.:น้ำผึ้งหยดที่เจ็ด:.
Sometimes the smallest things take up the most room in your hearts
.
.
บางครั้ง สิ่งที่ดูไม่สำคัญ กลับมีความหมายมากมายที่สุดในหัวใจ
“พี่แทน ตกลงวันสอบโทอิคนี่วันไหนนะ” พูรินชะโงกหน้าถามคนที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ วันนี้เขามีนัดติวให้พี่แทนที่บ้านเหมือนเคย ก่อนจะกลับพี่เลยชวนเขาแวะซื้อราดหน้าข้างมอที่เคยมากินด้วยกันกลับไปกินที่บ้าน
รถมอเตอร์ไซค์คันโตจอดลงเมื่อถึงที่หมาย เขาก้าวลงจากรถก่อนที่อีกฝ่ายจะจัดการจอดรถจนสนิทดี เมื่อถอดหมวกกันน๊อคออกเรียบร้อยก็เอ่ยตอบเขา
“จันทร์หน้าตอนบ่าย”
คือเรื่องของเรื่อง เขาขยั้นขะยอให้พี่แทนไปลองสมัครสอบข้อสอบโทอิคดู โทอิคคือการทดสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษในระดับการสื่อสารทั่วๆไป มันจะง่ายกว่าข้อสอบที่ใช้ในการสอบยื่นขอเรียนต่อ เพราะข้อสอบจะมีแค่ข้อสอบการฟังและการอ่านเท่านั้น ไม่ต้องเขียนเรียงความยาวๆหรือการสนทนา และแถมผลสอบยังเอาไปใช้ประกอบเวลายื่นสมัครงานได้ด้วย ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับอีกฝ่ายไม่มากก็น้อย
“ให้ผมไปเป็นเพื่อนเปล่าพี่” พูรินถามอีกคนอย่างกระตือรือร้น ให้คนตัวโตเลิกคิ้วซ้ายขึ้นมองทำหน้างงงวย
“เพื่อ?”
“ก็เผื่อพี่ตื่นเต้นไง”
“มึงนึกว่ากูกี่ขวบกันว่ะ” ร่างใหญ่หัวเราะในลำคอก่อนที่จะโน้มหน้าเข้าไปหาแม่ค้าด้านในรถเข็น
“ราดหน้าทะเลเส้นใหญ่สามถุงครับ” ว่าแล้วก็หันหน้ามาหาเขา
“แล้วถ้ากูตื่นเต้นจริง มึงคิดว่ามึงจะทำอะไรได้”
“...” พูรินไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่ทำหน้างอด้วยความน้อยใจ เขาก็รู้หรอกว่าในจังหวะนั้นเขาคงช่วยอะไรไม่ได้ เขาก็แค่อยากไปให้กำลังใจนี่น่า
“เออๆ มึงอยากมาก็มา”
“เย้ งั้นผมรอพี่ใต้คณะนะ” พูรินปรบมือชอบใจ เขารู้อยู่แล้ว ถึงจะทำหน้าเบื่อหน่ายยังไง สุดท้ายพี่แทนของเขาก็ช่างตามใจเขาเหมือนเคย
“เออ...แล้วตกลงพรุ่งนี้มึงเอาไง”
“...” รอยยิ้มของคนที่กำลังลิงโลดหายไปทันที พูรินพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยิ้มเจื่อนแทนคำตอบกลับไปให้รุ่นพี่
พรุ่งนี้แล้วสินะ
หลังจากที่เขาไม่ได้กลับบ้านมาสามอาทิตย์ ในที่สุดพูรินก็คิดว่ามันถึงเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับพ่อและแม่ตรงๆสักที มาถึงตอนนี้ เขาก็ได้คิดและทบทวนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง จนความรู้สึกโกรธที่เคยมีในตอนแรก ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย แต่สิ่งที่ยังทำให้ลังเล ก็เพราะยังคงหวาดกลัวที่จะต้องเจอกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น
“ให้กูไปส่งไหมล่ะ”
“หืม?” คนที่กำลังคิดหนักว่าจะทำอย่างไร เงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยื่นข้อเสนอมาให้
“ถ้าไม่อยากไปคนเดียว กูไปเป็นเพื่อนได้นะ”
เจ้าตัวว่าแล้วก็ส่งยิ้มบางมาให้
ใช่ ก็ไอ้ยิ้มอบอุ่นที่ไม่ค่อยได้เห็นนั่นแหละ
ถึงพักหลังรู้สึกว่าจะเห็นมันบ่อยกว่าเดิมขึ้นเยอะก็เถอะ
แต่ไม่ว่าจะเป็นกี่ครั้งที่ได้เห็น
มันก็ทำให้หัวใจเขาเต้นรัวเร็วกว่าปกติอยู่ดี
พี่แทนแม่ง..
‘ไม่ไปเป็นเพื่อน แต่ไปในฐานะอื่นได้ไหมล่ะ’
ใจที่คิดเกินเลยอยากจะพูดออกไป แต่เพราะรู้ดีว่าผลจะเป็นอย่างไรถึงได้แต่นิ่งงัน
รู้ดีกว่าใครว่าเขามันเป็นได้แค่น้อง
แต่ก็เพราะอีกคนใจดีแบบนี้ ถึงเขาอยากจะถอนตัวก็ทำไม่ได้หรอกนะ
และนั่นละปัญหา เขาไม่ได้คิดอยากจะถอนตัวด้วยน่ะสิ
“โอ๊ย” พูรินร้องดัง เมื่อจู่ๆถูกความร้อนแผ่วมาทาบทับหน้า พอผละออกมามองดีๆ ก็เห็นว่ามันคือถุงพลาสติกที่ใส่ถุงราดหน้าที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆสามถุง
“พี่เล่นอะไรอะ มันร้อนนะ~”
“เหม่อเหลือเกินนะมึงน่ะ ป่ะ กลับกัน” พูรินที่ลูบหน้าปอยๆหน้ามุ่ยมองอีกคน นี่กะจะลวกกันเลยหรือไงนะ นี่ถ้าไม่รักไม่ชอบนี่ต่อยกลับแล้วนะครับบอกเลย
เห็นอย่างนี้ก็สู้คนนะเว้ย~
ห๊ะ! เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ
รักหรอ ชอบหรอ
ไอ้หมีพูห์~ มึงมัน~
~ มึงมันไม่หน้าไม่อาย
คิดอะไรของมึงเนี้ย~
แทนคุณกอดอกยืนมองคนที่เอาหัวโขกกับเสาไฟฟ้าไปมาอยู่ไกลๆ ไม่รู้ในหัวมันคิดหรือจินตนาการอะไรไปถึงไหน เขาล่ะอายแทนมันเหลือเกิน คนมองเยอะแยะไปหมดแล้ว อยากจะเข้าไปห้าม แต่ก็กลัวคนจะรู้ว่ารู้จักกัน ได้แต่ส่ายหัวกลั้นขำอยู่แบบนี้
หึ
สรุปว่ามันบ้าหรือมันเพี้ยนกันแน่วะเนี้ย
“แม่~..พ่อ~”
“น้องหมีพูห์~”
ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ความรู้สึกสับสนปนหวาดกลัวที่เคยมีในหัวใจทั้งหมดก็ลบเลือนจางหายในทันทีทันใด
เพียงแค่มองตากัน พูรินก็วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของสองคนที่เขารักที่สุดในโลกอย่างไม่ลังเล น้ำตาที่เหมือนเตรียมตัวรออยู่แล้วไหลรินลงมาจนชุ่มหน้าเรียว
ความน้อยใจ ความโกรธ ความไม่เข้าใจ หรือไม่ว่าความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นมันจะเรียกว่าอะไร ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นมันสู้กับความคิดถึงที่เขามีไม่ได้เลย
เขาคิดถึงที่ตรงนี้เหลือเกิน ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้เท่าอ้อมกอดอันอบอุ่นของคนสองคนนี้
“ผมขอโทษ..ที่ผมบอกว่าเกลียดพ่อกับแม่ มันไม่จริงเลยสักนิด”
พูรินพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกไปเป็นอย่างแรก คำพูดเลวร้ายที่เคยเอ่ยออกไปมันทิ่งแทงหัวใจเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจก็เหมือนได้รับการปลดปล่อยในมันใดเมื่ออ้อมกอดที่โอบรอบกระชับแน่นขึ้น
“พ่อกับแม่รู้ครับ.. เราไม่เคยโกรธน้องหมีพูห์เลยนะ แต่พ่อขออย่างเดียว หมีพูห์อย่าหายไปแบบนี้อีกนะครับลูก”
“ครับพ่อ ผมขอโทษนะครับ”
“พ่อกับแม่เสียใจนะครับ ที่น้องต้องมารู้เรื่องแบบนี้ ขอโทษนะครับที่ทำให้เราต้องเสียใจ”
“แม่อย่าพูดแบบนี้สิครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็รักพ่อกับแม่มากที่สุด”
แทนคุณที่ค้างอยู่ตรงประตูทางเข้ายืนยิ้มให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า เขาตั้งใจมาส่งน้องเพราะเห็นว่ามันยังลังเลและกังวลไม่หยุด เขาอยากมาให้เห็นกับตาว่ามันจะไม่ถอดใจหนีไปก่อนที่จะเข้าบ้าน หรือไม่ก็อย่างแย่ที่สุด ถ้ามันเกิดใจร้อนจนทะเลาะกับพ่อแม่และหนีออกมาอีกครั้ง เขาจะได้แน่ใจว่ามันจะไม่ต้องนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
แต่ภาพของสามคนที่กอดกันตัวกลมตรงหน้า ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า มันไม่มีอะไรสักนิดที่ต้องกังวล
เขาคิดว่าหน้าที่ของเขาหมดลงแล้ว
แทนคุณดึงประตูบ้านปิดลง เดินตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ตัวเองที่จอดนิ่งอยู่หน้ารั้วบ้าน พอดีกันกับที่กำลังเปิดประตูรั้ว ประตูที่เขาเพิ่งปิดลงไปก็เปิดออกอีกครั้ง
“พี่แทน~” พูรินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาเขา
“พี่แทนทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ”
“กูจะเข้าไปทำไม มึงปรับความเข้าใจกับพ่อแม่แล้วนิ”
“มันก็ใช่..แต่...” พูรินลังเลว่าควรจะบอกว่าอะไรดีเพื่อรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ
ที่จริง ใจลึกๆรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว ยังไงก็คงคืนดีกับที่บ้านแน่ๆ ดังนั้นนอกจากเรื่องที่ผิดใจกัน เขายังเตรียมเรื่องมาคุยมาเล่าให้พ่อแม่ฟังอีกหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของคนตรงหน้า
เขาอยากแนะนำพี่แทนให้พ่อกับแม่รู้จัก
ใช่ เขารู้ดีว่าสำหรับพี่แทนเขาเป็นเพียงรุ่นน้องคนหนึ่ง และที่พี่แกใจดีขนาดนี้ก็เพราะเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเท่านั้น
มันไม่ใช่ว่าเขาพิเศษกว่าใคร
พอได้มาสนิทกันจริงๆ จากที่เคยเห็นอีกคนเป็นเพียงคนเย็นชา ปากร้าย เอาแต่ว่าคนอื่น แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจริงๆแล้วพี่แทนใส่ใจคนรอบข้างมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นแม่กุ้งมี่พี่แทนรักกว่าใคร หรือจะเป็นเพื่อนๆอย่างพี่ต้น พี่ดิน หรือแม้แต่แฟนเพื่อนอย่างพี่กีกับพี่อินก็ยังได้รับความใจดีนั้น
รุ่นน้องอย่างเขาก็เหมือนกัน
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงสิ่งที่เขาคิดกับพี่แทนมันออกจะเกินเลยกว่าคำว่าพี่น้องไปไกล ถึงสิ่งที่เขาหวังมันจะไม่มีวันเป็นจริง เขาก็ยังอยากแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักพี่แทนอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพี่รหัส พี่ในคณะ เพื่อนสนิท คนติว หรือในฐานะใดก็ตาม
เพราะสำหรับเขา ยังไงพี่แทนก็คือคนสำคัญ
“งั้นกูกลับล่ะ เจอกันวันจันทร์นะ” เมื่อไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้าง เขาก็เลยได้แต่พยักหน้าตกลงเมื่ออีกคนกล่าวลาอีกครั้ง
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ” อีกเสียงที่ดังมาจากในบ้านเรียกให้ทั้งสองหันไปมอง เป็นธวัช พ่อของพูรินที่ยืนพิงกรอบประตู กอดอกส่งยิ้มมองมาที่เขาทั้งสองคน
“มาตั้งไกลแบบนี้ จะให้แม่ส่งแขกตั้งแต่หน้าประตูก็คงไม่เหมาะล่ะมั้ง” กานดา เอ่ยเสริมขึ้นมา พูรินหันไปสบตาเข้ากับแม่ที่ยิ้มกรุ่มกริ่มมองมา และทันใดนั้นก็ตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อเห็นมือเรียวของแม่เกาะเกี่ยวอยู่กับแขนของพ่อ
หรือว่า...~
แทนคุณยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง เมื่อเห็นทั้งคู่ออกปากชวนเขาแบบนี้ ก็เลยได้แต่พยักหน้าให้น้อง ก่อนที่จะเดินตามมันเข้าไปในบ้าน พูรินและแม่ขอตัวแยกออกไปจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ปล่อยให้เขาและคุณอาธวัชนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นกันตามลำพัง
“แม่~” เมื่ออยู่ในครัวกันสองคน พูรินก็โผเข้ากอดผู้เป็นแม่ทันทีทันใด ถึงจะอยากบอกว่ารักทั้งพ่อและแม่เท่ากัน แต่ในความเป็นจริงคนที่เขารักมากที่สุดก็คือผู้หญิงคนนี้ คนที่เป็นทั้งแม่และเพื่อนที่สนิทที่เขาไม่เคยคิดจะปิดบังเรื่องใดเลยสักเรื่องในชีวิต
“ผมคิดถึงแม่ที่สุดเลย” จมูกเรียวกดลงไปบนแก้มหอมของผู้เป็นแม่ย้ำๆหลายครั้งสลับกันไปทั้งซ้ายและขวา
“แม่ก็คิดถึงหมีพูห์ที่สุด รู้ไหมว่าแม่ใจหายใจคว่ำแค่ไหนที่เห็นเราวิ่งออกไปแบบนั้น แม่นึกว่าเราจะเกลียดแม่ไปจริงๆเสียแล้ว”
“โธ่~ ผมจะเกลียดแม่ได้ยังไง ผมขอโทษนะครับ ผมปากพล่อยเอง”
“ให้มันแล้วกันไปเนอะ มันก็เป็นความผิดของพ่อกับแม่เองที่ไม่ยอมบอกเราสักที”
“...”
กานดายกมือลูบผมนุ่มของลูกชายสุดที่รักอย่างเอ็นดู ความกังวลใจทั้งหมดเลือนหายเมื่อได้อีกคนเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนเธอไม่เคยหวาดหวั่น ขอเพียงยังมีลูกน้อยของเธออยู่ตรงนี้ ให้เจอเรื่องใหญ่กว่านี้เธอก็สู้ไหว
“หมีพูห์ยังโกรธพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่าครับ”
“...”
“พ่อกับแม่ทำให้เราผิดหวังมากเลยใช่ไหม”
“เปล่านะครับ!” พูรินรีบพูดแทรกขึ้นมาไม่อยากให้อีกคนเข้าใจผิด
“แต่ผมถามได้ไหม ว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่..” เขาเอ่ยถามเสียงอ่อย เขาอยากรู้จริงๆว่ามันเริ่มต้นยังไง มันตั้งแต่เมื่อไหร่..
ที่พ่อกับแม่ตัดสินใจที่จะไม่รักกัน
“ก็ตั้งแต่เราขึ้นมอปลายนั้นแหละครับ” หญิงวัยกลางคนผละออกจากอ้อมกอด หันไปจัดเตรียมจานและช้อนส้อมสำหรับสี่คน ก่อนจะบรรจงตักอาหารที่อยู่บนเตาใส่ถ้วยกลาง พร้อมตอบคำถามด้วยท่าทางสบายๆ
“จะว่ายังไงดีล่ะ พ่อกับแม่ต่างก็ยุ่งกับงานของตัวเอง จนไม่ค่อยมีเวลาให้กัน จนเมื่อเวลามันผ่านไป เราทั้งสองก็ค้นพบว่าความสำคัญของอีกฝ่ายมันลดระดับลงมาตอนไหนก็ไม่รู้ จากที่เคยคิดเรื่องของเขาเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้กลับไม่มีเขาในหัวอีกเลยซักนิด”
“...”
“แม่ก็คิดว่าแม่เป็นอยู่ฝ่ายเดียว ตอนแรกก็รู้สึกผิดกับพ่อมากเหมือนกัน แต่พอเปิดใจกันก็ปรากฎว่าพ่อก็เห็นตรงกันซะงั้น” เธอว่ากลั้วหัวเราะ แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่เขาไม่เคยชอบเลย
“มันน่าเศร้านะ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าความรักที่เคยมี ถ้าเราไม่รักษา ไม่ใส่ใจ วันนึงมันหายไปได้จริงๆ”
“...” กานดาละมือจากสิ่งที่ทำ หันหน้ามาสบตากับลูกชายคนเดียวที่ทั้งรักทั้งห่วงกว่าใคร
“แต่เราอย่ากังวลไปนะ ห้ามคิดอะไรฟุ้งซ่านเด็ดขาด สำหรับพ่อและแม่ สิ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยนไปคือความสำคัญของเรานะครับ หมีพูห์คือคนสำคัญที่สุด คือความรักที่จะได้รับการรักษา การใส่ใจไปทั้งชีวิต หมีพูห์เชื่อแม่นะครับ”
คนเป็นแม่กล่าวเสียงเข้ม เพราะรู้ดีว่าลูกชายเป็นจอมจินตนาการขนาดไหน กลัวเหลือเกินว่าจะคิดไปถึงไหนต่อไหนให้ตัวเองเสียใจเล่น พูรินซบลงบนไหล่มนของคนเป็นแม่อีกครัั้ง เอ่ยสิ่งที่ใจแอบวาดหวัง
“มันไม่มีทางเลยหรอครับ สักนิดก็ไม่มีเลยหรอที่พ่อกับแม่จะกลับมาคืนดีกัน”
เมื่อได้ฟังคำถาม คนเป็นแม่ก็ผละอีกฝ่ายให้มาสบตากัน แม้ปากเรียวจะยกยิ้มบางส่งมาให้ แต่เขาสังเกตเห็นในแววตาวาววับที่สบมา สิ่งที่เขาคิดมันไม่มีวันจะเกิดขึ้น
“หมีพูห์ครับ..”
“แต่ผมเห็น..ผมเห็นพ่อกับแม่จับมือกัน” พูรินรีบแทรก ยังอยากดื้อรั้นหาหนทางไปต่อ
“...”
“ผมว่าพ่อกับแม่ก็ยังรักกัน ไม่ได้เกลียดกันสักหน่อย” ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งดูร้อนรน จนคนเป็นแม่ใช้มือเรียวลูบไหล่ทั้งสองขึ้นลงพยายามปลอบประโลม
“หมีพูห์ครับ เราฟังแม่นะ”
“...”
“ใช่ครับ พ่อกับแม่ยังรักกัน”
“ถ้างั้น..”
“ฟังแม่ก่อนนะครับ”
“...”
“พ่อกับแม่เรายังรักกัน แต่มันแค่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเท่านั้น แม่ยังมีความหวังดี ความรัก ยังอยากให้พ่อของหมีพูห์มีความสุขเสมอ และแม่คิดว่าพ่อเองก็คิดไม่ต่างกัน แต่เพียงแค่นอกจากความรู้สึกนั้น เราก็ยังอยากมีพื้นที่เป็นของตัวเอง ยังอยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเมื่อเราตัดสินใจว่าสิ่งเหล่านั้นมันสำคัญกว่าความรักที่เคยมี เราก็เลยต้องให้เกียรติการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย”
“...” พูรินเงียบ เขาอาจจะยังเด็ก เขายังไม่เข้าใจในหลายๆสิ่งที่แม่พยายามจะบอก และทั้งไม่สามารถจะตัดสินได้ว่าความคิดของพ่อกับแม่มันถูกหรือผิด แต่สิ่งนึงที่เขาเข้าใจและทำได้ คือเขาเองก็อยากให้เกียรติการตัดสินใจของคนที่เขารักเหมือนกัน
“ตลอดหลายปีมานี้ แม่ทำให้เรารู้สึกขาดอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ ไม่เลย” เขารีบปฎิเสธอีกครั้ง
“แม่ดีใจนะครับที่ได้ยินแบบนี้ แม่ขอให้เราเชื่อนะครับ ว่าเมื่อก่อนเป็นเช่นไร หลังจากนี้ความรักที่พ่อกับแม่มีให้หมีพูห์มันจะยังเหมือนเดิม”
“...”
“ส่วนเรื่องของพ่อกับแม่ แม่รู้ว่ามันเข้าใจยาก แม่เองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก แต่แม่ขอกำลังใจจากเราได้ไหม” เธอว่ากลั้วหัวเราะ
“เดี๋ยวแม่เป็นโสดเต็มตัวเมื่อไหร่ พาแม่ไปเที่ยวส่องหนุ่มกันสองคนเนอะ”
“โธ่ แม่น่ะแม่” พูรินโผกอดผู้หญิงคนสำคัญของเขา เขารู้ว่าเธอเองก็คงเจ็บปวดไม่น้อย แต่ก็ยังพยายามทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าเขา
“แต่ก็ถ้าบางคนยังโสดอยู่น่ะนะ” เขาผละมามองหน้าแม่อีกครั้ง มองอย่างไม่แน่ใจว่าแม่หมายความว่ายังไง
“กับพี่แทนนี่ยังไง” เอ่ยถามพร้อมกับยิ้มอย่างรู้ทัน พูรินเข้าใจในทันที แม่รู้ว่าเขาชอบผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นอีกคนคงดูออกในทันทีกับความรู้สึกที่เขามีให้คนที่มาด้วย
“รุ่นพี่ครับ เพื่อนพี่ดินไงที่ผมเคยบอก”
“แต่แม่ว่าไม่ใช่ละมั้ง ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญยังไงไม่รู้” กานดาเอ่ยแซว
“ก็ใช่ครับ พี่แทนคือคนสำคัญ”
“งั้นแสดงว่า..” เขารีบส่ายหน้าปฎิเสธเมื่อแม่เริ่มคิดไปไกล
“เป็นแค่พี่น้องกันจริงๆครับ”
“...” พูรินที่แอบซึมไปนิดเมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ยกยิ้มขึ้น
“แต่อย่างที่แม่บอก ไม่ว่าความรักแบบไหนก็ดีทั้งนั้น จะเป็นพี่น้องหรือเพื่อนอย่างที่เป็นอยู่ ผมก็มีความสุขแล้ว”
“...”
“แค่มีพี่แทนอยู่ด้วย ผมก็มีความสุขแล้วครับ” กานดายืนมองหน้าลูกชายอย่างพิจารณา เธอได้แต่ยิ้มให้กับคนที่ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆในสายตาเธอเสมอ วันนี้ลูกชายของเขาเริ่มเรียนรู้ เจ้าตัวเริ่มที่จะเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ
“ไม่ว่ายังไงแม่ก็อยู่ตรงนี้นะครับ”
พูรินโผเข้ากอดอีกฝ่ายอีกครั้ง จนคนเป็นแม่ยกกำปั้นขึ้นเขกกระโหลกเบาๆ
“ไป พอๆ เดี๋ยวอาหารเย็นหมด ไปตามพ่อกับพี่เขามากินข้าวไป”
พูรินอดไม่ได้ แทรกตัวไปในอกอุ่นอีกครั้งก่อนจะผละไปทางห้องนั่งเล่นที่อีกสองคนนั่งอยู่
“ผมเป็นเพื่อนกับพี่รหัสของหมีพูห์น่ะครับ น้องเขามาช่วยติวภาษาอังกฤษให้” เมื่อถึงหน้าประตูพูรินได้ยินเสียงพี่แทนลอยมา ตอบคำถามเมื่ออีกคนถามว่ารู้จักกันกับลูกชายตัวได้ยังไง
“อ่อ อาจำได้แล้ว ใช่ที่แม่เราเป็นช่างเย็บผ้าหรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
แทนคุณตอบไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง เขาไม่คิดจะปิดบัง ตอนเด็กๆมีหลายครั้งที่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับอาชีพของแม่ มันดูไม่โก้หรูและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้โดนเพื่อนล้อบ่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็ไม่เคยคิดจะสนใจ เพื่อจะเลี้ยงดูเขาแม่ต้องลำบากทำงานทั้งเช้าค่ำ ดังนั้นในทุกครั้งที่ต้องตอบคำถามนี้ เขาถึงตอบออกไปด้วยความภูมิใจทุกครั้ง ใครอยากดูถูกดูแคลนเขาไม่เคยสน
“งั้นก็เป็นเรานี่เอง ที่น้องหมีพูห์ไปกวนอยู่บ่อยๆ” ธวัชว่ากลั้วหัวเราะ “มันออกจะขี้เพ้อหน่อยนะ พอดีเป็นกันทั้งบ้าน”
“ไม่เลยครับเป็นผมต่างหากที่ทำให้น้องเสียเวลา แถมน้องยังมาช่วยงานแม่ผมอีกด้วย”
พูรินเผลอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำตอบ
“หืม ช่วยป่วนนะสิ น้องไม่ได้ไปรบกวนอะไรแม่เราใช่ไหม”
พ่อนะพ่อ นี่ลูกนะ เห็นเขาเป็นอะไรเนี่ย!
“เปล่าเลยครับ แม่ผมมีความสุขจะตายเวลาน้องมา บางครัั้งผมก็คิดจริงๆว่าแม่รักน้องมากกว่าผมแล้วละมั้ง”
พูรินยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หลังประตู
~แม่กุ้ง
เขาเองก็รักแม่กุ้งมากเหมือนกัน
“แล้วเราล่ะ”
“..ครับ?”
“อาถามว่าแล้วเราล่ะ”
ดะ..เดี๋ยว...พ่อ..พ่อ..ถามอะไรน่ะ (.////.)
“น้องไปกวนอะไรเราหรือเปล่า”
“อะ..อ่ออ ไม่เลยครับ ผมบอกแล้วผมเป็นฝ่ายกวนน้องมากกว่า”
พูรินอยากจะเอาหัวโขกกำแพง เขารู้นะว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจจะถามคำถามนี้ จะกวนไม่กวน พ่อก็ถามไปแล้วรอบนึงนี่น่า!!
“เอ่อ พ่อ! พี่แทน! แม่เรียกให้ไปกินข้าวครับ” พูรินรีบเข้าไปขัดบทสนทนา เขาไม่อยากให้พ่อเขาซักไซ้พี่แทนไปมากกว่านี้
ทั้งสามพากันมานั่งที่โต๊ะอาหาร ทั้งๆที่เป็นมื้อแรกหลังจากที่ปรับความเข้าใจกัน แต่แทนที่ความสนใจจะมาอยู่ที่เขา ผู้ปกครองทั้งสองกลับพุ่งความสนใจทั้งหมดไปหาอีกคน
เขามั่นใจว่าพ่อกับแม่ต้องมองออกเรื่องที่เขาแอบชอบพี่แทน แต่เขาก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ กลัวเหลือเกินว่าทั้งสองจะทำให้พี่แทนอึดอัด แต่พี่แทนเองก็ดีแสนดี เรียกว่าสุภาพที่สุดตั้งแต่เคยเห็นกันมาเลยก็ว่าได้ ทั้งตอบคำถาม ทั้งชวนคุยไม่หยุด ได้เห็นพี่แทนลุคนี้รู้สึกเป็นบุญตาตัวเองเหลือเกิน
นั่งคุยกันหลังมื้ออาหารได้สักพัก พูรินก็เดินออกมาส่งอีกคนที่หน้าบ้าน วันนี้ความรู้สึกหนักอึ้งภายในหัวใจไม่มีหลงเหลือเลยสักนิด เหมือนเขากลายเป็นหมีพูห์ที่ได้กินน้ำผึ้งจนหมดกระปุกคนเดียว มันชุ่มช่ำ มันหวาน และมันก็แสนจะอุ่นที่ใจ และทั้งหมดเขาอยากจะยกความดีความชอบให้กับคนที่อยู่เคียงข้างเขามาโดยตลอด
คนตรงหน้าเขา
“กูไปนะ” แทนคุณหันมากล่าวลา หยิบหมวกกันน๊อคขึ้นมาเตรียมจะสวม
“พี่แทน~ ผม..ผมขอบคุณมากเลยนะครับ”
“เรื่อง?” เขาย่อตัวนั่งพิงกับมอเตอร์ไซต์จนตอนนี้ระดับตาของทั้งสองเสมออยู่ในระดับเดียวกัน
“สำหรับทุกอย่างเลย” พูรินว่า “ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้”
“กูไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นใครเขาก็ต้องทำแบบกูทั้งนั้น” อีกคนว่าอย่างถ่อมตัว
“ผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครๆเขาจะทำกันไหม” เมื่อพี่แทนว่าอย่างนั้น เขาก็เลยเอ่ยสิ่งที่เขาคิด “แต่ผมรู้แค่ว่าคนที่อยู่ข้างผมมาตลอดคือพี่”
“...”
“เพราะงั้นขอบคุณนะครับ”
แทนคุณยกยิ้ม เอื้อมมือมากดลงบนหัวอีกคนหนักๆ ก่อนจะขยี้ไปมาอย่างนึกเอ็นดู
“พี่แทนอ่ะ~”
“บ่นอะไรเยอะแยะ”
“...”
“...”
“คือผม...” พูรินรู้สึกอยากกอดอีกฝ่ายขึ้นมา อยากสัมผัสความอบอุ่นที่เขาคุ้นเคยจนเคยตัวอีกครั้ง แต่เหมือนวันนี้เขาไม่มีข้ออ้างที่ดีพอที่จะทำได้ตามที่ใจคิด
“มานี่มา..” แต่ก็เหมือนมีใครอีกคนที่รู้ใจเขาดีเสียยิ่งกว่า เจ้าตัวเอ่ยเรียกพร้อมอ้าแขนให้เขาเดินเข้าไปหา ท่อนแขนแกร่งโอบรับเขาเข้าไป พูรินหลับตาแน่นในนาทีที่ความอบอุ่นซึมผ่านหัวใจ
“ผม..เฮ้อ..~”
“หืม?”
“ผมมันเป็นคนโลภมาก”
“อะไรของมึงอีก”
ทั้งๆที่คิดว่าได้อยู่ในฐานะใดก็ไม่สำคัญเท่ายังได้อยู่ใกล้ๆกัน
“ผมมันไม่รู้จักพอน่ะพี่”
“มึงมันบ้า”
แต่ยิ่งได้ใกล้เข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากเข้าไปใกล้กว่าเดิม
และยังแอบหวัง ทั้งที่ไม่ควรหวัง
ว่าสุดท้าย..จะได้กลายเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด
*************
#หมีแทนที่รัก
หมีพูห์คนโลภภภภภ เรื่องสาเหตุที่พ่อกับแม่เลิกกันมันงงไหมค่ะ เรื่องจริงของเพื่อนเลยนะ มันมีจริงๆความสัมพันธ์แบบนี้ ถ้างงๆเดี๋ยวเรียบเรียงดีๆแล้วรีไรท์ให้เน้อ
เรื่องนี้ชอบโดนแทรกตลอด แต่ว่าหลังจากอาทิตย์นี้จะมาเขียนรัวๆแล้วนะคะ ขอเขียนเรื่อง 2 in 1 ให้ครบสี่ตอนก่อน พอครบสี่ตอนปั๊ป หมีพูห์จะมาพร้อมกับตั้งต้น สลับกันไปมา พอจบทั้งสองเรื่องก็จะต่อ 2 in 1 ให้จบ แล้วก็จะลาแล้วเด้อ!!!
เป้าหมายชัดเจน เหลือเพียงความขยัน 555
ใครยังไม่ได้อ่าน 2 in 1 ไปลองอ่านดูน้า เค้าว่านายเอกของเค้าน่ารักอยู่นะ เรื่องนั้นตั้งแต่เปิดมายังไม่ค่อยมีคนอ่านเลยอ่ะ เสียใจ T_T ยังไงฝากด้วยนะคะ