รุ่นพี่ผม...มัน 'เลว'
38 [พิเศษ] “ผู้จัดการ! จ๊ะปอจะเข้าไปในเมืองจะเอาอะไรไหม?”
ที่แก่งเพกา ไอ้ยะข่าก็ยังคงเป็นไอ้ยะข่า 9 ปีที่ผ่านมานี่หลายสิ่งเปลี่ยนไป อาจจะไม่มากมายแต่ก็พอดูรู้ ตั้งแต่วันที่ด้วงกว่างหบินลับฟ้าไปรัตติกรแทบทำอะไรไม่ถูก ทั้งๆ ที่คิดว่าเช้าที่ตื่นขึ้นมาจะพยายามทำดีชดเชยเรื่องร้ายๆ แล้วขอเริ่มใหม่ด้วยกันอีกครั้ง แต่โอกาสนั้นเขากลับไม่เคยได้
มันทำเขาเคว้งเลยทีเดียวที่หายไปทั้งๆ ที่เขากำลังรักมันสุดหัวใจ 9 ปีที่อะไรๆ เปลี่ยนแปลง เอื้องดาวกับไอ้ยะข่ามีลูกสาวน่ารักเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ส่วนอีกคนในท้องหมอว่าน่าจะลูกชาย จ๊ะปอแกยังคงเป็นขวัญใจพวกแหม่มๆ นี่ล่าสุดไอ้ขมิ้นเด็กที่เพิ่งรับเข้ามาเหมือนจะแซวๆ จ๊ะปอแกว่ามีแหม่มผมแดงมาติดพันตอนแก่ ว่าแต่คนอื่นตัวเขาเองก็เปลี่ยนเขาตามมันกลับกรุงเทพในทันทีที่รู้ข่าวแต่ไม่เจอ ทั้งที่บ้านหรือที่มหาลัยตามหาตามค้นเทียวมาเทียวไปกรุงเทพฯ กับแก่งฯ โดนทั้งมือทั้งตีนไปก็หลายครั้งอยู่แต่พอมีแรงเขาก็ลุกขึ้นมาใหม่ตามเกือบปีจนรู้ว่าไอ้ด้วงกว่างมันบินหายลับฟ้าไปต่างประเทศตั้งแต่วันนั้น
ไม่ได้ตามมันไปเขากลับมาตั้งหลักที่แก่งเพกา เสียเวลาไปเปล่าๆ กับการนั่งเฝ้ารอมันที่ท่าเรือขึ้นฝั่ง ปีแรกผ่านไปจนเข้าปีที่สองพี่ทิวาถึงได้มารับกลับไปเรียนต่อ 3 ปีกว่าๆ จมไปกับการเรียนและร้านเหล้า ปีที่ 5หรือ 6 นี้ล่ะ เขาถึงได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย แล้วพอรู้สึกตัวอีกที พอจะเข้าปีที่ 6 เขาก็กลับมานั่งเฝ้าท่าเรือที่แก่งฯ ในตำแหน่งผู้จัดการเหมือนวันที่มันจากไป
“ผู้จัดการจะเอาอะไรไหม?”
ไอ้ยะข่าถามย้ำ เขายัดบุหรี่มวนใส่ปากแล้วคาบไว้ ล้วงมือเข้ากระเป๋าจุดไฟที่ปลายบุหรี่สูบเข้าไปเฮือกใหญ่แล้วพ่นควันขาว ใช่ว่าแต่ยะข่ากับจ๊ะปอตอนนี้เขาก็เปลี่ยนผิวขาวๆ แบบชาวกรุงกลายเป็นผิวสีเข้มคล้ำกร้านแดด น้ำหอมไม่เคยได้แตะ ดีหน่อยที่พวกเสื้อผ้ามีเอื้องดาวคอยจัดการให้มันเลยพอดูเนี้ยบตัดกับหน้าตา ตอนนี้หนวดเคราเริ่มขึ้นมารกใบหน้าช่วงแรกๆ เขาก็โกนมันดีอยู่หรอกแต่พออยู่แก่งนานๆ เข้าเขาก็ละเลยไม่ใส่ใจ นานๆ ถึงได้คว้ามีดโกนขึ้นมาสักที ผมเผ้านี้ก็เหมือนกันเขาไม่ได้ตัดมัน..ไม่ได้ตัดออกตั้งแต่วันที่ด้วงกว่างไปไม่กล้าตัด เพราะกลัวสิ่งดีๆ สิ่งเดียวที่จำได้มันจะหายไป..
“ผู้จัดการ?”
“เดี๋ยวผมไปกับจ๊ะปอด้วย”
สลัดความคิดถึงออกไป หมดจากเรื่องมันเขาก็แทบไม่มีสิ่งเร้าชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ช่วงนั้นดีขึ้นมาได้ก็ตอนที่พี่ทิวาถีบหัวส่งเขากลับมาทำงานที่แก่ง ก็ดีถือว่าฆ่าเวลาระหว่างรอมัน แย่หน่อยที่การรอมันเป็นการรอที่ไร้จุดหมายเขาไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับมันเลย ไม่รู้อะไรทั้งนั้นว่ามันจะกลับมาหรืออยู่ที่นั่นถาวร เคยบ้าๆ บินไปตามหามันสองสามครั้งสุ่มเมืองที่จะไป แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว สิ่งเดียวที่ทำได้คือแค่รอ...
“ฝากด้วยล่ะ คืนนี้ผมขอค้างตัวเมือง กลับพรุ่งนี้บ่ายๆ”
รออยู่ที่นี้เพื่อให้มันกลับมาอีกครั้ง รอจนจะเข้าปีที่ 10 แล้วสินะ
**
..
ในเมืองแสงสีเปลี่ยนไปไวกว่าที่คาดร้านรวงที่ตั้งเรียงกัน บวกกับเสียงเพลงที่ดังตลอดถนนสองฟากทำเอาเขาเหงาใจ นี่ถ้ามันอยู่ที่นี้กับเขาตอนนี้ บางทีเขาอาจจะบังคับให้มันจับมือกับเขาเดินไปตลอดจนสุดที่ท้ายตลาด จากนั้นก็หาซื้ออะไรกันเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะกลับแก่งฯ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขามีแรงที่จะรั้งมันไม่พอ
ย่ำแย่ชะมัดกับการผูกทั้งชีวิตที่เหลือไว้กับคนเพียงคนเดียว คนที่แม้พยายามลืมขนาดไหน แต่สุดท้ายเขาก็กลับไปนั่งคิดถึงมันอยู่ดี
“สนใจสักไหมครับพี่?”
เสียงเรียกของเจ้าของร้านวัยไล่เรี่ยกับเขากระตุ้นเตือน รัตติกรสูบบุหรี่เฮือกสุดท้ายก่อนทิ้งมันลงแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ตลกตัวเองนี่เขามายืนเหม่อหน้าร้านสักอย่างนั้นหรือ?
“สักไหมพี่ หน้าคมๆ เข้มๆ แบบพี่นี่ถ้าสักลายเท่ห์ๆ รับร้องสาวกรี๊ด”
“....”
เขาได้แต่เงียบไปจนเจ้าของร้านนั้นยัดงานตัวอย่างให้ดู ลวดลายต่างๆไม่ได้ผ่านเข้ามาในสมอง เขาเกือบตอบปฎิเสธจนเกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถึงได้ถามราคากับรายละเอียด
“ไม่ยากหรอกพี่ แต่...สักแบบนี้จะดีหรือ?”
“อืมส์ สักลายนี้..ส่วนตำแหน่งก็.. สักที่ไหนเจ็บที่สุดล่ะ?”
“ถ้าแบบโชว์ๆ เจ็บๆ ก็ที่สีข้างพี่ แต่แน่ใจหรือพี่? นี่สักนะเปลี่ยนใจไม่ได้นะ?”
“อืมส์งั้นเอาลายที่ว่านี่ล่ะ สักนานไหม?”
“สองสามชั่วโมงล่ะพี่”
“งั้นก็เอาลายตามนี้เลย”
“คิดดีแล้วหรือพี่?”
ช่างสักยังคงเซ้าถามเขาด้วยความไม่แน่ใจ จนเขาก้มลงไปดูกระดาษที่เขียนแบบนั้นอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ายืนยันกับสิ่งที่ตัดสินใจ
“คิดมาจะ 10 ปีล่ะ”
**
..
ตัวอักษรภาษาไทยวิจิตรศิลป์ที่พาดสักอยู่ตลอดแนวสีข้างมันยังคงเจ็บระบมอยู่นิดๆ เลือดกับน้ำหนองที่ไหลซึมออกมาถูกบล็อคไว้ด้วยแผ่นพลาสติกกันน้ำ แต่มันดันไร้ประโยชน์เมื่อกลับมาที่แก่งฯ เสื้อเชิ้ตที่สวมไว้ดันซึมซับเลือดได้ดีกว่าที่คาด ภาระเลยไปตกอยู่กับเอื้องดาวที่เป็นฝ่ายซักล้าง ในชีวิตไม่เคยที่จะคิดสักอะไรที่เป็นการเป็นงานขนาดนี้ รอยสักที่เจ็บๆ คันๆ แต่มันก็ทำให้เขาอารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้เห็นรอยสักนั้นสะท้อนผ่านกระจก
จากวันสองวันผ่านไปเป็นเดือนกว่าที่รอยสักจะเข้าที่เขาทั้งรักษาความสะอาดทั้งหมั่นทาครีมจนสุดท้ายก็บ้าถ่ายภาพรอยสักที่สะท้อนผ่านกระจกเก็บลงไว้เป็นภาพพักหน้าจอของโทรศัพย์ คงจะบ้าไปจริงๆ รัตติกรมองภาพสะท้อนแล้วพูดกับตัวเอง คงจะบ้าไปจริงๆ นั่นละถึงได้สักประโยคนั้นลงบนร่างกาย ประโยคที่คงไม่มีใครในโลกนี้สักกัน...
‘ทรัพย์สินของ นายภัทรนภา หิรัญไพฑูลย์’