนะ แต่ก็ดีจัง ถ้าวันหนึ่งหมอกมีคนที่ต้องปกป้องหรืออยากดูแลบ้างก็คงดี หมอกจะได้เข้มแข็งขึ้นบ้าง”
ตอนนั้นเขาคิดว่าเพราะตัวเองเป็นน้องคนเล็กแถมยังไม่เคยคิดเรื่องจะมีแฟน ดังนั้นคงอีกนานกว่าเขาจะมีโอกาสเจอคนที่ผลักดันให้เขาเข้มแข็งขึ้น แต่พิธานกลับยิ้มขำแล้วปฏิเสธความคิดนั้นของเขาทันที
“ไม่เห็นต้องรอสักวันหนึ่ง ถ้ามึงอยากจะเข้มแข็งขึ้น” พิธานพูดแล้วลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ “พี่มึงก็ตัวแค่นี้ ถ้าวันไหนที่มันกำลังอ่อนแอแล้วมันมีบางเรื่องหรือบางเวลาที่กูไม่สามารถดูแลมันได้ เวลานั้นกูขอให้มึงเข้มแข็งขึ้นแล้วดูแลพี่มึงแทนกูก่อนก็พอ”
เด็กหนุ่มขยับตัวไปนั่งที่เตียงข้างกันกับพี่ชาย มองสบเข้าไปในดวงตาโศกของผู้เป็นพี่แล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “แล้วยังไงล่ะ”
“พี่เป็นคนบังคับให้หมอกเป็นแบบนี้หรือไง พี่ตั้งใจให้ความลับของหมอกถูกพ่อจับได้เหรอ ทุกอย่างมันเป็นเพราะตัวของหมอกเอง แล้วการที่พ่อเปิดใจก็เพราะพี่เข้ามาช่วยคุยกับพ่อให้ ต่อให้จะแถมความในใจของพี่ไปด้วยแต่ความจริงที่ว่าเรื่องของหมอกมันจบลงได้เพราะพี่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”
ภูหมอกขยับไปจับมือของพี่ชายเอาไว้แล้วบีบกระชับให้แน่น เขารู้ดีว่ายามนี้บาดแผลจากคำพูดของพ่อยังคงส่งผลต่อม่านฟ้า ม่านฟ้าเหมือนคนที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง โทษตัวเองและมองทุกอย่างในแง่ร้าย หากมีสิ่งใดที่เขาพอจะทำให้พี่ชายได้ก็เพียงแค่พูดความจริงออกไป
ความจริงของคุณค่าในตัวม่านฟ้าที่เขาเห็นมาตลอด
“ถ้าไม่มีพี่ตอนนี้หมอกอาจจะนอนอยู่ข้างถนนเพราะพ่อไล่ออกจากบ้านแล้วก็ได้ อาจจะต้องยอมให้คนอื่นเขารังแกเพราะสู้ใครเขาไม่เป็น” เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกภาพหลายภาพอย่างฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ “หรือตอนเด็กๆ.. หมอกอาจจะหลงทางตอนกลับบ้าน อาจจะหกล้มหัวฟาดพื้นหรืออาจจะเดินตกถนนแล้วรถชนตายไปแล้วก็ได้...ถ้าไม่มีพี่คอยจูงมือหมอกอยู่ตลอดน่ะ”
ภูหมอกพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้บอกกับตัวเองว่ายามนี้เขาต้องเข้มแข็ง นึกถึงภาพของพี่ชายที่พาเขากลับบ้านครั้งยังเด็ก พี่ชายที่ไม่ว่าเขาจะมีปัญหาอะไรก็แก้ไขให้เขาได้เสมอ สองมือของเด็กหนุ่มบีบมือของม่านฟ้าแน่นขึ้นอีก
“แล้วพี่จะเป็นคนที่ไม่มีค่าได้ยังไง”
ม่านฟ้ากระชับมือของน้องชายกลับไป แปลกใจตนเองที่รู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อคลออีกครั้ง เขาคิดว่าตนเองร้องไห้ไปจนหมดแล้วแต่กลับยังสามารถร้องได้อีก ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแหงนหน้ามองเพดานไม่ให้น้ำตาร่วงหล่นลงมา “แต่กูก็เป็นพี่ที่คอยแต่จะอิจฉามึงตลอด”
“แล้วยังไงล่ะ” ภูหมอกถามคำถามเดิมขึ้นมาอีกครั้ง “นั่นมันก็แค่พี่คิดไปเอง พี่คิดว่าพี่อิจฉาหมอกแต่พี่เคยทำอะไรให้หมอกเดือดร้อนไหมล่ะ มีแต่จะช่วยทั้งนั้น” เด็กหนุ่มแว้ดใส่เข้าให้เมื่อเห็นพี่ชายยังคงโทษตัวเองซ้ำๆ
“เลิกคิดมากได้แล้ว พี่ไม่ใช่เด็กดีที่จะเชื่อฟังคำพ่อขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ ต่อให้พ่อเขาจะว่าพี่ยังไงพี่ก็ลืมๆ ไปบ้างเถอะ อายุอย่างพ่อน่ะเข้าวัยทองแล้ว อารมณ์ก็ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนง่ายเป็นธรรมดา”
น้ำตาของม่านฟ้าสลายกลายเป็นไอทันทีเมื่อน้องชายเปลี่ยนโหมดกะทันหัน เขาเห็นน้องชายเริ่มเบะปากอย่างไม่พอใจที่พูดอย่างไรพี่ชายก็ยังไม่เลิกเศร้าเสียที “อาการของคนเข้าวัยทองน่ะมีทั้งอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ขี้บ่น ลงพุง หย่อนสมรรถภาพ ยกเว้นอาการสุดท้ายที่ต้องไปถามแม่ อาการอื่นๆ น่ะก็คืออาการวัยทองของพ่อชัดๆ”
ว่าที่นิสิตแพทย์เริ่มทำการวิเคราะห์อาการของคนไข้แล้วหันกลับมาปลอบใจพี่ชายต่อ “พี่ไม่ต้องคิดมาหรอกน่า ยิ่งพ่อเป็นคนขี้โมโหอยู่แล้วตั้งแต่ยังหนุ่มพอเริ่มแก่ตัวอาการก็อาจจะยิ่งหนักก็ได้”
"..."
"นะ เชื่อหมอกเถอะ"
สุดท้ายก็กลายเป็นม่านฟ้าที่หลุดยิ้มขำออกมาเหนื่อยใจกับวิธีการปลอบแปลกๆ ของน้องชายแต่ก็สมกับเป็นภูหมอกที่สุด “อะไรของมึงเนี่ย มาเป็นชุด ถ้าพ่อมาได้ยินนี่จากไม่โกรธเปลี่ยนเป็นโกรธเลยนะ”
ภูหมอกเหม่อมองรอยยิ้มของพี่ชาย สายตาเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่เห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า เด็กหนุ่มขยับยิ้มตามพี่ชายออกมาแล้วดึงอีกคนเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง “ยิ้มแล้ว พี่เมฆยิ้มแล้ว”
เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนในอ้อมกอด ภูหมอกยิ้มภูมิใจกับตนเองที่สามารถเป็นที่พึ่งให้พี่ชายได้แม้จะยังไม่มากนักแต่ก้าวแรกของการเปลี่ยนจาก ‘ผู้ถูกปกป้อง’ เป็น ‘ผู้ปกป้อง’ มันก็น่าจดจำไม่น้อย
เด็กหนุ่มนึกถึงคำพูดของพิธานในคราวนั้นแล้วก็อดขำตัวเองออกมาไม่ได้ ทั้งที่พิธานพูดทุกอย่างชัดเจนขนาดนั้นแต่เขากลับยังไม่รู้ว่าแฟนของพิธานแท้จริงแล้วก็คือคนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาตรงนี้
“ไม่รู้ตอนนี้พี่พีทเป็นไงบ้าง”
คำพูดสั้นๆ ของน้องชายเมื่อปล่อยตัวม่านฟ้าเป็นอิสระทำให้คนเป็นพี่ขมวดคิ้ว ภูหมอกเล่าถึงการถูกเรียกตัวของใครบางคนมาอย่างกะทันหันให้พี่ชายฟัง ตาบวมๆ ของม่านฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ เข้าใจถ่องแท้ถึงคำว่า ‘ใจหายวาบ’ ก็ตอนนี้แล้วรีบผุดลุกจากเตียงไปยังประตูห้อง
ไม่ทันที่ม่านฟ้าจะผลักประตูออกบานประตูกลับถูกดึงแล้วแทนที่ด้วยร่างของใครบางคนจนม่านฟ้ากระแทกเข้าอย่างจัง
“จะไปไหน”
----
บรรยากาศของบ้านบริเวณชั้นล่างวันนี้เต็มไปด้วยความกดดัน วงสนทนาตอนนี้เหลือเพียงชายหญิงเจ้าของบ้านและผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งว่าที่ลูกเขยอย่างพิธานเท่านั้นหลังภูหมอกถูกไล่ขึ้นห้องไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ชาย
พิธานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของนัชชา อย่างน้อยในครั้งนี้ม่านฟ้าก็ไม่ได้เตลิดออกจากบ้านไปไหนอีกเพียงแค่ยังอยู่บนห้องนอนเท่านั้น
ยังไม่ทันโล่งใจเรื่องม่านฟ้าได้เต็มที่พิธานก็ต้องกลับมาหนักใจกับสถานการณ์ปัจจุบันต่อ ชายหนุ่มถูกนัชชาดึงขึ้นมานั่งที่โซฟาเดี่ยวถัดไป แรงกดดันจากมารดาคนรักไม่มากเท่าของกับอีกคน เขารู้สึกถึงแรงจ้องจากนภดลเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่เอ่ยออกมา สุดท้ายพิธานก็เป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้นเอง
“ผมขอโทษจริงๆ ครับพ่อ” พิธานพนมมือไหว้อีกครั้งรู้ดีว่าเรื่องอะไรที่ทำให้นภดลโกรธ หลายครั้งที่เขาแอบเข้ามาคุยกับพ่อ เขาหวังแค่ว่าจะตีสนิทพ่อให้ได้อีกหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะบอกพ่อว่ามีคนรักเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ แต่ก็ดันเผลอหลุดปากออกไป
นภดลถอนหายใจออกมา โกรธก็ส่วนโกรธแต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ชายหนุ่มคนนี้ก็เพียงพยายามในแบบที่ตนเองพอจะทำได้เท่านั้น ส่วนหนึ่งเขานึกปลอบใจตนเองว่ายังดีที่เจ้าตัวก็มีความพยายาม หากปล่อยให้ลูกชายเขาสู้อยู่คนเดียวโดยที่ตนเองเพียงรอการเปิดเผยและยอมรับอยู่เงียบๆ เขาอาจมีอคติกับเจ้าตัวมากกว่านี้
“ฉันจะเชื่ออะไรในสิ่งที่เธอพูดได้บ้าง” แต่บอกแล้วว่าโกรธก็ส่วนโกรธ ถึงแม้ว่าพอได้ยินคำขอโทษกับท่าทางที่ดูสำนึกผิดจริงๆ เขาเองจะให้อภัยไปแล้วบางส่วนก็เถอะ
“ที่ผมเคยพูดไปทั้งหมดมันคือความจริงครับพ่อ ผมไม่เคยโกหกพ่อสักครั้ง” พิธานรีบตอบออกมาอย่างร้อนรน เขาหวังจะตีสนิทกับพ่อก็จริงแต่เขาก็แค่เอาความจริงใจเข้าสู้ ถึงจะพยายามเรียบเรียงคำพูดออกมาให้สวยหรูแต่สาบานได้ว่าที่เขาพูดไปทั้งหมดไม่มีคำโกหกเลย
“ไม่โกหก แค่พูดไม่หมดใช่ไหม” คนเป็นพ่อส่วนกลับมาจนพิธานเม้มปากหลุบตาลงต่ำ ยอมรับออกมาอย่างไม่คิดหาข้อแก้ตัว “ครับ ขอโทษครับ”
เสียงหัวเราะขึ้นจมูกอย่างประชดประชันดังขึ้นและตามมาด้วยคำถามที่เสียดสี “เธออยากจะไปชอบผู้ชายที่ไหนก็เรื่องของเธอ ทำไมต้องเป็นลูกฉัน”
คำถามที่คล้ายคลึงกับความฝันเพียงแต่ลดความรุนแรงลงทำให้พิธานเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ความฝันของเขายังชัดเจนอยู่ในความทรงจำทำให้ทุกคำที่พูดออกไปต้องใช้พลังงานมากกว่าเดิมเท่าตัว “ต่อให้ผมไม่มาชอบเมฆก็ไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายแล้วเมฆจะกลับไปคบผู้หญิงหรือจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้น เพียงแค่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจได้ถ้าเมฆคบกับผม คือผมจะพยายามทำให้เมฆมีความสุขให้ได้”
“ผมจะพยายามปรับตัวให้ดีขึ้น หรือ…ถ้าคุณพ่ออยากให้ผมทำอะไร คุณพ่อก็บอกผมเถอะครับ...ถ้าผมทำได้ ผมก็จะทำ”
นภดลเหลือบมองชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้า ทุกคำพูดของเจ้าตัวไม่ได้ให้ 'คำมั่น' หรือ 'คำสัญญา' ที่ดูจอมปลอม พิธานเพียงกล่าวว่าจะ ‘พยายาม’ ทำให้เมฆมีความสุขและทิ้งท้ายไว้ว่า ‘ถ้าทำได้ก็จะทำ’
ถึงจะดูไม่หนักแน่นอย่างที่ควร แต่กลับไม่เปิดช่องโหว่ให้เขาได้สวนกลับอย่างที่หวัง
คราแรกที่นภดลคิด คือหากพิธานรับปากว่าจะทำให้ม่านฟ้ามีความสุขหรือสัญญาสวยหรูอย่างไม่ทำให้เสียใจ เขาคงตอกหน้ากลับไปว่าเจ้าตัวเป็นเพียงคนขี้โม้ที่มีดีแต่ปาก หรือหากเจ้าตัวเผลอรับปากว่าจะทำทุกอย่างในสิ่งที่เขาขอ สิ่งแรกที่นภดลจะขอคือการท้าให้เจ้าตัวเลิกกับลูกชายเขาเสีย
แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับระวังในทุกคำพูดของตัวเอง
“ไม่กลัวว่าฉันจะบอกให้เลิกกันเหรอ” นภดลลองถามดูตามที่คิดแต่สิ่งที่อีกคนตอบกลับมาทำให้ชายวัยกลางคนแค่นหัวเราะ
“ผมบอกว่าถ้าผมทำให้ได้ครับ”
คำพูดนั้นหมายความว่าทำให้ไม่ได้สินะ นภดลหัวเราะขึ้นมาเบาๆ อีกครั้งจะว่าเจ็บใจชายหนุ่มตรงหน้าก็ใช่แต่จะว่าถูกใจมันมากขึ้นก็ไม่เชิง
เขาชอบความหัวไวและไม่ยอมแพ้ของชายหนุ่มตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเสี้ยวหนึ่งของความคิดกลับระแวงในความหัวหมอนี้ กลัวว่าถ้าวันหนึ่งเจ้าตัวใช้มันเพื่อหลอกม่านฟ้า ลูกของเขาคงไม่พ้นต้องเสียใจ
"แต่กับเมฆก็ไม่แน่…"
คำพูดต่อมาของพิธานเรียกความคิดของชายวัยกลางคนกลับสู่บทสนทนาอีกครั้ง
“เห็นมันชอบเถียงพ่อหรือทำตัวดื้อแค่ไหน แต่จริงๆ มันรักพ่อมากนะครับ ถ้าพ่อยืนยันจะให้เลิก...สุดท้ายเมฆก็จะเลิกกับผมตามที่พ่อพูด เพราะมันห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวมากที่สุด”
ในเวลาที่เป็นต่อเช่นนี้พิธานกลับเผยไต๋ออกมาตรงๆ เขาวางเดิมพันกับความจริงใจครั้งนี้ที่มีให้กับบิดาของคนรัก ถึงกระนั้นเสียงที่พูดออกไปก็ยังปิดความน้อยใจเอาไว้ไม่มิด
นภดลถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เปลี่ยนจากระแวงกลายเป็นเหนื่อยใจกับคนตรงหน้า เขาคิดว่ามันฉลาดไปเสียหมดแต่กับบางเรื่องที่เห็นชัดอยู่แล้วกลับยังไม่รู้ตัว
“แล้วที่มันยอมมาคุยกับฉันทั้งน้ำตาเนี่ย ไม่ใช่เพราะมันก็ห่วงความรู้สึกเธอเหรอ มันห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวก็จริง แต่เพราะเธอเองก็กลายเป็นคนในครอบครัวของมันแล้วไง มันถึงได้ห่วงเธอน่ะ”
พิธานเผลอทำหน้าเหลอหลาออกมาอย่างหลุดมาด หันไปมองคู่สนทนาที่หันไปทางอื่นอย่างไม่ต้องการสบตาเขา ท่าทางคล้ายจนหงุดหงิดปนไปกับความอ่อนใจนั้นทำให้พิธานยิ้มออก สายตาและรอยยิ้มเด็กๆ ของพิธานทำให้ชายวัยกลางคนที่เหลือบกลับมามองถอนหายใจหน่ายอีกครั้ง
“ดูแลเมฆมันให้ดีล่ะ”
คำพูดสั้นๆ แต่พิธานกลับเผยยิ้มกว้างออกมา ฟันเขี้ยวที่โผล่ออกมาพร้อมดวงตาที่หยีลงเปลี่ยนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในสายตาเขาเป็นเพียงเด็กชายที่ยิ้มดีใจยามได้ของขวัญล้ำค่า
จะว่าเจ้าเล่ห์ก็ใช่แต่บางครั้งก็ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ แล้วเขาจะเชื่อใจฝากลูกชายไว้ได้มากแค่ไหนกันเนี่ย
“ขอบคุณครับพ่อ ขอบคุณครับ ขอบคุณแม่ด้วยนะครับ” พิธานพนมมือไหว้ขอบคุณพ่อแม่คนรักคล้ายยกภูเขาสิบใบออกจากอก รู้สึกแสบจมูกและร้อนที่ดวงตาแต่ก็พยายามจะฮึบเอาไว้ ไม่อยากให้เสียภาพพจน์ของตัวเองตอนนี้
นภดลหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้งและพูดในสิ่งสุดท้ายที่คิดไว้
“ระวังในทุกคำพูดของเธอ ให้เหมือนกับที่ระวังเวลาพูดกับฉัน อย่าให้อารมณ์หรือคำพูดของเธอมันทำร้ายเมฆหรือใครจนต้องเสียใจ”
อย่างที่เขาเคยทำ
พิธานหันมาสบตากับชายวัยกลางคนอีกครั้ง แววสงสัยปรากฏขึ้นชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประกายที่แสดงความเด็ดเดี่ยวมั่นใจอีกครั้ง
“ครับพ่อ”
คำมั่นนั้นนภดลจะถือว่าเป็นสัญญาจากลูกเขยคนนี้แล้วกัน
(ต่อด้านล่าง)