ตอนที่30
ชั่วขณะที่หรงเกอเอ่อกับมู่เกาจงจะปะทะกัน ที่โต๊ะด้านหลังไม่ห่างไปนักคนของหมู่ตึกหรงเตรียมใช้อาวุธลับลอบกัดจอมยุทธจากเรือนญาณพิทักษ์ธรรมซึ่งพิการทางหู เสวี่ยหมิงนึกไม่ชอบใจในการกระทำของคนจากหมู่ตึกหรงทั้งยังรู้สึกว่าการช่วยเหลือครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้นำตัวเขาไปสนิทชิดเชื้อเพื่อสืบข่าวคราว ดังนั้นจึงซัดตะเกียบเข้าใส่เจ้าหมาลอบกัดจนเกิดเสียงดังปัง ทำให้หรงเกอเอ่อ ฉินจวิ้นเจี๋ย และมู่เกาจงรู้ตัวในทันที
“พวกท่านโปรดยั้งมือด้วยถือว่าเห็นแก่หน้าข้า แต่ว่าหากพวกท่านไม่ยอมรามือข้าจะขอใช้อำนาจมือปราบของทางการจับพวกท่านฐานหาเรื่องวิวาทนะ”
ฉินจวิ้นเจี๋ยรู้ดีว่าตนเองใช้อำนาจในมือไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่จะให้ทำเช่นใดเล่าหากไม่ใช่วิธีนี้ก็ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงการปะทะอย่างไร
หรงเกอเอ่อเมื่อได้ฟังก็แค่นเสียงดังเฮอะ “คนขี้ขาดมักอ้างกฎหมาย โชคดีที่เจ้าเป็นมือปราบนะฉินจวิ้นเจี๋ย พวกเราไป” กล่าวจบคนของหมู่ตึกหรงก็ทยอยเดินตามหรงเกอเอ่อออกจากโรงเตี๊ยมไป เสี่ยวเอ้อที่หลบดูสถานการณ์อยู่แสดงสีหน้าดีอกดีใจที่คนก่อเรื่องออกจากโรงเตี๊ยมของมันไปได้เสียที
“ท่านผู้นี้ไม่ทราบว่ามีชื่อเสียงเรียงนามใด” มู่เกาจงถึงแม้หูหนวกจากการทำร้ายของจูเยว่เสวียนแต่มันได้ฝึกวิชาอ่านปากจนช่ำชองมาก่อนดังนั้นการสนทนาจึงไม่ทำให้มันลำบากแต่อย่างใด
“ข้ามีนามว่าเสวี่ยหมิง ส่วนสองคนนี้คือน้องชายน้องสาวของข้า เสี่ยวหลง และอู่เม่ยเหนียง”
มู่เกาจงมองดูลักษณะของแต่ละคนแล้วก่อให้เกิดความละลานตา ทั้งสามล้วนมีรูปลักษณ์ดีเยี่ยมคาดว่าคงเป็นลูกผู้มีอันจะกิน หรือเป็นศิษย์จากสำนักยุทธอันล้ำเลิศจากที่ใดที่หนึ่ง ทว่าจากการแต่งตัวเรียบง่ายคงมิใช่บุตรของคหบดีกระมัง
“ข้าขอทราบนามของอาจารย์ท่านได้หรือไม่”
“อาจารย์ฝึกยุทธของข้าหาใช่คนมีชื่อเสียงที่ท่านจะรู้จักไม่ ท่านมีนามว่าอาจารย์จิ้ง”
มู่เกาจงคล้ายผิดหวัง คนผู้นี้รูปกายเหมาะแก่การฝึกยุทธยิ่งแต่กลับมิได้มีอาจารย์เลิศเลออะไร ที่แท้ผู้ที่ช่วยมันในยามคับขันหาใช่เก่งกาจเท่าใดแค่บังเอิญพบจังหวะเหมาะเพียงเท่านั้น ทว่ามันยังรักษามารยาทได้ดีอยู่ มันหาใช่คนลืมบุญคุณไม่ ช่วยก็คือช่วยดังนั้นมันจึงปั้นยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณตามมารยาท
“ต้องขอบคุณคุณชายเสวี่ยมากที่ช่วยข้าเอาไว้จากพวกลอบกัด” มู่เกาจงประสานมือคารวะ
“ถ้ายังไงให้ข้ากับศิษย์น้องเลี้ยงอาหารท่านซักมื้อดีหรือไม่”
“ถ้าไม่รบกวนพวกท่านละก็” เสวี่ยหมิงลอบโห่ร้องในใจ นับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่ทาง เท่านี้ก็มีโอกาสถามถึงเรื่องของอาจารย์ได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเราขึ้นไปจับจองห้องส่วนตัวบนชั้นสองดีหรือไม่ศิษย์พี่” ฉินจวิ้นเจี๋ยที่เงียบอยู่นานเสนอ มู่เกาจงพยักหน้า ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงขึ้นไปยังห้องบนชั้นสอง
ถึงแม้ว่ามู่เกาจงจะมีบ้างที่ทำให้ลำบากใจเวลาพูดด้วย แต่เสวี่ยหมิงใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดพูดคุยเพื่อให้สนิทสนมกับคนผู้นี้ให้มากที่สุด ผ่านไปครึ่งชั่วยามนับว่าความพยายามได้ผล มู่เกาจงแสดงออกชัดถึงความพึงใจที่จะคบหากับเขาต่อไป
“ตามจริงด้วยลักษณะล้ำเลิศอย่างท่าน ข้าสามารถตอบแทนด้วยการนำท่านเข้าสู่สำนักของเราโดยง่าย” มู่เกาจงกล่าวพลางแย้มยิ้ม เนื่องจากดื่มไปมากจึงเริ่มพูดจาด้วยเสียงป้อแป้
“ศิษย์พี่ท่านดื่มมากไปแล้วกระมัง”
ฉินจวิ้นเจี๋ยกล่าวเตือน ตามจริงศิษย์ของเรือนญาณพิทักษ์ธรรมจำต้องงดเว้นสุรา ทว่าศิษย์พี่มักเป็นเช่นนี้เสมอจนมันเหนื่อยที่จะตักเตือนดังนั้นจึงมีเพียงมันที่ดื่มน้ำเปล่าระหว่างสังสรรค์
“เพ้ย อย่าวุ่นวายนักเลยข้ากำลังคุยกับน้องเสวี่ยอย่างถูกคอ”
“จอมยุทธมู่เมื่อครู่ตอนท่านเข้าปะทะกับคนพวกนั้น พวกมันกล่าวว่าท่านได้ประมือกับจอมมารจูเยว่เสวียนนั่นจริงหรือไม่”
เป็นเม่ยเหนียงเองที่ตั้งคำถาม เสวี่ยหมิงนึกอยากให้รางวัลนางนักเท่านี้เขาก็ไม่ต้องเผยตัวตนให้มู่เกาจงกับฉินจวิ้นเจี๋ยระแวง
“ตามจริงหากไม่เพราะถูกพันแข้งขาจากพวกกังปังกับหยางเหวินเป่าข้าคงมีโอกาสได้ปลิดชีพจอมมารนั้นเป็นผลสำเร็จ น่าเจ็บใจนักนอกจากผิดหวังยังพลาดท่าต้องมาพิการอีก”
“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรละขอรับว่าจูเย่วเสวียนกบดานอยู่ที่นั้น”
“เฮอะ ง่ายดายยิ่ง มีคนแปลกประหลาดมาร่วมโต๊ะกับพวกเราในวันนั้นแล้วบอกข่าวนะสิ”
มู่เกาจงหวนระลึกกถึงวันนั้น วันที่มันร่วมเดินทางกับกังปังและหยางเหวินเป่าเพื่อนสนิทต่างวัยของมัน
“วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาหาเราแล้วถือวิสาสะร่วมโต๊ะ ตามจริงเราจะไล่ไปแต่คนผู้นั้นเสนอเลี้ยงเหล้าเราจำนวนมากทั้งยังบอกว่าเลื่อมใสในตัวพวกเรา”
“ท่านเชื่อด้วยรึจอมยุทธมู่” เสี่ยวหลงถาม
“เฮอะต่อให้โกหกยังต้องกลัวอันใด พวกข้าสามคนล้วนวรยุทธสูงส่ง ยังคงต้องถล่มเจ้ารูปหล่อแปลกหน้านั่น”
มันหวนระลึกถึงช่วงเวลานั้นอีกครั้งพร้อมเล่าออกมาเป็นฉากๆ
“เจ้าชื่อเสียงเรียงนามอันใด” มู่เกาจงถาม
“ข้าแซ่หลงชื่อเยี่ยอิ่ง พวกท่านคงเคยได้ยินมาบ้างกระมัง”
เพียงเท่านั้นกังปัง มู่เกาจงและหยางเหวินเป่าก็พลันลุกจากโต๊ะและชักอาวุธ พวกมันทั้งสามรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของคนผู้นี้ดี มันคือศิษย์คนรองของจูเยว่เสวียนไม่ผิด ทว่าถึงแม้จะอยู่ในหน้าสิ่วหน้าขวานคนแซ่หลงกลับยังนั่งยิ้ม
“ทีข้ามาวันนี้เพราะมีข้อเสนอน่าสนใจยิ่ง พวกท่านสนใจหรือไม่”
“อย่าไปฟังมันเลย จัดการมันเถอะ” กังปังโวยวายก่อนใคร แต่หยางเหวินเป่ากลับต่างออกไป
“ข้าอยากจะฟัง ท่านมู่ท่านคิดอย่างไร” ตอนนี้มู่เกาจงกลายเป็นคนกลางเสียแล้ว และมันก็สนใจในสิ่งที่คนแซ่หลงพูดไม่น้อย
“คนแซ่หลงเจ้าพูดมา” มู่เกาจงกล่าว
“ข้ารู้ที่ซ่อนลับของจูเย่วเสวียน ตอนนี้มันอ่อนแอยิ่ง พวกท่านสามารถร่วมมือกันพิทักษ์ธรรมให้แก่ยุทธภพโดยง่าย”
เพียงคำกล่าวของคนแซ่หลงดวงตาของพวกมันล้วนเป็นประกาย แต่กังปังยังสงสัยอยู่ดี
“เหตุใดเจ้าต้องเอามาบอกเรา จูเยว่เสวียนมิใช่อาจารย์เจ้ารึ”
“เฮอะพวกมารฆ่ากันเองย่อมดีกับพวกเรา” มู่เกาจงสันนิษฐานว่าคงแย่งชิงกันภายใน กับจูเยว่เสวียนที่ฝีมือล้ำลึกมันยังหากลัวไม่ กับเจ้าหนอนบ่อนไส้เช่นนี้จะจัดการปลิดชีวิตที่หลังจะยากอะไร
“เจ้าบอกมาเสียว่ามารร้ายนั่นกบดานอยู่ที่ใด” มู่เกาจงตัดสินใจแทนทุกคน
“เรื่องนั้นง่ายดายยิ่ง”
คนแซ่หลงยกยิ้ม จังหวะนั้น มีสตรีนางหนึ่งงามหยดย้อยโผล่หน้าเข้ามา นางผู้นั้นกระซิบกระซาบข้างหูคนแซ่หลง เฮอะพวกมันคงไม่รู้ว่ามู่เกาจงผู้นี้ฝึกวิชาอ่านปากอยู่ ดังนั้นมันจึงรู้ได้ทุกถ้อยคำ
“นายน้อยตวนมู่หรงเจ้าค่ะแผนจัดการกับหลงเยี่ยอิ่งพร้อมแล้วนะเจ้าคะ”
เฮอะที่แท้แล้วมันก็ไม่ใช่หลงเยี่ยอิ่ง เรื่องนี้คาดว่าภายในพรรคมังกรพิโรธคงกำลังปั่นป่วน ถึงว่าจอมมารจูจึงได้หนีออกมากบดานด้านนอก นับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใครย่อมเป็นผลดีต่อยุทธภพของเรา
ดังนั้นมันจึงเชื่อในสิ่งที่คนแปลกหน้าพูดมาครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องนี้มันได้บอกกล่าวกับกังปังและหยางเหวินเป่า จากนั้นยังมิได้นิ่งนอนใจนำพาผู้คนจำนวนมากไปล้อมจับมารเฒ่า แต่ไม่คาดว่าจะถูกกับดักที่รายล้อมเล่นงานจนเหลือแต่เพียงพวกมันสามคนเท่านั้น
“แปลก ท่านจะบอกว่าคนที่แจ้งข่าวให้ท่านทราบคือหลงเยี่ยอิ่งตัวปลอมรึ” เสวี่ยหมิงถาม
“แน่นอนวิชาอ่านปากของข้าไม่เคยพลาด” มู่เกาจงถึงแม้เมายังตอบอย่างมั่นใจ
เสวี่ยหมิงตอนนี้สมองถึงกับพองโต ไม่ทราบว่าภายในพรรคมังกรพิโรธอยู่ในสภาพใด ตอนนี้คงเต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างหนัก พลันมีความคิดว่าในเมื่อมีคนปลอมตัวเป็นศิษย์พี่รอง แล้วพี่รองตัวจริงซึ่งรักษาการณ์พรรคอยู่เล่าทำอะไรอยู่ ชักไม่ดีเสียแล้วสิ เสวี่ยหมิงคิดว่าการเดินทางไปยังพรรคมังกรพิโรธครานี้อ่านมีเรื่องอันตรายรออยู่ก็เป็นได้
ทว่าเท่านี้ก็สามารถตัดเป้าหมายออกไปได้หนึ่งคน หากเป็นอย่างที่มู่เกาจงพูดจริงศิษย์พี่รองย่อมไม่ใช่คนทรยศต่ออาจารย์ จะมีคนชั่วคนใดเล่าทำชั่วแล้วบอกชื่อเสียงเรียงนามของตน นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่ได้พบข่าวคราวข้อนี้ก่อนไปถึงที่หมาย
ในขณะที่เสวี่ยหมิงครุ่นคิดอย่างหมายมั่นเสี่ยวหลงเองก็มีความคิดของมัน ตวนมู่หรงเขาไม่เคยได้ยิน แต่แซ่ตวนเป็นนามเฉพาะของเชื้อพระวงศ์แห่งต้าหลี นั่นชี้ชัดว่ารัฐหลีจงใจแทรกแซงพรรคมังกรพิโรธ เฮอะคงจะเจ็บใจที่บุกมาคราวก่อนไม่สามารถตีพรรคมังกรพิโรธแล้วผ่านทางอันง่ายดายมาได้กระมัง
เป็นเช่นนี้แล้วมันยิ่งต้องการรู้ประวัติส่วนตัวของหลี่มู่ไป๋กับอิงเฟยมากกว่าเดิม คนแซ่ตวนจะเข้ามาแทรกแซงพรรคมังกรพิโรธมิได้หากไม่มีมือเท้า คงเป็นหนึ่งในศิษย์พี่ศิษย์น้องของมัน หรืออาจจะเป็นคนใดคนหนึ่งเองที่อาจมีเชื้อสายของเชื้อพระวงศ์หลีก็เป็นได้
ตามจริงมันหาใช่ไม่สืบประวัติของทั้งสองมาก่อนไม่ มันเคยให้คนของมันตามสืบไปถึงบ้านเกิด มันทราบว่าหลี่มู่ไป๋เป็นลูกชายแม่นมของสกุลหลี่ซึ่งเป็นคนของตึกโป๊ยเซียนสาขาพรรคมังกรพิโรธ ส่วนอิงเฟยก็เป็นเด็กกำพร้าที่หัวหน้าสาขาบัวสวรรค์เก็บมาตั้งแต่ยังเล็ก ตามจริงสืบมาเท่านี้น่าจะเพียงพอ แต่ครานี้กลับเห็นมีแต่ช่องโหว่
มันไม่ได้สืบถึงที่มาของมารดาบิดาของหลี่มู่ไป๋ และไม่ได้สืบค้นให้ลึกว่าอิงเฟยก่อนหน้านั้นอยู่มาอย่างไรที่จะมาถึงมือของหัวหน้าหมู่ตึกบัวสวรรค์ ตัวมันเองช่างสะเพร่าและปล่อยปละละเลยนัก ทุกสิ่งเป็นความผยองของมันที่คิดว่าอะไรๆล้วนอยู่ในกำมือเพราะมีราชสำนักคอยหนุนหลัง นึกแล้วก็ให้เกลียดตัวเองยิ่ง
“เป็นข่าวที่แปลกประหลาดมาก แต่มันอาจจะดีกับยุทธภพนะพี่ใหญ่ การที่ภายในพรรคมังกรพิโรธรำส่ำระส่าย ยังไงก็เป็นผลดีต่อชาวยุทธฝ่ายธรรมะ”
เม่ยเหนียงออกความเห็น มันทำให้มู่เกาจงพอใจ ถึงกลับกล่าวชมความคิดของนางหลายครั้ง
“จริงสิจอมยุทธมู่ขอรับ เหตุใดคนพวกนั้นถึงหาเรื่องพวกท่านเล่า” เสี่ยวหลงถาม
“ฮ่าฮ่า คงเป็นเพราะหรงเกอเอ่ออยากเป็นเจ้ายุทธภพคนต่อไป ทว่ายังมีศิษย์น้องฉินขวางทางมันอยู่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย”
“อ้อที่แท้แล้วก็หมายถึงประลองคัดเลือกจ้าวยุทธภพนี่เอง” เม่ยเหนียงกล่าวด้วยท่าทางดีใจยิ่ง
“ข้าอยากไปจังเลยค่ะพี่ใหญ่”
“โอ้ถ้าเจ้าอยากไปย่อมไปได้ ข้ามีเทียบเชิญเหลืออยู่อีก ถือว่าตอบแทนที่พวกเจ้าช่วยข้าเป็นอย่างไร”
มู่เกาจงควักเทียบเชิญออกมาแล้วยื่นให้เสวี่ยหมิง
“คุณชายเสวี่ยท่านต้องไปร่วมเป็นพยานการรับตำแหน่งของศิษย์น้องข้าให้ได้นะ” ถูกรบเร้าถึงเพียงนี้ตามจริงจะปฏิเสธ แต่เม่ยเหนียงกลับเขย่าแขนเขาไปมาคล้ายต้องการให้รับปาก
“ข้าถือว่าท่านรับปากว่าจะไปแล้วนะ”
เพราะมัวแต่ครุ่นคิดกลายเป็นว่าถูกบังคับให้ตกปากรับคำ รู้สึกว่าครั้งนี้ตนเองชักจะเถลไถลเกินความจำเป็นไปแล้ว ทว่าเม่ยเหนียงกลับโห่ร้องดีใจที่นางจะได้อยู่กับพี่ใหญ่นานขึ้นอีกหน่อย
“เม่ยเหนียงเจ้าต้องไปขออนุญาตท่านอู่ก่อนนะ”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
นางทำหน้าระรื่นเสวี่ยหมิงได้แต่ถอนหายใจ ขณะที่เสี่ยวหลงปั้นหน้าขรึม มันวางแผนจะเข้าวังพบบิดาซักครั้งตามหมายกำหนดการซึ่งก็คือคืนนี้ กลับไปครานี้คงมีเรื่องให้สนทนากันอีกมากทีเดียว
รู้สึกว่าปมมันเยอะคนเขียนเองก็ชักงงงง555555 พยายามคลี่คลายปม แต่ทำไมรู้สึกเหมือนขมวดปมแทนกะไม่รุ
งงเด้ๆๆ
เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า