...
..
เช้าวันถัดมา หลังจากรวีไปส่งคนรักที่มหาวิทยาลัยและกลับมาทำงานที่บริษัทของตนได้สักพัก เขาก็ได้รับการติดต่อจากบิดาซึ่งโทรมาเน้นย้ำอีกครั้งว่า อย่าลืมไปรับญาติคนนี้ให้ด้วย
"รู้แล้วล่ะครับ! ไม่ต้องโทรมาย้ำแบบนี้ก็ได้ ผมรับปากไปแล้วไม่เบี้ยวหรอกน่า!"
ทางปลายสายพอได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดเช่นนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตามมา
"ฉันรู้ว่าแกไม่อยากให้เอริคเจอกับหนูฟ้าเขาใช่ไหมล่ะ...ไอ้ลูกขี้หวง! ญาติแกเขาไม่ใช่พวกชอบแย่งของรักคนอื่นหรอก...ถ้าเจ้าตัวไม่ถูกใจเข้าให้ก่อนนั่นล่ะนะ"
รวีเบ้หน้าใส่มือถือก่อนจะเอ่ยตอบ
"ก็เพราะกลัวหมอนั่นถูกใจน้องฟ้าเข้าให้นั่นล่ะครับ! บอกไว้ก่อนนะ ถึงหมอนั่นจะเป็นหลานรักของพ่อก็ตาม แต่ขืนลองมายุ่มย่ามกับน้องฟ้าล่ะก็ ผมไม่ไว้หน้าแน่ ๆ"
พอรวีพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะราวกับไม่ทุกข์ร้อนต่อคำขู่ของตนดังขึ้น สักพักปลายสายก็เอ่ยขึ้นตามมาอีก
"แกไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่าซัน...เพราะตอนนี้เอริคเขากำลังอยู่ในช่วงตกหลุมรักครั้งใหม่ ...แกก็รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของแกคนนี้ เวลาเขารักใครชอบใครเข้า ถ้ายังไม่ผิดหวังหรือเลิกคบหากับคนปัจจุบัน ต่อให้มีคนใหม่มายั่วยวนยังไง เขาก็ไม่มีทางหวั่นไหวอยู่แล้ว"
รวีเลิกคิ้วกับเรื่องที่ได้ยิน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยกินเส้นกับบิดาเท่าใดนัก แต่กับญาติพี่น้องของอังเดรนั้น รวีก็ให้ความสนิทสนมดี โดยเฉพาะเอริคที่อายุไล่เลี่ยกัน เมื่อสมัยอยู่อเมริกา รวีเองก็มักชอบชวนอีกฝ่ายไปเข้ากลุ่มดื่มกับเพื่อนสนิทของตนอย่างเมฆาอยู่บ่อยครั้งด้วยซ้ำไป
"หมอนั่นกำลังตกหลุมรักอย่างนั้นหรือครับกับใคร? หวังว่าคงจะไม่ถูกพวกนักแสดง ดารา นางแบบนายแบบ อะไรพวกนั้นหลอกเอาเข้าอีกนะ!"
"ญาติแกไม่โง่ขนาดให้โดนหลอกซ้ำสองแบบนั้นหรอกน่า...อีกอย่างหลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว คงไม่มีพวกหิวเงินหน้าไหนที่อเมริกานี่ กล้ามาหลอกญาติของแกอย่างเหมือนคราวไอ้นายแบบคนนั้นอีกแล้วล่ะ!"
น้ำเสียงเข้มกึ่งห้วนที่ตอบกลับมาทำเอารวีลอบกลืนน้ำลายลงคอนิด ๆ เพราะครั้งที่เอริคจับได้ว่านายแบบหนุ่มคนรักที่คบกันมาแอบลักลอบเอาเงินที่ตนให้ไปปรนเปรอชู้รักนายแบบอีกคน ทำให้เอริคนั้นโกรธมาก ทว่าแม้จะพลั้งมือยิงอีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นสาหัสและชายหนุ่มก็เลิกที่จะสนใจทั้งคู่อีกต่อไป
ทว่าญาติพี่น้องที่รู้เรื่องราวนั้นต่างยอมไม่ได้ที่ชายหนุ่มถูกลูบคมเข้าให้เช่นนี้ นายแบบหนุ่มกับชู้รักของเจ้าตัว จึงถูกญาติพี่น้องของเอริคลงมือกระทำการบางอย่าง ที่ทำให้พวกนั้นไม่สามารถกลับมาทำงานในวงการบันเทิงได้อีกเลยตลอดชีวิต
"เฮ้อ! ถ้าได้แบบนั้นก็ดี ...หมอนั่นมันชอบทำตัวนิ่งเฉย จนคนรอบข้างก็เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ...แต่เท่าที่ผมรู้ ครั้งนั้นหมอนั่นก็เจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ผมเองก็ไม่อยากให้คนจริงจังอย่างหมอนั่น ต้องพบกับความผิดหวังอีก"
อังเดรรับฟังคำพูดของลูกชาย แล้วแย้มยิ้มนิด ๆ แม้ว่ารวีจะบ่นเรื่องที่เอริคมาเมืองไทย และไม่อยากให้อีกฝ่ายเจอะเจอคนรักของตนเพียงใด แต่ลึก ๆ แล้ว ลูกชายของเขาก็ยังคงเป็นห่วงญาติผู้นี้อยู่ไม่น้อยนั่นเอง
"คราวนี้เท่าที่ฉันรู้ คนที่เขาตกหลุมรักค่อนข้างจะแตกต่างจากคนก่อนหน้านั้นที่คบมา เห็นว่าพบเจออีกฝ่ายโดยบังเอิญ ได้พูดคุยกันชั่วครู่ แล้วเขาก็จากไป ...เหมือนกับเป็นซินเดอเรลล่า อะไรราว ๆ นั้นล่ะนะ"
"ซินเดอเรลล่า?"
รวีทวนคำพลางขมวดคิ้วยุ่งสักพัก จากนั้นเสียงหัวเราะจากบิดาจึงดังขึ้นตามมาอีกครั้ง
"ใช่!เอริคเขาลงทุนตามหาตัวซินเดอเรลล่าของเขา จนกระทั่งเจอแล้วว่าเธอคนนั้นอยู่ที่ไหน เพราะอย่างนั้นฉันถึงให้แกไปคอยรับเขาที่สนามบินยังไงล่ะ พอจะเข้าใจบ้างหรือยังเจ้าลูกชาย!"
รวีนิ่งอึ้งพลางทบทวนสิ่งที่บิดาพูดมาชั่วครู่ ก่อนจะย้อนกลับไปอย่างตกใจ
"หรือว่าซินเดอเรลล่าของหมอนั่นอยู่ในประเทศไทยนี่!"
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นแทนคำตอบ ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่งอีกครั้งแล้วจึงถามกลับไปต่อ
"หวังว่าซินเดอเรลล่าคนนั้น คงจะไม่เกี่ยวข้องกับผมแล้วก็น้องฟ้านะพ่อ!"
"ถ้าเกี่ยวแล้วจะมีปัญหาอะไร ขอแค่คนนั้นไม่ใช่หนูฟ้า แกก็ไม่น่าจะต้องวิตกไม่ใช่หรือไง"
คำพูดที่ย้อนสวนมา ทำให้คนฟังขมวดคิ้วอีกรอบ แต่สักพักก็คลายลงแล้วถอนหายใจตามมา
"ก็ถูกอย่างพ่อพูด ขอแค่ไม่ใช่น้องฟ้า หมอนั่นจะชอบใครก็เรื่องของเขาแล้วกัน"
อังเดรหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะฝากฝังให้รวีดูแลหลานชายคนโปรด ซึ่งชายหนุ่มก็รับคำส่ง ๆ ก่อนวางสาย แต่เขาก็อดนึกสงสัยและลุ้นตามไม่ได้ว่า ญาติของตนนั้นไปตกหลุมรักใครคนไหนในประเทศไทยแห่งนี้ จนถึงขั้นเพ้อว่าอีกฝ่ายเป็นซินเดอเรลล่าขึ้นมาได้กันแน่
ชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาหารวีนั้น เป็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ ไว้ผมรองทรงสีทองสลวย หน้าตาคมเข้มหล่อเหลารูปร่างดีราวกับหลุดออกมาจากแคตตาล็อกนายแบบ ทว่าเพราะความเคร่งขรึมที่ชวนให้คนรอบข้างขยาดก็ทำให้มีแต่คนเฝ้ามองและซุบซิบอยู่ห่าง ๆ และต่างพากันหันขวับหลบเมื่อยามสายตาคมกริบนั้นตวัดมาทางพวกตน
"ยินดีต้อนรับสู่เมืองไทยนะ เอริค"
รวียื่นมือให้อีกฝ่ายสัมผัส ซึ่งชายหนุ่มตรงหน้าก็ยื่นมือของตนมาสัมผัสมือของญาติผู้น้องเช่นเดียวกัน
"ขอบคุณที่มารอรับนะซัน ...ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาทำงานของนาย"
เอริคบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน ซึ่งรวีก็ยิ้มรับ เพราะชินเสียแล้วกับบุคลิกของญาติผู้พี่ของตน
"พ่อเล่าเรื่องนายให้ฟังแล้ว ได้ข่าวว่ามาที่เมืองไทยเพื่อตามหาซินเดอเรลล่าของนายอย่างนั้นสินะ"
ทั้งสองคนเดินคุยกันไปพลางระหว่างตรงไปทางออก ซึ่งชายหนุ่มผู้เงียบขรึมก็พยักหน้าค่อย ๆ แล้วเอ่ยตอบไปตามตรง
"ก็ตามนั้น..."
"เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม เรื่องรักแรกพบอะไรนั่นน่ะ"
รวีถามอย่างสนใจ ซึ่งเอริคก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบ
"ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก ก็แค่ฉันเจอเขาตอนที่เขามาท่องเที่ยวที่ LA แล้วก็เลยถูกชะตา แล้วก็พอจะคาดเดาได้จากภาษาพูดที่เจ้าตัวหลุดปากออกมาว่าเป็นคนไทย เลยตามมาที่นี่นั่นล่ะ"
รวีขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
"แค่นั้น?"
"อืม...แค่นั้น"
เอริคตอบสั้น ๆ ทำเอารวีกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจตามมาแผ่วเบา
"เฮ้อ...เอาเถอะ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมาแล้วกัน เผื่อจะช่วยเหลือให้ได้บ้าง"
รวีบอกกับญาติของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็หลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับจากนั้นทั้งคู่ต่างก็พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบ จนกระทั่งเดินมาถึงรถยนต์ที่มีคนของเขาจอดรอรับอยู่
"แล้วเอาไง จะให้ฉันไปส่งที่ไหน นายมีที่พักหรือยังล่ะ"
รวีถามอีกฝ่ายในขณะที่กำลังขึ้นรถออกจากสนามบินด้วยกัน
"ไปที่มหาวิทยาลัยของคนรักนายเลยก็ได้จะได้ไม่เสียเวลา เพราะที่พักฉันก็อยู่แถว ๆ นั้น"
รวีขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะย้อนถามกลับไป
"หวังว่าคงจะไม่มีเป้าหมายที่น้องฟ้าหรอกนะ"
"...เห็นฉันเป็นคนชอบแย่งของรักคนอื่นอย่างนั้นหรือไง"
อีกฝ่ายย้อนพร้อมยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ทำให้รวีรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะนั่นเป็นรอยยิ้มกึ่งแหย่ที่มันช่างคล้ายกับบิดาของเขายามที่ต้องการจะกลั่นแกล้งเขาให้หัวหมุนยิ่งนัก
"เอริค...บางครั้งนายมันก็กวนโมโหเหมือนเจ้าพ่อบ้าของฉันไม่มีผิด!"
คนฟังหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจึงเอ่ยขอโทษออกไปอย่างว่าง่าย
"ขอโทษทีแล้วกัน พอดีฉันได้ยินจากลุงว่านายหวงคนรักคนนี้มาก ก็เลยอยากลองพิสูจน์ดู อืม...ทีแรกก็นึกว่าลุงแค่พูดเล่นเสียอีกนะนั่น"
"ของรักของหวงก็ต้องหวงเป็นธรรมดา นายเองก็เคยมีความรักมาก่อน ก็น่าจะรู้นะ!"
รวีเอ่ยประชดใส่ แต่นั่นกลับทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงมีสีหน้าขรึมลงระหว่างหวนคิดถึงความหลัง
"นั่นสิ...แต่ทั้ง ๆ ที่ให้ความสำคัญและหวงแหนขนาดนั้น เขาก็ยังทรยศหักหลังต่อความรักของฉันจนได้"
รวีนิ่งอึ้ง เจ้าตัวเหลือบมองคนนั่งข้าง ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วแสร้งเปรยขึ้นกับตัวเองตามมา
"เรื่องในอดีตที่ผ่านมาก็อย่าไปใส่ใจมันนักเลย อีกอย่างก็ใช่ว่าคนเรามันจะเหมือนกันทุกคนเสียเมื่อไหร่ ...ถ้าคราวนี้นายคิดว่าคนที่นายเลือกคือคนที่ใช่ นายก็พยายามทุ่มเทให้ความรักของนายกับเขา จนเขามีแต่นายเพียงคนเดียวในหัวใจ และไม่คิดเหลียวมองใครอีกต่อไปเลยสิ!"
เอริคหันไปมองญาติผู้น้องที่นั่งข้างกายตน แล้วจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมถ้อยคำขอบคุณต่ออีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงออกไปในที่สุด
"ความจริงแล้ว คนที่ฉันตามหา เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับคนรักของนายน่ะ"
รวีหันขวับไปมองคนพูดอย่างตกตะลึง ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างรวดเร็ว
"ใคร! รู้จักชื่อเขาไหม ปีเดียวกับน้องฟ้าหรือเปล่า"
"...แล้วนายคิดว่าทำไมฉันถึงต้องให้นายมารับ และขอตามนายไปที่มหาวิทยาลัยนั่นด้วยกันล่ะ"
คำตอบของเอริคทำให้รวีนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่
"อย่าบอกนะว่าคนนั้นเกี่ยวข้องกับน้องฟ้าน่ะ..."
เอริคยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ลายสก็อตสีน้ำตาลออกมาจากเสื้อสูท พลางจ้องมองผ้าผืนนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยตามมาค่อย ๆ
"เด็กคนนั้น...คนที่ฉันเจอที่ LA นั่น เขาเรียนคณะเดียวกัน ภาควิชาเดียวกัน และห้องเดียวกันกับคนรักของนายยังไงล่ะ ซัน"
เวหานั่งรอคนรักมารับอยู่ที่ซุ้มพักผ่อนหน้าตึกอาคารคณะ ซึ่งเจตต์กับเวทิตก็มานั่งเป็นเพื่อนคุยกับอีกฝ่าย เพราะเวทิตนั้นบ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ส่วนเจตต์นั้นก็เช่าบ้านพักอยู่ร่วมกับญาติซึ่งเรียนอยู่คนละคณะ จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกลับบ้านแต่อย่างใด
"เห...แสดงว่าวันนี้ญาติของพี่ซันก็มาที่ไทยนี่สินะ...ว่าแต่จะใช่ญาติที่เคยเล่าว่าจะให้จับคู่กับฉันหรือเปล่าวะ...บรึ๋ย! แค่คิดก็หวาดเสียวละ คนอะไรโหดชะมัด แฟนนอกใจก็ถึงกะยิงทิ้งเลยทีเดียว!"
เจตต์บอกแล้วทำท่ากอดอกขวัญเสีย จนเวทิตที่มองอยู่อดนึกหมั่นไส้ไม่ได้ เลยแกล้งใช้เท้าเตะขาอีกฝ่ายไปเบา ๆ จนคนถูกเตะหันมาทำหน้าหงิกใส่
"จู่ ๆ มาเตะกันทำไมวะต้น!"
"ก็หมั่นไส้อะ ก็เลยเตะ"
คนพูดทำเบะปากยักไหล่ ซึ่งก็เรียกเสียงอุบอิบบ่นจากคนนั่งข้าง ๆ ขึ้นมาทันที
"นิสัยแบบนี้ไงล่ะถึงได้เป็นโสด ชริ!"
เวทิตฟังแล้วก็สั่นศีรษะอย่างเอือมระอา ไม่ได้ใส่ใจหรือโมโหในสิ่งที่เพื่อนสนิทว่าตนแต่อย่างใด อีกอย่างเขายอมรับว่าตั้งแต่เลิกกับแฟนเก่าแล้ว เขารู้สึกมีอิสระและสบายใจขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จนเด็กหนุ่มคิดไว้ว่าถ้าจะหาแฟนอีกครั้งก็คงจะเป็นตอนเรียนจบไปแล้วน่าจะดีกว่า
"แต่ฉันก็เห็นแฟนนายเขาแอบมองนายอยู่บ่อย ๆ นะ คงอยากจะให้นายกลับมาคืนดีกันอีกครั้งล่ะมั้ง"
เวหาพูดขึ้นบ้าง ทำให้เวทิตหันมามองเพื่อนสนิทอีกคนของตน แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ไม่เอาแล้วล่ะ...เคยให้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่แค่ไม่กี่เดือนก็เป็นแบบเดิม ๆ ถ้าแค่หึงหวงแล้วฟังกันบ้างเหมือนพี่ซันของนาย ฉันจะไม่ว่าเลย... แต่นี่หึงหวงแล้วอาละวาดใส่ อธิบายก็ไม่ฟัง แถมยังพาลไปถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องคนอื่น ฉันทนรับไม่ได้ว่ะ!"
เวหายิ้มเจื่อนเมื่อได้ฟังดังนั้น ส่วนเจตต์มีสีหน้าเซ็งเล็กน้อย เพราะเมื่อเดือนก่อน แฟนสาวของเวทิตนั้นมาแผลงฤทธิ์ถึงที่ห้องเรียนของพวกเขา และยังตรงเข้าไปอาละวาดใส่และกล่าวหาหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสาวคนสนิทของพวกเขาว่าคิดแย่งแฟนตน ทั้งที่จริง ๆ แล้วเพื่อนสาวคนนั้นเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทและอยู่ชมรมเดียวกับเวทิตเท่านั้น ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เวทิตหมดความอดทน เนื่องจากเขาได้พยายามอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับฟังท่าเดียว เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจประกาศเลิกกับเจ้าหล่อนต่อหน้าเพื่อนฝูงมากมายในห้องนั้นนั่นเอง
"จะว่าไปเอ๋เขาก็รู้สึกผิดที่เหมือนเขามีส่วนให้ฉันกับก้อยเลิกกัน และพยายามช่วยให้ฉันกลับไปคืนดีกับก้อย แต่ฉันบอกเขาไปเองว่า ต่อให้ไม่มีเรื่องของเขา ยังไงเราก็คงต้องเลิกกันอยู่ดีในสักวัน ...เพราะฉันทนอยู่กับคนที่ไม่เชื่อใจและไม่ยอมฟังเหตุผลของกันและกันไม่ได้หรอก"
"นึกถึงก่อนหน้านั้น เรื่องยัยเอ๋ก็เป็นข่าวลือไปอาทิตย์กว่าเหมือนกันนะ แต่โชคดีที่แฟนมันหนักแน่นพอ และพร้อมจะเลาะฟันใครก็ได้ที่นินทาแฟนตัวเองล่ะนะ...แหม! ก็ดันมีกัปตันชมรมมวยสากลเป็นแฟนแบบนี้ ใครล่ะจะกล้าหือ...จริงไหม!"
เจตต์เสริมตามมา ซึ่งเวทิตก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหวนคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาเมื่อราวเดือนก่อน
"ตอนนั้นฉันล่ะเสียวสันหลังวาบ ที่พี่อิฐแกมาดักรอฉันแล้วถามเสียงห้วนว่าตกลงข่าวลือนั่นจริงไหม ฉันงี้นึกว่าจะถูกชกไปละ"
"ฉันสิเสียวกลัวจะโดนลูกหลงมากกว่า ดันซวยกลับพร้อมนายพอดี!"
เจตต์แย้งขัดขึ้นมาอย่างนึกเซ็ง ซึ่งก็ทำให้เวหาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
"ฉันได้ยินพวกสาว ๆ คุยกันว่าเอ๋เขาขอให้แฟนเขาไปยืนยันกับแฟนเก่านาย ว่าคบกันมานานแล้ว และไม่ได้คิดนอกใจมาคบนาย ขอให้เลิกกังวลและเข้าใจผิดสักทีด้วย...นายรู้เรื่องนี้แล้วสินะ"
เวทิตพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตอบออกไปอย่างเบื่อหน่าย
"ใช่...ก็เพราะงั้นล่ะ ก้อยเขาถึงได้โทรมาตามตื๊อฉันอีกตามเคย แต่ฉันปฏิเสธไปแล้วล่ะ แถมยังบอกเขาไปด้วยอีกว่า ไม่อยากให้เกิดเรื่องบ้า ๆ นี่ เป็นครั้งที่สามอีก"
เจตต์กับเวหาฟังแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เพราะพอจะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดพูดคำไหนคำนั้น แต่ไม่คิดว่าแม้แต่เรื่องความรักก็ไม่เว้นเช่นเดียวกัน
"จะว่าไปผู้หญิงนี่ก็ปัญหามากชะมัด ฉันว่านายไปรักผู้ชายด้วยกันจะดีกว่าไหมวะต้น!"
เจตต์โพล่งขึ้นพร้อมยิ้มยิงฟันกวนประสาทใส่เพื่อน ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวถูกมะเหงกจากเพื่อนสนิทเขกเข้าให้ที่กลางศีรษะหลังจากนั้น
"นายนี่ก็รู้ทั้งรู้ว่าต้นมันของขึ้นง่าย ก็ยังขยันแหย่ให้เจ็บตัว...เป็นมาโซหรือไงนะเจ"
เวหาบ่นอย่างเอือมระอา ทำเอาคนที่เตรียมจะโวยวายนิ่วหน้า ส่วนเวทิตหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แทน จากนั้นทั้งสามก็นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกันต่อ เพราะเวทิตกับเจตต์ตั้งใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ารวีจะมารับเวหานั่นเอง
"...ช่วงหยุดยาวคราวหน้า ฉันว่าจะแวะไปค้างบ้านนายนะฟ้า ขอป๊ากับม๊าไว้แล้วด้วย ขี้เกียจโดนลากพาไปLA อีกแล้วอะ คราวก่อนกลับมาเซ็งแทบตาย ไม่รู้พวกคุณนายเขาเกิดคึกอะไรกัน เล่นช็อปกระจายไม่เกรงใจใคร...ช็อปมันได้ทุกที่ ขนาดปั๊มน้ำมัน พี่แกยังแวะช็อปเลยคิดดู!"
เจตต์บ่นโอดครวญถึงพี่สาวทั้งสองและมารดาที่เป็นใหญ่ในบ้านโดยพี่สาวคนโตของเขานั้นแต่งงานอยู่กินกับสามีชาวต่างชาติที่ LA จึงมักชอบชวนมารดา บิดา ตัวเขา และพี่สาวคนรองไปเที่ยวที่นั่นในช่วงวันหยุดยาวของไทยอยู่เสมอ
"จะว่าไปคราวนี้นายไม่เห็นอยากจะเล่าให้ฟังเลยนี่ ว่าที่ไป LA รอบนี้มาเป็นไงบ้าง ปกติเห็นไม่ถามก็เล่าเองตลอดนี่นะ"
เวหาย้อนถามกลับ ซึ่งก็ทำให้คนฟังชะงักแล้วนิ่วหน้าน้อย ๆ ก่อนจะถอนหายใจตามมา
"ก็พวกสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่อยากไปงวดนี้ก็ไม่ได้ไป เพราะพวกคุณนายเขาโฟกัสไปที่ช็อปปิ้งอย่างเดียวเลย แถมตอนจะกลับยังไปเจอคนแปลก ๆ อีก ก็เลยไม่รู้จะเล่าอะไรให้ฟัง เพราะมีแต่เรื่องไม่อยากจะจำทั้งนั้นน่ะ"
เวทิตกับเวหาจ้องมองคนพูดตาปริบ ๆ แล้วเป็นเวทิตที่ย้อนถามกลับไปอย่างสงสัย
"คนแปลก ๆ แปลกแบบไหนกัน"
เจตต์ขมวดคิ้วยุ่ง แล้วมีท่าทางลังเลว่าจะเล่าดีไหม แต่พอเห็นสายตากึ่งบังคับ และสายตาสนอกสนใจของเพื่อนทั้งสอง ก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ทั้งคู่ได้รับฟัง
"ก็วันสุดท้ายก่อนจะกลับพวกเจ๊กับแม่ฉัน เขาก็เข้าไปเลือกซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมอะไรสักอย่างกันอยู่ในร้านเป็นนานสองนาน ฉันเบื่อก็เลยออกมานั่งรอที่สวนสาธารณะแถวนั้นคนเดียวเพราะป๊ากับพี่เขยฉันเขาอาสาเฝ้าบ้าน...แล้วระหว่างรอฉันก็เห็นรถขายไอติมจอดข้างทาง ฉันก็เลยไปซื้อมากินรอฆ่าเวลา แต่พอเดิน ๆ ก็ดันเกิดสะดุดแผ่นปูกระเบื้องที่มันไม่เสมอกันล้ม...แล้วเจ้าไอติมที่ฉันซื้อมาก็เลยไปหล่นแหมะเอาที่รองเท้าของผู้ชายคนหนึ่งเข้า"
เจตต์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ และมีสีหน้าสยดสยองเมื่อหวนคิดถึงชายที่เขาพบที่ LA คนนั้น
"หมอนั่นสวมสูท ใส่แว่นดำมองโครงหน้าผ่าน ๆ ก็น่าจะหน้าตาดีหรอก แต่ออร่าความโหดมันแผ่ออกมาเหมือนกับพวกมาเฟียในหนังยังไงยังงั้น แถมยังจ้องมาที่ฉันเขม็ง ถึงจะมองแววตาไม่เห็นก็เหอะ แต่ดูเขาจะไม่พอใจแน่ ฉันก็เลยรีบรน ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดรองเท้าให้เขาแต่พอขัดเสร็จหมอนั่นก็ดันมาจับข้อมือฉันหมับ ฉันงี้สะดุ้งสุดตัวจนมือไม้อ่อนไปหมด แต่หมอนั่นก็ยังจ้องฉันนิ่งเหมือนไม่พอใจฉันกลัวก็เลยบอกขอโทษแต่ก็ลืมตัวพูดเป็นภาษาไทยออกไปล่ะนะ หมอนั่นก็เลยชะงักแล้วเผลอปล่อยมือ ฉันก็เลยฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปหลบในร้านที่ม๊ากับพวกเจ๊กำลังช็อปอยู่ แล้วแอบดูผ่านกระจกร้าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นว่าเขาจะตามมาแต่กลับยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่เดิม ก่อนจะเดินหายไปที่ไหนแทนก็ไม่รู้....แต่ที่แน่ ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดของฉัน นอกจากจะต้องกลายเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดรองเท้าแล้ว ยังหล่นหายไปไม่ได้คืนอีก น่ากลัวคงตกตอนฉันเผลอวิ่งหนีมาก็ได้...พอย้อนกลับไปดูก็ไม่เจอ สงสัยใครเก็บไปแล้วก็ไม่รู้"
เวทิตนิ่วหน้ารับฟังในท้ายประโยค แล้วจึงย้อนเพื่อนสนิทกลับไป
"ใครจะเก็บไป ผ้าเลอะไอติมแบบนั้น...นายลองไปดูในถังขยะหรือเปล่าล่ะ อาจจะมีคนเอาไปทิ้งที่นั่นให้ก็ได้"
เจตต์หันมามองเพื่อนแล้วจึงย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ
"ขนาดถ้วยโคนไอติมยังตกอยู่ที่เดิมเลย ...ฉันเองก็ตั้งใจจะไปค้นถังขยะดูหรอกนะ แต่พอม๊ารู้ว่าฉันจะไปทำอะไรก็เลยโดนด่าเปิง แล้วลากกลับโรงแรม ฉันก็เลยไม่ได้เช็คให้แน่ใจว่ามันอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่าน่ะ"
เวหามองเพื่อนตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามราคาผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดของเจ้าตัวออกไปอย่างเกรงใจ
"ตกลงผ้าผืนนั้นราคาเท่าไหร่น่ะ แพงมากสินะ"
"ผืนละ 59 ซื้อจากตลาดนัดแถวนี้น่ะ"
คนที่ไปซื้อด้วยกันเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทน ทำเอาเจตต์หันมาทำเป็นค้อนขวับใส่เพื่อนสนิทที่ขัดคอมาเช่นนี้
"แค่ 59 แล้วไง ถึงราคาจะไม่แพงมาก แต่คุณค่าทางจิตใจมันสูงกว่านั้นเยอะ!"
"เหอะ! ก็แค่คนขายเป็นแม่ค้าหุ่นเซ็กซี่ ที่หว่านล้อมให้ซื้อแล้วบอกว่าลายสก็อตนี่เหมาะกับน้องชายมากเลยนะคะ อะไรนั่นน่ะหรือ ...จะบอกให้นะ วันก่อนฉันเห็นเขามาขายที่ตลาด แต่คราวนี้มีผู้ชายที่ดูคล้ายสามีมานั่งคุมด้วย นายเลิกอ้างเอาผ้าเช็ดหน้าที่ซื้อใช้ ไปคุยกับเจ้าหล่อนฟรี ๆ โดยไม่ช่วยอุดหนุนอะไรนั่นได้แล้วล่ะ!"
เวหามองเพื่อนสนิททั้งสองตาปริบ ๆ แม้เขากับเวทิตจะเคยสนิทกันมากเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลายก็จริง แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย ด้วยความใกล้ชิดและพูดคุยรู้ใจแถมยังเข้าขากันได้ดี ก็ทำให้เวหารู้สึกว่าทั้งเจตต์และเวทิตนั้นดูสนิทสนมกันมาก เสียยิ่งกว่าเขาที่คบกับเวทิตมานานกว่าเสียอีก
"พวกนายนี่สนิทกันจังเลยน้า น่าอิจฉาจัง"
"หา! ฉันกับหมอนี่อะนะ! น่าจะเหมือนคู่กัดกันเสียมากกว่าอะ!"
เจตต์รีบแย้งกลับไปทันที ส่วนเวทิตเมื่อได้ยินดังนั้นจึงทำเป็นเปรยตอบพร้อมกับทำท่าเซ็ง เสียจนคนมองหมั่นไส้
"ใช่! อยู่กับหมอนี่แล้วมีแต่เรื่องชวนปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน"
"เหอะ! ใช่ซิ! แล้วทีหลังมีอะไร อย่ามาเรียกนายเจคนนี้ให้ไปเป็นเพื่อนแก้เหงาแล้วกัน ...พอหายเหงาก็ทิ้งเค้า พอเหงาก็กลับมาหากัน เชอะ!"
คนพูดแสร้งทำเป็นจีบปากจีบคอดัดเสียงแถมค้อนขวับให้ เสียจนเวหาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ส่วนเวทิตพอเห็นดังนั้นก็อดขำไม่ได้เช่นกัน เจ้าตัวจึงเกิดนึกสนุกเล่นตามน้ำไปด้วยเสียเลย
"โถ! หนูเจ ป๋าขอโทษ อย่างอนเลยนะ! เอ้า! ป๋าหอมแก้มให้ก็ได้!"
"อ๊าย! ไม่เอานะคะป๋า เจอาย! คนมองใหญ่แล้ว!เอ๋...?!"
คนทำเป็นสะบัดสะบิ้งเมื่อเพื่อนสนิทแกล้งทำเป็นจะหอมแก้ม ถึงกับชะงัก พลางเบิกตาค้างนิ่ง และนั่นจึงทำให้เวทิตมองตามสายตาเพื่อนไป รวมถึงเวหาที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ
"อ้าว! พี่ซัน ...มากับใครน่ะ หือ...หรือว่าญาติที่ว่านั่น..."
"เอ๋! คนนั้นน่ะ ญาติพี่ซันหรอกหรือ!"
เจตต์ถามเพื่อนของตนอย่างตกใจ ทำให้เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง เขามองหนุ่มชาวต่างชาติที่ยืนอยู่ข้างกับรวีอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองเพื่อนสนิทที่กำลังมีสีหน้าซีดเผือดข้างกายตน
"เป็นอะไรไปวะเจ ทำหน้ายังกับเห็นผี"
เจตต์เหลือบมามองคนตั้งคำถาม แล้วหันกลับไปมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้หยิบแว่นตาดำจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวม ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กหนุ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า ตนนั้นจำคนไม่ผิดแน่
"ยิ่งกว่าผีอีกว่ะต้นฉันล่ะภาวนาให้สิ่งที่ฉันคิดแผลง ๆ อยู่ในหัวตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องจริงกับเขาล่ะนะ"
เจตต์พึมพำกับตัวเองพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ตอบ เพราะจู่ ๆ เรื่องที่รวีเคยพูดกับเขาเมื่อตอนช่วงราวปีก่อนที่พบกันเป็นครั้งแรก มันดันย้อนกลับมาแจ่มชัดในสมองเสียตอนนี้อย่างน่าประหลาด และเขาคิดว่า คงไม่มีคนไหนจะโกรธแค้นกับเรื่องถูกทำไอศกรีมหกใส่เท้า จนถึงกับต้องข้ามน้ำข้ามทะเล มาโผล่ตรงหน้าเขาเพื่อแก้แค้นแบบนี้แน่
...ก็ได้แต่ภาวนาว่า เรื่องหลงตัวเองที่เขากำลังคิดอยู่ตอนนี้ จะเป็นเรื่องไม่จริงเข้าให้ล่ะนะ ถึงตอนนั้นเขาจะยิ้มรับอย่างร่าเริง โดยไม่นึกอายเลยสักนิด ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นสิ่งที่เขาเข้าใจผิดไปเองนั่นล่ะ ...
เจตต์คิดในใจ ขณะที่ทำเป็นยิ้มเจื่อนสู้ใส่คนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับรวี และเริ่มแนะนำตัวเองว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอีกฝ่ายให้พวกตนได้รับรู้หลังจากนั้น...
... END ...
(Talk By...ปัด)
จบแล้วนะคะ อาจจะเป็นการจบที่ดูเหมือนตัดจบก็จริง แต่เป็นการจบเพื่อเริ่มเนื้อเรื่องของคู่ใหม่ ซึ่งก็คือ คู่ของเอริค และนายเจ นั่นเองค่ะ ซึ่งปัดจะเขียนเรื่องของคู่นี้เป็นเรื่องหลักต่างหาก ดังนั้นจึงอยากจะสร้างเรื่องเพื่อเกริ่นนำการพบกันของทั้งคู่ให้ผู้อ่านได้ทราบ โดยผ่านตอนพิเศษเช่นนี้ซึ่งปัดก็หวังว่าคงจะไม่ค้างคาใจกันเท่าใดนักนะคะ ยังไงก็รอติดตามคู่ใหม่ในเรื่องใหม่ แต่เป็นซีรียส์ตัวละครชุดเดียวกันด้วยนะคะ....ขอบคุณที่อ่านกันจนจบเล่มค่ะ
ps. แต่สำหรับคนที่ชอบพี่ซัน อาจจะมีตอนพิเศษของฝั่งนี้งอกมาเพิ่มอีกเรื่อย ๆ ก็ได้ ใครจะรู้เนอะ!