บัลลังก์รักใต้เงาแค้น
บทที่ 23
“ไหนลองปูที่นอนให้แม่ดูที พ่อฟ้าฟื้น”
ร่างสูงของเพชรกล้าได้แต่ยืนมองอย่างเอาใจช่วยอยู่เบื้องหลังของสตรีร่างเล็ก แม้แผ่นหลังจะเริ่มค้อมลงด้วยวัยชราแต่คุณ
หญิงเพทายยังมีบุคลิกเข้มแข็ง เฉียบขาดด้วยเป็นทั้งเมียของนายทหารและแม่ของราชองครักษ์ สร้างความยำเกรงให้แก่สมาชิกใหม่
ของบ้านอย่างฟ้าฟื้นไม่น้อย
“ข้า เอ๊ย กระผมไม่เคยปูผ้าเช่นนี้บนฟูกขอรับ คุณหญิงแม่”
“ไม่เคยก็ต้องฝึก” คุณหญิงเพทายสีหน้าขึงขังจนฟ้าฟื้นแทบจะร้องไห้
“ในเมื่อจะมาเป็นเมียพ่อเพชรแล้ว พ่อฟ้าก็ต้องฝึกปฏิบัติอย่างคนเป็นเมียปรนนิบัติผัว”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่ แม่บอกให้ทำก็ทำ”
คำสั่งเป็นเด็ดขาดจากสตรีเพียงนางเดียวแต่ไม่มีใครกล้าขัด ฟ้าฟื้นได้แต่ชายตาไปยังเพชรกล้าที่มองอย่างให้กำลังใจก่อนที่
เขาจะลุกจากพื้นไม้ขัดมันปลาบขึ้นมาแล้วนำผ้าปูที่นอนสีขาวมาปูลงไปบนฟูกที่ยัดด้วยนุ่นอย่างทุลักทุเล
“อะไร้ ทำไมมันยับย่นเช่นนี้”
เสียงบ่นดังขึ้นทันทีเมื่อคุณหญิงเพทายตรงเข้ามาตรวจงาน
“แล้วคนนอนจะนอนได้สบายอย่างไรกันเล่าพ่อฟ้า ไหนลองปูอีกครั้งให้แม่ชมเป็นขวัญตาเถอะพ่อ”
ฟ้าฟื้นอยากจะร้องไห้เหลือเกิน แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณหญิงเพทายแล้วเขาจำเป็นต้องตรงเข้าไปดึงชายผ้าเหน็บ
เข้าไปใต้ฟูกหนาอีกครั้งพร้อมกับสายตาเข้มงวดของคุณหญิงเพทาย
“ก็ยังไม่ดีนัก ดูตรงมุมนี้สิ พ่อฟ้า...”
“แม่จ๋า”
เสียงเพชรกล้าดังขัดจังหวะมารดาที่กำลังจะเริ่มสั่งสอนฟ้าฟื้นอีกครั้ง นึกขำใบหน้าของฟ้าฟื้นที่กำลังเหยเกเต็มที เพชรกล้า
ก้าวไปหาและเอื้อมมือเกาะต้นแขนมารดาอย่างประจบ
“ฟ้าฟื้นไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อน ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว แม่ค่อยสอนฟ้าฟื้นวันอื่นนะแม่ วันนี้ลูกเหนื่อยเหลือเกินอยากเอนหลัง
เต็มที”
คุณหญิงเพทายค้อนขวับเมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชายเพียงคนเดียว
“ไม่ทันไรก็พูดจาเอาใจเมียเสียแล้วพ่อเพชร ที่แม่ต้องฝึกพ่อฟ้าก็เพื่อให้ดูแลพ่อเพชรให้สุขสบาย แต่ เอาเถอะ เห็นแก่พ่อ
เพชรที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยแม่จะพอแค่นี้ แต่ว่าพ่อฟ้า...”
ฟ้าฟื้นถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อคุณหญิงเพทายหันขวับมาหา
“ขอรับ คุณหญิงแม่”
“รุ่งเช้าตื่นนอนแล้วไปหาแม่ แม่จะสอนการจัดสำรับเช้า อย่าลืมจนนอนเพลินล่ะ”
ทันทีที่คุณหญิงเพทายเดินลับสายตาออกไปตามด้วยเพชรกล้าที่ตามไปปิดประตูฟ้าฟื้นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกจน
เพชรกล้าที่เดินกลับมาถึงกับยิ้มขำ
“แม่ของพี่โหดร้ายปานนั้นเลยรึ”
“พี่เพชรลองมาปูผ้าเช่นนี้ดูบ้างไหม”
หน้าง้ำลงอย่างหมั่นไส้พลางทิ้งกายลงนั่งที่ปลายเตียง เพชรกล้าตรงเข้ามานั่งเคียงข้างและมองฟ้าฟี้นอย่างเอ็นดู
“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าบึ้งตึงเช่นนั้น พี่ไม่ชอบ”
เลื่อนมือโอบเอวพลางเชยคางให้ฟ้าฟื้นหันหน้ามาหา ปลายนิ้วสากนวดเฟ้นกรอบหน้าเบามือ
“พี่อยากเห็นเจ้ายิ้มหวานๆให้ยามพี่กลับจากทำงานมาเหนื่อยๆได้ไหมฟ้าฟื้น”
ฟ้าฟื้นเหยียดริมฝีปากออกทันทีอย่างประชดประชันจนเพชรกล้าต้องส่ายหน้าอย่างระอา
“เช่นนี้เขาเรียกแยกเขี้ยวมิใช่ยิ้ม ให้โอกาสอีกครั้ง เร็วเข้าฟ้าฟื้น”
เพราะสายตาคมที่มองนั่นเองที่ทำให้ฟ้าฟื้นยอมยิ้มได้ เพชรกล้าที่รออยู่แล้วจึงรีบกดริมฝีปากเข้าหาอย่างรวดเร็ว มือที่โอบ
เอวอยู่เดิมออกแรงรั้งกายให้ฟ้าฟื้นหงายหลังลงไปบนฟูกนุ่มตามด้วยกายแกร่งของเพชรกล้าที่โถมทับลงไปทันที
“อื้อ พี่เพชร ไหนว่าเหนื่อย อยากเอนหลัง”
“ก็นี่เช่นไร เอนหลังลงไปบนฟูกนุ่มอย่างตัวเจ้า”
พึมพำอยู่กับกายในวัยหนุ่มของฟ้าฟื้น กลิ่นหนุ่มยั่วจมูกจนต้องเร่งซุกหน้าเข้าหาพลางสาละวนถอดเสื้อผ้าออกจนต่างไม่
เหลือติดตัว
“เห็นข้าเป็นที่นอนงั้นหรือ เดี๋ยวเถอะ”
ฟ้าฟื้นขู่ฟอดแต่มีหรือที่เพชรกล้าจะกลัว เขาฟอนเฟ้นเนื้อตัวของฟ้าฟื้นจนอ่อนระทวยไปทั้งตัว
“จำคำคุณหญิงแม่ไม่ได้รึฟ้าฟื้น เป็นเมียต้องปรนนิบัติผัว แล้วจะมีเรื่องใดที่เจ้าจะปรนนิบัติข้าได้ดีกว่าเรื่องนี้อีกเล่า”
น้ำเสียงออดอ้อนเว้าวอนจนฟ้าฟื้นใจอ่อน ใบหน้าอ่อนเยาว์แดงจัดด้วยความต้องการที่กระพือขึ้นมาจากการปลุกของเพชร
กล้า ฟ้าฟื้นออกแรงผลักให้เพชรกล้าขยับหงายอยู่กลางเตียงอวดท่อนลำแข็งแรงเป็นเส้นตรงอยู่เบื้องหน้า และเพราะเจียมตนดีว่าหาได้
มีดีจะเทียบเคียงเพชรกล้า แต่เพราะหัวใจรักจึงอยากจะมอบความสุขให้และเป็นเช่นดังที่เพชรกล้ากล่าว สิ่งที่ฟ้าฟื้นจะทำได้คงมีเพียง
ไม่กี่สิ่งอย่างเท่านั้น
ขยับกายขึ้นคร่อมอยู่เหนือแก่นกายแข็งแกร่ง ฟ้าฟื้นหันหลังให้กับเพชรกล้าพลางเปิดทางรับให้เพชรกล้าแทรกกายเข้าหา
ความอุ่นร้อนกระทบภายในจนสั่นสะท้านกว่าที่ฟ้าฟื้นจะกดเอวลงไปกระทั่งนั่งทับไปกับท่อนขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้
“โอ ดีเหลือเกินฟ้าของพี่”
หน้าคมแหงนเงยเป่าปากระบายความรู้สึก ช่องทางร้อนตอดรัดเร่งเร้าความต้องการจนหน้ามืด เพชรกล้ากัดฟันผงกศีรษะมอง
แผ่นหลังเนียนยามขยับขับเคลื่อนอยู่บนเอวของเขา ฟ้าฟื้นเหลียวหลังมองสบตาฉ่ำปรือด้วยความปรารถนาไม่ต่างกัน
“โยกเลยเมียรัก ได้ดั่งใจเหลือเกิน”
ครางต่ำต่อเนื่อง เพชรกล้าขยับคว้าสะโพกหนั่นแน่นแล้วบีบเค้นสนุกมือ เขาสวนเอวเข้าหาเรียกเสียงผวาได้จากคนคุม
บังเหียน เพชรกล้ายกเอวฟ้าฟื้นกระแทกกลับลงมายามที่เขาดันเอวเข้าไป
“อื้อ พี่เพชร”
ใบหน้าเหยเกตามแรงอารมณ์ ฟ้าฟื้นเหยียดกายบิดเร่าพลางใช้มือทั้งสองลูบไล้ตนเองด้วยความเสียวซ่าน มือเรียวคว้าท่อน
เนื้อตนเองรูดรั้งไปพร้อมกับเร่งเอวขึ้นลงอยู่บนร่างแกร่งที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง ความคับแน่นร้อนรนภายในจนกล้ามเนื้อบีบรัดน้ำคาวขุ่นพุ่งพรวด
เต็มกำมือ
“อ๊า พี่เพชร”
ครวญหวานยาวพร้อมกับความสุขสมนำหน้า เพชรกล้ากัดฟันจับเอวคอดไว้มั่นพลางขยับถี่ยิบ และเพียงเสี้ยวอึดใจเขาก็ถึงฝั่ง
ฝันอยู่เต็มช่องทางคับแคบจนมันรินไหลลงมาตามต้นขาของฟ้าฟื้นที่ยังหอบหนัก ฟ้าฟื้นทิ้งกายหงายหลังลงมานอนแผ่อยู่บนลำตัวของ
เพชรกล้าเนื้อตัวเหนียวหนับ
“ความจริง ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องสอนเจ้าปูผ้าบนฟูกก็ได้นะ”
เพชรกล้ากระซิบเสียงกระเส่าพลางสอดแขนโอบเอวฟ้าฟื้นไว้ก่อนจะพลิกกายกลับให้ฟ้าฟื้นต้องอยู่ด้านล่างบ้าง
“เพราะถึงจะปูตึงเช่นไร มันก็ต้องยับย่นเพราะบทรักของข้ากับเจ้าอยู่ดี”
อัคคีกำลังควบคุมจิตใจตนเองมิให้ตื่นเต้นเมื่อเขาเดินตัวตรงติดตามอยู่เบื้องหลังของเจ้าชายอินทัชธราธิปรัชทายาทแห่งรัตน
ปุระนคร อัคคีย้ำให้เขารู้ตัวอยู่เสมอว่าบัดนี้เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์
ร่างสูงอยู่ในชุดนายทหารทำให้เขาสง่างามไม่แพ้บุรุษอื่น แม้จะยังไม่ถึงกับโกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา หากแต่เพราะแต่งเล็ม
จนเข้ารูปเข้ารอยก็ยิ่งทำให้อัคคีกลายเป็นบุรุษหนุ่มน่ายำเกรง เข็มกลัดแห่งราชองครักษ์เด่นชัดอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายทำให้เขาภาคภูมิใจ
เป็นอย่างยิ่งยามเหล่าข้าราชบริพารโค้งคำนับเมื่อเจ้าชายอินทัชก้าวพระบาทผ่าน
เดินตัวตรงสง่าผ่าเผยหากแต่สายตาก็ยังไม่วายลอบมองความงดงามของสถานที่แปลกตา ส่วนในของราชวังงดงามยิ่งกว่าที่
คาด เจ้าชายอินทัชกำลังเดินนำเขาผ่านทางเดินกว้างที่ฝั่งหนึ่งเป็นช่องกระจกโค้งมนตกแต่งด้วยผ้าม่านหนาสีฟ้าเข้มขอบทองมัดรวบ
ด้วยเชือกเกลียวสีทองเช่นกัน ระหว่างช่องลมมีดโคมแก้วอัจกลับลายกนกงดงาม ส่วนอีกด้านเป็นกำแพงประดับประดาด้วยภาพวาด
เหมือนบุคคลเรียงรายตลอดทางเดิน
“ภาพวาดเหล่านี้คืออดีตบรมมหากษัตริย์ที่เป็นบรรพบุรุษของเรา”
เสียงกล่าวดังแว่วมาจากร่างโปร่งที่ทอดพระบาทนำอยู่เบื้องหน้า อัคคีใช้หางตาเหลือบมองภาพวาดเหล่านั้นด้วยความตื้นตัน
รู้ดีว่าเจ้าชายอินทัชต้องการบอกสิ่งใดกับเขา คำว่า “เรา” มิเพียงหมายถึงผู้ที่เอ่ยคำออกมา หากแต่รวมถึง “เขา” เข้าไปด้วย
ก้าวตามเจ้าชายอินทัชอย่างไม่รู้จุดหมายจนกระทั่งหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูหนาหนักที่มีราชองครักษ์ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้า รอ
จนได้รับคำขานพระนามเจ้าชายอินทัชธราธิปบานประตูจึงเปิดออกให้เจ้าของพระนามเดินเข้าไป
อัคคีหยุดยืนอยู่หน้าห้อง แม้จะไม่คุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมในวังหลวงแต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าบุคคลที่อยู่ภายในต้องมีความ
สำคัญมาก เขาจึงไม่กล้าผลีผลาม หากแต่เจ้าชายอินทัชกลับหันมาและพยักหน้าให้เขา
“ตามเข้ามาเถิดอัคคี”
นั่นเองจึงทำให้อัคคีกล้าจะเดินตามเข้าไป เขาลอบกวาดสายตาอย่างรวดเร็วจึงเห็นเป็นห้องโถงกว้างและมีเก้าอี้เบาะหนัง
ยาวตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง ทั้งห้องตกแต่งด้วยเครื่องเงินเครื่องทองอันเป็นสัญลักษณ์ของรัตนปุระนครจนลานตาไปหมดและมีบานประตูอยู่ตรง
ข้ามกับที่เขาเพิ่งจะก้าวผ่านมา
“ห้องนี้เรียกว่าห้องรอเฝ้า”
ตรัสเล่าให้ฟังเสียงเรียบหากแต่พระเนตรหวานมองอย่างให้กำลังใจ เพียงชั่วอึดใจบานประตูอีกฝั่งจึงเปิดออกก่อนปรากฏกาย
บุรุษสูงสง่าก้าวออกมา ใบหน้าขรึมและปลายผมสีดอกเลาช่างคล้ายคลึงกับเจ้าชายอินทัช ทำให้อัคคีรู้ทันทีว่าเขาคือใคร
“ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า”
อัคคีโค้งคำนับจนคางเกือบชิดอกทั้งที่เขาอยากจะมองพระพักตร์นั้นเหลือเกิน น้ำตารื้นจนเขาต้องกัดฟันไว้แน่นเพื่อข่มความ
ตื้นตันที่พรูขึ้นมาในความรู้สึก
“เงยหน้าขึ้นเถิดอัคคี”
สุรเสียงเจ้าชายอินทัชแว่วเข้าหูให้เขาได้กลับมายืนตัวตรง อดไม่ได้ที่จะฟังการสนทนาที่เกิดขึ้น
“อินทัช พ่อไม่เห็นหน้าเจ้าเสียนาน สบายดีใช่ไหม”
เป็นเพราะศึกกับอุดรรังษีประชิดเมืองลูกหลวงเข้ามาทุกที ทำให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์ทรงออกบัญชาการรบด้วยองค์เอง
นานๆถึงจะเสด็จกลับเข้ามาในพระราชวัง ความวิตกกังวลฉายชัดอยู่บนพระพักตร์จนเจ้าชายอินทัชพระทัยหาย
“ลูกสบายดีพะย่ะค่ะพระบิดา ห่วงก็แต่พระบิดาที่กรำงานหนัก ลูกอยากจะช่วยพระบิดาเหลือเกิน”
เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงแย้มสรวลได้แม้จะยังเคร่งเครียด ทรงวางพระหัตถ์ลงบนพระอังสะของราชโอรส
“แค่ได้ข่าวว่าลูกพ่อขยันศึกษาตำราและฝึกปรือการต่อสู้พ่อก็ดีใจมากแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องถึงมือเจ้าหรอกอินทัช แล้วนี่พา
ใครมาหาพ่อ”
เจ้าชายอินทัชแย้มสรวลน่าเอ็นดูยามอยู่กับพระบิดา ทรงขยับวรกายมาทางอัคคีแล้วเอ่ยออกไปทันที
“องครักษ์คนใหม่ของลูกพะย่ะค่ะ”
“ได้ข่าวเหมือนกันว่าลูกคัดเลือกองครักษ์ใหม่แทนเพชรกล้า ที่แท้คือเจ้าหนุ่มคนนี้งั้นรึ ไหนแนะนำตัวให้รู้จักหน่อยสิ”
“พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันนามว่าอัคคีพะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงเข้มแข็งนั้นเรียกความสนพระทัยจากเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้เป็นอย่างดี สะดุดเนตรเหลือเกินกับร่างสูงเทียบเท่า
พระองค์ กรอบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราครึ้ม ทรงก้าวพระบาทเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าสบเนตรกับดวงตาคมที่มีเพียงข้างเดียว ส่วนอีก
ข้างถูกบดบังด้วยผ้าคาดตาสีดำมอ หากแต่ดวงตาเพียงข้างเดียวกลับรู้สึกคุ้นเคยแต่ทรงคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใด
“เหตุใดดวงตาของเจ้าจึงเหลือเพียงข้างเดียว”
มีพระราชปุจฉาในสิ่งที่สงสัย อัคคีกลืนน้ำลายลงคอเพื่อให้เขาตอบกลับได้ด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
“หม่อมฉันพลัดตกเหวตั้งแต่เมื่อครั้งแรกเกิด จึงเสียดวงตาไปตั้งแต่บัดนั้นพะย่ะค่ะ”
พลัดตกเหว!
สะเทือนพระทัยจนต้องถอนพระอัสสาสะ เมื่อกระหวัดคิดถึงความสูญเสียที่กลายเป็นบาดแผลในพระทัยจนกระทั่งทุกวันนี้
เมื่อได้รับรายงานจากผู้ที่ติดตามพระมาตุลาไปว่าพลัดตกหุบเหวสูงไปทั้งพระราชโอรสอีกองค์หนึ่งซึ่งยังไม่ได้ทอดพระเนตรเสียด้วยซ้ำ
“ก็ยังโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ชื่ออะไรนะ อัคคีใช่ไหม”
เจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครทรงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเพียงข้างเดียวนั้น และสายตาที่อีกฝ่ายจ้องตอบช่างชวนให้นึกถึงดวงตา
ของใครบางคนที่ยังอยู่ในพระทัยไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปเท่าใดก็ตาม
“โกมุท”
เพียงแผ่วเบาที่ตรัสอย่างเผลอไผลก่อนที่เสียงจากราชองครักษ์ด้านนอกจะเอ่ยคำขานพระนามออกมา
“เจ้านางปะวะหล่ำเสด็จ”
ไม่ทันที่ราชองครักษ์จะผลักประตู บานประตูกลับถูกเปิดออกเพราะความพระทัยร้อน เจ้านางปะวะหล่ำทรงย่ำพระบาทเข้ามา
หยุดยอบองค์ทำความเคารพตามขั้นตอนแล้วจึงทอดพระเนตรพระสวามีอย่างไม่พอพระทัย
“เหตุใดทรงลดเบี้ยหวัดของหม่อมฉันเพคะ”
“ปะวะหล่ำ”
“ทรงรู้อยู่แล้ว ว่าค่าใช้จ่ายของหม่อมฉันมีมาก แต่ก็ทรงกล้าลดทอนลง นี่พระองค์ยังเห็นหม่อมฉันเป็นชายาอยู่หรือเปล่า”
“หยุดนะ ปะวะหล่ำ!”
ตรัสเสียงเครียดเข้มต่ำลึกในพระศอ ทรงอับอายคนภายนอกเช่นอัคคีเหลือเกินที่ต้องมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น เจ้าชายอินทัช
เองก็ยั้งพระมารดาไว้ไม่ทัน
“ก็เพราะเรายังเห็นว่าเจ้าเป็นชายาเราถึงได้ลดเบี้ยหวัดของเจ้า ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานบ้านเมืองระส่ำระสายด้วยศึกจาก
ภายนอก เจ้านางแห่งเมืองสมควรแล้วหรือที่จะใช้ทรัพย์สินเพื่อความพอใจของตนเพียงผู้เดียว”
“พระองค์!”
“พระมารดา”
เจ้าชายอินทัชขยับเข้าไปขวางระหว่างกลาง ทรงรั้งพระหัตถ์เจ้านางปะวะหล่ำเอาไว้มิให้กริ้วมากไปกว่านี้
“พระมารดาอย่าเคืองเลย ตอนนี้การศึกสำคัญมากบ้านเมืองต้องใช้จ่ายมากขึ้นด้วย พระมารดาก็แค่ไม่ต้องตัดฉลองพระองค์
ชุดใหม่นะพะย่ะค่ะ ฉลองพระองค์เดิมพระมารดายังใส่ไม่หมดเลย”
“เอ๊ะ เจ้าลูกคนนี้ ไม่ได้ดั่งใจจริงๆ”
ทรงสะบัดพักตร์ด้วยไม่สบพระอารมณ์จนหันไปเห็นคนแปลกหน้ายืนนิ่งอยู่ด้วย เจ้านายปะวะหล่ำพลันขมวดพระขนงทันที
“นี่ใครกัน”
“องครักษ์คนใหม่ของลูกเองพะย่ะค่ะ ชื่อว่าอัคคี”
ทอดพระเนตรองครักษ์คนใหม่ด้วยพระเนตรคลางแคลง ครั้นสบเนตรด้วยพระหทัยของเจ้านางก็เต้นรัว
คล้าย
คล้ายใครกัน
ทรงนึกไม่ออกว่าดวงตาเพียงข้างเดียวที่จับจ้องพระองค์ด้วยความสงสัยใคร่รู้และลึกลงไปเป็นไฟร้อนฉาบหลังนี้คล้ายกับ
ดวงตาของใครกันแน่
TBC