ตอนที่ ๑๐
เช้าวันใหม่อาทิตย์แสดงความต้องการที่จะขับรถไปส่งอาทีที่โรงเรียนเอง โดยให้เหตุผลว่าอยากที่จะไปสูดเอาบรรยากาศตอนที่ตนยังใช้ชีวิตเป็นนักเรียนอยู่ที่นั่น หากโชคดีเจออาจารย์ที่เคยอบรมสั่งสอนก็อยากที่จะเข้าไปกราบทำความเคารพบ้าง
“ถนนเส้นนี้มันเปลี่ยนไปมากตอนที่พี่ไม่อยู่ ให้ลุงไกรขับไปส่งผมน่ะดีแล้วครับ” อาทีหาข้อแย้งเพราะยังรู้สึกญาติดีกับพี่ชายได้ไม่สนิทใจนัก
“พี่เขาอุตส่าห์หวังดีอยากขับรถให้นั่งยังจะมาตั้งแง่อีกนะไอ้อาที เดี๊ยะ ให้เดินไปเองซะนี่” จิตราที่ยืนอยู่ด้วยเอ่ยว่ากระทบ เช้าๆ แบบนี้จันทร์จวงยังไม่ทันได้ออกมาถือหางลูกชายคนเล็กของหล่อน หล่อนจึงเสียงดังได้เต็มปาก
“ให้ผมไปเองก็ดีสิครับ ผมจะได้ไปกับไอ้อิทมัน แม่กล้าหรือเปล่าล่ะ” อาทีหันไปเอ่ยกับมารดา ซึ่งตอนนี้พอได้ยินชื่ออิทธิ ใบหน้าเจ้าตัวถึงกับตึงให้เห็น
“เป็นลูกไปเอ่ยท้าทายแม่ได้ไงอาที ไม่ไหวนะนาย” อาทิตย์ตำหนิน้องชาย ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายตนถึงได้ติดหนึบนายอิทธินั่นนักหนา
“มันเคยเคารพแม่ที่ไหนล่ะอาทิตย์ แม่ว่าลูกอย่าไปยุ่งกับมันเลยนะ มันไม่อยากให้ไปส่งก็ไม่ต้องไป อยากจะไปในเมืองไปกับแม่ก็ได้ แม่จะพาไปกราบคนโน้น ไหว้คนนี้เอง จะอวดซะหน่อยว่าลูกแม่งามทั้งรูป สูงทั้งการศึกษา ไม่ได้เป็นลูกชาวป่าชาวดอยธรรมดา แม่ว่านะหากคนเมืองนี้ได้เห็นลูกตอนนี้จะต้องชื่นชม ชื่นชอบกันแน่ๆ ทีนี้ล่ะแม่จะเดินยืดอกเชิดหน้าซะให้พอ หลังจากที่ไม่ได้ดั่งใจจากลูกนอกคอกแถวนี้มานาน” ถึงตอนนี้จิตราชายตามองบุตรชายคนเล็กหมิ่นๆ อาทิตย์มองตามผ่อนลมหายใจอย่างหนักใจในกิริยาน้องชายที่ส่ายหน้าคล้ายเอือมระอาในคำพูดและการกระทำของมารดา ก็เข้าใจว่ามารดาตนน่ะพูดเกินไปหน่อย แต่อย่างน้อยท่านก็เป็นผู้ให้กำเนิด น้องชายตนนี่มันเหลือเกินจริงๆ
“ถ้าแม่จะทำขนาดนั้นผมแนะนำให้แม่จัดขบวนรถแห่พี่อาทิตย์รอบเมืองเลยดีกว่าคนทั้งจังหวัดจะได้ชื่นชมทั้งลูกทั้งแม่สมใจ” อาทีเอ่ยขึ้นในขณะอาทิตย์กำลังหนักใจ ชายหนุ่มหันมองน้องชายอย่างเต็มตาเมื่อได้ฟังเจ้าตัวเอ่ยจบ กำลังจะเอ่ยปากต่อว่าที่กล้าล้อตนกับมารดา แต่แล้วก็ไม่ทัน เมื่อเจ้าตัววิ่งลงจากเรือนไปพร้อมคำพูดทิ้งท้ายกับคนขับรถ
“ลุงไกรไม่ต้องไปส่งผมนะครับ ผมจะซ้อนท้ายจักรยานไอ้อิทไปเอง”
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะขับรถไปส่งแกอาที” อาทิตย์วิ่งไปส่งเสียงบอกน้องชายที่ชานเรือน คิดว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ยิน เมื่อสายตามองเห็นแค่หลังไวไว
“ปากคอมันร้ายขึ้นทุกวัน กระแนะกระแหนแม่ล่ะเก่งนัก สงสัยยัยแม่นางมันสอนมา ฮึ! อยากอวดดีกับฉันก็เอา” จิตราเอ่ยคาดโทษตามหลัง อาทิตย์หันหน้ากลับมามอง เห็นสีหน้ามารดาแสดงถึงความโกรธเคืองก็รู้สึกไม่สบายใจ กลัวเหลือเกินว่าเรื่องราววุ่นวายจะเกิดขึ้นในไร่นี้อีก
“เดี๋ยวผมขับรถไปรับมันตรงปากทางไร่ก็ได้ครับแม่” ชายหนุ่มเอ่ยบอกมารดาและไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ ร่างสูงวิ่งลงจากเรือนขอกุญแจรถจากลุงไกรแล้วตรงขึ้นรถขับออกจากเขตเรือนทันที
ทางฝั่งอาทีที่คะยั้นคะยอขอซ้อนท้ายรถจักรยานอิทธิได้สำเร็จหลังจากที่โดนเจ้าตัวไล่ให้กลับมาขึ้นรถของคนขับรถแต่เด็กหนุ่มไม่ยอมท่าเดียว
“มึงนี่นะ หาเรื่องให้กูอีกสิเนี่ย” อิทธิต่อว่าขณะทำหน้าที่ปั่นจักรยานให้อาทีซ้อนท้ายไปตามถนนที่จะออกไปทางปากทางของไร่ที่เชื่อมต่อไปยังโรงเรียน
“กูหมั่นไส้แม่กับพี่อาทิตย์นี่หว่า ไม่รู้จะเห่ออะไรกันนักหนา” อาทีบอก อิทธิไม่รู้จะปลอบยังไงเพราะตนก็เป็นคนนอก พูดอะไรมากไปก็ดูจะไม่ดี เด็กหนุ่มจึงปั่นจักรยานต่อไปเงียบๆ กระทั่งเกือบจะถึงปากทางจึงชะลอความเร็วลงเมื่อสายตาแลเห็นรถยนต์คันคุ้นตาจอดอยู่ริมถนน
“รถลุงไกรนี่หว่าอาที สงสัยมาดักรอมึงมั้ง” เด็กหนุ่มบอกเพื่อนในขณะที่เท้ายังปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ อาทีเยี่ยมหน้าออกไปมองบ้าง
“กูว่าไม่ใช่ลุงไกรว่ะ” หนุ่มน้อยบอกออกมา คนได้ฟังนึกงงจึงถาม
“ไม่ใช่ลุงไกรแล้วจะใคร ก็นั่นมันรถที่แกขับรับส่งมึงประจำ”
“พี่อาทิตย์” อาทีตอบออกมาเสียงนิ่ง แล้วก็ต้องร้องโอ้ยออกมาเมื่อใบหน้าทิ่มชนหลังคนข้างหน้าเต็มแรง สาเหตุเกิดจากที่ฝ่ายนั้นหยุดรถอย่างกะทันหันหลังฟังคำตนจบ
“จะหยุดรถก็บอกกูบ้างสิวะ” หนุ่มน้อยโวยใส่เพื่อน พลางลงจากจักรยานยืนลูบหน้าตัวเองบรรเทาอาการเจ็บ
“เฮ้ย! กูขอโทษ” อิทธิรีบเอ่ยขอโทษ เผลอเอื้อมมือไปลูบหน้าเพื่อน จังหวะนั้นอาทิตย์ได้ออกมาจากรถมองเห็นเข้าพอดี
“เฮ้ย! ทำอะไรกันวะ” ชายหนุ่มตะโกนถามลั่นเมื่อรู้สึกแปลกๆ กับภาพที่เห็น งามหน้ามั้ยล่ะ เด็กผู้ชายมายืนลูบหน้ากันริมถนน เกิดคนรู้จักขับขี่รถผ่านไปมาเห็นจะคิดกันยังไง
สองหนุ่มที่ยืนคู่กันหันไปมองทางต้นเสียงที่ตะโกนมา ต่างคนต่างผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นอาทิตย์เดินแกมวิ่งเข้ามาหา
“เสียงดังเหมือนแม่ไม่มีผิด” อาทีบ่นแค่เบาๆ อิทธิหันมองหน้าเอ่ยบอก
“มึงไปโรงเรียนกับเขาเถอะ กูไปก่อนล่ะ” เด็กหนุ่มคิดจะเลี่ยงหนีเพราะไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับคนที่ตนยังไม่อยากญาติดีด้วยเท่าไหร่นัก
“เฮ้ย ทิ้งกูได้ไงวะ” อาทีรีบแย้งพลางเอื้อมมือไปคว้าแขนเพื่อนไว้ พร้อมๆ กับที่อาทิตย์พาร่างสูงมายืนอยู่ด้วยพอดี
“ไปกับฉันอาที ฉันจะขับรถไปส่ง” ชายหนุ่มเอ่ยบอกน้องชายพลางส่งสายตาว่าไม่พอใจที่เห็นน้องชายถึงเนื้อถึงตัวเพื่อนชายท่ามกลางที่โล่งแจ้งแบบนี้
“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้ผมอยากนั่งจักรยาน” อาทีตอบพร้อมกับปล่อยมือออกจากแขนอิทธิ
“เศษเหล็กพังๆ แบบนี้จะพานายถึงโรงเรียนกี่โมงกัน” อาทิตย์ได้ทีแขวะ ทุกทีสิน่าเวลาอยู่ใกล้กันทีไรทำไมถึงรู้สึกได้ถึงรังสียโสและโอหังของนายอิทธิได้ทุกครั้ง ดูมันมองมาสิ ถ้าสายตามันเป็นมีด คอเขาคงขาดกระเด็นแล้วมั้งป่านนี้
“มองทำไม จะไปก็ไปสิ เดี๋ยวน้องฉันฉันไปส่งเอง” ชายหนุ่มเอ่ยบอกในตอนที่เห็นสายตาคมดุของอิทธิมองตนไม่กระพริบ
“เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ” อิทธิอดไม่ได้ที่จะแขวะกลับก่อนจะรีบปั่นจักรยานหนีไป
“ปากดีนักนะ” อาทิตย์เอ่ยลอดไรฟันตามหลังพลางมองตามร่างอิทธิที่กำลังห่างสายตาไปเรื่อยๆ
“เฮ้ย! ไอ้อิทรอกูด้วย” อาทีทำท่าจะวิ่งตาม อาทิตย์รีบฉุดแขนไว้พลางลากไปทางรถที่ตนจอดอยู่
“ไม่อยากสายก็ตามมา” ชายหนุ่มเอ่ยสั่งน้องชายออกแรงบีบข้อมือเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยกระทั่งจับร่างโยนใส่เบาะหลังรถได้สำเร็จ ส่วนตัวเองก็รีบทำหน้าที่เป็นคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์ได้ก็ออกรถตามหลังอิทธิขับจี้เจ้าตัวอย่างจงใจพลางบีบแตรไล่อย่างนึกสนุก
“ไปแกล้งไอ้อิทมันทำไมพี่อาที” อาทีเอ่ยต่อว่าพี่ชายเมื่อเห็นเจ้าตัวหัวเราะชอบใจที่เห็นอาการตกใจของอิทธิตอนตัวเองกระหน่ำบีบแตรรถไล่หลัง
“ไม่เห็นเหรอว่ามันปากดีใส่ฉัน” อาทิตย์ตอบน้องชายพลางขับรถไล่จี้ให้อิทธิปั่นจักรยานตกลงไปตามไหล่ทางจนเสียหลักล้มลงจึงได้ขับแซงไปอย่างไม่แยแส อยากปากกล้ากับเขาก่อนทำไมล่ะ จักรยานปั่นด้วยความเร็วแค่นั้นล้มลงไปแค่นี้อย่างดีก็คงแค่แผลถลอก มันคงไม่คอหักตายง่ายๆ หรอกมั้งถ้าไม่สำออย ชายหนุ่มยิ้มเยาะออกมาหน่อยๆ เมื่อมองกระจกมองหลังเห็นอิทธิยันกายลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือ
“พี่อาทิตย์ ทำไมพี่ทำได้ขนาดนี้ จอดรถเลยนะผมจะไปดูไอ้อิท” อาทีโพล่งปากว่าพี่ชายพร้อมออกคำสั่ง รู้สึกเหลือทนกับการกระทำอันธพาลของพี่ชาย
“มันไม่เป็นไรหรอก เห็นมั้ยว่ามันลุกขึ้นได้แล้ว แกอยู่เฉยๆ เหอะ นี่มันสายแล้วนะ” อาทิตย์ตอบกลับน้องชายดุๆ อาทีไม่รู้จะโต้กลับยังไงเพราะรู้สึกจุกกับการกระทำของพี่ชายจนพูดไม่ออก เด็กหนุ่มจึงนั่งนิ่งข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ คิดว่าเมื่อถึงโรงเรียนค่อยถามไถ่อาการเพื่อนเอา
รถจอดเทียบหน้าโรงเรียน อาทีเปิดประตูรถได้ก็พาร่างวิ่งกลับไปยังทางเดิมที่คิดว่าอิทธิกำลังปั่นจักรยานตามมา อาทิตย์ส่ายหน้าให้กับอาการร้อนรนของน้องชาย มองนาฬิกาเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาเข้าเรียนจึงหาที่จอดรถแล้วลงเดินไปสมทบ
“ส่งผมแล้วก็กลับไร่ไปสิ หรือจะไปไหนพี่ก็ไปจะมายืนขวางหูขวางตาไอ้อิททำไม” อาทีต่อว่าพี่ชายที่ยืนขนาบร่าง
“ฉันก็เป็นห่วงเพื่อนแกเหมือนกันนะ” อาทิตย์ตอบยียวน อาทีส่ายหน้าระอา ไม่อยากจะต่อปากต่อคำจึงยืนรออิทธินิ่งๆ สักพักก็เห็นเจ้าตัวปั่นจักรยานเข้ามาด้วยมือเพียงข้างเดียว
“เฮ้ย! ไอ้อิท แขนแกได้แผลนี่” อาทีทักเพื่อนอย่างตกใจพลางตรงเข้าไปดูอาการเมื่อเจ้าตัวจอดจักรยานตรงหน้า อาทิตย์ใจกระตุกหน่อยๆ ที่เห็นเลือดสีแดงสดไหลโชกตามแขนด้านซ้ายของคนที่ตนกลั่นแกล้ง บาดแผลจริงๆ เกิดขึ้นที่บริเวณข้อศอกของเจ้าตัวที่ทิ้งรอยเหวอะให้เห็น
“โดนกิ่งไม้ทิ่มน่ะ กูไปห้องพยาบาลก่อนนะ” อิทธิตอบเพื่อนก่อนจะหันมองคนต้นเหตุที่ทำให้ตนได้แผลด้วยสายตาชิงชัง
“ฉันไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้” อาทิตย์ตอบเสียงเบา รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ความคะนองของตนทำให้อีกคนได้แผลขนาดนี้
“คำแก้ตัวของอันธพาลไงไอ้อิท มึงไม่ต้องไปฟังนะ” อาทีไม่ได้เข้าข้างพี่ชาย เพราะรู้สึกรังเกียจการกระทำของเจ้าตัวมาตั้งแต่ต้นแล้ว หนุ่มน้อยมองใบหน้าพี่ชายอีกคน
“เฮ้ย! ฉันขอโทษก็ได้” อาทิตย์เอ่ยออกไปเมื่อถูกสองสายตาจ้องมองราวกับรวมหัวกันเพื่อที่จะเฉือนคอหอยตนให้ขาดสะบั้น
“เก็บเอาคำๆ นี้ไปบอกกับป้าจันทร์เถอะครับ” อาทีเป็นฝ่ายบอกออกมาก่อนจะอาสาเป็นคนปั่นจักรยานให้เพื่อนซ้อนท้ายบ้างเพื่อตรงไปยังห้องพยาบาล อาทิตย์พอเห็นน้องชายเดินไปจับจักรยานและอิทธิยืนเพื่อจะรอซ้อนท้าย จึงใช้ความไวคว้าแขนเจ้าตัวตรงไปยังรถที่ตนจอดอยู่
“แกเอารถเพื่อนแกไปเก็บนะอาที ส่วนเพื่อนแกฉันขับพาเข้าไปห้องพยาบาลเองท่าจะเร็วกว่า” ชายหนุ่มเอ่ยออกคำสั่งในขณะที่สองหนุ่มกำลังตกอยู่ในภาวะมึนงงทั้งสองคน คิดไม่ถึงว่าอาทิตย์จะจบเรื่องลงแบบนี้
บนรถในขณะที่นั่งอยู่ด้วยกันสองคน อิทธิเอาแต่นั่งนิ่งห้ามเลือดตัวเอง ใบหน้าเริ่มแสดงความเจ็บปวดให้เห็น อาทิตย์เหลือบมองเป็นระยะๆ เอ่ยปลอบพลางถาม
“อีกนิดจะถึงแล้ว ห้องพยาบาลยังอยู่ตึกเดิมใช่มั้ย”
“ตึกเดิม” อิทธิตอบห้วนๆ ซี้ดส์ปากข่มความเจ็บปวดที่เริ่มรู้สึกอีกในจังหวะที่อาทิตย์เลี้ยวรถเข้าจอดหน้าตึกห้องพยาบาลพอดี
“ถึงแล้ว ปะ” อาทิตย์ดับเครื่องยนต์เอ่ยชวนคนข้างกายอย่างร้อนรนเช่นกัน ชายหนุ่มลงรถไปก่อนแล้ววิ่งอ้อมไปช่วยพยุงคนเจ็บแผลเดินไปท่ามกลางสายตานักเรียนรุ่นน้องหนึ่งในนั้นคือส้มที่เดินผ่านเข้ามาเห็นพอดี
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดส์....พี่อาทิตย์ ทำไมมาโผล่ที่นี่ได้คะพี่ นี่พี่อาทิตย์จริงๆ ใช่มั้ยคะ กรี๊ดดด...” สาวรุ่นออกอาการจริตแตกวิ่งเข้าเกาะแขนชายหนุ่มที่ตนเคยแอบหลงรักโดยไม่แคร์สายตาใคร อาทิตย์จึงรีบปรามไว้
“ใจเย็นส้ม ใจเย็น นี่พี่เอง ส้มตาไม่ฝาดหรอก ตอนนี้พี่ขอพาอิทไปทำแผลก่อนนะ”
“ต๊าย! ซุ่มซ่ามไปโดนอะไรมายะไอ้ลูกคนงาน ทะเร่อทะร่าสมเป็นลูกยัยแม่นางจริงๆ นะแก” ส้มเอ่ยใส่หน้าอิทธิทันควันเมื่อมองเห็นเจ้าตัวเลือดโชกที่แขน
“คุยกันไปนะทั้งสองคน ขอตัวล่ะ” อิทธิไม่อยากให้เรื่องบานปลายจึงรีบปลีกตัวหนีไป อาทิตย์ทำท่าจะตามไปแต่โดนส้มคว้าแขนไว้ สาวน้อยตะโกนลั่นบริเวณเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี
“ทุกๆ คนค้า นี่พี่อาทิตย์ค่ะ รุ่นพี่ของเราที่นี่คะ เท่มั้ยคะ หล่อมั้ยคะ พี่เขากลับมาหาส้มค่ะ เมื่อก่อนเราสองคนสนิทกันม๊ากมากค่ะ สมกันใช่มั้ยคะ พี่ก็หล่อน้องก็สวย ส้มขอตัวพาพี่เขาไปหาอาจารย์ที่เราสองคนสนิทก่อนนะคะ แล้วจะควงกลับมาให้ชมความหล่อค่ะ รอนะคะ”
เพราะเป็นสาวน้อยจริตสูงเพื่อนๆ ทั้งโรงเรียนจึงค่อนข้างรู้จักส้มในแง่สาวน้อยมากมายา บางคนชื่นชอบ หลายคนเอือมระอา การกระทำของเธอครั้งนี้จึงมีทั้งเสียงโห่เสียงวิ้ดวิ้ว ทุกคนไม่ได้สนใจหรอกว่าเรื่องที่เธอเอ่ยจะจริงหรือเท็จ แต่คนที่ใบหน้าเหลือไม่ถึงคืบก็คืออาทิตย์นั้นเอง ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับหลายสายตาที่จ้องมอง
“มาถึงไร่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ ไม่เห็นแวะไปหาส้มที่เรือนเลย” ส้มกระเง้าขณะลากแขนอาทิตย์เดินไปตามทาง ที่ต้องลากเพราะอาทิตย์พยายามดึงดันไม่เดินตาม
“พี่จอดรถไว้ที่ห้ามจอด พี่ต้องไปเอาก่อนนะส้ม พี่ขอตัวนะ” ชายหนุ่มแกะมือสาวน้อยมากมายาออกจากแขนแล้วรีบตรงไปยังรถจัดการขึ้นขับตรงดิ่งออกจากรั้วโรงเรียนในทันที เพราะรู้สึกอายเกินจะทนอยู่ไหว
“เจอฤทธิ์ยัยส้มเข้าไปเปิดไม่เป็นท่าเลยนะไอ้พี่อันธพาล” อาทีเอ่ยว่าตามหลังเพราะเป็นอีกคนที่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้า เด็กหนุ่มไม่มีเวลาสนใจอะไรเกินกว่านั้นเมื่อรู้สึกเป็นห่วงอิทธิขึ้นมา สองขาจึงรีบเดินตรงเข้าไปยังห้องพยาบาล ไปถึงคนในนั้นก็พันแผลแล้วเรียบร้อย จึงเดินคู่กันออกมา เผชิญหน้ากับส้มอีกครั้ง
“ตอนมาคนเป็นพี่มาส่งตอนออกคนเป็นน้องมารับ ร้ายนะยะ เชื้อประจบสอพลอติดมาจากแม่ล่ะสิ” ส้มเปิดปากราวีทันที เพราะยังรู้สึกขุ่นใจกับการชิ่งหนีอย่างไม่ไว้หน้าตนของอาทิตย์เมื่อครู่อยู่
“ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นผู้หญิงฉันต่อยหน้าแหกไปแล้วนะส้ม” อิทธิชี้หน้าเอ่ยว่า แต่ส้มไม่ได้นึกกลัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงเอ่ยยั่วโทสะได้อีก
“กล้าทำอะไรฉันก็เอาซี้ ถ้าไม่กลัวกระเด็นออกจากไร่ใน 24 ชั่วโมง”
“อย่าอวดตัวเกินไปหน่อยเลยส้ม ถึงแม่เขาจะโปรดพ่อเธอแค่ไหน ยังไงครอบครัวเธอก็เป็นคนอื่น ต่างกับฉันที่เป็นลูก การที่ใครสักคนจะออกจากไร่ น้ำลายของฉันกับเธอ เธอคิดว่าหยดไหนมันจะได้ผลกว่ากัน” อาทีเอ่ยแย้งออกมาเมื่อรู้สึกไม่ชอบใจในกิริยาโอ้อวดของสาวน้อยตรงหน้า เด็กหนุ่มพาอิทธิเดินจากไปทางอื่นทันทีเมื่อเอ่ยจบ ปล่อยให้ส้มยืนร้องยืนกรี๊ดอยู่อย่างคนแค้นเคือง
ทางด้านอาทิตย์พอพาตัวเองออกจากรั้วโรงเรียนได้ก็ขับรถวนดูรอบๆ ตัวเมืองอย่างเลื่อนลอย เมื่อภาพของอิทธิที่ได้บาดแผลจากการกระทำของตนลอยเข้ามาให้เห็นทุกๆ ขณะ
“จะไปคิดถึงมันทำไมนักหนาวะ แผลแค่นั้นมันคงไม่ตายหรอกน่า” ชายหนุ่มบอกตัวเองอย่างหงุดหงิด เจอสายตาใครมาก็เยอะ โต้ตอบคารมกับใครมาก็มีบ้าง แต่ทำไมไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เลือดในกายสูบฉีดได้เท่ากับตอนอยู่ต่อหน้าอิทธิได้เลยก็ไม่รู้ จะว่าโกรธก็ใช่ แต่ก็สนุกทีทุกทีที่ได้ต่อปากต่อคำหรือกลั่นแกล้งพร้อมยั่วโมโหเจ้าตัวให้แสดงอาการออกมาให้เห็น
“เป็นเอามากน่าเรา เฮ้อ” ชายหนุ่มสรุปความคิดให้กับตัวเอง ก่อนจะขับรถลัดเลาะไปตามตรอกซอยที่อยากจะไปดูความเปลี่ยนแปลง พลันสายตาก็ไปสะดุดอยู่ยังร่างๆ หนึ่งที่กำลังยืนจับกลุ่มอยู่กับกลุ่มคนมากมาย
“นั่นมันนายสินนี่หว่า มาทำไมที่ตลาด เวลานี้น่าจะช่วยนายศรทำงานที่ไร่นี่นา” ชายหนุ่มถามตัวเอง แต่ก็ไม่คิดจะหยุดรถไปถามไถ่ ภาพนั้นจึงเป็นภาพสุดท้ายที่ได้มองก่อนจะขับรถกลับไร่เมื่อรู้สึกหิว ตอนนี้ยังไม่อยากจะทานอะไรนอกไร่เท่าไหร่ เพราะคิดถึงสำรับของแผ่นดินเกิดมากกว่าที่ใด
เวลาเกือบจะเที่ยงที่ได้กลับถึงไร่ จอดรถเข้าที่ถามไถ่คนรับใช้ประจำเรือนถึงมารดาและป้า พอได้คำตอบว่าทั้งสองกำลังงีบหลับพร้อมให้คนมานวดกายให้จึงไม่อยากกวน คิดว่าจะลองเข้าไปหาอะไรทานที่โรงอาหารคนงานภายในไร่ดู ที่นั่นน่าจะมีอาหารพื้นเมืองที่ตนห่างลิ้นไปนานได้ลิ้มลองบ้าง
“ว้าย! คุณอาทิตย์มา” เหล่าคนงานที่เพิ่งเจอชายหนุ่มต่างแตกตื่นวิ่งจัดโน่นจัดนี่กันวุ่นวาย อาทิตย์เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ทักทาย ก่อนเดินตรงไปร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งตอนเด็กจำได้ว่าตนชอบมาพูดคุยกับเจ้าของร้านชื่อป้าอ้วน ไม่รู้ว่าตอนนี้แกจะยังอยู่หรือไม่
“คุณอาทิตย์ ต๊าย! รูปงามขนาดนะพ่อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ” คนที่ในใจถามหาวิ่งมาต้อนรับ ชายหนุ่มทักทายถามไถ่กันพอประมาณปิดท้ายด้วยการฝากท้องด้วยอาหารจานโปรด อยู่พูดคุยกับคนงานต่อนิดหน่อย คล้อยบ่ายจึงได้ย้ายไปเรือนสำนักงานบ้าง ที่นั่นพนักงานอยู่กันพร้อมหน้า รวมทั้งนายศรและแม่นาง
“โตเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะคุณอาทิตย์” นายศรทักทาย รู้สึกขัดใจที่เห็นลูกชายคนโตของจิตราทำความเคารพแต่เพียงยัยแม่นางคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ เจ้าตัวเพียงแค่ยิ้มทักทายรวมถึงตนด้วย อีนังแม่นางมันเป็นใครมีอภิสิทธิ์อะไรหลานเจ้าของไร่คนนี้ถึงต้องให้ความเคารพตั้งแต่เด็กจนโต ฮึ่ย!
“นายศรก็ยังดูหนุ่มอยู่เลยนี่นา” อาทิตย์ทักกลับก่อนจะหันไปพูดคุยกับคนอื่นๆ บ้าง ปิดท้ายที่แม่นางเอ่ยปากชวนออกไปคุยตามลำพัง เพราะต้องการขอโทษกับเหตุการณ์ในอดีตที่เคยให้ร้ายเจ้าตัวเรื่องใช้งานคนงานเกินกำลัง
“ดิฉันไม่ถือโทษคุณอาทิตย์หรอกคะ คุณอาทิตย์เป็นหลานของผู้มีพระคุณดิฉัน จะดุจะว่าดิฉันยังไงก็สุดแล้วแต่เถอะค่ะ” แม่นางเอ่ยออกรับก่อนจะเอ่ยถึงบุตรชายตนขึ้นมา
“ส่วนอิทธิหากว่าที่ผ่านมาเจ้าตัวจะทำกิริยาไม่ดีกับคุณอาทิตย์และคุณจิตรบ้างก็อย่าถือโทษเลยนะคะ เขารักแม่ของเขาอะไรที่เขาคิดว่าแม่ของเขาโดนรังแกก็มักจะไม่ยอมแบบนี้แหละค่ะ”
“อืม เรื่องนี้ผมขอเคลียร์กับลูกชายแม่นางเองนะครับ เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอขมาแม่นางในเรื่องที่ผมทำตัวไม่ดีไว้ในอดีตละกัน ส่วนอิทธิ ผมคิดว่าหากเราสองคนจะญาติดีกันจริงๆ มันอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย คือพูดตรงๆ เขารักแม่นางยังไง ผมก็รักแม่ผมอย่างนั้นเหมือนกัน ขอเวลาให้ผมกับเขาเคลียร์กันเองน่าจะดีกว่า” อาทิตย์เอ่ยตอบ แม่นางไม่มีอะไรคัดค้านจึงขอตัวเข้าไปทำงานต่อ อะไรมันจะเกิดจากนี้ก็สุดแล้วแต่โชคชะตาจะบันดล เข้าใจว่าอาทิตย์พูดถูก ลูกชายนางรักและเคารพนางยังไง อาทิตย์ก็คงจะรักและเคารพจิตราแบบนั้นเช่นกัน จะผิดหน่อยก็ตรงที่นางไม่เคยคิดร้ายกับจิตราเลยสักแม้วินาที แต่จิตรานี่สิ หายใจเข้าออกดูจะร้ายใส่นางได้ทุกยาม นี่แหละคือปัญหาหลักที่อาจจะทำให้ลูกชายนางกับลูกชายคนโตฝ่ายนั้นไม่ลงรอยกันได้สักที กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นรอยแค้นที่ฝังรากลึกลงในใจคนทั้งสองจนยากที่จะเหลียวมองส่วนดีของกันและกัน หากว่าจิตราไม่ยอมรามือจากการร้ายใส่ตน