บทที่ 50
ผมนอนมองสมาร์ทโฟนในมือลงด้วยความหนักใจกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้เจอวันนี้
จากไม่ค่อยโทรหาอยู่แล้วยิ่งไม่มี ข้อความจากไลน์ที่มีมาทุกวันก็เงียบหายไปเลย ทักไปก็ไม่ตอบ แม้แต่หน้าก็ไม่โผล่มาให้เห็น
ผมขยี้หัว กระแทกนิ้วกดออกจากห้องสนทนาที่ไม่ขึ้นว่าอ่านด้วยซ้ำ เลื่อนนิ้วไปเรื่อยเปื่อยจนตาสะดุดรูปไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ จึงนึกขึ้นได้ว่าพวกมันก็เงียบหายเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์อยากทักทาย อยากระบายซะมากกว่าเลยกดพิมพ์ข้อความส่งไป
TEE: กูโดนหมาเมินวะ
ค่อยโล่งขึ้นหน่อย กำลังจะกดออกจากห้องสนทนากลับมีข้อความใหม่โผล่ขึ้นมา
Templar: หมาที่ไหนเมินมึง เขาเรียกกำลังยุ่ง!
Blue Sky: หมางเมิน? หรือ หมาเมิน?
YamYam: เออจริง มึงพิมพ์ตกอย่างที่กายบอก หรือจงใจเอา ง.งู ออกวะ?
ผมเลื่อนย้อนไปดูข้อความตัวเอง สงสัยรีบกดไปหน่อยเลยพิมพ์ตกไปตัว…แบบนี้ก็ดี สื่อชัดมากว่าผมโดนหมาบางตัวเมินทั้งวัน!
TEE: แบบไหนก็ได้ และกูไม่ได้หมายถึงพวกมึง!
YamYam: อ้าวๆ ไปทำอะไรมาถึงโดน ‘หมาเมิน’ ครับเพื่อน
Templar: กูขอเดาว่าพาร์
TEE: Tem << กูเบื่อมึง!
Blue Sky: ไม่สบายใจก็ไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง
TEE: มันไม่ง่ายแบบนั้น!!
Templar: แล้วมันไปยากอะไร?
TEE: ยากที่ตัวกูนี่แหละ
Templar: ก็บอกแล้วว่าอย่าคิดเยอะ
TEE: เรื่องนี้คิดน้อยไม่ได้!
YamYam: พวกมึงคุยกันให้กูรู้เรื่องด้วยดิ!
Templar: Yam << ประมวลผลไม่ทันเป็นเรื่องของสมองมึง ไม่เกี่ยวกับพวกกู
Templar: TEE << ส่วนมึงหัดใช้หัวใจตัดสินซะบ้าง บางเรื่องมันใช้เหตุผลไม่ได้หรอก
YamYam: สติกเกอร์นั่งหันหลังกอดเข่า
TEE: สติกเกอร์หมีขาวถอนหายใจ
Blue Sky: เวลาไม่รอใคร คนก็เช่นกัน
กายทิ้งคำเตือนสุดท้าย หลังจากนั้นไม่มีใครส่งข้อความมาอีกเลย ผมวางมือถือลงกับท้อง ถอนหายใจตามเจ้าหมีขาว
กับคนที่หัวใจกำลังสับสน…จะใช้หัวใจตัดสินได้ยังไงกัน
แต่แม่ง!
ผมลุกพรวดขึ้นยืน ไม่สนใจโทรศัพท์ที่ลงไปนอนแอ้งแม้งบนฟูก จับหมอนข้างที่โดนย้ายกลับมาห้องผมขึ้นตั้งพิงหัวเตียงได้ก็ตั้งท่ากำหมัด มองหมอนข้างเป็นหน้าใครบางคน ก่อนเสยเจ้าหมอนข้างไปเต็มแรง จนมันปลิวไปกระแทกเพดานห้องแล้วร่วงลงมานอนตายบนฟูก
แฮ่กๆ
ผมสูดลมหายใจเข้าออกควบคุมลมหายใจสักพักจนหยุดหอบ จึงค่อยนั่งลงขัดสมาธิบนเตียง คิ้วขมวดเข้าหากัน แค่โดนเมินวันเดียวผมก็ไม่อยากทนแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเสนอหน้าตัวเองไปหามันจนกว่าจะมีคำตอบไปให้
ยิ่งคิดยิ่งทำหน้ายุ่ง…สุดท้ายก็ต้องขอตัวช่วย
ผมมองหามือถือจนเจอ กดโทรออกหาผู้มีประสบการณ์ตรง และน่าจะได้รับคำแนะนำได้อย่างถ่องแท้ แต่ดันเจอเสียงหวานๆ บอกว่า ‘หมายเลขที่ท่านเรียกในขณะนี้ไม่สามารถ…’ ย่นคิ้วกดตัดสาย ก่อนกดโทรออกใหม่ เจอเสียงหวานๆ เหมือนเมื่อกี้เด๊ะ
ผมพ่นลมหายใจ เปลี่ยนมากดปุ่มโทรออกฉุกเฉิน รอสายไปนานก็มีคนกดรับตามคาด คราวนี้เป็นเสียงทุ่มลึกฟังดูจริงจัง และน่าเชื่อถือ
“ลุงหมอเหรอ นี่ทีเอง พี่พีทว่างไหม ทีอยากคุยด้วย…”
[พรุ่งนี้เลิกเรียนมาโรงพยาบาล ห้องเดิม]
“เดี๋ยวๆ ทีไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากปรึกษา…”
[พีทเป็นหมอเด็ก ทีเลยวัยเด็กมาแล้ว]
“ไม่ใช่อย่างนั้น! ทีแค่ เอ่อ คุยกับพี่พีทเฉยๆ เอง”
[ลุงยังไม่ได้แฉ่งทีเรื่องโดดนัดหมอ! โดดมาจะครบปีแล้วเมื่อไหร่จะมา ไม่สิ ถ้าพรุ่งนี้ไม่มาเหยียบโรงพยาบาล ลุงจะใช้งานพีทหนักขึ้นเป็นสองเท่า!]
ผมอ้าปากเหวอกับคำข่มขู่ ยังไม่ทันได้พูดทักท้วงแทนคนโดนดึงไปมีเอี่ยวก็แว่วเสียงเรียกตัวลุงหมอ คนต้องไปทำงานเลยบอกลาแกมย้ำคำขู่ แล้วตัดสายหนีดื้อๆ ผมได้แต่ทำหน้าเจื่อน…ไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะคนซวยไม่ใช่ผม แต่ไปโรงพยาบาลคราวนี้คงโดนจับตรวจทั้งตัวและจิตใจแหง
แค่คิดผมก็ทำหน้าบูด ร้องประท้วงในใจเงียบๆ
ไม่อยากไปอ่ะ!
-------------
“แค่มาตรวจร่างกายกับพบจิตแพทย์แค่เนี่ย ทำหน้าบูดบึ้งเป็นตูดลิง”
ผมจ้องพี่พีทเขม็ง ไอ้หน้าบูดที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องมาโรงพยาบาลอย่างเดียวสักหน่อย!
“เคืองพี่แพร์ก็อย่าพาลใส่พี่สิ”
ผมส่งเสียงขึ้นจมูก ถ้าถามว่าพี่แพร์เป็นใคร เธอเป็นลูกคนที่สองของลุงหมอ พี่สาวของพี่พีท และเป็นจิตแพทย์ประจำตัวของผมครับ พี่แพร์บอกว่าเรื่องในวัยเด็กของผมจุดประกายให้เธอเลือกเรียนสายจิตแพทย์ เพราะงั้นผมต้องรับผิดชอบด้วยการมาเป็นคนไข้ของเธอ
นั่นแหละปัญหา!
ยิ่งนานวันยิ่งสั่งสมประสบการณ์ทำงาน จากพี่นางฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นนักล้วงความลับ ต่อให้ผมระวังตัวแค่ไหนก็ยังโดนคำถามจิตวิทยานำทางจนเผลอหลุดปากบอกออกไปแบบไม่รู้ตัวบ่อยๆ และที่ผมเกลียดมากสุดก็รอยยิ้มมีเลศนัยกับเสียง ‘หืม’ ของพี่แพร์นั่นแหละ
ก่อนปล่อยตัวผมออกมาจากห้องสอบสวน เอ้ย ห้องตรวจก็ยังไม่วายทิ้งท้ายให้ผมแอบเขม็งใส่คนกล้าหยอกล้อเสียงระรื่น
“รีบรู้ใจตัวเองเร็วๆ นะที”
ผมคว้าแก้วน้ำเย็นๆ มากระดกดื่มดับอารมณ์ขุ่นมัว และนี่แหละเหตุผลที่ผมชอบโดดคอร์สตรวจครบวงจรของลุงหมอ (ซึ่งมีผมอยู่ในโครงการไม่มีชื่อนี้แค่คนเดียว) และที่สำคัญมาโรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อไหร่ห้ามเขียนกรอกข้อมูล หรือเอาอะไรก็ตามที่บ่งบอกนามสกุลได้ออกมาเด็ดขาด ไม่เช่นนั่นจะได้รับการต้อนรับระดับวีไอพี
สาเหตุเหรอ…ก็โรงพยาบาลแห่งนี้ดันชื่อเดียวกับนามสกุลผมน่ะสิ!
แต่เจ้าของโรงพยาบาลไม่ใช่ตระกูลผมแน่นอน ขอยืนยัน เราเป็นแค่ เอ่อ…ผู้ให้การสนับสนุนหลักตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมั้ง ที่มั่นใจคือบ้านผมกับบ้านลุงหมอสนิทกันมายาวนานจนเสมือนเป็นเครือญาติกัน แม้บ้างครั้งผมจะรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านี้ก็เหอะ (แต่ผมไม่อยากไปถามคุณย่า)
“แล้วอยากคุยอะไรกับพี่ ถึงได้ยอมมาเหยียบที่นี่ในรอบหนึ่งปีล่ะ?”
“ถ้าใครบางคนไม่ทำมือถือหาย ทีก็ไม่ต้องโทรเข้าเบอร์ลุงหมอให้โดนมัดมือชกหรอก!”
“งั้นอยากปรึกษาอะไรก็ว่ามา พี่จะให้คำแนะนำเต็มที่ ถือเป็นการไถ่โทษแล้วกัน”
พี่พีทบอกอย่างใจกว้าง และผมไม่คิดปฏิเสธ
“แค่ตอบทุกคำถามของผมก็พอแล้ว” เห็นพี่พีทพยักหน้าอนุญาต ผมก็ลดเสียงยิงคำถามแรกใส่ทันที “ทำไมตอนนั้นพี่ถึงยอมคบกับแฟนที่เป็นผู้ชายล่ะ”
คนโดนถามชะงักอย่างเห็นได้ชัด “…เพราะรักไม่ใช่เหรอ”
“แล้วทำไมถึงยอมให้เขากอด”
พี่พีททำหน้าแปลกๆ “…เพราะรักอีกนั่นแหละ”
“แล้วพี่ไม่กลัวลุงหมอต่อว่า?”
“กลัว แต่เพราะรักไปแล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”
“แล้วถ้าเปลี่ยนจากลุงหมอเป็นย่าทีล่ะ”
“…ยิ่งกว่ากลัว แต่พี่ก็ยังเลือกคบเขาต่อไปอยู่ดี”
คำถามต่อมาทำผมลังเล แต่สุดท้ายก็เอ่ยถาม “ต่อให้ในอนาคตต้องเสียใจ?”
“ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ พี่ก็ยังเลือกคบเขาอยู่ดี แม้จะรู้ว่าอนาคตเขาจะทำพี่เสียใจแค่ไหนก็ตาม”
ผมนิ่งทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แล้วถามอีกครั้งด้วยเสียงเครียดๆ
“แล้วรักคืออะไรกันแน่?”
“ความรักมีหลายรูปแบบ แต่ละคนคงไม่เหมือนกันหรอกมั้ง”
“แล้วทำยังไงทีถึงจะเข้าใจล่ะ?”
พี่พีทเริ่มนวดขมับ “เรื่องแบบนี้มันต้องเรียนรู้และเข้าใจด้วยตัวเองไม่ใช่เรอะ!”
“ก็ทีไม่เข้าใจนี่น่า ถึงได้มาถามผู้มีประสบการณ์ตรงเนี่ย!”
“งั้นเอาอย่างนี้…” พี่พีทหยิบกระดาษกับปากกาบนโต๊ะร้านคาเฟ่ของโรงพยาบาลออกมาจดอะไรสักอย่าง แล้วยื่นให้ผม “อ่านจบลองถามตัวเองดู ถ้าตอบคำถามในนี้ได้เมื่อไหร่ พี่คิดว่าทีคงเข้าใจอะไรมากขึ้น และน่าจะได้คำตอบที่อยากรู้แน่ๆ”
ผมรับมาอ่านเงียบๆ เป็นข้อความประโยคเดียวสั้นๆ ‘ยอมเสียเขาไปได้ไหม?’ รีบเงยหน้ามองคนเขียนข้อความทันที
“เสียที่ว่านี่…”
พี่พีทพูดสวนกลับมาทันที “สูญเสียคนนั้นไปตลอดชีวิตไง ทียอมไหมล่ะ?”
เสมือนหินกระทบผิวน้ำ วงคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าสั่นไหวอยู่ภายในใจ พร้อมคำตอบที่เหมือนเสียงตะโกนจากส่วนลึกภายในใจ เปล่งเสียงกรีดร้องแค่คำเดียว
ไม่!
“ดูเหมือนจะได้คำตอบแล้วสินะ”
ผมเม้มปาก ผงกหัวรับเงียบๆ ปล่อยพี่พีทขยี้หัวด้วยความเอ็นดู
“ในฐานะผู้มีประสบการณ์ พี่อยากเตือนแค่ว่า ได้มาแล้วก็รักษาให้ดี อย่าปล่อยปละละเลย ไม่งั้นกว่าจะรู้ตัวก็คงเสียของรักไปแล้ว…เหมือนพี่”
“…อืม”
แววตาพี่พีทแม้จะเศร้า แต่สีหน้ากลับยังยิ้มให้ผม “งั้นพี่ขอไปทำงานต่อ เราก็ขับรถกลับดีๆ อย่าประมาทหรือเหม่อลอยล่ะ”
ผมรีบพยักหน้ารับ มองพี่พีทอย่างสำนึกผิด แต่พี่แกคงอยากเห็นผมยิ้มมากกว่า เลยคลี่ยิ้มส่งให้
“ขอบคุณครับ”
แต่คนได้รับคำขอบคุณกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แถมยังพึมพำเสียงเบา แต่ผมก็ยังได้ยิน
“เด็กหมาป่านั่นน่าเห็นใจชะมัด”
“…”
-------------
พี่พีทพูดถูก
คำถามประโยคเดียวกลับทำผมเข้าใจอะไรขึ้นเยอะ…เยอะจนต้องมาเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องนอน ไม่รู้ว่าควรเริ่มทำอะไรก่อนดีระหว่างง้อพาร์ให้หายโกรธ กับค้นหาคำตอบภายในใจตัวเองให้ลึกกว่านี้ แล้วค่อยไปสารภาพกับพาร์อีกทอด
แค่คิดหน้าก็ร้อนผ่าว ให้ตายก็พูดออกไปไม่ได้แน่ๆ
ผมชักเริ่มนับถือเหล่าคนที่กล้าสารภาพรักต่อหน้าคนที่ชอบขึ้นมาทันที แต่แล้วในหัวก็นึกบางเรื่องได้ ทำเอาอารมณ์เขินๆ ดับวูบลง เพราะเห็นวิธีของพี่พีทได้ผล จึงรีบไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ คว้ากระดาษกับปากกามาจดหัวข้อที่เป็นปัญหาหนักอกสำหรับผม ก่อนวกไปไล่ตอบคำถามลงมาทีละข้อช้าๆ
ความเป็นส่วนตัว…แน่นอนถ้าคบกันต้องแชร์ทั้งเรื่องราวและเวลาให้อีกฝ่าย ผมขีดเครื่องหมายถูก
ต่อมาคือบรรดาผลพวงที่ตามมาหลังคบกัน ผมเขียนแยกไว้เป็นข้อๆ พอมาอ่านดูอีกทีก็พบว่า จะเรื่องไหนๆ ก็ดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับการที่พาร์จะหายไปจากชีวิตผม
คุณย่าพิโรธก็ยังหวาดกลัวอยู่ แต่ผมก็เชื่อว่าพาร์จะอยู่สู้ไปด้วยกัน
สัมผัส…จ้องมองข้อความสุดท้ายที่วงไว้ใกล้ๆ ‘จะยอมให้มันกอดไหม’
ผมเม้มปาก รู้ดีว่าเป็นกอดในความหมายไหน ถึงอย่างนั้นยกมือสั่นๆ ขีดเครื่องหมายถูกไว้ด้านหลังข้อความ แล้วนึกเสริมในใจ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ อย่างน้อยก็ขอเวลาสักพัก
จริงสิ ทาจังเคยบอกว่าให้รอจนถึงอายุยี่สิบก่อนนี่น่า…
แม้ใจจะนึกสงสารหมาป่าบางตัว แต่ผมก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำตามผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนบอก
พอได้กวาดมองมองข้อความทั้งหมดในกระดาษใบนี้อีกครั้ง ผมก็อดประหลาดใจไม่ได้
ปัญหาที่คิดว่าใหญ่ดั่งภูเขามาตลอด ความจริงแล้วก็แค่นี้เอง ผมแค่กลัวไปเองล่วงหน้า กลัวจนไม่กล้าเสี่ยง กลัวที่จะบาดเจ็บกลับมา…
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้ตัวเอง เอื้อมมือคว้าพวงกุญแจที่ยังห้อยมินิอัลบั้มออกมาไขลิ้นชักโต๊ะบนสุด หยิบกล่องขนมทำจากเหล็กแบนๆ ดูเก่าเล็กน้อยออกมา ลังเลครู่หนึ่งก่อนเปิดฝาออกให้เห็นของสะสมภายในที่ไม่ได้เห็นมานาน
กระดาษข้อความเขียนด้วยลายมือของเด็ก ริบบิ้นหลากสี และรูปถ่ายโพลารอยด์ของขนมในสภาพที่ยังมีทั้งริบบิ้นและข้อความห้อยอยู่ ผมมองพวกมันด้วยคิดถึงอยู่พักหนึ่งก็พับกระดาษใบที่พึ่งเขียนวางลงในกล่อง หลังปิดฝาผนึกสิ่งที่อยู่ข้างในก็ยกกล่องไปเก็บคืนช่องในสุด ไขปิดล็อกเงียบๆ
หลังวางกุญแจไว้บนโต๊ะ ผมก็เลื่อนเก้าอี้ย้ายมานั่งหน้าคอม กดเข้ากูเกิลพิมพ์ข้อความ
‘จะง้อผู้ชายยังไงดี’
ให้ตายเหอะ! ไม่นึกเลยว่าในชีวิตต้องมาเสิร์ชหาอะไรแบบนี้
แถมแต่ละบทความหรือคำถามที่ค้นหาเจอ ยิ่งคอยตอกย้ำเข้าไปใหญ่ว่าผมไม่ใช่ผู้หญิง แต่กำลังจะเอาวิธีการของพวกเธอไปใช้ง้อผู้ชายให้หายโกรธ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามปลอบใจตัวเอง เอาน่า อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีแนวทาง แม้แอบกังขาว่าจะใช้ได้ผลลัพธ์หรือเปล่าก็ตาม
ผมลุกไปหยิบกระดาษเปล่ากับปากกาบนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วกลับมาหน้าคอมอีกครั้ง เริ่มต้นหาข้อมูลมากกว่านี้ พลางจดวิธีง้อที่อ่านแล้วเข้าท่าลงไป เสร็จแล้วก็เอาไปแปะติดบนโต๊ะให้เห็นชัดๆ กวาดมองทุกข้อแนะนำ ก่อนเลือกวิธีการที่พอทำได้มาใช้ก่อน
…ง้อด้วยของที่ชอบ
ที่คิดออกตอนนี้มีแต่ของกินทั้งนั้น เลื่อนสายตาไปที่หัวข้อบนๆ มีคำว่าเซอร์ไพรส์เขียนอยู่ ถ้าเอามารวมกันก็น่าจะดี ไม่สิ นอกจากง้อแล้ว ผมน่าจะจีบมันไปด้วยเลย
จะได้เข้าตำรายิงทีเดียวได้นกสองตัว!
คิดได้อย่างนั้นผมก็คว้ากระดาษใบใหม่ไปนั่งหน้าคอม เสิร์ชหา ‘วิธีจีบผู้ชาย’ แล้วไล่อ่านกับจดวิธีที่น่าสนใจใส่กระดาษไปแปะไว้ข้างวิธีง้อ
ผมมองกระดาษทั้งสองแผ่นสลับไปมา…ถ้าไม่ได้ผลแล้วมันยังกล้าเมินกันอีกนะ ผมจะ…แจกยิ้มหวานใส่ชาวบ้านให้หมาบางตัวหึงเล่น ถ้ายังไม่ได้ผลก็ใช้แผนสอง จะ…จะ… กัดฟันเค้นความคิดบางอย่างออกมา
จะแก้ผ้ายั่วมันให้ดู!
เพียงแค่นึกภาพตามก็อยากมุดดินหนีแล้ว ผมรีบยกมือลูบหน้าร้อนอย่างกับโดนเผา
ย…อย่างน้อย ถ…ถ้าต้องทำจริงๆ ขะ ขอเหลือกางเกงในติดกายไว้สักชิ้นเถอะ
-------------
เพราะเวลาไม่เคยรอใคร และไม่รู้พาร์จะอดทนรอได้อีกแค่ไหน ดังนั้นลงมือเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
ผมตื่นแต่เช้าลงมาทำข้าวกล่องแทนออกไปวิ่ง ทำเสร็จก็ต้องรีบอาบน้ำมามหาลัย โชคร้ายที่วันนี้ตรงกับวันพุธ โอกาสบังเอิญเจอตอนเช้าถึงเที่ยงเป็นศูนย์ ทางเดียวคือต้องไปดักรอ
ผมมีไอเทมช่วยเหลือ ตารางเรียนของมันนั่นเอง รู้ทั้งสถานที่และเวลา บวกกับนิสัยมัน ผมเลยกะเวลาไปดักรอได้ถูก เสียอย่างเดียวพาร์ดันมีเรียนแปดโมงครึ่ง ผมเลยต้องรีบหน่อย ผมไปถึงมหาลัยเจ็ดโมงสี่สิบห้า คนบางตามากเลยหาทำเลดีๆ ในมุมที่คนอื่นเห็นผมยาก แต่ผมกลับเห็นได้ชัดว่าใครเดินเข้าออกตึกบ้างนั่งรอ
จากที่รีบจนหัวฟู มาตอนนี้แทบจะสัปหงก เผลออ้าปากหาวครั้งแล้วครั้งเล่า ตาอยากปิดเต็มแก่
เวลา…หมุนเร็วๆ หน่อยสิ
เลยแปดโมงมานิดหน่อย ผมเริ่มตื่นตัวเพราะเสียงผู้คนที่ดังมากกว่าเก่า มองเวลาบนมือถือก็พยักหน้ากับตัวเอง ได้เวลาที่พาร์มาถึงมหาลัยแล้ว
แปดโมงสิบนาที…ยังไม่เห็นวี่แววพาร์
แปดโมงสิบห้า…ผมเริ่มขมวดคิ้ว
แปดโมงยี่สิบ…รับรู้ถึงความผิดปกติ ทุกทีพาร์จะมาถึงก่อนเวลาเข้าเรียนประมาณยี่สิบนาที อย่างช้าสุดก็สิบนาที เปอร์เซ็นต์น้อยมากที่มันจะมาสายหรือไม่มา ผมพยายามทำใจเย็นๆ รอคอยต่อ
แปดโมงยี่สิบห้า…ผมเริ่มนั่งนิ่งไม่ได้ ใจก็เริ่มฟุ้งซ่านด้วยความกังวล
คงไม่ได้เจออุบัติเหตุ ไม่ๆ คงเจอรถติดนั่นแหละ หรือไม่คงขึ้นตึกไปแล้วโดยที่ผมไม่เห็น
ระหว่างคิดหาเหตุผลไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปกว่านี้ คนที่รอมาเกือบชั่วโมงก็โผล่หน้ามาให้เห็นจนได้ ผมรีบกวาดตาสำรวจมันเร็วๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ปกติดี ไม่มีแผล เฮ้อ~
แต่...ไหงสีหน้าอย่างกับจอมมาร!
ขนาดผมอยู่ตั้งห่างยังสัมผัสได้ถึงรังสีมาคุ ไม่แปลกเลยที่เห็นคนรอบมันพร้อมใจกันหลบ เปิดทางให้จอมมารเดินขึ้นตึกอย่างสะดวกสบาย เห็นพาร์กำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างหนัก ผมก็แอบผวา รู้สึกตัวเองมาผิดจังหวะอย่างแรง
…เอาวะ มาดักรอขนาดนี้ จะทำตัวหัวหดได้ไง!
ผมลุกขึ้นยืน มองเวลาในมือถือ แปดโมงยี่สิบเจ็ดนาที มันเหลือสามนาทีเพื่อขึ้นเรียนให้ทัน ส่วนผมขอแค่นาทีเดียว ไม่สิ สามสิบวิก็พอ ขอแค่นี้แหละ
หลังเก็บมือถือลงกระเป๋า คว้าถุงข้าวบนโต๊ะรีบเดินกึ่งวิ่งไปขวางหน้าจอมมารอย่างกล้าหาญ กลั้นใจสบตากับอีกฝ่ายที่ชะงักเท้าก่อนเดินชนผม แววตาพาร์ดูตกใจย่างเห็นได้ชัด
ผมยืนอักอักอยู่แปบหนึ่งก็เอ่ยปาก “หวัดดี” ทักแค่นั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยจับมือพาร์ขึ้นมา ยัดถุงใส่กล่องอาหารให้ ทำเป็นไม่เห็นสีหน้ามึนงงของคนรับ เม้มปากด้วยความกระดาก แต่ก็ทำใจกล้าพูดประโยคที่พยายามคิดมาเมื่อเช้า
“กูทำด้วยใจ กินให้อร่อยนะมึง”
ผมข่มความกระดากอาย คลี่ยิ้มที่พยายามฝึกอยู่หน้ากระจกเมื่อคืนเป็นการปิดท้าย แม้รู้สึกว่าไม่เหมือนยิ้มที่ฝึกมาก็เถอะ เห็นพาร์เปิดตากว้าง ยืนตัวแข็งทื่อก็รู้สึกว่าผิดท่า ผมหุบยิ้มลงทันที รีบเบี่ยงตัวหลบคนตรงหน้า จ้ำเท้าหนีจากมาด้วยหน้าร้อนผ่าว…
มีรูอยู่ตรงไหนไหมครับ ผมอยากมุดดินหนี!
-------------
ระหว่างนั่งเขี่ยข้าวกลางวันด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวที่แผนเมื่อเช้าล้มเหลวไม่เป็นท่า มือถือผมก็ส่งเสียงข้อความเข้าเลยหยิบออกมาดูด้วยความเซ็งจิต เห็นว่าใครส่งมาก็เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง
ข้อความแรกในรอบสามวัน!
ผมรีบกดเข้าไปดูทันที ต่อให้เป็นแค่สติกเกอร์ตัวเดียว ผมก็ดีใจอ่ะ
PAR: รูปถ่ายกล่องข้าวหมดเกลี้ยง
แค่เห็นก็เผลอฉีกยิ้มกว้าง ดีต่อใจคนทำอาหารจริงๆ ระหว่างกำลังปลื้มปริ่ม ข้อความใหม่ก็มา
PAR: อร่อย แต่ใจมึงไม่เห็นหวาน
ผมหุบยิ้มทันที…อยากได้หวานนักใช่ไหมได้! รีบกดออกแอพไลน์ เข้าแอพสมุดโน้ต กะพิมพ์ไว้เตือนตัวเอง ระหว่างพิมพ์ก็หวนนึกถึงกระดาษสองใบบนโต๊ะ
วิธีง้อข้อที่5 ‘อยากให้หายโกรธเร็วๆ ไม่ควรขัดใจเวลาง้อ’
วิธีจีบข้อที่4 ‘ตามใจได้ก็ควรทำ คุณจะได้คะแนนในสายตาเขาเพิ่ม’
ตามองตัวอักษรที่ขึ้นมาทีละตัว แล้วอมยิ้ม
‘ข้าวกล่องพรุ่งนี้พาร์อยากได้รสหวาน’
-------------
วันพฤหัส…ผมไม่ต้องดักรอนานเหมือนเมื่อวาน เพราะเป้าหมายของผมเล่นนั่งรอในจุดที่มองไปก็เห็นตัว…เด่นกว่าเมื่อวานอีก ผมข่มใจเดินเข้าไปหา วางถุงกล่องข้าวไปบนโต๊ะตรงหน้าพาร์ อีกฝ่ายก็ยื่นถุงกล่องข้าวเมื่อวานกลับมาให้ด้วยสีหน้านิ่ง แต่แววตาวิบวับ ออร่าจอมมารก็ไม่มีแล้ว
ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกลา พาร์ก็พยักหน้ากลับ ต่างคนต่างผละจากกันทั้งแบบนั้น
ถึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นกว่าเมื่อวานโข
แค่นั้นผมก็พอใจแล้วครับ
ระหว่างทานข้าวกลางวัน ผมนั่งจ้องมือถือสลับกับตักข้าวเข้าปาก รอคอยข้อความอย่างใจจดใจจ่อ เกือบเที่ยงครึ่ง สิ่งที่ผมรอคอยก็ปรากฏ ผมรีบปลดล็อกหน้าจอเข้าแอพไลน์ทันที
PAR: รูปถ่ายกล่องข้าวหมดเกลี้ยงคู่กับขวดน้ำว่างเปล่า
ผมกลั้นยิ้มเต็มที่ ไม่คิดว่าพาร์จะกินหมดเกลี้ยง อ้อ ลืมไปว่ามันชอบรสหวาน
PAR: อร่อย แต่วันนี้หวานพอแล้ว
ผมขำจนข้าวเกือบติดคอ หลังคว้าขวดน้ำมาดื่มจนหายสำลักก็พิมพ์ถามมันไป แม้ข้อความจะเลี่ยนไปนิด แต่ง่ายกว่าตอนพูดต่อหน้ามันเยอะ
TEE: พรุ่งนี้อยากให้ใจกูมีรสอะไร
PAR: ทุกรส!
-------------
วันศุกร์…ตอนผมส่งข้าวกล่องให้ แววตาพาร์ดูหวาดระแวงหน่อยๆ
ผมเพียงแค่อมยิ้ม รับกล่องข้าวของเมื่อวานกลับมา มีข้อความแปะไว้ว่าล้างให้แล้วเหมือนเมื่อวาน ตอนผละจากมาในใจผมคาดหวังเต็มเปี่ยมว่า กลางวันนี้จะต้องได้ข้อความจากพาร์มากกว่าเดิม
อีกครั้งที่ผมนั่งกินข้าวไป จ้องมือถือไป รอคอยด้วยความตื่นเต้น
วันนี้ข้อความจากพาร์มาเร็วกว่าที่คิด ผมรีบเปิดดูด้วยแววตาวิบวับ พาร์ถ่ายกับข้าวแยกมาห้ารูปเลยครับ มีข้อความกำกับต่อท้ายทุกรูป
PAR: หวานไปไหน
PAR: เค็มไปแล้ว
PAR: เผ็ดโคตร!
PAR: มึงทำมะนาวตกลงไปเรอะ!
PAR: กูเกลียดไอ้นี่!
กับข้าวอย่างสุดท้ายคือมะระผัดไข่ครับ รสขมนั่นเอง ถ้ารวมข้าวเปล่าที่เป็นรสจืดด้วยก็ครบทั้งหกรส ผมกลั้นขำจนตัวสั่น ก่อนปล่อยหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ยามเห็นรูปกลุ่มขวดน้ำดื่มที่พาร์ส่งมา สามในห้าขวดหมดเกลี้ยงไปแล้ว
PAR: ผัดเผ็ดหมูชิ้นของมึงแทบทำกูพ่นไฟได้ ใช้น้ำดับไฟในคอตั้งขวดกว่า!
TEE: ทุกรสตามที่มึงรีเควสไง แล้วอร่อยไหม?
PAR: เออ!
PAR: แต่วันนี้กูจะให้เพื่อนได้ชิมความแสบของมึง
PAR: พวกมันจะได้เลิกจ้องตาเป็นมัน เตรียมจะฉกกับข้าวกูไปสักที!
TEE: จะแบ่งใจกูไปให้คนอื่นเหรอ?
พาร์เงียบไปเลยครับ แต่นาทีต่อมาก็ส่งข้อความมาสั้นๆ
PAR: กูกินเองก็ได้!
TEE: ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน
PAR: ไหว
TEE: เอางี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูขอแก้ตัว มึงมากินข้าวบ้านกูสิ : )
พาร์เงียบไปนานกว่าจะตอบกลับมา
PAR: มึงกำลังจีบกู…ใช่หรือเปล่า?
TEE: คิดว่าไงล่ะ?
PAR: ถ้าใช่…พรุ่งนี้กูจะไป
ผมยิ้มสมใจใส่หน้าจอมือถือ พิมพ์ทิ้งท้ายสั้นๆ
TEE: กูจะรอ
เยส!
ผมกำหมัดอย่างดีใจ กลับบ้านเมื่อไหร่จะไปขอบคุณแผนการจีบกับง้อที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ขอบคุณจริงๆ!
เงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาแปลกๆ จากพี่ดิน สบตากันปุ๊บพี่ดินก็รีบละสายตาหนีปั๊บ
“…กินเสร็จเมื่อไหร่ช่วยทิ้งความเพี้ยนไปพร้อมกล่องข้าว แล้วค่อยมาช่วยงานพี่ เข้าใจนะ”
“…ครับ”
“จริงสิ” สีหน้าพี่ดินเหมือนนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ “ทดสอบหนีครั้งแรกของสะใภ้คณะมีขึ้นวันอาทิตย์นี้ใช่ไหม?”
ผมชะงักก่อนพยักหน้ารับว่าใช่ ช่วงนี้มัวแต่คิดเรื่องอื่นจนลืมเรื่องนี้ไปเลย
“ถ้าทีหนีรอดมือพาร์ในการทดสอบได้ พี่จะให้รางวัล กลับกันถ้าพาร์จับเราได้ พี่จะให้รางวัลพาร์แทน”
“รางวัลอะไร?” ผมถามอย่างสนใจ
“ชนะให้ได้ก่อนค่อยมาถาม แล้วบอกพาร์ไปยัง?”
ผมส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนๆ ให้พี่ดินที่มองมาตาดุ
“รีบไปบอกซะ อีกฝ่ายจะได้ไม่ติดธุระไปไหน”
“งั้นผมฝากพี่ไปบอกแล้วกัน ให้พี่พูด ต่อให้มันติดธุระก็ต้องมาอยู่ดี”
พี่ดินจ้องตาดุใส่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกลับมา ปฏิกิริยาปกติเวลาพี่ดินไม่ปฏิเสธจะช่วยเป็นธุระให้ ผมลอบถอนหายใจ แอบนึกขอบคุณพี่ประธานนิติเงียบๆ
แต่แล้วช่วงสี่ทุ่มกว่า ข้อความที่พาร์ส่งมา ทำรอยยิ้มที่มาทั้งวันหุบลงทันที
PAR: พรุ่งนี้กูไปบ้านมึงไม่ได้แล้ว
TEE: ทำไม?
PAR: กูไม่ว่าง มีนัดแล้ว
หลังเหม่อมองข้อความสั้นๆ ความกังวลไม่มีที่มาที่ไปก็พุ่งจู่โจมใส่ดุจพายุ และคงสงบไม่ได้จนกว่าจะได้คำตอบ ผมลุกจากเตียง เดินหน้าขรึมไปเคาะห้องน้องสาว รอจนน้ำมาเปิดประตูก็พูดออกไปทันที
“ช่วยอะไรพี่สักอย่างสิ”
“…อะไรคะ?”
“สืบให้พี่หน่อย พรุ่งนี้พาร์จะไปไหน”
สาวน้อยของผมประสานงานกับเบอร์ดี้สืบหาข่าวได้รวดเร็วมากครับ ผมรอแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้คำตอบ
[พี่พาร์มีนัดกับเพื่อนสมัยมัธยมต้นไปเที่ยวที่สยามวันพรุ่งนี้ค่ะ]
ปลายสายบอกมาเสียงใสผ่านลำโพงมือถือน้ำ แต่ผมก็ยังรู้สึกกังวลแปลกๆ จนต้องถามออกไป
“แค่นั้น?”
[ใช่ค่ะ หนูรู้แค่นี้ แต่ถ้าพี่ทียังกังวลอยู่ เดี๋ยวหนูแอบสืบเพิ่มให้ ได้ความว่าไงหนูจะโทรไปรายงานนะ]
“ขอบใจนะ”
[ยินดีค่ะ]
หลังวางสายผมก็เจอรอยยิ้มล้อเลียนของยัยน้ำ จึงปั้นหน้าขรึมใส่น้อง
“อะไร?”
“ไม่มี๊” น้องสาวปฏิเสธเสียงสูง “พี่กลับห้องไปเลย น้ำจะนอนแล้ว”
ผมเห็นจะห้าทุ่มแล้ว เลยทำตามที่น้องบอกโดยดี แต่ก่อนปิดประตูห้องดันได้ยินเสียงหัวเราะประหลาด
“หุๆ”
ผมรีบดึงประตูห้องนอนปิด แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่กลับโดนเสียงหัวเราะประหลาดตามหลอกหลอนไปถึงในฝัน แถมยังมาปนเปกับเรื่องพาร์…เช้าวันต่อมาผมเลยนอนหมดสภาพอยู่บนพรมหน้าโซฟา ปล่อยฮิเมะปีนขึ้นมานอนขดอยู่บนท้อง น้องอันนั่งจ้องทีวีตาไม่กระพริบอยู่ข้างๆ
“เป็นอะไรหือ?”
ผมมองพ่อถือหนังสือพิมพ์เดินหลบผมไปนั่งโซฟา “…ก็แค่ฝันร้าย”
“งั้นก็ขึ้นไปนอนข้างบน”
ผมส่ายหน้า นอนตรงนี้ยังหลับอย่างสบายใจได้มากกว่าอีก
“แล้วน้ำล่ะ?” ผมถามเพราะไม่เห็นน้องสาว
“อยู่ในครัวกับแม่ ให้แม่สอนทำขนมง่ายๆ อยู่ เห็นว่าอาทิตย์หน้าต้องทำไปส่งครู”
“อ้อ”
จำได้ว่าน้องสาวเคยขอให้พาร์ช่วยสอน แต่สงสัยจะไม่ทันแล้วเลยขอให้แม่สอนแทน
“แล้วคืนวาเลนไทน์ว่าไง ตกลงว่า…”
ผมเมินคำพูดพ่อ แกล้งทำเป็นหลับทันที ไปๆ มาๆ ดันเผลอหลับจริง มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนโดนเขย่าตัว
“พี่! พี่ทีตื่นเดี๋ยวนี้!!”
ลืมตางัวเงียขึ้นมาก็เจอสีหน้าร้อนใจของยัยน้ำ
“พี่ลุกเลย!”
“หือ?”
“ตื่นยังเนี่ย ไปข้างบนกับน้ำเดี๋ยวนี้เลย”
ผมทำหน้างงใส่น้อง แต่ก็ยอมลุกตามแรงฉุด เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง น้ำเปิดประตูห้องผม ผลักพี่ชายเข้าไป แล้วสั่งเสียงเคร่งเครียด “รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เราจะไปข้างนอกกัน”
“ไปไหน?”
“สยาม”
“ไปทำไม?”
น้ำสูดลมหายใจเข้า แววตาขุ่นมัว “เมื่อกี้เบอร์ดี้โทรมาบอกน้ำว่า นอกจากพี่พาร์จะไปเที่ยวกับเพื่อนแล้ว ยังจะไปเที่ยวกับผู้หญิงด้วย!”
ทันทีที่ได้ยินใจผมพลันกระตุกวูบ
“พี่รีบอาบน้ำเหอะ”
ผมพยักหน้าเคร่งขรึมให้น้อง รีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัว แต่ก่อนประตูจะปิด น้ำเสียงจริงจังของน้องสาวก็ดังมาอีกรอบ
“รอน้ำด้วยนะ น้ำจะไปด้วย!”
############