บทที่18 Go to UK.
“แม่!”
“โอ้วว ผู้ชายกับลูกชายแม่!”
“แม่ของคุณ?” สกิลภาษาไทยอันน้อยนิดของพี่เบิ้มพอจะรู้ว่าคำว่า แม่ แปลว่าอะไร หรืออาจจะเพียงแค่เห็นหน้าก็ดูออกแล้วว่านี่แม่ผม..ที่แม่บอกว่าถ้าผมใส่วิกผมยาวก็คือแม่สมัยสาวๆดีๆนี่เองนั่นน่ะผมไม่เถียงครับ บางเดือนที่ยุ่งๆจนลืมตัดผมพอผมเริ่มยาวเวลาส่องกระจกนี่แทบตกใจนั่นแม่หรือผม!
“ครับนี่แม่ผมเอง..”
“สวัสดีครับคุณแม่ ผมเจเรมี่แฟนของป้านดยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมยังไม่ทันแนะนำอีพี่เบิ้มก็เสนอตัวอันเกือบเปลือยเปล่าไปแนะนำตัวกับแม่ที่ยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าประตูห้อง
“ป้านด? อ๋อ ปณต สวัสดีจ๊ะลูกชายได้เจอกันสักทีเนอะ” แม่ขำเมื่อได้ยินชื่อลูกชายตัวเองสำเนียงuk จากนั้นสองแม่ลูกนอกไส้ก็สวมกอดด้วยความยินดีปรีย์ดา
“คุณแม่ยังสาวและสวยมากครับ” ครับ แม่ผมสวยแต่สาวนะไม่..ต้องอวยเบอร์นั้นเลย
“ปากหวานลูกชาย” ลูกชายแม่น่ะยืนหัวโด่อยู่นี่ครับ
“เอ่อ แม่ไม่เห็นบอกณตเลยว่าจะมาหา”
“ถ้าบอกแม่ก็ไม่เซอร์ไพรส์แบบนี้สิ ลูกเขยแม่นี่หล่อจริงๆ แล้วลูกสองคนอะไรยังไงทำไมออกห้องน้ำมาพร้อมกัน หรือว่าอาบน้ำด้วยกัน?”
“เอ่อ..” จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะมันคือความจริงแถมสภาพยังฟ้องชัดเจน
“โอเคๆ ไม่ต้องบอกก็ได้ลูก แต่งเนื้อแต่งตัวซะเดี๋ยวแม่ออกไปรอข้างนอก” แม่ยิ้มล้อๆก่อนจะออกไปรอด้านนอก
“ผมตื่นเต้นจัง คุณว่าแม่จะชอบผมไหม” ยิ่มร่าขนาดนี้คงจะไม่ชอบหรอก
“แล้วทำไมต้องไม่ชอบด้วยล่ะ”
“นั่นสิ ผมว่าผมน่ารักนะ” กล้าพูดเกรงใจกล้ามบนตัวมึงด้วย ผมทำได้เพียงกลอกตากับประโยคนี้
ใช้เวลาแต่งตัวด้วยความความไวแสงก่อนจะรีบออกมาหาแม่ที่นั่งรออยู่ที่โซฟา
“แฟนมาหาทำไมไม่บอกแม่ล่ะลูก”
“พอดีเจเรมี่มาประชุมที่ฮ่องกงแล้วเมื่อคืนเขาก็โผล่มาเซอร์ไพรส์เฉยเลย” แล้วตอนเช้าแม่ก็มาเซอร์ไพรส์ผมอีก ชีวิตผมนี่ช่างน่าตื่นเต้นดีนัก
“แล้วนี่ลูกชายจะกลับวันไหนคะ”
“บ่ายนี้ครับผมต้องไปญี่ปุ่นต่อ”
“แม่นึกว่ามาหลายวันซะอีก จะได้ไปค้างที่รีสอร์ท”
“เดือนหน้าผมจะไปหาคุณแม่แน่นอนครับ ครั้งนี้ผมแค่แวะมาชาร์จแบต”
“ชาร์จแบต?”
“นี่ไงครับ” แล้วอีพี่เบิ้มก็คว้าเอวผมหมับกอดไว้หลวมๆพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ
แม่ถึงกับยิ้มเขินแทนผม ส่วนผมน่ะเหรอตัวแตกไปแล้วจ้า ต่อหน้าแม่กูเลยนะ พี่มึงก็..
แผนที่ตั้งใจจะขลุกอยู่กับผมจำเป็นต้องยกเลิกเพราะแม่ชวนไปทานข้าวด้วยกันและดูเหมือนว่าแม่จะได้ลูกรักคนใหม่เพราะคุยกันออกรสออกชาติ อีพี่เบิ้มก็มีมุกทำให้คนแก่ยิ่มร่าได้ไม่หยุด เห็นแบบนี้ก็โล่งใจที่ทั้งคู่เข้ากันได้ ถ้าแม่ชอบพ่อก็คงไม่มีปัญหารายนั้นตามใจเมียอยู่แล้ว..
ทานข้าวเสร็จเหลือเวลาอีกไม่มากพี่เบิ้มต้องออกเดินทางอีกครั้ง แม่ขอตัวไปทำธุระต่อพร้อมกับย้ำแล้วย้ำอีกกับพี่เบิ้มว่ากลับมาเมื่อไหร่อย่าลืมไปหาแม่ที่รีสอร์ท
ส่วนผมก็มาส่งที่เบิ้มขึ้นเครื่องที่สนามบิน ก่อนจะเข้าเกตอีพี่เบิ้มกอดผมน่าจะร้อยแปดรอบได้ กอดแล้วกอดอีกอยู่นั่นแหละ
..เข้าใจว่ารักและคิดถึงแต่หน้ากูก็บางนะโว้ยยย
สองอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่พี่เบิ้มมาชาร์จแบตแบบมาเร็วเคลมเร็ว ชีวิตผมก็ยังคงดำเนินไปตามปกติงานเดิมๆเพิ่มเติมคืองานตกแต่งคอนโดของพี่เบิ้ม ช่างเข้ามาทำงานได้เกือบหนึ่งอาทิตย์ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นบ้างแล้ว ความต้องการของคุณลูกค้ากิตติมศักดิ์คือความเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น สไตล์มินิมอลจึงตอบโจทย์ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีความเห็นใดๆนอกจากคำว่า
‘แล้วแต่คุณ’ส่วนรักทางไกลของเราก็ยังคงราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆนอกจากความคิดถึง มีกวนประสาทกันบ้างตามนิสัยของอีควายเผือกแต่เราก็รักกันดีไม่มีตีกัน ก็มันอยู่ไกลจะตีถึงได้ยังไงเล่า ปัดโธ่!
[ที่รักคิดถึงคุณจัง] เมื่อกดรับวิดิโอคอลปลายสายที่อยู่อีกทวีปหนึ่งก็ยิ้มหน้าบานส่งมาให้พร้อมกับคำคิดถึง
“ถึงแล้วเหรอครับ” สุดสัปดาห์ถ้างานไม่ล้นมือพี่เบิ้มมักจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่อาศัยอยู่ที่เมืองยอร์ก ฉากหลังของวันนี้จึงไม่ใช่ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นที่บ้านของพี่เบิ้มแต่เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีม้าเล็มหญ้าอยู่ด้านหลัง..ที่บ้านพี่แกมีคอกม้าด้วยนะ ว่าแต่ม้ามันตัวละเท่าไหร่วะ จะซื้อมาขี้เล่นชิคๆสักตัว
[ถึงแล้วครับ]
“อากาศวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ หนาวยัง” ลมที่ผัดมาเอื่อยๆทำให้ผมสีน้ำตาลที่ยาวเท่าปลายคางนั้นพริ้วไปตามลมดูแล้วคงจะเย็นไม่น้อย
[เริ่มหนาวแล้วล่ะครับ แต่วันนี้ดีหน่อยที่มีแดดไม่มีฝน] อยากจะแบ่งแดดที่นี่ไปให้พี่ซะเหลือเกิน แม่งร้อนตับแตกตับแล่บ
“ดูแล สุภาพด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”
[รักคุณจัง คุณห่วงผมแบบนี้รับรองผมไม่มีทางป่วยแน่ๆครับ]
“...” บ้าบอ ผมทำได้เพียงกลอกตา แน่นอนสิ กูไม่ใช่เชื้อโรคนะที่จะทำให้คนป่วยได้นะ
[ที่รักผมมีใครจะแนะนำให้รู้จัก]
“...” อ่า อย่าบอกนะว่าจะให้คุยกับพ่อแม่ของพี่มึงน่ะ ไม่บอกแต่เนิ่นๆเล่า
[นี่ครับ มาสเมลโล่]
“มาสเมลโล่?” ไม่ใช่แม่แต่เป็นม้าว่ะ
[ครับ เธอคือม้าตัวโปรดของผม] ม้าสีขาวสมชื่อ มันดูสวยและสง่าผมตรงแผงสันคอสีบอร์นประกายทองนิดๆยาวสวย ถ้าได้จับคงจะนุ่มมือไม่น้อย
“เธอสวยนะครับ”
[ครับเธอสวย แต่คุณสวยกว่า]
“...” อ่อ กูหน้าเหมือนม้า?
[ส่วนนี่โคล่า เป็นน้องใหม่ของที่นี่ครับ] พี่เบิ้มเดินไปหาม้าอีกตัวที่มีสีน้ำตาลเข้มที่เกือบจะเป็นสีดำ ก็สมชื่อโคล่าเขาล่ะ บ้านพี่มึงคงจะตั้งชื่อม้าตามสีที่คล้ายกับของกินเนอะ
“คุณชอบม้าเหรอครับ” อดถามไม่ได้เพราะรอบตัวของพี่เบิ้มตอนนี้ลายล้อมไปด้วยม้าหลายตัว
[พ่อผมชอบครับ ผมก็เลยผูกพันกับพวกมันไปด้วยตั้งแต่จำความได้ม้าก็เป็นสัตว์เลี้ยงอีกหนึ่งชนิดที่บ้านผมเลี้ยง แล้วคุณล่ะตอนเด็กเลี้ยงสัตว์ไหม]
“อืมมม สัตว์ตัวแรกของผมเหรอ ตัวด้วงครับ”
[ด้วง!?]
“ใช่ครับ เจ๋งป่ะล่ะ” ของมึงก็แค่ม้า ของกูด้วงกว่างนะเว้ยแม่งโคตรคลู
จำได้ว่าตอนเด็กๆไปเดินตลาดกับแม่แล้วช่วงหน้าฝนจะมีด้วงกว่างขาย เขาจะจับแมลงพวกนี้เกาะไว้กับท่อนของต้นอ้อยผูกขามันไว้ข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้มันบินหนี ปีกของมันสีดำวาววับพร้อมกับเขาสองคู่ที่ประกบกันบนล่างดูแล้วแม่งโคตรเท่เหมือนมอนสเตอร์ตัวจิ๋ว พอได้มันมาเลี้ยงด้วยความสงสารผมไม่ได้ผูกขามันไว้แต่มันก็ไม่ได้บินหนีไปไหนเพราะน้ำหวานจากต้นอ้อยคืออาหารชั้นดีของมัน แต่วงจรชีวิตของแมลงพวกนี้ช่างแสนสั้นไม่ถึงสามเดือนเจ้ามอสเตอร์จิ๋วของผมก็ล่วงหล่นจากท่อนอ้อยนอนหงายท้องอยู่บนพื้น ถึงจะไม่ถึงสามเดือนแต่ผมก็เริ่มผูกพันกับมันเพราะหลังจากกลับมาจากโรงเรียนผมต้องมาลูบปีกแข็งมันวาวของมันทุกครั้ง ความรู้สึกของการสูญเสียแบบนี้ล่ะมั้งที่ผมไม่เคยเลี้ยงสัตว์จริงๆจังๆสักที หรือเอาเข้าจริงๆแล้วมันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนล่ะมั้ง..แต่สำหรับพี่เบิ้มผมไม่เคยคิดว่าความรักของเราจะยืนยาวแค่ไหน แค่ตอนนี้เรายังรักกันแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว
[โคตรเจ๋ง ผมอยากเลี้ยงบ้าง]
“...” ประชดกูป่ะเนี่ย
[เอ่อ ที่รักมีคนมาตามผมแล้ว ผมขอไปทานข้าวก่อนนะครับ ถ้าคุณยังไม่ง่วงเดี๋ยวผมทานข้าวเสร็จแล้วจะรีบโทรหาครับ] พี่เบิ้มหันไปมองข้างหลังและเหมือนผมจะเห็นผู้หญิงผมสั้นร่างท้วมแว๊บๆ แม่บ้านหรือแม่? จะว่าไปแล้วผมยังไม่เคยแนะนำตัวกับที่บ้านพี่เบิ้มเลย ก็พี่เบิ้มนั่นแหละบอกว่าให้ผมมาที่นี่ก่อนแล้วค่อยแนะนำอย่างเป็นทางการ
“ไม่เป็นไรครับ คุณอยู่กับครอบครัวเถอะ ผมง่วงแล้ว”
“โอเคที่รัก ตอนเช้าผมโทรปลุกนะครับ ฝันดีครับผมรักคุณ”
“ครับ ผมก็รักคุณเช่นกัน”
................................
.....................
..............
.........
...
เมื่อตอนตีห้าพี่เบิ้มโทรมาปลุกผมตามปกติตอนนี้บ่ายโมงแล้วถึงเวลาที่ผมต้องโทรไปปลุกอีพี่เบิ้มบ้าง..แต่โทรเท่าไหร่พี่เบิ้มก็ไม่รับสาย ไลน์ไปก็ไม่อ่าน มันผิดวิสัยของคนที่โทรไปปุ๊บก็รับปั๊บอย่างพี่เบิ้มสุดๆ
คงจะไม่ใหลตายหรอกนะ..ชักใจคอไม่ดีซะแล้วสิ
ผมกระหน่ำโทรไปตลอดสองชั่วโมงจนในที่สุดมือถือก็ปิดเครื่องไม่รู้ว่าเพราะแบตหมดหรืออะไรกันแน่เพราะตอนนี้โทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติดนั่นยิ่งทำให้ความวิตกจริตมีเพิ่มมากขึ้น
หนึ่งเดียวที่จะช่วยผมได้ในตอนนี้คือ ไอ้ฟาง เมื่อคิดได้ดังนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งแต่ก่อนที่จะกดโทรออก หน้าไอ้ฟางก็โชว์หราบนจอมือถือผมซะก่อน
“ฟาง กูกำลังจะโทรหาอยู่พอดี”
[ณต ทำใจดีๆนะ] น้ำเสียงของมันดูร้อนรน
“มีอะไรวะ” ได้โปรดเถอะ ขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นเลย
[เจเรมี่ตกม้า ตอนนี้อยู่ไอซียู ยังไม่ได้สติ] คำว่าไอซียูและไม่ได้สติ ทำให้สติผมหายไปเช่นกัน บอกตรงๆว่าโคตรกลัว
“มะ มันเกิดอะไรขึ้นวะ”
[กูก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าเขาตกม้าที่ยอร์กบ้านพ่อแม่เขาน่ะ]
“...” ใช่ พี่เบิ้มไปยอร์ก และเมื่อวานก็ยังแนะนำมาสเมลโล่กับโคล่าให้ผมรู้จัก หรือจะตกเจ้าโคล่าถ้าผมจำไม่ผิดเจ้าม้าสีน้ำตาลเข้มตัวนั้นเป็นม้าตัวใหม่ ..ได้โปรดเถอะขออย่าให้พี่เบิ้มเป็นอะไรมากเลย
[ณต มึงโอเคไหมถ้าจะเดินทางมาหาเขาที่นี่ กู..คิดว่ามึงควรมา] น้ำเสียงของไอ้ฟางเต็มไปด้วยความกังวลและจริงจัง
“ได้ กูจะไป” ผมพยามเค้นเสียงที่แห้งผากตอบออกไปอย่างไม่ลังเล
ห้าทุ่มของวันต่อมาผมเดินทางไปอังกฤษทันทีด้วยการขอวีซ่าแบบเร่งด่วนทำให้ผมสามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องรอนาน แต่มันก็ต้องจ่ายด้วยเงินที่มากโขแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ขอแค่ให้ได้ไปเจอพี่เบิ้มพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้นทุกครั้งที่ได้มองต่อให้หมดตัวผมก็ยอม..เพราะตอนนี้พี่เบิ้มยังไม่ฟื้น
เจเรมี่คุณรอผมก่อนนะผมกำลังจะไปหา.. 06.15น. ตามเวลาของอังกฤษผมมาถึงฮีทโทรว์ลอนดอนด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น
“ณต ทางนี้”
“ไอ้ฟาง” เมื่อเห็นหน้าเพื่อนสิ่งแรกคือสวมกอด พร้อมกับคำถามที่ผมถามมันมาตลอดสองวันที่ผ่านมา “เจเรมี่ฟื้นยัง” คำตอบคือการส่ายหน้า นั้นยิ่งทำให้หัวใจผมหนักอึ้ง
“เอาน่า อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก กลับไปพักที่บ้านกูก่อนแล้วเดี๋ยวสายๆเราไปหาเขากัน”
“ไปตอนนี้เลยได้ไหม”
“มึงควรพักสักนิด สีหน้ามึงไม่โอเคเลยรู้มั้ย”
“แต่..”
“ณต มึงต้องแข็งแรงด้วยนะถ้ามึงทรุดไปอีกคนจะทำไง”
“โอเค กูเชื่อมึง” ใช่ผมต้องแข็งแรง พี่เบิ้มตื่นขึ้นมาแล้วจะได้เจอผม
เมื่อมาถึงบ้านพอลก็เปิดประตูต้อนรับ เราทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่ไอ้ฟางจะพาผมไปพักที่ห้องนอนที่เตรียมไว้
“ฟาง กูกลัวว่ะ” พอเอาเข้าจริงๆแล้วความรู้สึกผมมันมีแต่คำว่ากลัวเต็มไปหมด
“เอาน่า เจเรมี่เป็นคนดีพระเจ้าต้องคุ้มครองเชื่อกู เอาล่ะมึงอาบน้ำอาบท่าแล้วเดี๋ยวมากินข้าว นอนพักอีกสักหน่อยแล้วเราค่อยเดินทางไปยอร์กกันมันใช้เวลาขับรถประมาณสี่ชั่วโมง”
“มึงขับเหรอวะ ทำไมไม่นั่งรถไฟไปล่ะ”
“กูไม่ได้ขับเอง เจเรมี่ส่งคนขับรถ..เอ้ย ไม่ใช่กูหมายถึงพอลน่ะให้คนขับรถของเจเรมี่พาเราไปยอร์ก เอาแบบนี้แหละ เขาคิดมาดีแล้ว”
“เขาไหน?”
“เอ่อ..หมายถึงกูไง กูคิดมาดีแล้วคือไม่ต้องเสียเวลาไปที่สถานีขึ้นรถปุ๊บมึงก็จะได้พักยาวๆเลยจะได้มีแรงรอเจเรมี่ตื่นขึ้นมาไง”
“อืม” ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่ห่วงไอ้ฟางเพราะผมไม่มีใบขับขี่สากลคงขับรถแทนมันไม่ได้
ถนนในลอนดอนค่อนข้างวุ่นวาย แต่พอรถขับออกมาถึงชานเมืองความเงียบสงบก็มีให้เห็น อากาศวันนี้ค่อนข้างแย่ไม่มีแสงแดดให้เห็นมีเพียงสายฝนที่โปรยปราย ท้องฟ้าเป็นสีหม่นไม่ต่างจากหัวใจของผมในตอนนี้
นี่คือการมาอังกฤษครั้งแรกแต่มันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด เพราะความรู้สึกของผมตอนนี้มีแต่ความกลัวและได้แต่ภาวนาให้พี่เบิ้มปลอดภัยและตื่นขึ้นมาไวๆ
..ไปถึงแล้วหวังว่าจะได้เจอรอยยิ้มของคุณนะ เกือบสี่ชั่วโมงครึ่งตอนนี้ผมและไอ้ฟางยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยมีป้ายชื่อของคนไข้ติดอยู่ชัดเจน ‘Jeremy Carson’ พี่เบิ้มออกจากไอซียูแล้วนั่นทำให้ผมใจชื้น แต่ก่อนที่ผมจะผลักประตูเข้าไป ไอ้ฟางก็พูดประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ผมต้องชะงักมือเอาไว้ก่อน
“มึงกูขอโทษ”
“ขอโทษทำไม?” ตั้งแต่ผมมาถึงอังกฤษผมว่าไอ้ฟางมันพูดจาแปลกๆหลายรอบแล้วนะ
“เอาเป็นว่า กูไม่ได้ตั้งใจแต่กูหวังดีกับมึงจริงๆนะ”
“พูดไรของมึง?”
“ช่างเหอะๆ เข้าไปข้างในกัน”
เมื่อเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มที่ผมอยากเห็นของพี่เบิ้ม..เขาฟื้นแล้ว นั่นทำให้ผมโล่งใจเป็นที่สุด
“ที่รักคุณมาแล้ว” พี่เบิ้มรีบถลาลงจากเตียงเข้ามาสวมกอดผมด้วยแขนขวาเพียงข้างเดียว เพราะแขนซ้ายนั้นห่อหุ้มด้วยเฝือกสีขาว แต่ดูท่าแล้วไม่เหมือนคนที่เพิ่งออกจากไอซียูแฮะ ชักจะได้กลิ่นทะแม่งๆละสิ
“ครับผมมาแล้ว คุณเป็นยังไงบ้างครับ”
“ผมเจ็บมากเลยที่รัก แขนหักด้วย” ว่าแล้วก็ยกแขนข้างที่ใส่เฝือกอ้อนผมเหมือนเด็ก
“คุณเพิ่งออกจากไอซียู?” คือดูทรงพี่มึงแล้วมันไม่เหมือนคนที่เพิ่งฟื้นอ่ะ
“เอ่อ..”
“งั้นผมถามใหม่ คุณตกม้า”
“ครับ”
“แล้วคุณก็ไม่ได้สติ”
“แค่..แป๊ปเดียว” เสียงนั้นเริ่มแผ่วลง
“คุณอยู่ไอซียู”
“แค่..ห้องฉุกเฉิน”
“คุณเพิ่งฟื้น”
“อ่า..ผมเพิ่งตื่นนอนเมื่อตอนหกโมงครับ” เหอะ
“แล้วคุณก็ปิดมือถือ เพื่อจะหลอกผม”
“...”
“โอเค คุณตกม้าแขนหัก นอกเหนือจากนั้นทุกอย่างก็ปกติไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วก็ไม่ได้เพิ่งฟื้นหรือเพิ่งออกจากห้องไอซียูด้วยถูกต้องไหมครับ”
“..ครับ”
ให้ตาย! เอาล่ะ ตกลงว่ากูโดนต้ม ถึงว่าไอ้ฟางพูดจาแปลกๆ มึงคือผู้สมรู้ร่วมคิดสินะ
“มีอะไรจะบอกกูไหม” คราวนี้ผมหันไปถามไอ้เพื่อนตัวดีที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่โซฟา
“กูขอโทษเมื่อกี้ไง”
“เหอะ” เพื่อนชั่ว
“กูหวังดีจริงๆนะมึง ก็แฟนมึงน่าสงสารเขาอยากเจอมึงอยากให้มึงมาอยู่ใกล้ๆในช่วงเวลาที่เขาบาดเจ็บแบบนี้ กูก็เลยช่วยเขา” มึงมันตัวการ
“มึงก็เลยโกหกกู แล้วไม่สงสารความรู้สึกกูบ้างล่ะ”
“ก็..ถ้าบอกตรงๆมึงก็คงไม่มา กูขอโทษษษ” น้ำเสียงนั้นหงอยพร้อมกับเข้ามากอดผมด้วยความสำนึกผิด
“คุณอย่าโทษฟางเลยนะครับ ผมผิดเอง”
“พอเลย ผิดทั้งคู่นั่นแหละ”
“แต่ผมก็ทรมานนะที่รักที่ไม่ได้คุณกับคุณตั้งสองวัน” กล้าพูด กูมากกว่าไหมที่ทรมาน
“แต่ผมทรมาณมากกว่า คุณรู้ไหมว่าสิบสามชั่วโมงบนเครื่องบินผมได้แต่สวดภาวนาขอให้คุณปลอดภัย สองวันที่ผ่านมาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับผมเป็นห่วงคุณแทบบ้า คุณเล่นกับความรู้สึกของผมแบบนี้ได้ยังไง!” ด้วยความโกรธผมทุบอกคนป่วยไม่ยั้งพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟาย แม่ง! กูว่าจะใจเย็นแล้วนะ
“ที่รักผมขอโทษ ขอโทษที่คิดน้อยไป ผมรักคุณผมอยากเจอคุณมากจริงๆตอนที่ผมตกลงมาจากโคล่า สิ่งแรกที่ผมเห็นคือหน้าของคุณ ตอนนั้นผมขยับตัวไม่ได้เลยแล้วผมก็กลัวมาก กลัวว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก ยกโทษให้ผมนะที่รัก ผมขอโทษๆๆๆๆๆ” คนสำนึกผิดพูดคำขอโทษไม่หยุดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม มึงร้องไห้?
“คุณ ร้องไห้ทำไม”
“ผมรู้สึกผิด ผิดที่ทำให้คุณเป็นกังวลและผิดที่ทำให้คุณร้องไห้” บ้าเอ้ย เป็นแบบนี้ใครจะโกรธได้นานกันเล่า
กลับกลายเป็นว่าเราต่างฝ่ายต่างเช็ดน้ำตาให้กัน..หายโกรธก็ได้วะ แค่พี่เบิ้มปลอดภัยไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงก็ดีแล้วล่ะ
“โอเคๆ ผมยกโทษให้แต่คุณอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”
“ขอบคุณที่รัก ผมรักคุณนะ” พี่เบิ้มกอดผมด้วยแขนขวาเพียงข้างเดียวก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบเบาๆ..มันเป็นรสจูบที่แสนคิดถึง ความกังวลและความเป็นห่วงหายไปในบัดดล
“อะแฮ่ม” ฉิบหาย ลืมไปเลยว่าไอ้ฟางยังอยู่
“มึง ไม่เห็นใช่มะ”
“ไม่เห็นจ้าาา ไม่เห็นเลยยย” เกลียดสายตาของแม่งที่สุด มึงล้อออกมาตรงๆยังดีกว่าเหอะ
“เอ่อ คุณนอนพักก่อนครับ” ผมรีบจูงมือคนป่วยกลับไปที่เตียงเพื่อหลบสายตากรุ้มกริ่มของเพื่อนชั่ว
“คิดถึงคุณจังที่รัก คุณขึ้นมานอนกับผมได้ไหมผมอยากนอนกอดคุณ”
“บ้าเหรอคุณ” ผมรีบหันไปมองไอ้ฟาง ซึ่งมันก็ทำหน้ากรุ้มกริ่มรออยู่แล้ว
“เอาล่ะค่ะ ฉันพาพยาบาลส่วนตัวมาส่งให้คุณถึงที่แล้วถือว่าภารกิจเสร็จสิ้น ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ”
“ขอบคุณมากครับฟาง”
“เดี๋ยวๆ มึงจะไปไหน”
“กลับบ้านสิ กูก็มีผัวให้ดูแลนะโว้ย ส่วนมึงก็ดูแลผัวมึงไปเข้าใจ๊”
“แฟนโว้ย! ไม่ใช่ผัว”
“เอาน่า อีกหน่อยก็ใช่” ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงกูถีบมึงแน่ๆ
“แล้วมึงจะกลับยังไง”
“คนขับรถไงจ๊ะ นานๆทีจะได้มีคนขับรถส่วนตัวกับเขาบ้างต้องใช้ให้คุ้ม”
“โอเค เดี๋ยวกูเดินไปส่ง”
“ไม่ต้องจ๊ะ อยู่ดูแลผัวมึงไปเหอะไปละไว้เจอกันที่ลอนดอนเน้อ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับฟาง”
“ด้วยความยินดีค่ะ หายไวๆนะคะเจเรมี่”
ไอ้ฟางกลับไปแล้วเหลือเพียงผมกับคนป่วย แต่ไม่ถึงห้านาทีผู้มาใหม่ก็มาเยือน
“โอ้วว ป้านด” หืมมม ยังมีใครที่เรียกกูด้วยสำเนียงนี้อีก ไม่ทันตั้งตัวผู้หญิงสูงวัยร่างท้วมแต่ดูใจดีก็ปรี่เข้ามากอดผมทันทีพร้อมกับหอมซ้ายหอมขวาที่แก้ม ใครหว่า?!
“Mom”
..หืม แม่พี่เบิ้ม?!
TBC.………………………………….............
บทที่แล้วจบด้วยแม่ของป้านด บทนี้ขอจบด้วยแม่ของพี่เบิ้มละกัน^^
..ขอบคุณที่ยังคิดถึงกันค่ะ