บทที่ 31
เมื่อส่งพวกเพื่อนกลับเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้รับรู้ข่าวใหม่ว่าผมต้องย้ายออกจากวังขาวมาพักที่วังใหญ่ แต่จะอยู่ทางปีกซ้ายของพระราชวัง ซึ่งเป็นที่พักของครอบครัวพี่ธีม ส่วนฝั่งขวาจะเป็นครอบครัวของท่านโมนัฟ ส่วนไอ้บิวต้องไปอยู่ที่พระตำหนักของเจ้าชายแอชตัน อลันจะเป็นองค์รักษ์ที่จะคอยติดตามและดูแลผม องค์เหนือหัวสเตฟานขอร้องให้ไอ้โหดออกปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์ในเรื่องของการเยี่ยมเยียนประชาชน เพราะเจ้าชายมิคาเอลท่านทรงมีภาระกิจดูแลเรื่องการทูตกับทางต่างประเทศแล้ว เจ้าชายแอชตันก็ทรงงานเรื่องทางทหารอย่างเดียว งดงานสังคมทุกประเภท ผมบอกให้โหดให้มันทำตามประสงค์เพราะผมก็อยากตามมันไปเที่ยวในที่ต่างๆ เหมือนกัน ดีกว่าอยู่เฉยๆ ในวัง ซึ่งมันก็ยอมรับปากกับท่านปู่ของมันว่ามันจะทำหน้าที่แทนพระองค์ในส่วนนี้ ผมนึกเสียดายห้องในวังขาวเหมือนกันนะ มันดูส่วนตัวดี แต่ที่นี่ก็สวยไม่ต่างกัน จะต่างก็ตรงที่ผมมีห้องส่วนตัวแยกกับไอ้หมาธีมมัน แต่เชื่อหัวไอ้นาวเลย ไอ้โหดมันไม่ปล่อยผมนอนคนเดียวแน่
“นาวย้ายของไปห้องโน้นเลย” นั่นไงล่ะ คิดยังไม่ทันเสร็จมันมาแล้ว หน้าตาบูดบึ้งมาเชียว เมื่อครู่มันไปเข้าเฝ้าพ่อมัน มันเลยเพิ่งรู้ว่าผมถูกแยกมาพักห้องนี้คนเดียว
“ไม่เอา เอาไว้ที่นี่แหละ แต่เดี๋ยวกลางคืนค่อยเดินไปนอนกับพี่” ผมบอก ไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา อลันบอกว่า แม่ของพี่ธีมสั่งให้พาผมมาพักที่ห้องนี้ ถึงท่านจะรับรู้เรื่องของผมกับไอ้โหด แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะยินดีที่เห็นผมกับไอ้โหดนอนด้วยกันแบบคนรักหรอก
“แล้วจะต่างกันยังไงถ้านาวจะขนของไปอยู่กับพี่เลย” มันดูหงุดหงิดมากครับ
“ใจเย็นดิไอ้หมา” ผมเดินไปสวมกอดเอวมันไว้แล้วเอาหน้าไถๆ กับอกมัน มันจะได้อารมณ์ดีๆ
“หึหึ อ้อนเหรอ” มันก้มลงมาหอมที่ผมของผม ผมเงยหน้ามองมัน เห็นไหมละ มันแพ้ทางผมตลอดแหละ
“นาวไม่อยากให้พี่หงุดหงิดหรือโวยวายเรื่องของนาว ถึงเราไม่จำเป็นต้องปิด แต่เราก็ไม่ควรทำให้คนอื่นไม่สบายใจจะดีกว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรแค่แยกห้องเก็บเสื้อผ้ากัน ดีซะอีก ถ้านาวงอนพี่นาวจะได้มีที่หนีมาหลบพี่ไง” ผมบอกเหตุผลกับมัน
“ก็ดี พี่จะได้มีที่ง้อนาวได้ถึงสองเตียง” มันบอก ผมเอาหัวโขกหน้าอกมันเลยครับ ลากไปเรื่องใต้สะดือได้ตลอดนะ
“เหงาหน่อยนะ” มันลูบหลังผมเบาๆ
“มีพี่ นาวไม่เหงาหรอก” ผมตอบมัน
“แล้ว..ที่พี่ทำให้ ชอบไหม” มันถาม
“ก็..ดี..”
“รู้สึกยังไง”
“เหมือนเหาะได้เลย”
“จริงเหรอ”
“อืม” ผมรู้สึกเขินขึ้นมาซะงั้น จู่ก็มาถามเรื่องอย่างว่า นี่ผมยังด้านไม่เท่ามันหรอกนะ
“นาวชอบพลุขนาดนี้เลยเหรอ” มันถาม ผมสตั๊นไปสิบวิ เอ่อ มันหมายถึงเรื่องพลุหรอกเหรอ แหะๆ สรุป ผมหรือมันวะ ที่ลงใต้สะดือตลอด
“อ๋อ เอ่อ ชอบดิ” ผมรีบตอบ หน้าแตกละเอียดเลย
“หึหึ หน้านาวตลกว่ะ แต่ถ้าชอบเรื่องนั้นด้วยคืนนี้พี่ซ้ำให้นะ พี่อยากให้นาวเหาะได้” ไอ้โหดมันพูดจบก็หอมแก้มผมอีกครั้ง
“จิ๊ นาวว่าละ” สรุปคือมันก็ถามเรื่องนั้นแหละครับ แต่มันแกล้งผม วันๆ คิดแต่จะลวนลามผม แล้วผมจะเอาเวลาไหนไปเหงากันเล่า จริงไหมครับ
ก็อกๆๆๆๆ
“ท่านพี่คะ อยู่ห้องนี้รึเปล่าคะ ท่านพี่”
ผมกับโหดมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะออกมาแทบจะทันที ผมคงจะต้องแต่งคำพังเพยใหม่เสียแล้ว‘ที่ใดมีรัก สักพักมีมิเชล’ ประโยคนี้เพื่อเธอเลยจริงๆ ไอ้โหดมันก้มลงมาจูบผม มิเชลก็เคาะเรียก แต่มันไม่สนใจ จนผมเองต้องเป็นฝ่ายดันตัวมันออก เสียงเคาะรัวมาขนาดนี้ ผมแทบอยากจะตามตัวไอ้บูมกลับมาเลยจริงๆ ไอ้โหดถอนหายใจก่อนจะเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าไม่ได้มีแค่มิเชลที่ยืนอยู่ แต่มีพระชนนีเนตรนภายืนอยู่ด้วย ผมเลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างไอ้โหดมัน
“ท่านปู่ให้มาตามท่านพี่ไปเข้าเฝ้าค่ะ” มิเชลบอกกับไอ้หมาธีม
“ลูกไปพบท่านปู่เถอะ ส่วนน้องนาวไปกับน้านะจ๊ะ น้ามีอะไรจะให้ดู” แม่ของไอ้โหดพูดแบบเป็นกันเองกับผมพร้อมกับส่งยิ้มให้ผม
“ครับ” ผมตอบ
“เดี๋ยวเราจะตามไปครับ” ไอ้โหดบอกกับแม่ของมัน ท่านเลยเดินออกไปก่อน มิเชลเดินตามพระชนนีออกไปด้วย ไอ้โหดมันเอามือมาโยกหัวผมเบาๆ
“พี่เข้าเฝ้าเสร็จแล้วจะรีบไปรับนะ”
“อืม”
“อย่าเกรียนจนแม่ของพี่หัวใจวายละ หึหึ” มันบอก
“หืม นาวไม่เคยเกรียนเหอะ พี่ไปเถอะ เดี๋ยวเขารอ นาวอยู่ได้สบายมาก ไม่ต้องห่วง” ผมดันหลังมันให้ออกมาจากห้อง มันยิ้มให้ผมก่อนจะเดินตรงไปทางตำหนักขององค์เหนือหัว ส่วนผมหันไปมองอลันแล้วพยักหน้าให้อลันตามมาด้วย
ถึงมันจะบอกว่าแม่ของมันใจดี แต่ผมก็ยังเกร็งอยู่ดี ได้แต่ภาวนาว่า ถ้าจะเกิดปัญหาก็ให้มีปัญหาน้อยที่สุดก็แล้วกัน มิเชลหันกลับมามองผม ผมอ่านแววตาของมิเชลไม่ออก เหมือนจะผิดหวังก็ไม่ใช่ จะไม่พอใจก็ไม่เชิง แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง เพราะมิเชลคงเห็นเหตุการณ์บนเขาทั้งหมดแล้ว อาจจะรู้สึกผิดหวังที่ผมกับไอ้โหดรักกันและไม่พอใจที่คนรักของไอ้โหดเป็นผู้ชายก็เป็นได้
...
ผมมาหยุดยืนอยู่ที่ห้องรับแขกของพระตำหนักฝั่งซ้าย พระชนนีรับสั่งให้นางข้าหลวงคนสนิทไปเตรียมอาหารว่างมาให้ผมกับมิเชล ท่านให้ผมนั่งลงตรงโซฟาตัวใหญ่ก่อนจะเดินไปหยิบอัลบั้มภาพมาวางตรงหน้าของผม จากนั้นท่านก็ลงมานั่งข้างๆ ผม
“นี่คือรูปธีมัสตอนเล็กๆ ก่อนที่จะไปอยู่ที่เมืองไทย”
พระชนนีเปิดอัลบั้มรูปให้ผมดูพร้อมกับเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ผมดูแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หน้าตาไอ้หมาธีมจิ้มลิ้มต่างจากตอนนี้จริงๆ ถ้าเอารูปตอนเด็กๆ ไปประกาศตามหาตัวมันตอนโตผมว่าไม่มีทางเจอ เสียงนุ่มนวลน่าฟังของพระชนนีที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวของไอ้หมาธีมกับน้องทัสทำเอาผมเพลินจนลืมอาการเกร็งไปเลย ท่านเป็นหญิงไทยที่ดูอ่อนโยนและใจดี ท่านชวนผมพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม สักพักมิเชลก็ขอตัวกลับไปที่ตำหนักของตัวเอง คงรู้สึกเบื่อที่ไม่มีใครคุยด้วย ผมก็ลืมเธอไปเลยจริงๆ พอมิเชลไปแล้ว พระชนนีก็จับมือผมให้ลุกตามเธอไป ผมเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านใน เมื่อเดินเข้าไปก็พบชายสูงวัยหน้าตาอิดโรยนอนอยู่บนเตียงสี่เสาสีทองที่ตั้งอยู่กลางห้อง ผมรีบโค้งทำความเคารพเพราะรู้ว่านี่คือท่านนาทีค เสด็จพ่อของพี่ธีม
“ลูกของพุดซ้อนหรือ” น้ำเสียงแหบพร่าถามขึ้นก่อนจะพยายามขยับตัวลุกขึ้น พระชนนีรีบเดินเข้าไปประคองสามีให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอน ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างเตียง
“ดวงตาเหมือนพุดซ้อนเลย เนตรว่าไหม” ท่านนาทีคหันไปถามพระชนนีเนตรนภา
“ค่ะ เหมือนมาก” พระชนนีตอบพร้อมกับยิ้มให้ผมก่อนจะเดินออกนอกห้องไป
“คิดถึงแม่ไหม” ท่านนาทีคถามผมเมื่ออยู่กันตามลำพัง
“คิดถึงกระหม่อม” ผมตอบแบบเกร็งๆ ใบหน้าที่ผอมซูบของคนตรงหน้าแทบไม่มีสีของเลือดให้เห็น ทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจแทนพี่ธีม ผมเข้าใจมันเลยที่มันไม่อยากปฏิเสธคำขอร้องของพ่อ ท่านดูอ่อนแรงกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก
“พูดธรรมดากับลุงก็ได้” ท่านบอกผม
“ครับ แล้วคุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ” ผมถามถึงอาหารป่วยของท่าน
“ลุงไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว ยังดีที่ยังมีโอกาสได้เจอลูก ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง”
“คุณลุงอย่าท้อนะครับ ถ้าใจสู้ ร่างกายก็จะสู้ไปด้วย” ผมบอกท่าน
“ขอบใจมาก เห็นนาวแล้วลุงก็คิดถึงพุดซ้อนนะ”
“ผมเหมือนกับแม่มากเหรอครับ”
“ใช่ ทั้งหน้าตาและจิตใจ พุดซ้อนเป็นคนจิตใจดี กล้าหาญมากด้วย มากจนน้องนาวคิดไม่ถึงเชียวละ”ผมฟังแล้วก็อดคิดอีกไม่ได้ว่า ถ้าผมได้เจอแม่สักครั้งก็คงดี ใครๆ ก็ชื่นชมแม่พุดซ้อนให้ฟัง ยิ่งทำให้ผมคิดถึงท่าน
“ผมอิจฉาคุณลุงจังครับ ที่ได้เจอแม่ของผม”
“นาว..ลุง..”
“ท่านพี่คะ” เสียงพระชนนีแทรกเข้ามาก่อน ท่านนาทีคที่ดูเหมือนมีอะไรจะบอกผมก็เลยไม่ได้พูดต่อ
“ได้เวลาทานยาอีกแล้วสินะ” ท่านนาทีคเห็นพระชนนีถือถาดยาเข้ามาก็บ่นเบาๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
“เห็นพี่ธีมบอกว่า คุณลุงเบื่ออาหาร” ร่างกายท่านดูผอมมาก ผมว่าที่ร่างกายทรุดโทรมลงเพราะทานอาหารไม่ได้นี่แหละครับ
“ลุงทานไม่ลงจริงๆ”
“อืม เพื่อนผมที่มาที่นี่ด้วยเป็นคนที่ทำอาหารได้หลายอย่าง แล้วเขาก็ทำอร่อยมากๆ คุณลุงลองทานดูไหมครับ นาวจะให้เขาจัดอาหารเพื่อสุขภาพมาให้ เผื่อคุณลุงจะทานได้มากกว่าเดิม” ผมลองเสนอความคิด พระชนนีหันมามองผม ด้วยความสนใจ
“ก็ดีเหมือนกันนะคะท่านพี่”
“ก็ดีเหมือนกันนะ ลองดูก็ได้ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วงลุง” ท่านนาทีคและพระชนนีต่างก็เห็นด้วย ผมรู้สึกดีใจที่ได้ทำอะไรให้พ่อกับแม่ของพี่ธีมมันบ้าง
“งั้นเดี๋ยวผมขออาสาดูแลเรื่องนี้ให้นะครับ เริ่มจากพรุ่งนี้เลย คุณลุงต้องทานเยอะๆ นะครับ จะได้มีแรงเล่าเรื่องแม่พุดซ้อนให้ผมฟังเยอะๆ” ผมบอก ทั้งสองพระองค์ยิ้มให้ผม ผมเลยถือโอกาสขอตัวในขณะที่พระชนนีถวายโอสถ ผมว่าจะแวะไปหาไอ้บิวเพื่อจะไปขอให้มันช่วยทำอาหารให้ท่านนาทีคได้ทาน
เมื่อออกมาจากพระตำหนักแล้วผมรู้สึกสบายใจขึ้นกว่าเดิมสิบเท่า ไอ้ที่แอบมโนไปก่อนมันไม่ได้ใกล้เคียงเลย ทั้งสองพระองค์ใจดีกับผมและดูเมตตาผมอย่างที่พี่ธีมมันบอกเอาไว้ ผมชวนอลันไปหาไอ้บิวที่ตำหนักสายรุ้ง อลันหน้าเสียเมื่อรู้ว่าผมชวนไปที่ไหน
“ทำไม กลัวอะไร” ผมถาม
“คือ เจ้าชายแอชตัสไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวายที่ตำหนักของพระองค์” อลันบอกเสียงเบา
“ก็ไม่ได้วุ่นวายนี่ ไปหาเพื่อน เพื่อนนาวไม่ได้ติดคุกนะถึงจะไปเยี่ยมไม่ได้” ผมเดินนำอลันไป อลันพยายามจะห้ามแต่สุดท้ายก็ยอมตามผมมาเมื่อเห็นว่าห้ามผมไม่ได้
ผมเดินมาจนถึงทางสามแยกที่เคยมา กำลังคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ธารน้ำตกก่อนดีหรือจะขึ้นไปหาไอ้บิวที่พระตำหนักดี แต่ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าจะไปทางไหนก็ได้ยินเสียงตู้มเหมือนคนตกน้ำดังมาจากทางธารน้ำตก ผมวิ่งำแยังต้นเสียง เมื่อไปถึงก็เห็นไอ้บิวยืนอยู่บนโขดหิน ส่วนคนที่ลอยคออยู่ในนั่นน้ำตกก็คือเจ้าชายแอชตัน ผมมองไอ้บิวสลับกับมองเจ้าชาย จนไอ้เพื่อนของผมมันเดินมาหาผม ท่าทางมันแปลกๆ จนน่าสงสัย
‘ยังไงกันเนี่ย ยังไง ต่อมอยากรู้ของผมกระดิกระรัวแล้ว’
“มาหาฉันเหรอ” ไอ้บิวถามผม พอมันเห็นสายตาของผมที่จับจ้องอยู่ที่ปากของมัน มันก็รีบดึงมือผมเดินออกมาให้ไกลจากจุดที่เจ้าชายแอชตันอยู่ จะไม่ให้ผมจ้องที่ปากของมันได้ไง ปากมันแดงและเจ่อขึ้นอย่างกับไปโดนใครจูบมา ผมเหลียวหลังกลับไปมองเจ้าชาย ก็เห็นสายตาดุดันที่มองมา ผมเลยรีบหันกลับ โคตรน่ากลัวอะ
“มีไรวะแก เกิดอะไรขึ้น” ผมถามมันเมื่อเดินออกมาพ้นบริเวณน้ำตกแล้ว
“มีอุบัติเหตุนิดหน่อย แล้วแกมีอะไร”
“อุบัติเหตุรักเปล่าวะ” ผมถามต่อ ไอ้บิวอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูปกติ
“บ้า ฉันยังเข็ดกับเรื่องพี่นภอยู่ ไม่หาเหาใส่หัวหรอกแก”
“แกระวังแล้วกัน ท่าทางเหาตัวนี้จะเกาะไม่ปล่อย เลือดแกอาจจะหมดตัวได้ คึคึ” ผมขู่มันแบบขำๆ
“สรุปแกมาหาฉันมีอะไร” มันรีบตัดบท ผมเลยเล่าเรื่องทำอาหารให้ท่านนาทีคให้มันฟัง มันก็พยักหน้ารับรู้
“ขอฉันถามเจ้าชายก่อนนะ ว่าฉันจะแบ่งเวลาไปทำให้อาหารที่พระตำหนักของเจ้าชายนาทีคได้รึเปล่า ถ้าไม่ได้ ฉันจะทำที่นี่แล้วแกก็ให้อลันมาเอาไป” มันบอกกับผม
“แกไม่ได้มาที่นี่เพียงแค่รับจ้างมาเป็นเชฟแทนพ่อแกใช่ไหมบิว ทำไมดูแกไม่อิสระเท่าที่ควรวะ” ผมถาม มันนิ่งอึ้งไปแล้วพยักหน้าช้าๆ
“พ่อฉันเคยมาที่นี่เมื่อปีก่อน ตกลงเซ็นสัญญาว่าจะมาเป็นเชฟให้กับเจ้าชายแอชตัน แต่พ่อฉัน..”
“แกอย่าบอกนะว่าพ่อแกมามีเมียที่นี่” ผมชิงถาม เพราะรู้ว่าพ่อของไอ้บิวเจ้าชู้มาก มันถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้าให้ผม
“แล้วยังไงวะ ทำไมพ่อแกให้แกมาแทน ห๊ะ หรือว่า ผู้หญิงที่พ่อแกไปจิ๊จ๊ะด้วยคือผู้หญิงต้องห้ามของวังเหรอ” ผมถามมันอีกรอบ ไม่อยากจะคุยหรอกนะแต่เรื่องของชาวบ้านสมองผมทำงานเร็วครับ มันก็พยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง นั่นปะไร ผมเดาถูกจริงๆ ด้วย
ผมถอนหายใจไปพร้อมกับมัน พอจะรู้จากอลันว่านางข้าหลวงคนใดที่เต็มใจถวายตัวเข้ารับใช้เป็นฝ่ายในแล้ว ห้ามแต่งงาน ห้ามมีคนรัก ถึงจะไม่ต้องถวายตัวเป็นนางสนม แต่ก็จะมีพันธะกับผู้อื่นไม่ได้ เป็นกฎที่มีมานานแล้ว ความผิดนี้ถือว่าร้ายแรงมากนะครับ
“ฉันเลยเจรจาขอให้เอาฉันมาแทนพ่อ เมื่อทางนี้ตกลง พ่อฉันถูกปล่อยกลับ แต่ฉันต้องมาแทนท่าน”
“ต้องอยู่ถึงเมื่อไหร่” ผมถาม
“ไม่มีกำหนด” มันตอบ ผมใจหายเลย นี่ถ้าไอ้จอมรู้คงมีดราม่าหนัก
“มีทางไหนจะช่วยแกได้ไหมวะ” ผมถาม
“อย่าเลย แกก็เพิ่งมาอยู่เหมือนฉัน ถ้าเราเรื่องมากจะลำบากพี่ธีมเปล่าๆ”
“เอาน่า แกหัดมโนอย่างฉัน การมาที่นี่อาจจะเปลี่ยนชีวิตแกตลอดกาล” ผมปลอบมัน
“แล้วแกละ โอเคไหม” มันถามผม
“ก็โอว่ะ บิว ฉันชักสงสัย แกมาทำอาหารให้เขาหรือมาเป็นอาหารให้เขาวะ” ผมถาม สีหน้าสงสัยสุดๆ
“แกจะบ้าเหรอ” ไอ้บิวรีบว่าผมแต่หลบตาผม หึหึ ขอหัวเราะแบบไอ้โหดหน่อย เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองฉลาด มองอะไรทะลุปรุโปร่ง
“บ้าอะไร แกดูโน้น สายตาเขาจะกินหัวฉันอยู่แล้ว เขาไม่รู้หรือไงว่าฉันกับไอ้โหดเป็นอะไรกัน หึงไม่ดูเลย” ผมนินทาเจ้าชายแอชตันที่เดินตัวเปียกมายืนจ้องพวกผมอยู่แบบเนียนๆ โดยทำทีสั่งงานทหารอยู่ไม่ไกล
“แล้วแกเป็นอะไรกับพี่ธีม” ไอ้บิวย้อนถามผม แน่ะๆ เดี๋ยวนี้มียอกย้อนเพื่อเปลี่ยนเรื่องนะแก
“ฉันไปดีกว่า เดี๋ยวว่าที่สามีของแกจะสั่งตัดหัวฉัน แล้วถ้าแกขออนุญาตว่าที่สามีแกเรื่องทำอาหารให้พ่อไอ้โหดได้แล้วโทรบอกฉันด้วย” ผมบอกไอ้บิวก่อนจะเรียกอลันที่ยืนตัวลีบเพราะเกรงกลัวเจ้าชายแอชตันอยู่ที่ด้านหลังผม
“แกจะโดนสั่งประหารเพราะปากเสียเนี่ยไอ้นาว” ไอ้บิวว่าผมแต่หน้ามันแดงแปร๊ดเลยครับ ผมหัวเราะก่อนจะหันไปโค้งให้เจ้าชายแอชตันที่มองมาพอดี พอเห็นว่าผมโค้งให้ ท่านก็พยักหน้าให้ แล้วผมก็ชวนอลันกลับตำหนักเพราะดูท่าสองคนนี้เขาคงมีเรื่องจะเคลียร์กัน
เดินกลับมาจนเกือบจะถึงวัง ผมเห็นไอ้โหดมันมายืนรอผมอยู่ที่หน้าพระตำหนักตั้งแต่ไกลๆ แล้ว นี่ถ้ามันยืนรออยู่ที่ท่าน้ำ ผมจะจับมันใส่โจงกระเบนแล้วให้อุ้มลูกเป็นแม่นาคไปแล้วครับ แต่คราวนี้ไม่ได้หน้าบึ้งเหมือนอย่างตอนที่ผมไปเดินเล่นเมื่อครั้งก่อน เพราะผมส่งข้อความไปบอกมันเรียบร้อยว่าไปไหนทำอะไรบ้าง นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในวัง ผมจะวิ่งเข้าไปกระโดดขี่หลังมันแล้ว ก็เดินจนเมื่อยไปหมดทั้งสองขาแล้ว แต่ละตำหนักอยู่ห่างกันเหลือเกิน
“หนาวไหม ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาว” มันถามขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงมันแล้ว
“ไม่หนาวเท่าไหร่ พี่ธีม นาวอยากได้รถเอทีวีสักคัน เวลานาวไปหาบิว เดินไกลชะมัดเลย เมื่อยอะ” ผมบอกกับมัน อย่าแปลกใจที่ผมพูดจาไพเราะ ก็ทหารองค์รักษ์ของมันยืนหน้าสลอนเต็มไปหมด
“จักรยานดีกว่า” มันบอก ผมยู่หน้าใส่มันเลย เข้าใจคำว่า ‘เมื่อย’ เปล่าวะ ปั่นมันก็เมื่อยเหมือนกัน
“โหย รับรองว่าไม่ขับเร็วหรอก นะ นะครับบบบ” ผมอ้อนมัน มันเดินมาชิดตัวผมแล้วกระซิบเบาๆ
“อ้อนแบบนี้จะไม่ทนนะ”
“กล้ารุ่มร่ามต่อหน้าทหารเหรอ หัดอายบ้างดิ” ผมกระซิบตอบ
“หึหึ ถ้าไม่มีทหารก็รุ่มร่ามได้ใช่ไหม งั้นขึ้นห้องกัน”
“จิ๊.. ไม่เอาอะ นะ นะ ให้นาวหัดขับนะ พี่หัดให้นาวก็ได้ ตอนนี้เลย นะๆ” ผมอ้อนมันต่อ มันยิ้มก่อนจะพยักหน้า ผมเกือบลืมตัวกระโดดกอดมัน ดีว่าหันไปเห็นอลันยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ถึงทำได้แค่ปรบมือดีใจ มันสั่งให้อลันไปเอารถเอทีวีมาที่ลานกว้างแล้วแตะหลังผมให้เดินไปที่ลานพร้อมกับมัน
“แม่เล่าให้พี่ฟังแล้วนะ เรื่องที่จะให้บิวทำอาหารให้พ่อ ขอบคุณนะ” มันบอก
“นาวก็อยากทำอะไรดีๆ ให้พี่บ้าง”
“ชื่นใจ” มันบอก ผมก็ยิ้มตอบ รู้สึกดีที่ทำให้มันชื่นใจ สักพักอลันก็ขับรถเอทีวีมาจอดให้ที่ลาน ผมรีบเดินไปขึ้นนั่ง ไอ้หมาธีมมันก็นั่งซ้อน
“สตาร์ทเลยนะ” ผมบอก
“เดี๋ยวเราจะพานาวไปหัดขับรถ ไปรอเราที่ตำหนัก ไม่ต้องตาม” มันหันไปบอกองค์รักษ์คนอื่นๆ ก่อนจะหันมาสอนวิธีขับให้ผม
อันที่จริงดูแล้วไม่น่าจะขับยากอะไร แต่พอเอาเข้าจริงรถมันหักเลี้ยวยากเอาการ เกร็งมือเกร็งแขนจนเมื่อยไปหมด ผมก็ว่าผมขับไม่เร็วนะ แต่ไอ้คนซ้อนมันกอดผมแน่นเหมือนผมขับอยู่ในสนามแข่งรถเชียว มันชวนผมให้หัดขับออกไปแถวบริเวณถนนด้านหลังของวัง เพราะบริเวณนั้นเป็นเส้นทางตรงจะขับง่ายกว่าถนนหน้าวังซึ่งมีทางคดเคี้ยวเยอะ ผมก็ค่อยๆ ขับออกไปอย่างช้าๆ เพิ่มความเร็วขึ้นนิดหน่อย
“ผมนาวหอมจัง” มันบอก
“ก็ยี่ห้อเดียวกับที่พี่ใช้นะ”
“แต่ทำไมอยู่บนผมนาวแล้วหอม” มันคลอเคลียจมูกอยู่แถวๆ ท้ายทอยของผม
“พี่ อย่านัวเนีย นาวไม่มีสมาธิ” ผมบอกมัน แต่ยิ่งว่ามันก็ยิ่งแกล้ง ซุกไซ้หูผมอีก จังหวะที่ผมกำลังจะปล่อยมือข้างหนึ่งไปหยิกมันก็มีคนวิ่งตัดหน้ารถ ผมหักเลี้ยวและเบรกกะทันหันจนเสียงล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังลั่น รถไถลยาวไปเฉี่ยวคนที่วิ่งมาขวางตรงหน้าเมื่อครู่ พอผมจอดรถได้สนิทไอ้โหดก็รีบวิ่งลงไปดู ผมก็รีบตามลงไป
“เขาเป็นอะไรมากไหมอะ” ผมถาม ใจยังเต้นเร็วเพราะตกใจมาก ดีที่ว่าขับมาไม่เร็วมากไม่อย่างนั้นรถคงจะพลิกคว่ำและชนแรงเขากว่านี้แน่ๆ
“หมดสติไปแล้ว น่าจะเป็นชาวบ้านแถวนี้” ไอ้โหดพลิกตัวคนที่โดนรถของผมเฉี่ยวอย่างเบามือ คงเพราะไม่รู้ว่าร่างกายเขามีส่วนไหนที่หักหรือเปล่า คนที่หมดสติอยู่เป็นผู้หญิงที่รูปร่างผอมบางมากๆ ดูจากหน้าตาแล้วเด็กกว่าผมอีก ผมยาวละใบหน้าและลำคอ ผิวสีน้ำผึ้งเหมือนคนพื้นเมืองทั่วไปในบัณตรา หน้าตามอมแมม เสื้อผ้าขาดและเปื้อนไปหมด
“โอสคาโต บาบี อนูเท นา ชะเลมันตา!!!” ผมเงยหน้าเพราะได้ยินเสียงใครตะโกนมาจากด้านหลัง เห็นทหารสองสามคนวิ่งเข้ามา แล้วผมกับผมด้วยภาษาบัณตรา
“ชะเลมันตา ชะเลมันตา” ทหารพยายามจะตะโกนบอกแล้วชี้ไปที่สาวน้อยที่ยังสลบอยู่ แต่ผมฟังภาษาบัณตราไม่ออก ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์หาอลัน แล้วเล่าให้อลันฟังก่อนจะส่งโทรศัพท์ของผมให้ทหารคนที่ยืนโวยวายอยู่ ทหารคนนั้นโวยวายใส่โทรศัพท์ได้ไม่กี่ประโยคก็หน้าซีด ก่อนจะทิ้งตัวลงคุกเข่าตรงหน้าไอ้โหดและหันไปพูดกับเพื่อนทหารด้วยกัน คราวนี้ทั้งหมดรีบคุกเข่าลงก้มหน้าตัวสั่น ผมรับโทรศัพท์คืนมา
“ว่าไงอลัน อะไรนะ เด็กคนนี้ขโมยของเหรอ” ผมฟังอลันบอกแล้วก็มองไปรอบๆ เห็นถุงกระดาษที่กระเด็นอยู่ไม่ไกล ผมเลยหยิบขึ้นมาดู ด้านในไม่ได้มีของมีค่าอะไร มีห่อผงอะไรสักอย่างสีเหลืองๆ กับสียาเม็ดสีขาวสี่ห้าเม็ด
“อลัน แค่ยาเองนะ ทำไมไม่ถามเขาก่อนว่าเอาไปทำไม ทำไมต้องเอามีดมาวิ่งไล่ขู่เขา เขาอาจจะจำเป็นก็ได้ ไม่รู้ล่ะ อลันเอารถออกมา นาวจะพาเด็กคนนี้กลับวัง นาวเป็นคนทำเขาเจ็บ โอเค แค่นี้นะ” ผมวางสาย ไอ้โหดลุกขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะมองไปที่ทหารที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นกันอยู่
“จะอากลับวังเหรอ พาไปหาหมอแล้วไปส่งเขาที่บ้านดีกว่า” พี่ธีมบอกผม
“โรงพยาบาลไกลกว่าวังนะ เอากลับไปก่อน จะได้สอบถามว่าทำไมต้องขโมย เขาอาจจะมีความจำเป็นก็ได้ พี่เป็นองค์รัชทายาทนะ ประชาชนเดือดร้อนก็ต้องช่วยดิ” ผมบอกเหตุผล
พี่ธีมฟังแล้วยิ้มออกมาก่อนจะเดินมาโยกหัวผมเบาๆ มันทำมือให้ทหารลุกขึ้น ไม่นานอลันก็ขับรถจี๊บมาพร้อมกับหมอทหาร หมอทหารตรวจดูว่ามีส่วนไหนหักบ้างรึเปล่าก่อนจะเคลื่อนย้ายคนเจ็บไปขึ้นรถ เมื่อเห็นว่าสาวน้อยคนนี้ไม่เป็นอะไร มีเพียงรอยถลอกและคงหมดสติเพราะตกใจ ผมเลยให้อลันอุ้มขึ้นรถไป ส่วนผมก็นั่งซ้อนรถเอทีวีโดยมีไอ้โหดเป็นคนขับ เพราะมันไม่ยอมให้ผมขับแล้ว ดูดิ มันความผิดผมที่ไหน เพราะมันนั่นแหละ หื่นไม่รู้เวลา ชิ!
สาวน้อยคนนี้ถูกทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว เธอยังคงนอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวที่ห้องรับแขกของวังฝั่งซ้าย เมื่อเห็นว่าเปลือกตาของคนเจ็บขยับไปมาแล้วอลันก็เรียกผม ผมเดินมานั่งใกล้ๆ จนกระทั่งเธอลืมตา เมื่อเธอเห็นผมกับไอ้โหดก็เบิกตาโตแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบถดตัวลงไปนั่งที่พื้นแล้วหมอบราบลง มือทั้งสองข้างกุมข้อเท้าผมเอาไว้ ส่งเสียงพูดภาษาบัณตราพร้อมกับสะอึกสะอื้นไปด้วย อลันเข้ามาดึงสาวน้อยคนนี้ออกแล้วพูดกับเด็กเป็นภาษาบัณตรา เด็กนั่นถึงรีบเช็ดน้ำตาแล้วยกมือไหว้ผม
“พูดไทยหรือภาษาอังกฤษได้รึเปล่า” ผมถาม ไอ้โหดยืนกอดอกมองอยู่ข้างๆ ผม
“ได้ค่ะ หนูเรียนภาษาไทยมาจากแม่” สาวน้อยพูดแต่ไม่เงยหน้ามาสบตาผม คงจะกลัวไอ้โหด ผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เด็กคนนี้พูดภาษาไทยได้ชัดขนาดนี้
“ชื่ออะไร” ผมถาม
“ราณี”
“ไม่ต้องกลัว ไม่ได้จะทำโทษ ไหนบอกสิ ว่าขโมยยาไปทำอะไร” ไอ้โหดถาม มันไม่ให้เขากลัวแต่เสียงมันจะดุไปไหน เด็กนั่นกลัวจนตัวสั่นหมดแล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะ ตอบมาเถอะ เจ้าชายจะช่วย ไม่ได้จะทำโทษหรอก” ผมบอก เด็กสาวที่ชื่อราณีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลอเบ้าดูน่าสงสาร
“แม่ตัวร้อน แม่ไม่สบาย คนที่นั่นบอกว่าแม่ผีป่าเข้าสิงแม่ เอาน้ำเย็นๆ มาราดแม่ แม่หนาว แม่จะตายไหม หนูกลัวแม่..ตาย.. ฮึก..” ราณีเล่าไปสะอื้นไป ผมนึกสงสารเลย ถ้าใครมาทำกับแม่ผมแบบนี้มีต่อยปากแตกแน่
“แม่เราอยู่ที่ไหน” ไอ้โหดถาม
“หมู่บ้านท้ายวังค่ะ ช่วยแม่หนูด้วย ช่วยด้วย” ราณีขยับเข้ามาหมอบแล้วกุมข้อเท้าผมอีกรอบ ผมเงยหน้ามองไอ้โหด ทำหน้าอ้อนมัน อยากให้มันช่วย
“อลัน ไปสอบถามรายละเอียดแล้วให้คนไปดู พาแม่เขาไปรักษาที่โรงพยาบาล แล้วมาแจ้งเราด้วย” ไอ้โหดบอกอลัน อลันรับคำสั่งแล้วแตะหลังให้ราณีลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกเอาไว้ ราณีหันมามองผม ผมยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ ราณีส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พอหันไปเห็นว่าไอ้โหดพยักหน้า ราณียกมือไหว้ผมแล้วรับเงินเอาไว้
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เอาไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่ เวลาไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลจะได้ไม่มีใครว่า ต้องดูแลแม่ให้ดี เข้าใจไหม” ผมบอก ราณียกมือไหว้ผมอีกครั้ง ผมเห็นเด็กสาวนั่นเดินเช็ดน้ำตาออกไปด้วยก็สงสารและยังนึกห่วง เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวจะอยู่ยังไงกัน
“เป็นเจ้าหญิงนาวเต็มตัวแล้วนะเราน่ะ” ไอ้โหดโอบไหล่ผม
“นาวแค่ไม่อยากให้เด็กนั่นเสียแม่ไปเหมือนนาว ถ้าการช่วยเหลือของเราทำให้เด็กคนนั้นยังมีแม่ มันก็ดีใช่ไหม” ผมบอกเหตุผลกับพี่ธีม ไม่ได้อยากจะดราม่านะ แต่บางทีเรามีพร้อมทุกอย่าง อะไรที่เราช่วยคนอื่นบ้างก็เป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะช่วยชีวิตคน
“พี่ภูมิใจในตัวนาวจริงๆ แม่พุดซ้อนก็คงภูมิใจในตัวนาวเหมือนกัน” มันพูดจบก็ดึงผมไปกอด
“เห็นยัง นาวเหมาะสมกับเจ้าชายอย่างพี่แล้วใช่เปล่า” ผมถาม
“มีใครบอกว่านาวไม่เหมาะกับพี่อย่างนั้นเหรอ” มันรีบถามเสียงห้วนๆ
“เปล่าๆ นาวแค่ถามเฉยๆ” ใจร้อนจริงนะไอ้หมาธีม
“นาวกับพี่สมกันเหมือนสะเดากับน้ำปลาหวานจะตาย”
“นาวหาแฟนใหม่ดีกว่า ไม่อยากเป็นน้ำปลาหวาน” ผมเบ้ปากใส่มัน มันบีบก้นผมเบาๆ แต่ผมตกใจผลักมันออกแล้วรีบมองซ้ายมองขวากลังใครมาเห็น มันหัวเราะขำผม
“กลัวใครเห็นเหรอ” มันดึงผมไปกอดอีกรอบ
“นาวกลัวตูดนิ่มตะหาก” ผมกัดไหล่มันคืน อยากมาบีบก้นผมทำไมละ
“พรุ่งนี้พี่ต้องออกไปหมู่บ้านท้ายวัง อยากไปไหม”
“ไปๆ เผื่อจะได้เจอราณี”
“ดูจะติดใจเด็กคนนี้จังนะ”
“ก็สงสารอะ รู้สึกถูกชะตา” ผมบอกมัน
“ถูกชะตาไม่ว่า ถูกใจเอาตายแน่”
“คึคึ หึงเหรอ”
“อืม” มันตอบรับในลำคอก่อนจะโน้มใบหน้ามาหอมแก้มผม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสด็จย่าของมันเดินเข้ามาพอดี
“ว้าย” นางข้าหลวงคนสนิทที่ติดตามย่าของพี่ธีมร้องขึ้น คงเห็นไอ้ธีมกำลังหอมแก้มผมพอดี นี่ดีนะแค่หอมแก้ม ถ้าเมื่อครู่ไอ้โหดมันจูบผม ท่านย่าและนางกำนัลคงจะหัวใจวายกันเป็นแน่ ผมเด้งตัวออกโดยอัตโนมัติเลย นึกตำหนิตัวเองที่ไม่ห้ามมัน แต่ไอ้หมาธีมมันยืนเฉยไม่สะทกสะท้าน แถมยังจับข้อมือผมไม่ยอมปล่อย
“ออกไปก่อน” ย่าของไอ้โหดไล่นางข้าหลวงออกไปก่อนจะเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้
ผมกับไอ้โหดโค้งทำความเคารพ ท่านพยักหน้าให้ ไอ้โหดดึงมือผมให้มานั่งที่โซฟายาวข้างๆ มัน สายตาของควีนนาราแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจอย่างชัดเจน ผมเลยหน้าเจื่อนไป บรรยากาศที่ไม่อยากเจอในที่สุดก็ได้เจอ ไอ้โหดบีบมือผมเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องกลัว เป็นผมเองที่ค่อยๆ ดึงมือออกมาวางที่ตักของตัวเอง จะไม่ให้กลัวได้ไง สายตาตำหนิผมชัดเจนเสียขนาดนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป