-----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -----Twenty four hours : ส่งรักนี้ 24 ชั่วโมง----- ตอนพิเศษ วาเลยไทน์ 2  (อ่าน 61255 ครั้ง)

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2








บทที่ 16









กว่าสองเดือนที่ผ่านมาหลังจากกวีตกลงคบกับวายุ เขารู้สึกว่าไลฟ์สไตล์ของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่น้อย เพราะแต่ก่อนชีวิตของนักเขียนหนุ่มจะมีแต่วัฏจักรการปั่นต้นฉบับและคิดเรื่องเมนูอาหารวนเวียนไป ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก ทว่าเดี๋ยวนี้กวีรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรให้ทำมากขึ้น ด้วยถูกชักชวนจากคนรักที่เป็นนักสรรหากิจกรรมของเขานั่นเอง

วายุเป็นคนที่ทำให้นักเขียนที่อยู่อย่างสล็อตต้องเคลื่อนไหวเร็วขึ้น

อย่างเช่นวันนี้ หลังจากที่กวีเพิ่งส่งต้นฉบับรายสัปดาห์ไปเมื่อคืน พอตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนทำอะไรสักอย่างอยู่ที่ระเบียง

แม้นักเขียนหนุ่มจะพอเดาได้ว่าคนที่เข้ามาอยู่ในห้องของตัวเองเป็นใคร แต่เขาก็ไม่ปล่อยตัวนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงนานนัก กวีสะบัดผ้าห่มไปกองทิ้งด้านข้าง ก่อนจะผุดลุกขึ้นมาและตรงไปแหวกผ้าม่านเอาหัวแนบกระจกมองคนที่กำลังง่วนอยู่กับพืชอวบน้ำสามสหายของเขา

เขาไม่รู้ว่าวายุขนอิฐมอญหกก้อนกับอุปกรณ์ทำสวนเข้ามาบนห้องได้อย่างไรโดยปราศจากเสียงรบกวน แต่กวีก็ไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่ที่วายุทำได้ ด้วยรู้ว่าตัวเองคงหลับเป็นตายจากอาการอดนอน ซ้ำอีกฝ่ายก็มักทำเรื่องเหลือเชื่อให้เขาประหลาดใจได้ตลอดอยู่แล้ว

อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนกลางดึกที่กวีกำลังง่วนเกือบหลับไปกับแป้นคีย์บอร์ด อยู่ๆ วายุก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของกวีพร้อมกับน้ำรวมเบอรี่สกัดรสชาติจี๊ดจ๊าดที่ทำให้ดวงตาและร่างกายตื่นขึ้นมาได้อย่างมหัศจรรย์ หรือบางครั้งคนคนนั้นก็มาหาพร้อมกับแผ่นหนังเก่าที่เขากำลังอยากดูและป๊อปคอนรสชีสกับราคาเมลเหมือนในโรงหนังอย่างไรอย่างนั้น

คล้ายกับวายุรู้อยู่ใจเสมอว่าในเวลานั้นๆ กวีต้องการอะไร คนขี้เกียจที่ได้รับการเอาใจจึงยิ่งรู้สึกดีจนอยากให้คนพี่ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่กับตัวเองเสียเลย ติดแค่อีกฝ่ายเองต้องทำงานและดูแลร้านพี่รถกับข้าวเช่นกัน

มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ รู้ตัวอีกทีพี่รถกับข้าวก็เดินมาเคาะกระจกตรงหน้าเขา พร้อมกับส่งยิ้มหวานตามแบบฉบับของตัวเองมาให้

กวียิ้มตอบ ก่อนจะเลิกพิงกระจก และเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา

“ตื่นนานแล้วหรือครับ”

“เพิ่งตื่นครับ” กวีบอก “แล้วพี่ล่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”

“มาตั้งแต่บ่ายโมงแล้วครับ แต่พี่เห็นวีหลับ ไม่อยากปลุกน่ะ”

“ทำไมวันนี้อยู่นานได้ครับ”

เพราะปรกติวายุจะมาเขาตอนเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาที่กวีตื่นนอนแล้ว ส่วนวายุเองก็พักกลางวันพอดี พวกเขาจะอยู่กินข้าวและคุยเล่นกันพักหนึ่ง ตกบ่ายนิดๆ วายุก็จะขัยรถกลับไปเฝ้าร้านต่อ และกลับมาหาอีกครั้งตอนร้านปิด

“วันนี้ร้านปิดครับ”

“หื้ม? ทำไมถึงปิดล่ะครับ”

“วันนี้วันพ่อไงครับ พี่ตรวจดูรถส่งของเรียบร้อยแล้วก็มาจัดสวนที่บอกว่าจะจัดให้วันก่อนไง นี่เสร็จแล้วนะไปลองดูสิว่าชอบไหม”

“ครับ!” กวีสวมรองเท้านอกบ้านออกไปเดินชมสวนเล็กๆ บนระเบียงน้อย “ว่าแต่พี่ลมไม่ไปหาคุณพ่อหรือครับ”

“ไม่หรอก ป๊าพี่ไปไหว้พระที่พม่ากับม๊าน่ะ”

“อ๋อ” กวีพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดออกไปว่าตัวเองอยากไปไหว้พ่ออยู่เหมือนกัน

“แล้ววีล่ะ อยากไปวัดไหม”

“อืม...วันนี้จะเย็นแล้ว เอาไว้วันหลังก็ได้ครับ เพราะปรกติผมจะนัดไปกับพี่พัน แต่ปีนี้พี่พันคงไม่ว่าง ไม่เห็นโทรมาบอกก่อนเลย ผมก็ลืมด้วย”

กวีเคยเล่าให้วายุฟังว่าพ่อเสียแล้ว แต่ไม่เคยลงรายละเอียดให้ฟังว่าปรกติกวีไปหาพ่อบ่อยแค่ไหน และไปกับใครบ้าง

“อ้อ...แล้ววีโอเคไหม อยากไปหรือเปล่า” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ผมไม่เป็นไรครับ รอก่อนก็ได้ ไม่มีปัญหา” กวียิ้ม ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่สวนเล็กซึ่งวายุจัดได้อย่างน่ารักถูกใจสุดๆ ด้วยไม่อยากนึกถึงเรื่องเศร้าๆ

“เป็นไง ชอบไหม”

“ชอบครับ น่ารักมากๆ ๆ เลย แบบนี้ต้องหาทางมานั่งเขียนนิยายข้างนอกแล้วล่ะ”

“ถ้าเย็นๆ ก็พอได้นะ แต่กลางวันอย่างเลยครับ แดดมันร้อน”

“โอเคครับ” กวีพยักหน้า ในใจคิดว่าอยากได้โต๊ะเก้าอี้ชุดเล็กๆ มาเพื่อสักชุด แต่ไม่ทันพูดออกไป แฟนหนุ่มของกวีเสนอ

“เดี๋ยวพี่หาโต๊ะกับเก้าอีกมาให้ดีไหม หรือเราจะไปเดินเลือกดูด้วยกันดี วีจะได้มีที่นั่งเขียนนิยาย ไม่ต้องยกโต๊ะญี่ปุ่นออกมาให้เกะกะ”

“ไปเลือกซื้อด้วยกันก็ได้ครับ”

“ตกลงตามนั้น แต่ว่าตอนนี้เข้าข้างในกันเถอะ แดดร้อนแล้ว”

“ครับ” กวีพยักหน้ารับก่อนเดินนำเข้ามา แต่ก่อนวายุเดินออกจากห้อง กวีก็หันมองปฏิทินแขวน แล้วบ่นพึมพำ “ผมไม่ได้สังเกตเลยจริงๆ ว่าวันนี้วันพ่อ”

“ทำงานจนลืมวันลืมคืนเลยนะเรา” น้ำเสียงอบอุ่นมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ตรงเข้าลูบหัวเขาเบาๆ อย่างที่วายุชอบทำ

“ผมไม่ค่อยจำวันที่หรอกครับ จำแค่จะถึงวันอาทิตย์วันไหนเท่านั้นแหละ”

“หึๆ เพราะต้องปั่นต้นฉบับใช่ไหม”

“ถูกเผง”

“อย่าคิดถึงแต่เรื่องงานจนลืมสิ่งรอบข้างสิครับ”

“ก็...บางทีมันต้องรีบนี่ครับ”

“ถ้าไม่มัวท่องยูทูปหรือเล่นทวิตเตอร์กับคนอ่านเพลิน พี่ว่าวีพอมีเวลานะ”

กวีหรี่ตามมองคนรู้ทัน แล้วรีบแก้ตัว “ผมคลายเครียดนิดเดียวเอง ทำเป็นรู้ทัน”

“โอเคๆ แต่ก็อย่าเล่นเพลินมากเกินไปรู้ไหม ดูสิ ถึงเวลาต้องปั่นงานส่งทีไร ขอบตาคล้ำทุกที” จากที่ลูบผมกวีเล่น ตอนนี้วายุเปลี่ยนมาเป็นเกลี่ยไล้ใต้ตาคล้ำๆ ของเขาเบาๆ “ถ้าไม่สบายหรือเป็นลมอีกจะทำไงหืม?”

“ก็ให้พี่ลมคอยดูแลไงครับ” กวียิ้มทะเล้น “หรือว่าพี่ลมจะปล่อยผมเฉาตายในห้อง”

“ใครจะทำงั้นได้ล่ะ”

“ใจดีที่สุดเลย” นักเขียนหนุ่มว่าพลางเอาแก้มไถฝ่ามืออุ่น

กับผู้ชายคนนี้ แม้เพิ่งรู้จักและคบกันไม่นานเท่าไหร่ แต่กวีกลับรู้สึกไว้ใจและเชื่อมั่นว่าวายุทำดีต่อเขาด้วยใจจริง ไม่ได้หลอกลวงหรือเข้ามาหวังอะไรสักอย่างแบบที่พี่ชายกับแม่ของกวีรู้ว่าพวกเขาคบกันแรกๆ

“อ้อนเก่ง” จากที่ลูบๆ แก้มเขาอยู่ คนรักของกวีก็เปลี่ยนเป็นบีบแก้มจนเนื้อส่วนเกินนั่นยืดออกมา

“พี่ลม~ อย่าดึงแก้มสิครับ! ~”

“ก็พี่หมั่นเขี้ยว” ว่าแล้วอีกฝ่ายก็บีบๆ แก้มเขาครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้เนื้อยืดๆ นั่นเป็นอิสระ “หิวหรือยังครับ”

“นิดหน่อยครับ”

“พี่ซื้อบะหมี่เกี๊ยวปูมาให้ ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วมากินด้วยกันนะ พี่จะอุ่นรอ”

“ไม่ต้องครับ พี่ลมนั่งรอเลย เดี๋ยวผมอุ่นให้เอง”

“เราไปจัดการธุระส่วนตัวเถอะ แค่อุ่นอาหารเอง ทำเกรงใจไปได้”

“ก็ได้ครับ” สุดท้ายกวีก็ตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป





















ตอนออกมาอีกครั้ง อาหารเย็นของเขาก็ถูกจัดใส่ถ้วยวางบนเรียบร้อย กวีแค่เดินไปนั่งเก้าอี้เท่านั้น เขาก็สามารถลงมือทานได้ทันที

“เดี๋ยวผมล้างจานเองนะ” นักเขียนหนุ่มว่า

“ไม่ให้พี่ช่วยเหรอ”

“ไม่ต้องเลยครับ พี่ลมก็ซื้อกับข้าวมาให้ผมแล้วไง"

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้รีบกินก่อนนะ เดี๋ยวซุปเย็นแล้วไม่อร่อย”

“ขอบคุณครับ”

พวกเขาทานมื้อเย็นง่ายๆ คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเหมือนทุกที พออิ่มดีแล้ว กวีก็เก็บชามไปล้างในอ่างล้างจานตามที่เสนอตัวไว้ตั้งแต่ทีแรก เขาคิดว่าตัวเองควรขยับตัวทำอะไรเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นคงอ้วนจนตัวระเบิดตายเป็นแน่

ระหว่างล้างจานอยู่ดีๆ จู่ๆ คนที่คิดว่ากำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะอาหารก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ และคว้าตัวกวีไปกอดจากทางด้านหลัง พร้อมกับวางคางบนไหล่

เดี๋ยวนี้พี่ลมไม่ต้องขอก่อนกอดอีกแล้ว

“จะเอาอะไรครับ”

“เปล่าครับ พี่แค่อยากกอดแฟนพี่เฉยๆ”

“...” กวีเอี้ยวตัวมองหน้าวายุเล็กน้อย พอสบเข้ากับสายตาวาววับแปลก นักเขียนหนุ่มจึงรีบหันกลับมาล้างจานต่อ

“มองทำไมครับ”

“มองเฉยๆ ครับ”

“อ้อ...นึกว่าจะห้ามไม่ให้กอด”

“...ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”

พอพูดจบประโยค มือแสนซุกซนของวายุก็เลื้อยมาลูบหน้าท้องกลมของกวี ก่อนเจ้ามือนั่นจะคว้าหมับเข้าที่ห่วงยางน้อยๆ และบีบเบาๆ

“เดียวมันบวมกว่าเดิมทำไง”

“ดีสิ พี่ชอบแบบนี้” พี่รถกับข้าวของกวีพูดเหมือนชื่นชอบเสียเต็มประดา แต่กวีก็ไม่สงสัยหรอก เพราะอีกฝ่ายก็ชอบดึงพุงเขาบ่อยๆ อยู่แล้ว

“ชอบของแปลกหรือไงครับ ใครๆ เขาไม่ชอบกันหรอกนะ”

“ไม่เห็นแปลกตรงไหน น่ารักดีออก พี่ชอบของพี่”

“อะไรก็น่ารักๆ มีพุงนี่เรียกว่าน่ารักเหรอครับ”

“อื้ม น่ารักที่สุดเลย ถ้าเป็นพุงของวี”

“แบบนี้แหละครับ เรียกว่าแปลก” กวีว่าพลางล้างจานต่อ

“แล้วถ้าพี่เป็นคนแปลกๆ วีจะยังชอบพี่ไหม” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เพราะกวีรู้สึกได้ว่าลมร้อนๆ ที่เป่ารดใบหูมันอยู่ใกล้กว่าเดิม

“พี่ลมถามอะไรเนี่ย” เพราะคำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ยกับความรู้สึกวาบหวามเป็นพิเศษ ทำให้กวีต้องหันกลับมามองแฟนหนุ่มอีกรอบ

“ถามว่า ถ้าพี่เป็นคนแปลกๆ หรือคิดเรื่องแปลกๆ ในหัว วีจะยังชอบพี่อยู่หรือเปล่า”

“ก็ต้องชอบสิครับ” เขาตอบตามตรง

“ทำไมล่ะ”

“เพราะพี่ลมยังเป็นพี่ลมอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าความชอบของพี่ไม่ได้ทำให้ใครหรือแม้แต่ตัวของพี่เองเดือดร้อน ผมว่า...ก็ไม่เห็นเป็นไร”

“พูดแบบนี้มีแต่วีที่จะแย่นะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

“ก็ต่อไปพี่จะทำอะไรแปลกๆ และวอแวกับเราไม่ไปไหนเลย ห้ามปฏิเสธแล้วก็บ่นว่ารำคาญด้วย”

“ฮ่ะๆ ๆ ทุกวันนี้พี่ลมก็วอแวกับผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ดูสิเนี่ย” กวีส่งสายตามาที่แขนของอีกฝ่ายซึ่งกอดเอวของเขาเอาไว้แน่น

“อ้อ งี้แปลว่าอนุญาตมานานแล้วสิเนอะ”

“ก็...ไม่ได้ห้ามนี่ครับ” ประโยคนี้เขาพูดเสียงแผ่วลงกว่าเดิมเล็กน้อย

ทั้งที่กวีไม่คิดว่าตัวเองจะต้องอายอะไรแล้ว เพราะถูกกอดรัดฟัดเหวี่ยงทุกวัน แต่พอต้องมาออกปากอนุญาตให้อีกฝ่ายทำตามใจเช่นนี้ ใบหน้ามันก็ชักจะร้อนๆ ขึ้นมา

“น่ารักที่สุด เจ้าก้อนตัวน้อยๆ ของพี่”

ไม่รู้คำอนุญาตอย่างเป็นทางการของเขาไปกระตุกต่อมไหนของพี่รถกับข้าวอีก เพราะเมื่ออีกฝ่ายได้ยิน ก็ยิ่งกอดแน่นและยิ่งเอาจมูกมาฟัดๆ แถวแก้มกับต้นคอจนกวีเกือบทำจานหลุดจากมือ

“พี่โล้ม!! ~ อย่าครับ ฮ่าๆ ๆ มันจั๊กจี้นะ!”

...แถมยังร้อนวูบวาบแปลกๆ ด้วย

“ก็วีอนุญาตแล้วไง”

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้สิ”

“ทำไมล่ะ”

“ผมล้างจานอยู่~”

“ฮ่าๆ ๆ โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว มาครับ พี่จะช่วยล้างเช็ดจานเก็บให้นะ”

พูดจบวายุก็ช่วยเช็ดและเก็บจานให้อย่างที่บอก พวกเขายืนเบียดกันหน้าหน้าเคาน์เตอร์เช็ดล้าง พูดคุยเรื่องไร้สาระกันไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่วายุกลับ แต่กวีกลับไม่ลืมความรู้สึกวาบหวามนั่นเลย

เราเป็นบ้าอะไรเนี่ย!

ชายหนุ่มคิดกับตัวเอง เพราะใบหน้ามันคอยจะร้อนเมื่อคิดถึงสัมผัสเหล่านั้น

กวีพยายามสงบอารมณ์ ก่อนเดินไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตู เขารู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นเวลางานของตัวเองแต่อีกใจก็ยังอยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้หน่อย

แต่วายุไม่เคยยอมค้างคืนที่นี้เลยสักครั้ง แม้จะอยู่ด้วยกันดึกแค่ไหน กวีจึงจำใจให้อีกฝ่ายกลับเร็วอีกนิด ด้วยกลัวว่าดึกมากแล้วแต่เกิดอันตราย ส่วนเหตุผลที่ไม่ค้างนั้น...

“พี่จะรอให้วีพร้อมก่อน”

“พร้อมอะไรครับ”

“หึๆ เอาไว้ถึงเวลาที่พี่เห็นว่าเหมาะสม พี่จะบอกอีกทีนะ” วายุบอก ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กวีต้องกลับไปคิด “หรือถ้าวีเข้าใจว่ามีบางเรื่องที่แฟนเขาทำด้วยกันก่อนที่พี่จะบอก เราค่อยมาว่ากันอีกทีเนอะ”

กวีคิดปริศนาของวายุอยู่หลายวัน ค่อยๆ ไล่เรียงสิ่งที่คนรักต้องทำด้วยกันมีอะไรบ้าง จนไปถึงบางอ้อวันที่นั่งดูหนังด้วยกันแล้วเจอฉากร่วมรักของตัวเอก ตอนนั้นวายุหันมายิ้มให้เขานิดๆ แต่ไม่พูดอะไร ถึงอย่างนั้นกวีก็ไม่ได้ใสขนาดที่ไม่เข้าใจความหมาย

ตอนนี้กวีก็พอจะรู้แล้ว แต่แค่ไม่พูดออกไปเท่านั้น เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม...

ระหว่างที่เผลอเหม่อลอยไปนิด วายุก็หยุดหน้าประตูและหันมา “พี่กลับแล้วนะ”

“ขับรถดีๆ นะครับ”

“อื้ม” คนหน้าหล่อพยักหน้ารับ “เอาไว้พี่ถึงห้องแล้วจะส่งข้อความบอก เราก็อย่าอู้ล่ะ คิดนิยายตอนใหม่ไว้ได้แล้ว เผื่อเสร็จก่อนเสาร์อาทิตย์ พี่จะได้พาไปเที่ยว”

“ไปไหนครับ”

“ก็วีคิดถึงพ่อไม่ใช่หรือครับ พี่ก็เลยคิดว่าอยากชวนวีไปหาพ่อ”

“หืม? ...”

“พี่จะพาไปทำบุญ”

“เราจะไปทำบุญให้พ่อผมหรือครับ”

“ใช่แล้วล่ะ”

“...” กวีพูดไม่ออก

ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมดาและอีกฝ่ายก็พูดออกมาง่ายๆ แต่กวีกลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกินที่วายุคิดเผื่อให้เขาถึงขนาดนั้น

“ช่วงนี้ไม่ได้พาไปไหนเลย วันเสาร์นี้ร้านหยุดวันรัฐธรรมนูญอีก อยากไปไหม เสร็จแล้วจะพาไปหาของอร่อยกินด้วย”

“ไปครับ!”

ไม่ใช่แค่เรื่องพ่อหรอก แต่ถ้าพูดเรื่องของอร่อย ถึงไม่ชอบออกจากบ้านขนาดไหน กวีก็ไม่กลัว แต่เพราะกวีตอบเร็วเกินไป พี่ลมของกวีจึงนึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมาอีก

“เจ้าก้อนยุ้ย รีบตกลงเชียวนะ อยากกินขนมล่ะสิ” อีกฝ่ายว่าพลางบีบแก้มเบาๆ ไปครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเตรียมตัวลาจริงๆ “พี่ต้องไปแล้ว”

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

“อื้ม เจอกันพรุ่งนี้ครับ”

กวีโบกมือลาคนรักหยอยๆ เขารอจนอีกฝ่ายเข้าลิฟต์ไปแล้วจึงเดินกลับเข้าห้องและตรงไปร่างงานเขียนเหมือนที่ให้สัญญาไว้ว่าจะขยัน

ระหว่างเขียนในหัวก็นึกไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของตัวเองในช่วงนี้อีกครั้ง

ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปก็ใช่ว่าจะไม่ดี อันที่จริงมันดีมากเชียวล่ะ ชีวิตช่วงนี้ของกวีไม่เคยเงียบเหงา เพราะมีคนคอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย และมีเพื่อให้คิดถึงเพิ่มขึ้นอีกคน

อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ จัง… เพราะถึงเวลาเขาจะได้ออกไปสร้างความทรงจำที่แปลกใหม่ให้ชีวิตพร้อมๆ กับคนรัก ชายหนุ่มคิดก่อนก้มหน้ามองกระดาษที่ว่างเปล่าของตัวเอง

“ต้องรีบทำงานแล้วสิ”










-------------------------------------------------------------------------







วันนี้เสนอตอน หนุบหนับกับพี่ลม 55555555

แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณยังตามอ่านตอนต่อๆ ไปหลังจากนี้ 

พี่ลมจะเพิ่มโปรโมชั่นหนุมหนับเพิ่มเป็นสองเท่า

/ก้อนบอก แม่ครับ ทำไมลูกเปลืองตัวจังเลย

5555555555



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้ค่ะ 

ฝนจะลงรัวๆ แล้วววว



ละอองฝน.

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
โอ๊ยยยย เบาหวานจะขึ้นมั้ยเนี่ย เขินจนตัวบิดแล้ว  :o8: :-[

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เจ้าก้อนตัวน้อยๆ เจ้าก้อนยุ้ย
พี่ลมใช้สรรพนามแทนน้องได้น่ารักมุ้งมิ้งมาก งื้ออออ  :-[ :-[

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ตอนนี้อ่านแล้วมันเขินๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อยากหนุบหนับน้องบ้างงงงงงงง

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พี่ลมกะจะขุนให้น้องอ้วนกลม
แล้วค่อยจะจับกินสินะ ร้ายกาจ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เจ้าก้อนเนี่ย  เรื่องกินมาเป็นที่หนึ่ง  ไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
55555 มีไม่อยากให้พี่กลับด้วย
แถมคิดถึงขั้นให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
บอกเลย พี่มาชัวร์ไม่ต้องห่วงเรื่องร้าน

วีเอ้ยย เรื่องกินขอให้บอก น้องไม่มีพลาด
ลมเอาใจใส่มาก ดูแลดีเวอร์ ทั่วถึงสามอวบด้วย
แหนะ มีกอด มีหอมนะ อีกไม่นาน คืบหน้าแน่

น่ารักมาก โมเมนท์แบบสบายๆ ไม่ได้หวาน แต่อบอวล

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
หมั่นเขี้ยวว อยากบีบพุงก้อนน  :z1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านแล้วแอบเขินเบาๆ พี่ลมไม่กล้าค้างเพราะกลัวอดใจไม่ไหวใช่ป่ะ :z1:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2






บทที่ 17











ในที่สุดวันเสาร์ที่กวีรอก็มาเยือน เช้านี้พี่ลมมารับเขาแต่เช้า เพราะพวกเขาตกลงกันไว้ว่าจะไปใส่บาตรก่อนเข้าไปไหว้พ่อและทำความสะอาดโกฏิเก็บอัฐิ

วัดที่กวีไปทำบุญให้พ่ออยู่บนถนนบวรนิเวศ ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์เช่นนี้การจราจรไม่ติดขัดมากนัก แต่บริเวณหน้าวัดกลับคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาซื้อของทำบุญใส่บาตร ขณะรอพระ กวีได้ยินว่าเมื่อวานมีการอุปสมบทพระใหม่หลายรูป นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้จึงมีคนมารอใส่บาตรมากกว่าทุกที

หลังพระออกบิณฑบาตแล้วกวีก็พาวายุหิ้วอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้าไปด้านในกำแพงวัด พวกเขาเดินเคียงกันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถึงจุดที่เก็บอัฐิของพ่อกวี

“นี่ครับ พ่อผม”

เมื่อกวีแนะนำ วายุก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะจ้องมองรูปซึ่งติดอยู่บนโกฏิพักใหญ่ จากนั้นอีกฝ่ายจึงหันมายิ้มให้เขา และเอ่ย

“หน้าวีคล้ายๆ คุณพ่อเลยนะ”

“ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น”

ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อใดที่ครอบครัวของกวีกลับไปพบปะญาติพี่น้องฝั่งพ่อ ทุกคนต่างก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากวีมีใบหน้าละม้ายคล้ายพ่อตอนหนุ่มๆ มาก

“แล้วพี่ชายวีล่ะ”

“พี่พันไม่เหมือนใครเลยครับ พี่พันเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง”

“จริงเหรอ!”

เห็นท่าทางวายุเชื่อเรื่องที่กวีล้อเล่นเสียสนิทใจ นักเขียนหนุ่มก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว

“ฮ่าๆ ๆ”

“หัวเราะทำไม อย่าบอกนะว่าเราหลอกพี่เล่น”

“หึๆ” กวีปาดน้ำที่หางตา แล้วเฉลยความจริง “ครับ ผมล้อเล่นเฉยๆ”

“เด็กไม่ดี” วายุคาดโทษ “ระวังให้ดี ถ้าเผลอเมื่อไหร่ พี่จะเอาคืน”

“โธ่...พี่ลมครับ อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นสิ” คนขี้แกล้งเกาคางวายุเบาๆ เดี๋ยวเดียว นิ้วเรียวก็ถูกรวบเอาไว้ แล้วอีกฝ่ายก็กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“กลับบ้านไปโดนฟัดแน่”

“!!”

กวีทำตาโตก่อนกระโดดโหยงหนีคนขู่ จากนั้นจึงรีบหันไปจับไม้ปัดขนไก่ แล้วทำเฉไฉไปเรื่องอื่น

“เรามาทำความสะอาดกันเถอะครับ เสร็จแล้วจะได้ไปหาอะไรกินกัน”

“หึๆ” วายุหัวเราะในลำคอ “ก็ได้ครับ แต่พี่ไม่ลืมเรื่องเมื่อกี้หรอกนะ”

กวีไม่ตอบโต้ เพราะรู้ว่าอยู่เงียบๆ แล้วเรื่องจะจบเร็วที่สุด

...ก็พี่ลมน่ะขี้ลืมจะตาย ทำเป็นมาคาดโทษเขา แต่ความจริงตัวเองก็ชอบฟัด ชอบจั๊กจี้ให้เขาหัวเราะน้ำตาไหลอยู่เป็นประจำแท้ๆ

คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไร้สาระได้นิดเดียว กวีก็ถูกความเศษใบไม้และฝุ่นละอองที่หน้าโกฏิของพ่อดึงความสนใจไปจนหมด เขาเอาไม้ปัดขนไก่มาปัดป้ายหินอ่อนอย่างที่เคยทำเสมอ ก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดป้ายสลักชื่อจนใสสะอาด

ทำความสะอาดเรียบร้อย ขั้นตอนสุดท้ายกวีก็เอาแจกันไปเปลี่ยนดอกไม้พร้อมวายุ จากนั้นพวกเขาจึงไหว้พ่อของนักเขียนหนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมไปก่อนนะครับพ่อ เอาไว้วันหน้าจะมาหาใหม่ คราวนี้ผมจะลากพี่พันมาด้วย” กวีเอ่ยกับบิดาผู้ล่วงลับเบาๆ จากนั้นจึงหันมาพบกับวายุที่ยืนมองเขายิ้มๆ

“ถ้าพี่ชายวีไม่ว่าง ครั้งหน้าพี่จะมาด้วยใหม่ ดีไหม”

กวียิ้มเมื่อได้ยิน “ดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ”

“ครับ”

คนตรงหน้าส่งมือมาให้เขา กวีไม่ได้มองคนรอบข้าง เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจใครเลยจึงจะถูก เพราะชายหนุ่มเลือกยื่นมือออกไปหาวายุ ก่อนจะคว้าจับกันไว้มั่น

“หิวแล้วใช่หรือเปล่า” ระหว่างเดินกลับไปขึ้นรถด้วยกัน วายุก็เอ่ยถาม

“นิดหน่อยครับ”

“พี่ว่าไม่นิดหน่อยล่ะมั้ง ตื่นมาออกแรงแต่เช้า แถมนี่ก็จะสิบโมงแล้วด้วย”

“หิวแบบพอทนได้ครับ ว่าแต่พี่ลมล่ะ หิวไหม”

“ก็หิวนะ เพราะเมื่อเช้าพี่ดื่มแต่กาแฟ ไม่ได้กินอย่างอื่นรองท้องมาก่อน”

“เป็นเพราะพี่ลมรีบออกมารับผมแน่เลยใช่ไหม” นักเขียนหนุ่มว่าอย่างรู้ทัน

“ใช่แค่ส่วนหนึ่ง”

“แล้วอีกส่วนล่ะครับ”

“พี่อยากกินข้าวพร้อมวีมากกว่า ก็เลยหิ้วท้องรอกินพร้อมกัน”

ทั้งที่รู้เต็มอกว่าอีกฝ่ายต้องทนหิวเพราะหิ้วท้องรอกินมื้อเช้าพร้อมเขา แต่กวีกลับห้ามให้ตัวเองยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของวายุ

“งั้นเรารีบไปที่ร้านกันนะ” กวีเอ่ย “ผมเองก็อยากกินพร้อมพี่เหมือนกัน”

“อื้ม”

พอพูดเสร็จก็ประจวบเหมาะกับที่พวกเขาเดินถึงรถพอดี กวีจึงช่วยวายุเก็บอุปการณ์ทำความสะอาดที่ขนมาจากบ้าน ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถโดยมีแฟนหนุ่มคนดีตามไปเป็นคนขับให้ ครั้นนั่งประจำที่ดีแล้ว วายุก็สตาร์ทเครื่องพร้อมพากวีเดินทางไปยังร้านที่เลือกไว้

















ร้านอาหารที่วายุพามาเป็นร้านอาหารไทยโบราณซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากโต๊ะที่พวกเขาจองไว้ สามารถมองเห็นสะพานพระราม 8 ที่วายุเคยเกือบพากวีเมื่อครั้งที่ไปกินข้าวร้านเจ๊ไฝ แต่บังเอิญว่าฝนตกเสียก่อนจึงพับโครงการไปอย่างน่าเสียดาย

“อยากกินอะไร วีสั่งได้เลยนะ”

“พี่ลมสิครับที่ต้องสั่ง ผมไม่เคยมากินข้าวที่นี่เลย ไม่รู้อะไรอร่อยบ้าง ให้พี่ลมเลือกให้ดีกว่า”

“เอางั้นหรือ”

“เอางั้นเลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง”

“ถ้าอย่างนั้นพี่สั่งล่ะนะ แต่วีลองดูเมนูไปด้วย เผื่อมีอะไรที่อยากลองก็สั่งเสริมได้เลย”

“ตกลงตามนั้นครับ”

เมื่อตกลงกันได้แล้ววายุก็สั่งอาหารขึ้นชื่อของที่ร้านมาสองสามอย่าง มีไข่เจียวดอกโสน แสร้งว่า แกงรัญจวน ข้าวห่อใบบัว และมีอาหารเรียกน้ำย่อเป็นม้าฮ่อ

กวีมองรายการอาหารที่วายุสั่งเป็นข้าวเช้ารวมข้าวกลางวันแล้วก็ไม่ได้สั่งอะไรอีก เพราะเห็นว่าอาหารมีหลายอย่างแล้ว ซ้ำพวกเขาพวกเขายังมากันแค่สองคน สั่งเยอะไปจะกินไม่หมดเอา

ระหว่างรออาหาร วายุก็ชวนกวีคุยเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย ก่อนจะไปถึงเรื่องชวนเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันเป็นครั้งแรก

“วีอยากไปเที่ยวเชียงรายไหม”

“ทำไม่หรือครับ”

“บ้านป๊ากับม๊าพี่อยู่ที่นั่นด้วย เผื่อวีอยากไป พี่จะพาไปด้วยตอนวันหยุดปีใหม่” พูดถึงตรงนี้ วายุก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ว่าแต่วีมีงานต้องส่งหรือต้องเดินทางไปไหนหรือเปล่า”

“ผมนัดกับพี่พันไว้ว่าจะไปหาแม่ที่อเมริกาช่วงคริสต์มาสครับ”

“ลากยาวไปถึงปีใหม่หรือเปล่า”

“คิดว่าเป็นอย่างนั้นครับ เพราะไหนๆ ก็ได้ไปทั้งที คิดว่าพี่พันคงไม่กลับง่ายๆ แน่”

ทุกครั้งที่กวีเดินทางไปหาแม่ที่อเมริกา เขาก็มักจะอยู่นานเป็นสิบวันกว่าจะกลับ เพราะไหนๆ ก็เดินทางไปไกลถึงอีกซีกโลกแล้ว กวีก็อยากอยู่กับแม่ให้คุ้ม

“ว้า...น่าเสียดาย พี่คิดว่าวียังไม่มีนัดเสียอีก”

“พี่พันโทรมานัดได้สักพักแล้วครับ” กวีบอก “ผมก็เสียดายเหมือนกัน อดไปเที่ยวกับพี่ลมเลย”

คล้ายกับวายุเห็นว่ากวีทำหน้าหงอยๆ อีกฝ่ายจึงปั้นยิ้มให้และยืนยันว่าไม่เป็นไร พอได้เห็น กวีก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่รถกับข้าวดีกับเขามากเกินไปแล้ว

“ไม่เป็นไรนะ นานๆ จะไปหาคุณแม่สักครั้ง เอาไว้กลับมาจากอเมริกาแล้ว เราค่อยหาวันว่างๆ ไปเที่ยวเชียงรายด้วยกัน”

“กลับมาจากเยี่ยมแม่แล้ว ผมจะเทคิวทั้งหมดให้พี่ลมคนเดียวเลย”

“แล้วเราจะยุ่งกับงานหรือเปล่า หรือเอาไปเขียนที่โน้นด้วย”

“ก็คงเอาไปเขียนด้วยครับถ้าเกิดไปหลายวัน แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้เขียนหรอก ทำนั่นทำนี่มากเกินไปก็หมดพลังแล้วล่ะ แถมไม่มีสมาธิด้วย”

“นั่นสินะ ไปเที่ยวทั้งทีต้องเที่ยวให้คุ้ม ต้องใช้เวลาอยู่กับคุณแม่มากๆ ให้หายคิดถึงด้วย” วายุเสริม ซึ่งก็ตรงกับความคิดของกวีพอดี

“ใช่ครับ ว่าแต่พี่ลมไปเยี่ยมป๊ากับม๊าที่เชียงรายบ่อยไหม”

“บ่อยอยู่นะ เพราะพี่ต้องไปทำงานด้วยบางที แต่หลายครั้งท่านก็ลงมาที่กรุงเทพฯ มาเยี่ยมลูกๆ บ้าง ไม่ก็มาช่วยเฮียดินดูแลงานน่ะ”

ก่อนหน้านี้วายุเคยเล่าให้กวีฟังว่าอีกฝ่ายมีพี่ชายอีกสองคน ชื่อดินกับน้ำ ครอบครัวทำงานเกี่ยวกับธุรกิจส่งออกอาหารทะเล แต่พี่ลมของกวีค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น เพราะตอนที่เรียนจบใหม่ๆ ไม่ยอมกลับมาช่วยงานที่บ้าน แต่หันไปทำรายการท่องเที่ยวกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันแทน

กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่พ่อกับแม่ขอร้องให้กลับมาลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองไทย ลูกชายคนเล็กของบ้านจึงยอมทำตาม กระนั้น พี่ลมของกวีก็ริเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ซึ่งก็คือร้านขายอาหารสดทางออนไลน์อย่างร้านพี่รถกับข้าวนั่นเอง

กวีแอบเห็นใจคนรักเหมือนกันที่ไม่ได้สานต่อสิ่งที่ตัวเองอยากทำกับเพื่อนๆ แต่พอคิดดูอีกที ใครจะว่ากวีเห็นแก่ตัวก็ได้ หากเขาก็คิดว่าดรแล้วที่พี่ลมกลับมาเปิดร้าน

ไม่อย่างนั้นกวีกับพี่ลมคงไม่ได้เจอกัน

เพราะกวีคิดไม่ออกว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์อย่างตัวเอง เช่นอยู่แต่บ้าน ไม่เที่ยว ไม่ชอบเดินทางไปไหน จะมีโอกาสได้พบเจอกับชายหนุ่มที่โลดแล่นไปมาไม่อยู่นิ่งราวกับสายลมได้อย่างไร

บางทีมันอาจเป็นโชคชะตา

...และโชคดีแล้วที่อะไรสักอย่างบันดาลให้เป็นอย่างนั้น

“อาหารมาแล้วล่ะ”

รออยู่ไม่นานอาหารที่สั่งก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ โดยเริ่มต้นที่ม้าฮ่อ

“เป็นไง อร่อยไหม” วายุถามเมื่อกวีจิ้มชิ้นแรกเข้าปาก

พอเคี้ยวและกลืนคำแรกลงไปแล้ว กวีจึงตอบ “อร่อยดีครับ สัปปะรดอมเปรี้ยวอมหวาน เข้ากับไส้ที่วางอยู่ข้างบน กินแล้วอยากอาหารเพิ่มเลยล่ะ”

“งั้นก็กินเล่นรองท้องไปก่อน เดี๋ยวค่อยลองชิมข้าวใบบัวกับแกงรัญจวนนะ พี่รับรองว่าอร่อยเข้ากันอย่าบอกใคร” อีกฝ่ายโฆษณาจนทำเอากวีแทบอดใจไม่ไหว

“พี่ลมทำผมอยากกินเลยเนี่ย”

“ฮ่าๆ รอแป๊บนึงสิครับ เดี๋ยวเขาก็มาเสิร์ฟ” อีกฝ่ายยิ้มเอ็นดู เหมือนมองเห็นกวีเป็นเด็กอ้วนผู้หิวโหย ก่อนจะส่ายสายตามองไปรอบๆ ร้าน “โชคดีที่เรามาตอนคนยังไม่เยอะ ไม่งั้นวีหิวแย่เลย”

“ปรกติร้านนี้คนเยอะเหรอครับ”

“ก็เยอะนะครับ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ แต่ก็นะ มันอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ยิ่งวันหยุดแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บ่ายๆ คนคงมากันเต็มร้าน ข้าวเหนียวมะม่วงที่นี่อร่อยเสียด้วย”

“พี่ลมมาเจอร้านนี้ได้ไงกันนะ” นักเขียนหนุ่มถามด้วยความสงสัย เพราะร้านนี้อยู่ลึกเข้ามาในซอยเล็กๆ ซึ่งถ้ามองผ่านๆ กวีก็ไม่คิดว่าด้านในจะมีร้านอาหารติดริมแม่น้ำอยู่ตั้งอยู่ตรงนี้ด้วย

“ร้านนี้ค่อยข้างดังในหมู่ชาวต่างชาติน่ะครับ พี่รู้จักเพราะเคยเห็นในบล็อกของชาวต่างชาติและได้พาเพื่อนเข้ามาลองชิมนี่แหละ แล้วก็อร่อยสมชื่อจริงๆ พอกลับมาอยู่ไทยถาวรพี่ก็เลยได้มาบ่อยๆ”

“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง” กวีพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะวางส้อมในมือเมื่อจัดการม้าฮ่อชิ้นสุดท้ายแล้วเท้าคางมองคนรักรูปหล่อ “พี่รู้จักร้านอร่อยเยอะแยะแบบนี้ ต่อไปผมก็ไม่อดตายแล้ว”

“ไม่อดตายตั้งแต่ได้แฟนเป็นคนขายกับข้าวแล้วครับ” วายุบอกทั้งรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ นั่นสิเนอะ”

คุยเล่นกันอยู่ครู่เดียว อาหารจานอื่นๆ ก็ตามมาจนครบ กวีจึงหยุดพูดและลงมือกินตามที่วายุแนะนำ พอหมดอาหารคาว วายุก็สั่งข้าวเหนียวมะม่วงมาเป็นอาหารหวานตบท้าย พวกเขากินไป คุยไป ชมวิวริมฝั่งแม่น้ำไป กว่าจะอิ่มก็เที่ยงกว่าพอดี

วายุเสนอว่าจะพากวีไปเดินหลบร้อนที่พิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านนัก โดยนำรถไปจอดฝากไว้แถวๆ นั้น เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ก็จะออกมาไหว้พระวัดดัง และถ่ายรูปเล่นที่ใต้สะพานพระราม 8 ที่ที่ตั้งใจจะไปเมื่อครั้งก่อน



















จากเช้าถึงสาย จากสายถึงเย็นย่ำ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่พวกเขากำหนดไว้ทั้งหมด แต่มีแวะดื่มกาแฟที่ร้านเบเกอรี่ดังใกล้วัดโพธิ์ ทำให้กว่าจะออกไปถ่ายรูปเล่นที่สะพานก็ตกเย็นพอดี

ตอนแรกกวีคิดว่าวายุจะพาไปถ่ายรูปสะพานหรือท้องฟ้ายามเย็น แต่ไม่รู้ทำไปทำมา เหตุใดอีกฝ่ายกลับเอาแต่หันกล้องมาทางเขาและกดชัดเตอร์รัวๆ ไม่เลิกก็ไม่รู้

ตอนแรกกวีก็เขินและทำตัวไม่ถูกอยู่มาก เพราะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกถ่ายรูปไปทุกอิริยาบถแบบนี้ แต่พอวายุบอกว่า

“ทำตัวตามสบายๆ ครับ ให้คิดว่าไม่ใช่กล้อง แต่เป็นพี่ที่มองผ่านเลนส์ไปหาวี กวีจึงคลายความรู้สึกประหม่าลงได้มาก

หลังจากถ่ายรูปจนพอใจ ดวงตะวันก็ใกล้จะลับขอบฟ้าลงทุกที วายุพากวีเดินเลียบริมแม่น้ำไปหาที่นั่งพักดูพระอาทิตย์ ก่อนจะเอารูปมาให้ดูว่ากวีชอบไหม

“พี่ชอบถ่ายรูปเหรอครับ”

“อืม...ก็คงใช่ครับ แต่พี่ไม่ได้นักถ่ายมืออาชีพอะไรหรอกนะ แค่อยากเก็บรูปไว้ดูว่าเคยไปไหนกับใครมาบ้างเท่านั้นเอง”

บร็็บร

“แบบนี้ก็แสดงว่าที่บ้านพี่ลมมีรูปที่ถ่ายสถานที่ต่างๆ เอาไว้เยอะเลยสิ”

“ก็เยอะอยู่นะ อยากดูไหม”

“อยากครับ”

“เอาไว้ไปดูที่ห้องพี่นะ”

“ครับ” กวีพยักหน้า ก่อนจะทอดสายตามองเรือขนสินค้าแล่นผ่านไปอย่างเชื่องช้า “ดีจังเลยนะครับ ผมชอบดูอะไรต่อมิอะไรในอินเตอร์เน็ตเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้ไปหรอก ส่วนใหญ่จะติดขี้เกียจออกจากบ้าน”

“ถ้าได้เห็นของจริง วีจะมีแรงฮึดอยากออกจากบ้านนะ เพราะมันต่างจากสิ่งที่วีเห็นผ่านจอคอมพิวเตอร์เยอะเลยล่ะ ถึงการออกจากบ้านจะร้อน จะเหนื่อย แต่พี่ว่ามันคุ้มนะ แต่อันที่จริง พี่ว่าที่วีไม่ชอบไปเที่ยวไหน เพราะวีไม่มีเพื่อนไปมากกว่า”

“อืม...นั่นก็อาจจะส่วนหนึ่งครับ”

เพราะกวีเป็นพวก ไปแล้วกินให้อิ่มก็กลับมานอนตีพุงอยู่ที่บ้าน ไม่มีใครชักชวนให้ดูนั่นดูนี่หรือดื่มด่ำไปกับสิ่งรอบกาย เขาจึงรู้สึกเฉยชาและไม่กระตือรือร้นกับการออกไปไหนมาไหนเท่าไหร่

“แต่ตอนนี้วีมีพี่แล้วนะครับ”

“หืม?”

“ต่อไปพี่จะไปเป็นเพื่อนวีทุกทีเลย พาวีไปเห็นอะไรหลายๆ อย่าง วีจะได้มีไอเดียเขียนหนังสือได้เยอะๆ ไงครับ” คำเชิญชวนนี้ดูน่าสนใจจนกวีเองก็รู้สึกอยากไปขึ้นมาบ้างแล้ว

“พูดถึงไอเดียเขียนงาน ผมว่าก็เป็นความคิดที่ดีนะ”

“ใช่ไหมล่ะ พี่ว่าได้เห็นอะไรเยอะๆ วีต้องปรับใช้กับงานตัวเองได้แน่ๆ”

“แบบนี้เรียกว่าเที่ยวอย่างมีประโยชน์ได้เลยนะครับ”

“ใช่แล้วล่ะ แต่อันที่จริง พี่ก็หวังว่าวีจะได้เที่ยวอย่างมีความสุข แล้วก็...”

พออีกฝ่ายเว้นไป กวีจึงเร่งถาม

“แล้วก็อะไรครับ”

“แล้วก็อยากให้การเดินทางของเราเป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆ ของวีด้วยเหมือนกัน ถึงจะเป็นการเดินทางสั้นๆ ก็เถอะ”

ได้ยินสิ่งที่วายุวาดหวังไว้กวีก็ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความจริงคำพูดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่กวีเพิ่งคิดได้ว่า ตลอดเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาเริ่มคบกัน หรือแม้แต่ตอนที่รู้จักกันแรกๆ วายุก็ขยันทำให้เขายิ้มได้เสมอ

“พี่ลมของผมเนี่ย นอกจะจากใจดีแล้ว ยังน่ารักที่สุดเลย”

“ถ้าน่ารัก แล้วรักพี่ไหมครับ”

ขณะกำลังอบอุ่นหัวใจกับสิ่งที่วายุทำให้อยู่ดีๆ ประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็ทำเอากวีต้องใจเต้นไม่เป็นระส่ำ

“...ทำไมอยู่ๆ มาถามล่ะครับ”

“ก็พี่อยากรู้นี่ครับ” วายุยิ้ม

“...”

กวีหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ เขาเสมองออกไปที่ขอบฟ้าแก้เขิน เวลานี้ดวงอาทิตย์ลาลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความมืดโรยตัวเชื่องช้า แสงไฟสีนวลโดยรอบค่อยๆ ถูกเปิดขึ้นทีละดวง ทีละดวง

“...จู่ๆ จะถาม ก็ถามขึ้นมาดื้อๆ ได้เหรอครับ”

“ก็พี่อยากรู้นี่ครับ” ครั้นหันกลับมามองคนข้างกายอีกที เขาเห็นดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายคล้ายกำลังรอคอยคำตอบ “ถือว่าเป็นรางวัลที่พี่พาเที่ยวก็ได้”

“งั้นก็หลับตาก่อน แล้วผมจะให้รางวัล

“ถ้าหลับตา พี่ก็ไม่เห็นตอนวีพูดน่ะสิ”

“ไม่งั้นผมไม่พูดนะ”

เมื่อได้ยิน วายุก็ไม่อาจต่อรองได้อีกต่อไป เขาหลับตาลงตามคำสั่งของกวี และนั่งนิ่งราวรูปสลักเพื่อรอคอยคำตอบ

กวีจับตามองวายุอยู่สักพัก เขาปล่อยให้เสียงลมหวีดหวิวทำหน้าที่คั่นกลางระหว่างหัวใจที่เต้นดังจนปกปิดไม่ไหว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ขยับกายเข้าไปใกล้คนรักซึ่งนั่งหลับตาอยู่ที่เก่า

และแตะจมูกลงบนแก้มของวายุดังฟอด

อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาทันทีที่ถูกหอมแก้ม พี่ลมของเขาลืมตาและหันมามองหน้าท่าทางไม่เชื่อว่ากวีจะใจกล้าหอมแก้มตนเองก่อน

กวีเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงใจกล้าแบบนั้น แต่พอได้เห็นแก้มของพี่รถกับข้าวมีสีเลือดฝาดขึ้นมาระเรื่อๆ เหมือนกัน นักเขียนหนุ่มก็รู้สึกพอใจขึ้นมา

“ทำหน้าแบบนั้นทำไมครับ”

“ก็วี...วีหอมแก้มพี่นี่” วายุพูดอย่างติดขัด

“เป็นรางวัลของพี่ไงครับ” เว้นไปนิด กวีจึงเอ่ยทั้งที่ยังเขินด้วยน้ำเสียงทะเล้น “แบบนี้พี่พอโอเคไหม”

“โอเคครับ โอเคที่สุดเลยครับ”

...แลกกับความเขินนิดหน่อย ถ้าพี่ลมโอเค ผมก็โอเค







--------------------------------------------------------








ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




บทที่ 18













“พี่ลม”

[วี วันนี้ตื่นเช้าจังเลยนะครับ]

“อ้อครับ...ว่าแต่ตอนนี้พี่ลมยุ่งอยู่หรือเปล่า”

[ไม่ยุ่งครับ คุยได้ พี่กำลังแต่งตัวจะลงไปเปิดร้าน วีมีอะไรหรือเปล่าวันนี้โทรหาพี่แต่เช้า]

“คือผมจะโทรมาบอกว่า ปีใหม่นี้ผมไม่ได้ไปอเมริกาแล้วนะครับ”

[อ้าว ทำไมล่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ไหนเล่าให้พี่ฟังเร็ว]

ได้ยินเสียงที่ส่งผ่านความเป็นห่วงมาเต็มเปี่ยม กวีจึงต้องรีบเล่า ด้วยกลัวจะทำให้วายุเข้าใจผิดว่าที่บ้านของกวีกำลังมีปัญหา

“คือพอดีแม่กับเดวิดจะไปเที่ยวมัลดีฟกันน่ะครับ แล้วจะมาที่ไทยช่วงหลังปีใหม่ ผมก็เลยไม่ได้ไปแล้ว นี่พี่พันเพิ่งโทรมาบอกเมื่อเช้า ดีนะที่ยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินกัน”

[อ้อ อย่างนี้นี่เอง]

“แต่จริงๆ ที่โทรมา เพราะจะถามพี่ลมว่า พี่ลมยังจะไปเชียงรายอยู่ไหมครับ”

หลังจากที่กวีได้เดินทางไปเที่ยวตรงนั้นเที่ยวตรงนี้ในกรุงเทพฯ กับวายุหลายครั้ง นักเขียนหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความคิดเกี่ยวกับการเดินทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกสนุกทุกครั้งที่มานั่งวางแผนกันว่าต่อไปจะลองไปกินร้านอาหารไหน หรือไปดูไปเห็นสิ่งใหม่ด้วยกันที่ไหนอีก ทำให้กวีรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ต้องปฏิเสธทริปไปเที่ยวบ้านคนรักที่เชียงราย

[ไปสิ วีอยากไปกับพี่ไหม]

“อยากไปครับ”

[ดีเลย ม๊าต้องดีใจแน่ๆ ที่พี่พาวีเข้าบ้าน]

“ทำไมล่ะพี่ลม”

[ก็พี่เล่าเรื่องวีให้ม๊าฟัง เขาก็เลยอยากเห็นวีจะแย่ นี่เมื่ออาทิตย์ก่อนเข้ามากรุงเทพฯ กับป๊า เขาเกือบบุกไปหาวีที่ห้องตอนเย็นพร้อมพี่แล้วนะ แต่พอดีต้องบินกลับเชียงรายกะทันหัน ก็เลยไม่ทันได้ไป]

“อ้อ...พี่ลมพูดแบบนี้ผมตื่นเต้นเลยครับ”

กวีไม่ค่อยได้เข้าหาผู้ใหญ่บ่อยนัก และเขาไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของคนรักเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินว่าฝั่งนั้นอยากเจอตัว จึงเป็นเรื่องปรกติที่กวีจะรู้สึกประหม่าและทำอะไรไม่ถูก

[ไม่ต้องกลัวนะ คนที่บ้านใจดีทุกคน โดยเฉพาะม๊ากับป๊า อีกอย่าง พี่เชื่อว่าถ้าเขาได้เจอวี เขาต้องชอบวีแน่ๆ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ทำไมพี่ลมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

[เพราะพี่รู้จักพวกเขาดีไงล่ะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวนะครับ]

เมื่อได้รับคำยืนยัน กวีก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“ครับ”

หลังจากคุยกันอีกสองสามประโยค กวีก็ปล่อยให้วายุไปเปิดร้าน ส่วนตัวเองก็โทรไปหาบก.คนสวยเพื่อคุยกันเรื่องคิวลงงานช่วงปีใหม่ให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง

[ความจริงพี่มีโปรเจคปีใหม่มาเสนอ]

“โปรเจคอะไรครับ”

[โปรเจคเรื่องสั้นวันปีใหม่ที่ทางเว็บไซด์จะให้นักเขียนลงพร้อมกันน่ะ]

“อ๋อ วันก่อนที่เข้าไปรับเช็ก คุณพศินเขาเล่าให้ฟังแล้วครับ”

[แล้วสนไหม]

“ก็สนอยู่นะ แต่ปีนี้คงไม่รับดีกว่าครับ”

[อ้าว! ทำไมล่ะ]

เจนจิราถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะปรกติกวีไม่เคยปฏิเสธงานของทางเว็บไซด์เลยสักครั้ง เพราะเจ้าก้อนเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่เขียนหนังสือเป็นงานประจำ

“พอดีผมต้องไปต่างจังหวัดน่ะครับ ที่โทรมาเพราะจะบอกว่าก่อนสิ้นปีจะส่งนิยายให้พี่เจนดูล่วงหน้าสองสามวัน เราจะได้แก้กันก่อนผมเดินทาง”

[ว้าว! ~ ขยันขนาดนั้นเชียว นี่เราจะไปเที่ยวไหนล่ะ]

“ไปเชียงรายครับ”

[คุณแม่มาช่วงคริสต์มาสเหรอ] บก.สาวถามด้วยความเคยชิน เพราะทุกๆ ปีแม่ของกวีจะมาหานักเขียนหนุ่มในช่วงนี้

“ไม่ใช่ครับ ไปกับพี่ลม”

[หืม? พี่ลม? ใช่คนที่มารับในงานแจกลายเซ็นนั่นหรือเปล่า]

“จำได้ด้วยเหรอครับ” แม้จะผ่านไปสักพัก แต่ความจำของเจนจิราก็ยังคงเป็นเลิศ

[จำได้สิ ว่าแต่เราไปกับเขาสองคนเหรอ]

“ครับ”

[แปลกแฮะ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ไม่เคยเห็นไปไหนมาไหนกับใครนอกจากพี่พันและคุณแม่]

“ช่วงนี้ผมก็ไปไหนมาไหนกับพี่ลมบ่อยนะ”

[ไม่ได้ไปคอนโดแกแค่แป๊บเดียว พี่มีอะไรต้องอัพเดตหรือเปล่า]

หญิงสาวตั้งข้อสังเกตตามที่สงสัย ซึ่งกวีก็ตัดสินใจยอมบอกออกไปตามตรง เพราะไม่รู้ว่าควรปิดบังพี่สาวคนสนิททำไม

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เอ่อ...แค่ผมเป็นแฟนกับพี่ลมแล้ว...เท่านั้นเอง”

[ห๊า!!! เป็นแฟนกันแล้ว!!]

“ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะพี่เจน หูจะแตกแล้ว” เพราะไม่รู้ว่าบก.คนสนิทจะตกใจถึงขนาดนั้น กวีจึงไม่ทันเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู

[ไม่ให้ตกใจได้ไง ก็แกเป็นแฟนพี่หล่อนั่นแล้ว แถม...แถมพี่เขาเป็นผู้ชายด้วยนะก้อน!]

“คนชอบกันไม่เกี่ยวกับเพศนี่ครับ” กวียืมคำพี่ชายมาใช้

[ฉันเข้าใจ...แต่ก็อดตกใจไม่ได้นี่ คนไร้สังคมแบบแก แต่มีแฟนก่อนฉัน คิดแล้วจะร้องไห้ ฮือ~]

“ตกลงพี่ตกใจที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย หรือตกใจเพราะผมมีแฟนก่อนพี่กันเนี่ย”

[ทั้งหมดนั่นแหละ!] เจนจิราตอบอย่างเกรี้ยวกราด

“ฮ่าๆ ๆ”

[ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะเลยนะ ฮือ~ น้องชายตัวกลมๆ ของฉันมีแฟนแล้ว ฉันยังซิงอยู่เลย] ยิ่งพูด เจนจิราก็ยิ่งอยากร้องไห้

“ผมก็ยังซิงนะครับ!”

[แต่คงอีกไม่นานหรอกใช่ไหมล่ะ จะไปค้างต่างจังหวัดด้วยกันแล้วนี่ เตรียมตัวเตรียมใจไปให้ดีๆ เถอะไอ้ก้อน ถุงยงถุงยางกับของที่ต้องใช้น่ะ อย่าให้ขาดสักอย่างเชียว]

“พี่เจ้น!! พูดอะไรของพี่กันเนี่ย เป็นผู้หญิงแท้ๆ นะครับ”

[แกจะบอกว่าฉันหน้าไม่อายงั้นสิ แต่ฉันพูดจริงนะ]

“รู้แล้วครับว่าพูดจริง ไม่ต้องยืนยันก็ได้น่า”

[ต้องย้ำให้จำไว้ แกจะรักจะชอบใครไม่ว่าหรอก แต่ต้องรู้จักเซฟตัวเองด้วย ยิ่งไม่เคยมีประสบการณ์ ต้องศึกษาเอาไว้บ้างรู้ไหม]

แม้จะเป็นเรื่องน่าอายแค่ไหน แต่เจนจิราก็ต้องพูด เพราะเห็นกวีเป็นน้องชายคนสำคัญ ดังนั้นเธอจึงอยากให้กวีระวังตัว ยิ่งคนที่ไม่เคยเปิดรับใครแบบกวีดันมาตกร่องปปล่องชิ้นกับพ่อหนุ่มหล่อที่เจอกันได้ไม่นาน เจนจิรายิ่งเป็นห่วงมากขึ้น

เพราะความหล่อน่ะ ไม่มีได้ช่วยให้แยกแยะคนดีและคนไม่ดีออกจากกันได้หรอกนะ...

และกวีเองก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงที่เจนจิรามอบให้ เขาจึงตอบแทนเธอด้วยการจำทุกอย่างใส่ใจ และขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“ผมรู้แล้วครับ ผมจะระวังตัว ขอบคุณนะพี่เจน”

[อืม] เธอรับคำ ก่อนจะถามซ้ำ [แล้วตกลงไม่รับงานจริงๆ ใช่ไหม พี่จะได้บอกคุณพศินได้ถูก]

“ทำไมต้องบอกคุณพศินด้วยครับ”

[ก็เขาถามมา คงอยากรู้น่ะ อีกอย่าง คุณพศินชวนเรามากินเลี้ยงปีใหม่ที่สำนักพิมพ์ด้วยนะ]

“วันไหนครับ”

[วันที่ 29]

“อืม...ผมอาจจะต้องเดินทางเช้าวันที่ 30 เพราะงั้นคงไปไม่ได้ ยังไงฝากพี่เจนขอโทษคุณพศินด้วยนะ”

จากที่เคยคุยกันไว้คร่าวๆ วายุจะเดินทางออกจากรุงเทพฯ แต่เช้าวันที่ 30 ธันวาคม เพื่อไปถึงตอนเย็น วันที่ 31 ธันวาจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวเพื่อเตรียมตัวเคาน์ดาวน์ทั้งวัน

[ก็ได้ พี่จะบอกคุณเขาให้หมด พร้อมกับเอาน้ำใบบัวบกไปให้อีกสองแก้วด้วย] ประโยคหลังเธอบ่นพึมพำกับตัวเองประโยคหลังเธอบ่นพึมพำกับตัวเอง และกวีก็ไม่สนใจฟังเท่าไหร่

นักเขียนและบก.พูดคุยกันเรื่องงานที่จะเอาลงก่อนปีใหม่ต่ออีกเล็กน้อย ก่อนกวีจะวางสายและเตรียมเขียนโครงอย่างละเอียดในตอนที่จะเขียนต่อไป

ช่วงนี้เขาต้องตั้งใจทำงานหน่อย จะได้ไปเที่ยวกับพี่ลมโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก























หลังจากโหมงานมากว่าสองอาทิตย์ ในที่สุดกวีก็มีสต็อกนิยายเผื่อไปถึงหลังปีใหม่กว่าสองตอน และสามารถไปเที่ยวได้โดยไม่มีภาระให้กังวล ติดแค่ว่าชายหนุ่มแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองดีๆ เลย ช่วงนี้คนตัวกลมจึงผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตาก็คล้ำเป็นหมีแพนด้า เดือดร้อนวายุต้องคอยดูแลส่งข้าวส่งน้ำไม่ขาด

“เราจะใส่ชุดไหนบ้าง ที่แขวนไว้ตรงนี้คือเอาไปหมดใช่ไหมครับ”

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มถามขึ้นอย่างอ่อนโยน กวีที่นอนคว่ำหน้าหมดสภาพอยู่บนเตียงจึงปรือตามอง เขาเห็นวายุยืนถือเสื้อผ้าซึ่งตั้งใจจะเก็บพับใส่กระเป๋าไว้ในมือ กวีจึงต้องรีบลุกขึ้นมาแย่งไปเก็บแทน

“เดี๋ยวผมเก็บเองครับ”

“ไม่เป็นไร เรานอนเถอะ พี่ช่วยเก็บให้เอง”

“งั้นช่วยกันดีกว่านะครับ จะได้เสร็จเร็วๆ ไง”

“มาสิ”

วายุยื่นเสื้อผ้าให้กวีถือ ส่วนตัวเองก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาให้จากใต้เตียง ทว่ากวีดันลืมไป ในกระเป๋าใบใหญ่มีของเครื่องมือป้องกันตัวที่จะให้วายุเห็นตอนนี้ไม่ได้

“เดี๋ยวครับพี่ลม!”

ทว่า...มันไม่ทันเสียแล้ว...

“นี่อะไรครับ”

ของสิ่งนั้น ของที่ไม่ตั้งใจให้วายุเห็น เวลานี้มันกลับเปิดเผยต่อสายตาแฟนหนุ่มของกวีเสียแล้ว…

“...เอ่อคือ”

“ถุงยางกับเจลหล่อลื่น?”

“ผม...เอ่อ...”

กวีได้แต่พูดไม่ออกอยู่ที่เก่า หรือจะสรุปง่ายๆ คือ เขาตัวแข็งจนกลายเป็นหินไปแล้ว...

กระทั่งคนที่จับกล่องถุงพลิกไปพลิกมาราวกับมันน่าสนใจนักหนาเงยหน้าขึ้นมาตาเขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก กวีจึงเปลี่ยนจากก้อนหินระเหิดหายกลายเป็นไอ

“นี่ของวีใช่ไหมครับ”

“...ครับ” กวีตอบเบาราวกับกระซิบและก้มหน้าจนคางชิดอก เพราะไม่กล้าสู้สายตาของคนตรงหน้า

แต่คนที่ทำให้กวีอายกลับทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กัน ก่อนจะเอาเจลหล่อลื่นกับกล่องถุงยางอนามัยทั้ง 2 ขนาดลงกระเป๋า จากนั้นจึงค่อยๆ ถอดเสื้อจากไม้แขวนมาพับใส่ทับลงไปทีละชิ้น ทำราวกับไม่มีอะไรให้กวีต้องอาย

“ไม่ต้องเขินหรอกนะ พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

“แต่...” กวีเงยหน้ามอง แต่พอเจอสายตาซึ่งคล้ายกับคอยจ้องมาที่เขาก่อนแล้ว คนใจกล้าก็ใจหดลงอีกรอบ

“แต่อะไรครับ”

“...แต่ผมก็ยังเขินอยู่ดี”

“หึๆ” วายุหัวเราะ แล้ววางเสื้อที่พับแล้วชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า ก่อนขยับเข้ามาชิดจนลมหายใจร้อนๆ เป่ารดขมับของกวี “ต่อไปจะมีเรื่องที่ทำให้วีต้องมากกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะงั้น...นอกจากเตรียมตัวแล้ว วีต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วยนะ”

“พี่ลม!” กวีแหว

ตอนแรกเขาคิดไม่ออกว่าตัวเองจะเขินไปกว่านี้ได้อย่างไร แต่พอได้ยินประโยคเมื่อครู่ กวีก็แทบอยู่ไม่ไหว อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเพราะเขินจะตายอยู่แล้ว

“หึๆ ก็พี่พูดจริงนี่”

“ก็รู้ว่าพูดจริง แต่ไม่ต้องพูดก็ได้ครับ โถ่...ตัวผมร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มฟุบหน้าลงกับเข่าหนีอาย เขาคงต้องทำใจสักพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นสู้หน้าวายุได้อีกหน ก็ใครใช้ให้โป๊ะแตกถูกจับได้ว่าเตรียมตัวไปเป็นของอีกฝ่ายพร้อมสรรพขนาดนี้เล่า

แต่ขณะที่กวีก้มหน้างุดๆ วงแขนแกร่งของคนข้างกายก็รวบเขาไปทั้งร่าง จนกวีย้ายไปกึ่งนั่งตักกว้างของวายุ ก่อนวายุจะหอมๆ ฟัดๆ ที่หัวเขาราวกับหมั่นเขี้ยวมันเสียเต็มประดา

กวีปล่อยให้ตัวเองถูกกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่พักใหญ่ โดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาตอบโต้อะไรแม้แต่น้อย เดี๋ยวเดียววายุก็หยุดแกล้งและกอดเขาไว้เฉยๆ

“จะไม่เงยหน้าขึ้นมาพูดกับพี่จริงๆ หรือครับ”

“ตอนนี้ไม่ครับ ผมยังไม่พร้อม”

“แต่พี่ไม่ล้อแล้วจริงๆ นะ”

“ขอผมทำใจก่อน” กวีตอบเสียงอู้อี้

“โอเคๆ งั้นพี่ไม่รบเร้าเราแล้ว แต่ขอกอดไว้แบบนี้นะ”

สิ่งที่ขอ หาใช่สิ่งที่ยากเกินจะให้ กวีจึงตอบตกลงไปส่งๆ

“...อื้ม”

“อ้อ แล้วก็นะ พี่มีเรื่องจะบอกเราล่ะ”

“อะไรครับ” กวีว่าอย่างรอคอยคำตอบ

“พี่จะบอกว่า ที่วีเตรียมตัวไว้น่ะ พี่ดีใจสุดๆ เลยนะ อันที่จริงก็ไม่ได้จะเร่งหรอก อยากรอให้พร้อมเหมือนที่เคยบอก ถ้าไปคราวนี้วีไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น พี่ก็จะไม่ทำ”

“...” กวีฟังเงียบๆ ไม่ได้ขอให้รอหรือบอกว่าตัวเองพร้อม

และดูเหมือนวายุเองก็ไม่ต้องการคำตอบจากกวีเช่นกัน สิ่งที่เขาต้องการคงมีแค่บอกเล่าเรื่องที่อยากพูดออกมาเท่านั้น

“แต่พี่ต้องขอโทษวีอย่างหนึ่ง”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องของที่วีซื้อมา พี่คงใช้ให้ไม่ได้”

กวีโตป่านนี้แล้ว เรื่องที่ต้องป้องกัน เขารู้โดยไม่ต้องมีคนคอยเตือนก็ได้ แต่การที่วายุบอกว่าจะไม่ใช้ แบบนี้จะไม่เป็นไรหรือ...กวีนึกสงสัย จึงค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากเข่า

“ทำไมล่ะครับ ของแบบนี้ต้องป้องกันนะ มันไม่ใช่เรื่องของความไม่ไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ”

“เดี๋ยวๆ พี่ว่าวีเข้าใจผิดแล้ว”

“หืม? เข้าใจผิดอะไรครับ”

“ก็เรื่องที่จะใช้หรือไม่ใช้ไง”

“แล้วพี่ลมจะพูดอะไรกันแน่”

“พี่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ใส่ แต่ที่ใช้ของวีไม่ได้ เพราะถุงที่วีซื้อมาเผื่อพี่...” วายุเว้นระยะ ก่อนจะขยับเข้ามากระซิบชิดใบหูกวี “มันเล็กกว่าของพี่น่ะ พี่ใส่ไม่ได้”

พูดจบกวีก็เห็นคนรักของเขายิ้มมุมปาก ยิ้มอย่างที่ทำให้เขาต้องร้อนผ่านตั้งแต่ใบหน้าไปถึงใบหู

“ผมคุยกับพี่ไม่ได้แล้ว!!”

“ฮ่าๆ ๆ” วายุหัวเราะร่วน

คนโกหก!! ไหนบอกจะไม่ล้อแล้วไงล่ะ

กวีได้แต่กรีดร้องในใจ และตั้งใจว่าจะไม่มองหน้าคนขี้แกล้งจนกว่าจะกินข้าวเย็น!








------------------------------------------------------------







ที่บอกว่าจะลงรัวๆ คือจะลงรัวๆ จริงๆ นะคะ

เตรียมตัวไว้ให้ดี 55555



ปล. ส่วนคำผิดฝนจะขอมาอีดิทฉบับบรีไรต์อีกครั้งนะคะ



ละอองฝน.

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เจ้าก้อนพลาดตรงที่ไม่รู้ไซซ์พี่ลมสินะ  :laugh:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เตรียมพร้อมกับการเสียตัวเสียซิงสุดขีด แต่ดันลืมศึกษาขนาดของสิ่งนั้น  จึงซื้อมาผิดไซส์  โถ ๆ น่าสงสารจัง เสียของเลย  อิอิ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อิจฉาน้องก้อน แฟนดูแลดีมากกกกก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น้องก้อนนน หนูไม่กลัวเลยเหรอลูกก  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
แค่อ่านยังเขินตามเจ้าก้อนเลย  :o8: :impress2:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อย่าแกล้งก้อนนนน

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2







บทที่ 19









วันเดินทางวายุไปรับกวีที่บ้านและออกจากกรุงเทพฯ เช้าเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาตั้งใจขับรถไปจึงต้องรักษาเวลาสักหน่อยเพื่อจะได้ไปถึงเชียงใหม่ได้ค่ำนัก

ทีแรกวายุตั้งใจจะพากวีตรงไปเชียงรายเลย แต่พอได้ยินน้องบอกว่าไม่เคยไปเชียงใหม่เลยสักครั้ง ผู้ชายที่อยากรั้งตำแหน่งแฟนดีเด่นอย่างวายุจึงตัดสินใจค้างคืนที่เชียงใหม่วันที่สามสิบ ช่วงสายของวันที่สามสิบเอ็ดจะได้พาน้องตระเวนเที่ยวบางสถานที่ในเชียงใหม่ ก่อนขับรถมุ่งหน้าไปเคาน์ดาวน์ที่เชียงรายกับครอบครัว

“ได้เดินทางออกจากจังหวัดทั้งที เราต้องใช้เวลาให้คุ้ม” วายุบอกกับน้องแบบนั้น และกวีก็ตอบกลับด้วยการพยักหน้าหงึกหงักอย่างน่ารักเหมือนเก่า

“เอาตามที่พี่ลมเห็นดีเลยครับ”

ยิ่งพอบอกทำตามที่เขาเห็นดี วายุก็ยิ่งต้องทำหน้าที่ไกด์กิตติมศักดิ์อย่างสุดฝีมือให้น้องประทับใจ เผื่อว่าจะมีโอกาสได้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันอีกบ่อยๆ

ก่อนเดินทางข้ามภาค วายุพกขนมและน้ำใส่ตะกร้าปิ๊กนิค หมอนรองหลัง เบาะรองคอ และผ้าห่มนิ่มๆ เอาไว้คลุมขาเผื่อแอร์หนาว หรือแม้กระทั่งเตรียมลิสต์เพลงสบายๆ เอาไว้ฟังระหว่างนั่งรถ เขาก็จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้กวีไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังดูร้านอาหารระหว่างทางเผื่อเวลากลางวันเอาไว้ด้วย

“พี่ลมเนี่ยสุดยอดไปเลยนะครับ ใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ ทั้งที่ไม่ต้องทำขนาดนี้แท้ๆ” คนพูดว่าพลางมองดูขนมในตะกร้า

พอได้ยินคำชมกับสิ่งที่ทุ่มเทตั้งใจทำให้ คนทำก็ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียม

“แล้ววีชอบไหมครับ”

“ชอบสิครับ ถูกเอาใจขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบ”

“ถ้าชอบก็ดีแล้ว เอาไว้ค่อยรวมเป็นรางวัลใหญ่ให้พี่ทีเดียวเนอะ” เขาว่าพลางยิ้มอย่างมีเลศนัยส่งไปให้ และพอทำเช่นนั้น วายุก็ได้เห็นคนค้อนวงใหญ่

“นี่พี่ลมทำเพื่อหวังผลหรือครับ”

“แล้วเรายอมให้พี่หวังหรือเปล่าล่ะ”

วายุพูดทีเล่นทีจริง เพราะอยากแกล้งให้คนข้างๆ เขินเล่น ไม่ได้คาดหวังว่าน้องจะต้องตอบอะไร แต่กวีก็คือกวี คนที่ชอบทำให้เขาประหลาดใจและตกหลุมรักได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“...ก็อาจจะหวังได้อยู่มั้งครับ”

“ชอบทำแบบนี้อยู่เรื่อยเลย”

วายุยื่นมือข้างหนึ่งไปฉวยมือของกวีมากุมไว้ แล้วบีบเบาๆ อย่างนึกหมั่นเขี้ยว นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังขับรถ เขาจะจับเจ้าก้อนตัวน้อยมาฟัดให้หนำใจเชียว

“ทำอะไรครับ ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย”

“ก็ทำให้พี่หมั่นเขี้ยวไง”

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พี่ลมเป็นไปเองต่างหาก” กวีตอบโต้ด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “เลิกหมั่นเขี้ยวผมก่อนนะตอนนี้”

“ถ้าอย่างนั้นพอถึงที่พัก พี่คิดใหม่ได้ใช่ไหม”

พอถูกหยอกไม่เลิก กวีก็ดึงมือกลับ แล้วเอามือไม้ซุกผ้าห่มของตัวเองแทน

“ไม่ต้องถามแล้ว! ~ ขับรถไปเลยนะครับ”

“ฮ่าๆ ๆ” วายุหัวเราะร่วน เพราะกวีน่ารักน่าแกล้งแบบนี้ เขาถึงชอบแกล้งพูดแบบมีเลศนัยให้อีกฝ่ายเขินเล่นเพื่อดูปฏิกิริยาบ่อยๆ “โอเคครับ งั้นพี่ไม่กวนแล้ว เราก็ง่วงก็นอนนะ เดี๋ยวถึงกำแพงเพชรพี่จะปลุกกินข้าวกลางวัน”

“ไม่เอาหรอกครับ ผมจะหลับแล้วปล่อยให้พี่ขับรถคนเดียวได้ไง”

“แต่เมื่อเช้าเราออกเช้ามากเลยนะ แน่ใจนะครับว่าวีไม่ง่วง”

“ไม่ง่วงครับ”

“โอเค งั้นนั่งฟังเพลงเป็นเพื่อนพี่แล้วกันเนอะ”

“ครับ”















ทั้งที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่พอเอาเข้าจริง เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงหลังจากที่พูด คนข้างๆ ก็นอนคอพับหลับไม่รู้สึกตัว ทิ้งให้วายุต้องขับรถคนเดียวไปจนเกือบถึงที่พักทานกลางวัน

แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดเคืองน้องสักนิด ด้วยรู้ว่ากวีต้องตื่นมารอเข้าเพื่อเดินทางแต่เช้า ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยปรกติของเจ้าตัว

อีกอย่าง การได้มองน้องนอนอ้าปากน้อยๆ เอาแก้มกลมวางแหมะกับหมอนก็น่ารักดีไม่หยอก

กระทั่งถึงกำแพงเพชร วายุก็ปลุกกวีให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตากินข้าว ร้านอาหารที่เขาเลือกเป็นร้านที่วายุเคยกินตอนขับรถผ่านและอร่อยจนต้องกลับมาแวะทุกครั้งที่เดินทาง

พอได้นอนหลับเต็มอิ่มและกินข้าวเติมพลัง กวีก็กลับมาสดใสอีกครั้ง การเดินทางในช่วงบ่ายจึงเต็มไปด้วยเสียงซักถามพูดคุยเจื้อยแจ้ว หรือบางครั้งที่คนน่ารักลืมตัว น้องก็จะร้องเพลงคลอไปกับเพลย์ลิสต์ที่วายุเปิด พานให้คนฟังมีกำลังใจในการขับรถไปตลอดทาง

ขับไปแวะไปอีกสามสี่ชั่วโมง ในที่สุดวายุก็พากวีมาถึงเชียงใหม่ พวกเขาตรงเข้าเช็คอินในโรงแรมที่จ้องเอาไว้ ก่อนจะออกมาหาของอร่อยกินเป็นมื้อเย็น

กินข้าวอิ่มดีแล้ว วายุก็พากวีไปขับรถเล่นรอบเมืองสักรอบ แต่การจารจรในเชียงใหม่ติดขัดไม่ต่างจากกรุงเทพฯ พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับโรงแรม และไปเที่ยววัดโบราณในตอนเช้าแทน

“วีอาบน้ำก่อนไหม” เห็นน้องดูเงียบๆ ไป วายุจึงเข้าใจว่ากวีเพลียจากการเดินทาง เขาจึงเสนอให้น้องอาบน้ำก่อนจะได้รีบพักผ่อน

“พี่ลมอาบก่อนเลยครับ ผมอาบน้ำนาน”

“อ้อ...เอางั้นก็ได้ครับ”

วายุทำตามที่น้องบอก ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ขับรถทั้งวันจะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย แต่เพราะตื่นเต้นที่มากับคนรัก วายุจึงไม่รู้สึกล้าเท่าไหร่

อาบน้ำเรียบร้อยวายุก็สวมกางเกงนอนขายาวตัวเดียวออกมาจากห้องน้ำโดยไม่สวมเสื้อ พอกวีหันมาเห็นก็เบิกตากว้าง แล้วถือผ้าเช็ดตัวก้มหน้างุดๆ เข้าห้องน้ำ

“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”

“อื้ม”

ปรกติวายุจะแต่งตัวแบบนี้นอนเป็นประจำ เขาจึงลืมคิดไปว่าเมื่อได้มานอนกับคนอื่น จะต้องสวมให้มิดชิดกว่านี้ ดังนั้นเพื่อกันไม่น้องกระอักกระอ่วนใจ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ก็กระอักกระอ่วนจะแย่ วายุจึงต้องค้นเอาเสื้อยืดสักตัวออกมาสวมให้เรียบร้อย

หลังจากนั้นเขาก็แบ่งฝั่งที่นอนบนเตียงคิงไซซ์ให้ชัดเจน ด้วยไม่อยากให้น้องคิดว่าตัวเองจ้องแต่จะเอาเปรียบกัน แม้จะรู้ว่ากวีคงเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างแล้วจากเครื่องป้องกันที่เจ้าตัวแอบซื้อมาก็ตาม

ครั้นไม่มีอะไรให้ทำ วายุก็ล้มตัวนอนก่ายหน้าผากบนที่นอนนุ่ม เห็นทำนิ่งๆ แบบนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่ตื่นเต้นหรือรู้สึกประหม่า ทั้งที่คนมีประสบการณ์อย่างเขาควรทำใจให้นิ่งได้มากกว่านี้แท้ๆ

เป็นเพราะกวีคนเดียว...

เด็กคนนั้นทำให้เขาแปลกไปจากวายุคนเดิม เป็นวายุในแบบที่กระทั่งตัวเองก็ไม่คาดว่าจะเป็น

นอนคิดอะไรไปสะระตะพักใหญ่ น้องก็ยังไม่ยอมออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มได้แต่รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ออกมาเสียที จนตอนที่วายุเกือบเคลิ้มหลับ กวีถึงออกมาพร้อมกับชุดคลุมอาบน้ำ...

“รอนานไหมครับ”

กวีถาม แต่วายุกลับสนใจผมที่เปียกโชกของน้องมากกว่า เขาจึงเดินไปหยิบผ้าขนหนูจากราวเพื่อเช็ดผมให้น้อง

“ไม่นานหรอก ว่าแต่ทำไมถึงปล่อยผมเปียกๆ ออกมาแบบนี้ล่ะครับ”

“อ้อ...ผมกะว่าจะออกมาเช็ดข้างนอกน่ะ”

“งั้นพี่เช็ดให้นะ มานั่งนี่สิ”

ว่าแล้วชายหนุ่มก็ดึงแขนกวีมานั่งบนเตียงด้วยกัน ก่อนจะขยับไปซ้อนหลังและช่วยซับน้ำออกจากเส้นผมให้กวีเบาๆ

ระหว่างที่ซับให้อยู่นั้น ดวงตาไม่รักดีก็ดันเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมอาบน้ำค่อยๆ ร่นลง เผยให้เห็นหลังคอที่มีผิวขาวเต่งตึงดูเนียนน่าสัมผัส ยิ่งตอนที่คนตรงหน้าขยับตัวเอนหลังมาให้เขาเช็ดผมได้ถนัด สาบเสื้อด้านหน้าก็ค่อยๆ แหวกจนเห็นจุดสีชมพูจางรำไร

วายุกลืนน้ำลายลงคอ พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตัวจนกวีสังเกตเห็น

ทว่าตอนที่วายุกำลังท่องยุบหนอพองหนอในใจอยู่นั้น มือของเขาก็ถูกมืออุ่นหยุดไว้ ก่อนคนน่าฟัดจะหันกลับมาเผชิญหน้า

“ไม่ต้องเช็ดแล้วก็ได้นะพี่ลม ผมว่ามันหมาดแล้วล่ะ”

“อ้อ...ครับๆ” ชายหนุ่มเก็บผ้าขนหนูผืนน้อยและถอยห่างจากน้องทันที “วีไปใส่เสื้อผ้านะ เดี๋ยวพี่จะคอยผิดไฟให้”

“หืม? ใส่เสื้อผ้าเหรอ”

“อื้ม” วายุพยักหน้า

“อ้าว...แล้วพี่ลม...เอ่อ...”

“ทำไมครับ” วายุถามด้วยความฉงน

“...คือ...พี่ลมไม่เอารางวัลจากผมแล้วหรือครับ”

“รางวัล? ...” วายุงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่กวีต้องการสื่อ “ห๊า!? วีหมายถึง...วีจะให้รางวัลอะไรพี่”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาไม่คิดเลยว่ากวีจะเป็นคนเอ่ยปากถามเรื่องนี้ ทั้งที่เขาเองยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง

“ก็...ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ถ้าหากว่าพี่ลมไม่เข้าใจ...เอ่อ...โธ่เอ้ย ผมนี่บ้าจริงๆ”

คนน่ารักเคาะหัวตัวเองสองสามที ใบหน้าแดงก่ำไปถึงหู กวีคงเข้าใจว่าเขาไม่รู้ถึงความนัยที่น้องต้องการสื่อ นี่คนซื่อคงจะคิดเป็นจริงเป็นจังเรื่องรางวัลใหญ่ที่เอ่ยขอเมื่อกลางวัน ทั้งที่มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น

เขาไม่คาดหวังสักนิดว่ากวีจะยอมทำขนาดนี้

“โถ่...วี”

“พี่ลมไม่ต้องยิ้มแบบนั้นเลยครับ ผม...ผมเข้าใจผิดไปเอง” กวีโบกไม้โบกมือไม่อยู่สุข ท่าทางคงจะเขินมาก “เดี๋ยวผมขอตัวไปแต่งตัวก่อนนะ พี่ลมนอนได้เลย ผมจะปิดไฟเอง”

ว่าแล้วน้องก็หนีไปเข้าห้องน้ำ แต่กวีก้าวไม่ไวไปกว่าขายาวๆ ของวายุ เขารีบเอาไปกอดคนน่ารักจากด้านหลัง รวบกอดเอาไว้แน่นๆ พร้อมกับซบหน้าลงกับไหล่

“อย่าเพิ่งหนีสิครับ”

“...แต่ผมต้องแต่งตัว”

ได้ยินดังนั้นวายุก็ทำใจกล้า

“ไม่ต้องแต่งหรอก”

“แต่พี่ลม...เอ่อ...ไม่ต้องต้องการจริงๆ ใช่ไหมครับ พี่แค่พูดเล่นนี่”

“พี่แค่พูดเล่นก็จริง” วายุว่า ก่อนจะก้มลงจูบที่ไหล่ซึ่งโผล่พ้นเสื้อคลุมอาบน้ำและกระซิบ “แต่พี่ไม่ได้บอกว่าพี่ไม่ต้องการนี่ครับ”

“...พี่ลม”

กวีตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ แต่แป๊บเดียวก็ตัวอ่อนราวขี้ผึ้งลนไฟ เมื่อกวีค่อยๆ ไล่ขบตั้งแต่หัวไหล่ขึ้นมาถึงลำคอ ลากไล้มาที่ใบหูแดงก่ำ

“วียอมทำแบบนี้ ไม่กลัวหรือครับ ทำจริงๆ ครั้งแรกคงเจ็บอยู่เหมือนกันนะ”

เขาไม่อยากให้น้องร้องไห้หวาดกลัวหลังจากทำในสิ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ วายุอยากให้น้องพร้อม...พร้อมเพราะด้วยตัวเอง

“ผมพอรู้อยู่บ้างครับว่ามันต้องเจ็บ...แต่...ก็ไม่น่าเป็นไร ถ้าพี่ลมมีความสุข”

ได้ยินแบบนั้น วายุก็พลิกตัวกวีให้หันมาเผชิญหน้า พวกเขาจ้องตากันในความเงียบ ก่อนวายุจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุด

“ต้องไม่ใช่แค่พี่ที่มีความสุขสิ วีต้องมีด้วย ถ้าวีต้องฝืนเพราะทำเพื่อพี่ แบบนั้นพี่ไม่เอาด้วยหรอกนะ” ถึงเขาจะอยากฟัดคนน่ารักใจจะขาด แต่วายุก็รักกวีจนไม่อยากให้น้องต้องฝืนใจขนาดนั้น

วายุหวังว่าเขาจะเป็นคนที่ทำให้กวีมีความสุขที่สุด...ความรักของวายุเป็นแบบนั้น

“พี่ลมครับ”

“ครับ”

“ผมเป็นผู้ชายเหมือนพี่นะ”

“อื้ม...” คนตัวสูงพยักหน้ารับ คล้ายอยากฟังว่ากวีจะบอกอะไร

“ถ้าพี่มีความต้องการ ผมเองก็มีเหมือนกัน...ผมอยากมีความสุขด้วยกันกับพี่....เอ่อ...ถึงแม้ว่ามันจะน่าอายอยู่บ้าง แล้วก็น่ากลัวหน่อยๆ ก็เถอะ”

พอได้ยินแบบนี้ วายุก็รู้ได้ทันที เขาลืมไปว่ากวีเป็นผู้ชายอายุ 25 แล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เหมือนความน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย พอคิดได้ถึงตรงนี้ เขาจึงเข้าใจทั้งหมดที่กวีต้องการจะบอก

“พี่ถามครั้งสุดท้าย”

“...?”

“วีแน่ใจนะครับ เพราะถ้าหลังจากนี้ไป พี่อาจจะหยุดตัวเองไม่ได้แล้วนะ”

“ครับ ถ้าพี่สัญญาว่าจะไม่รุนแรง ผมคิดว่า...คิดว่าน่าจะทนได้” พูดไปกวีก็หน้าแดงไป วายุจึงรู้ว่าน้องพยายามเต็มที่แล้วที่ทำใจกล้าบอกเรื่องนี้กับเขาตรงๆ

“ถ้าอย่างนั้น พี่ขอรับรางวัลของพี่แล้วนะครับ”

กวีเงียบไปนิดเมื่อได้ยิน แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็พยักหน้ารับ

“...ครับ”

เมื่อได้รับการยืนยันครั้งสุดท้าย วายุก็ช้อนตัวกวีขึ้นมาอุ้ม และพาคนรักที่น่ารักที่สุดไปที่เตียง...









--------------------------------------------------------------------------







จับมือกันละตัดเข้าโคมไฟ 5555555555555


ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



บทที่ 20













หลังจากที่เขาค้นข้อมูลจากเว็บไซด์และดูคลิปร่วมเพศระหว่างชายรักชายมาสักระยะ กวีคิดว่าว่าเซ็กครั้งแรกต้องเจ็บปวดกว่านี้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น

ความสัมพันธ์ลึกซึ้งครั้งแรกถือว่าผ่านไปได้ด้วยดีทีเดียว แต่ทั้งหมดทั้งมวล กวีจะไม่รู้สึกดีได้เท่านี้เลย ถ้าวายุใจร้อน และเรียกร้องกับเขาจนไม่ยอมฟังเสียง

ทว่าวายุกลับทะนุถนอมกวีจนกลายเป็นบางช่วงบางตอน เป็นกวีเสียเองที่เป็นฝ่ายเรียกร้องให้คนรักรุนแรงมากกว่านี้…

พอตื่นเช้ามานักเขียนหนุ่มถึงได้นึกอายจนมุดอยู่ในผ้าห่มไม่ยอมออกมา หากว่าไม่ต้องเดินทางไปเชียงรายต่อ กวีคงนอนแอบอยู่บนเตียงไปทั้งวัน

“วีครับ” หลังจากที่วายุตื่นแล้ว อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามานัวเนียเขา

“ครับ” กวีขานรับทั้งที่ยังมุดอยู่ในผ้า

“ลุกกันเถอะนะ เราต้องเดินทางต่อแล้ว นี่คงไม่ทันได้เที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่แล้วล่ะ เพราะจะไปถึงเชียงรายเย็นเกินไป”

“ก็ได้ครับ” กวีตอบกลับอย่างว่าง่าย

“เด็กดี” วายอมหัวเขาไปที

“แต่พี่ลมไปอาบก่อนนะครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วผมค่อยอาบ”

“ได้ไง ต้องอาบด้วยกันสิ”

“ไม่เอาครับ ไม่เอา!” กวีปฏิเสธทันควัน

“ไม่ต้องอายนะ เมื่อคืนพี่เห็นหมดแล้ว วีน่ารักไปหมดทั้งตัว ไม่มีอะไรต้องอายหรอก”

“พี่โล้ม!!”

ตอนแรกก็ไม่อายเท่าไหร่ แต่พอวายุพูดเจียระไนหมดเปลือกขนาดนั้น กวีก็อายจนต้องมุดอยู่กับอกพี่ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากันอีกเลย











หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย พวกเขาก็เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม วายุพากวีไปกินข้าวซอยเจ้าอร่อยร้านหนึ่ง ก่อนจะพากันเดินทางขึ้นเชียงรายเพราะกลัวจะช้าจนถูกแม่ของว่ายุบ่น

นั่งรถต่อมาสองชั่วโมงกว่า ในที่สุดกวีก็มาถึงบ้านของคนรัก

ลงรถปุ๊บ กวียังไม่ทันสวัสดีครบทุกคน แม่ของวายุก็เข้ามารับพวกเขาด้วยอ้อมกอดอุ่นอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วกวีจึงค่อยหันไปเห็นครอบครัวทั้งหมดรวมทั้งพ่อของอีกฝ่ายยืนส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ด้วย

“มากันแล้ว แม่รออยู่ตั้งนาน” คุณนายวารีว่า ก่อนจะหันไปตำหนิลูกชาย “พาน้องไปเถลไถลที่ไหนมาฮึ ถึงบ้านเอาป่านนี้”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าเราแวะเชียงใหม่กัน” พี่ลมตอบแม่

“แทนที่จะพาน้องมาหาแม่ก่อน” เธอต่อว่าไม่จริงจังนัก ก่อนจะประคองเอวกวีเข้าบ้านราวกับสนิทกันมานาน “เข้าบ้านกันค่ะน้องวี แม่เตรียมกับข้าวอร่อยๆ ไว้เยอะแยะ พี่ลมบอกแม่ว่าของชอบน้องวีทั้งนั้น”

“ขอบคุณครับคุณป้า--- “ยังไม่ทันจบประโยค กวีก็ถูกขัดเสียก่อน

“แม่จ้ะ”

“ครับคุณแม่”

“ว่าง่ายเหมือนที่พี่เขาบอกเลย มาครับๆ แม่พาไปกินขนมนะลูก”

กวีงงงันกับสถานการณ์นี้อยู่ครู่หนึ่ง พอหันมามองหน้าแฟน วายุก็พยักหน้าให้ราวกับบอกให้เขาทำตามน้ำ กวีจึงตอบรับและเดินตามคุณนายวารีไป

“...ครับ”











งานเลี้ยงสิ้นปีของบ้านวายุ เป็นบรรยากาศแบบที่กวีไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เพราะนอกจากคนในครอบครัวจะสังสรรค์กันเองแล้ว พนักงานในบริษัทส่งออกข้ามประเทศของพ่อแม่วายุก็พาลูกเมียมาฉลองที่บ้านวายุด้วย

บรรยากาศครึกครื้นและทุกคนก็พูดคุยกันสนุกสนานเหมือนรู้จักกันมานาน แม้แต่กวีเองก็ถูกใครต่อใครทักทายอย่างเป็นมิตร มันทำให้เขาเข้าใจว่าเลี้ยงพนักงานอย่างครอบครัวเป็นอย่างไร

จวบจนถึงเวลาเคาน์ดาวน์ พี่ชายของวายุก็สั่งให้คนจุดพลุฉลองเพื่อก้าวสู่ปีใหม่ กวียืนดูพลุใต้ท้องฟ้าสีดำสนิท ข้างกายมีคนรักยืนกุมมือไม่ห่าง ความรู้สึกอบอุ่นจึงแทรกซึมจากเรียวมือที่กุมผ่านตรงไปถึงขั้วหัวใจ

“วี”

“ครับ”

“พี่ดีใจที่ปีนี้มีวีอยู่ข้างๆ นะครับ”

“ครับ” กวีตอบรับ ก่อนจะเอ่ยแทรกเสียงพลุ “ผมก็ดีใจเหมือนกัน”

“ไม่รู้ว่าสิ้นปีหน้าเราจะอยู่ที่ไหน แต่ปีหน้าเรามาเคาน์ดาวน์ด้วยกันอีกนะ”

นี่เป็นสัญญาแรกระหว่างพวกเขาสองคนหลังจากคบกัน...

“ครับ” กวีตอบรับอย่างยินดี เพราะเขาเองก็รู้สึกอยากเคาน์ดาวน์กับวายุในปีหน้าเหมือนกัน











หลังผ่านเทศกาลปีใหม่ไปแล้วกวีก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองที่คอนโดเหมือนเก่า นอกจากความสุขที่อบอวลอยู่ในหัวใจเต็มเปี่ยม งานซึ่งรอคอยเขาอยู่ก็มากมายพอๆ กัน เพราะปีใหม่กวีเคยให้สัญญากับพศินไว้ว่าจะเขียนหนังสือออกตอนมหากรรมงานหนังสือ ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องกลับมาวางแผนเขียนงานอย่างจริงจังควบคู่กับงานรายสัปดาห์ที่ต้องลงเว็บไซด์ด้วย

กระทั่งผ่านไปกว่าอาทิตย์ กวีรู้สึกว่างานที่เขาทำมีมันมากเกินไป มากจนกัดกินความคิดในสมอง ไม่ให้มีโอกาสคิดเรื่องอื่นเลย ยิ่งก่อนหน้านี้กวีใกล้ชิดกันกับวายุมาก ในหัวเขาจึงมีเรื่องของคนรักวนเวียนอยู่ในตลอด จนบางครั้งก็นึกอยากลดจำนวนงานลงบ้าง เพื่อจะได้ไปโฟกัสกับความสุขและความสัมพันธ์ใกล้ตัว

เมื่อถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ใกล้เทศกาลวาเลนไทน์เข้าไปทุกที บรรยากาศความรักอบอวลจนชายหนุ่มไม่เป็นอันทำงาน นักเขียนหนุ่มมีความคิดว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนสักที่พร้อมกับวายุ แต่งานของเขาก็เร่งๆ จะเข้าโรงพิมพ์จนไม่มีโอกาสได้พูดคุยหรือตกลงกับคนรักเลย

จวบจนวันที่กวีได้มีโอกาสเข้าไปเซ็นสัญญาหนังสือเล่มที่กำลังเขียนในสำนักพิมพ์ กวีจึงตัดสินใจเอ่ยเรื่องดรอปงานกันบก.เจน

ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมา กลับเป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่จนต้องฉุกคิดอะไรบางอย่างจากพศิน ผู้ซึ่งบังเอิญผ่านมาได้ยินหนึ่งนักเขียนและหนึ่งบก.คุยกัน

“คุณจะลดก็ได้นะวี แต่ผมไม่อยากให้คุณทิ้งโอกาสไปเลย อย่าหาว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ แต่งานแบบคุณต้องอาศัยโอกาส และไม่ใช่ว่าโอกาสจะเข้ามาหาคุณง่ายๆ ดังนั้นผมอยากให้คุณฉวยมันเอาไว้ เพราะถ้าวันหนึ่งมันหายไป แม้อยากทำแค่ไหน คุณก็ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ส่วนเรื่องที่ควรสำคัญน้อยกว่าก็น่าจะชะลอไปก่อน”

เขาคล้ายโดนตอกหน้าว่าเห็นเรื่องส่วนตัวสำคัญกว่างาน คล้ายถูกประณามว่ากำลังละทิ้งอาชีพเพียงเพราะมีความรักอย่างไรอย่างนั้น

การถูกตำหนิเหมือนว่าไม่รักในงานที่ทำ ทำให้เขารู้สึกแย่อย่างมาก สุดท้ายวันนั้นกวีก็ตกลงทำสัญญาเล่มนั้น และไม่ขอลดงานทางออนไลน์แต่อย่างใด

เมื่อกลับมาบ้านแล้ว กวีก็เริ่มต้นใหม่ เขาเขียนแผนการทำงานเรียบร้อยเหมือนที่เคยทำมาก่อน แต่แผนของเขาค่อนข้างเป๊ะ ด้วยชายหนุ่มต้องการทำงานของตัวเองให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีช่วงเวลาพักและอยู่กับวายุสักชั่วขณะหนึ่ง

ต้องกัดฟันทำให้ได้ จะได้มีเวลาให้เรื่องส่วนตัว

แต่กวีลืมไปว่ากับความสัมพันธ์ ใช่จะกำหนดตายตัวได้ เขาจะทำแต่งานๆ ไปเดือนหนึ่ง โดยไม่มีเวลาให้วายุเลย ส่วนวาเลนไทน์แรกก็ไม่ต้องพูดถึง กวีลืมมันไปเสียสนิท จนเมื่อวายุเอาช็อกโกแลตมาให้ในตอนเย็นนั่นแหละ นักเขียนหนุ่มจึงนึกออก

เรื่องนี้วายุเองก็ไม่ยอมเช่นกัน แต่เมื่อกวีอธิบายเหตุผล วายุก็ยื่นข้อเสนอว่าจะมาหากวีทุกวันเหมือนเดิม แต่ไม่เข้าไปรบกวนการทำงาน

“พี่ขอแค่ได้ดูแลเราเท่านั้น หาข้าวส่งน้ำให้ แล้วพี่ก็จะกลับ”

แต่วายุคงไม่รู้ การที่มีวายุวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กวีเองก็รวบรวมสมาธิไม่ได้เช่นกัน เขาอยากเล่นกับวายุ อยากคุย อยากให้กอด แต่ถ้าปล่อยตามใจแล้ว กวีก็จะไม่อาจทำตามตารางของตัวเองได้อีก

ในช่วงที่ความคิดตีรวนกันในหัว นักเขียนหนุ่มจึงค่อนข้างหงุดหงิดง่ายกว่าที่เคย จนบางครั้งก็เผลอทำพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด จนทำให้ความสัมพันธ์ที่เป็นไปในทิศทางที่ดีชะงักลง

จากที่อยากอยู่ด้วยกันมากขึ้น กลายเป็นฝ่ายผลักไสคนรักออกไปแทน

...และนั่นก็เป็นความผิดพลาดที่ทำให้กวีกลับมาเสียใจในภายหลัง









-------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2





บทที่ 21









“ผมอิ่มแล้วครับ”

ระหว่างที่กำลังนั่งทานอาหารมื้อดึกที่วายุเอามาฝากร้องด้วยกัน อยู่ๆ กวีวางช้อนลงดื้อๆ

“หืม? ทำไมอิ่มเร็วจัง”

“เดี๋ยวผมจะไปทำงานต่อแล้วครับ อังคารหน้าต้องส่งต้นฉบับ ไม่อย่างนั้นโรงพิมพ์จะพิมพ์ไม่ทันงานหนังสือ” คนน่ารักที่ช่วงนี้ดูซูบไปตอบ

“แต่วีเพิ่งกินไปนิดเดียวเองนะ ตั้งแต่เช้าก็กินไปแค่มื้อเดียวไม่ใช่หรือครับ แบบนี้ไม่ดีเลยนะวี จะเป็นโรคกระเพาะเอา กินอีกสักหน่อยสิ พี่เป็นห่วง”

“ไม่กินแล้วครับ นี่เลยเวลาพักแล้ว”

“วี...” วายุเอ่ยเสียงเครียด

“ครับ”

“พี่ว่าเราเคร่งครัดกับตัวเองเกินไปแล้วนะ ผ่อนปรนบ้างก็ได้”

“ไม่ได้ครับ ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น งานจะเสร็จไม่ทันเอา”

“แต่เขียนในภาวะกดดันและเครียดขนาดนี้ งานจะออกมาดีได้ยังไง” วายุแค่เป็นห่วง แต่ไม่รู้ว่าประโยคนี้ของตัวเองทำให้ขีดความอดทนของกวีมาถึงขีดสุด

“พี่ลมจะไปรู้อะไร นี่งานผมนะ ทีงานของพี่ผมยังไม่ก้าวก่ายเลย” คนน่ารักของเขาเวลานี้ไม่น่ารักเสียแล้ว

“พี่ไม่ได้ว่าพี่รู้ดี แต่พี่แค่เป็นห่วง วีไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้วีดูเครียดแค่ไหน”

“ขอโทษความที่ผมอารมณ์ดีตลอดไม่ได้”

“วี...พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” คราวนี้คนอายุมากกว่าเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“แล้วพี่ลมหมายความว่าไงครับ ต้องให้ผมทำยังไงพี่และทุกๆ คนถึงพอใจ”

“วีไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนพอใจ วีแค่เป็นตัวของตัวเอง”

“ทุกวันนี้ผมก็เป็นตัวของตัวเองอยู่ครับ”

“ไม่ใช่ วีกำลังฝืนตัวเอง”

วายุรู้ว่ากวีที่เขารู้จักไม่ใช่คนแบบนี้ และเขาก็รู้อีกว่าที่น้องเป็นแบบนี้เพราะเครียดจัดเรื่องงาน วายุอยากให้กวีทำสิ่งที่ตัวเองรักอย่างมีความสุข แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้คนน่ารักของเขาเปลี่ยนไป

กวีที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไปวันๆ ยังดีกว่ากวีที่ขยันแต่ไม่ผ่อนปรนให้ตัวเองจนหงุดหงิดง่ายเช่นนี้

วายุสงสารน้อง เขาคิดว่ากวีคงเครียดมากจริงๆ อยากจะจัดการทุกคนที่สั่งงานคนรักของเขาจนไม่เป็นอันคิดถึงเรื่องตัวเอง

ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเดินเข้าไปกอดกวีไว้ อยากกอดปลอบให้คลายเหนื่อย ให้อารมณ์สงบลง เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยน้องได้อย่างไรแล้ว

กวีปล่อยให้วายุกอดพักใหญ่ นักเขียนหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น พิงแก้มตอบๆ กับอกเขาและหลับตา อึดใจหนึ่งจึงค่อยๆ ผละจากอ้อมกอดและถอยหลังมาพูดกันดีๆ คล้ายชาร์ตแบตเตอรี่เต็มแล้ว

“พี่ลมครับ

“ครับ”

“ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไร เพราะพี่ก็ไม่รู้จะช่วยวีได้ยังไงเหมือนกัน”

“เท่านี้ก็ดีแล้วครับ” กวีว่า

“วีต้องดูแลตัวเองบ้างนะ”

“ครับ” เจ้าตัวพยักหน้า

“อยากให้พี่ทำอะไรให้ไหม ถ้าพี่ทำได้พี่จะทำ”

“เอ่อ...” กวีทำท่าอึกอัก “ผม..”

“ว่ามาเถอะ อยากได้อะไรครับคนดี”

วายุพร้อมทำทุกอย่างเพื่อน้อง หากสิ่งนั้นเขาทำให้ได้ แต่วายุไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กวีขอจะทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจขนาดนี้

“ผมอยากให้เรา...ห่างกันสักพัก”

“หืม?”

“พี่ลมไม่ต้องมาหา ไม่ต้องมาดูแลผม”

“วี...พูดอะไรน่ะ”

“ผมขอโทษนะ แต่อยู่กับพี่ ผมไม่มีสมาธิทำงานเลย”

“...”

วายุถึงกับพูดไม่ออก ด้วยไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุให้น้องเครียดเพราะทำงานไม่ได้แบบนี้ ชายหนุ่มนิ่งงันไปนาน พยายามคิดถึงเหตุผลต่างๆ นาๆ มาเข้าข้างน้อง

แต่วายุต้องยอมรับ...เขาเองก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกันที่กวีขอแบบนี้

กระนั้น ชายหนุ่มก็ใจกว้างพอจะถอย หากว่ามันคือสิ่งที่กวีต้องการ

“วีต้องสัญญาว่าจะดูแลตัวเองดีๆ”

“...”

“อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าอดข้าว อย่าฝืนตัวเองจนไม่สบาย...เข้าใจหรือเปล่าครับ”

“...ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะตามใจวี” เขาทำใจแข็งพูดออกไป

“...”

“แล้วเจอกันครับ”

วายุบอกเท่านั้น ก่อนจะเดินออกจากคอนโดของคนรัก

เขาไม่รู้ว่าที่ว่าห่างกันสักพักต้องนานขนาดไหน เมื่อไหร่ที่กวีจะพร้อมกลับมาเจอเขา แล้วถ้ากวีชินหรือพอใจกับการที่ไม่มีวายุอยู่ข้างกายมากกว่า

วายุจะทำอย่างไร...

ทำได้แค่รอ

วายุให้คำตอบตัวเองได้เท่านี้ ก่อนจะหันหลังจากมาโดยไม่หันกลับไปมองให้เกิดลังเลใจอีก













หลังจากห่างกับกวีในวันนั้น วายุก็หันมาทำงานของตัวเองเช่นกัน แม้จะไม่เป็นอันทำอะไรก็ตาม

จนเข้าวันที่สาม ก่อนที่วายุจะฟุ้งซ่านด้วยความคิดถึงไปมากกว่าเดิม เพื่อนชาวต่างชาติที่เคยนัดกันเมื่อเดือนก่อนก็เดินทางมาหา พร้อมกับทวงสัญญาที่วายุเคยบอกว่าจะพาไปเที่ยวเวียดนาม

ในทีแรกวายุตั้งใจปฏิเสธเพราะไม่มีอารมณ์ทำอะไร แต่พอเพื่อนชักจูงว่าควรไปพักผ่อนหย่อนใจสมองจะได้ปลอดโปร่ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจฝากร้านไว้กับผู้จัดการร้านและพี่ชายสักสามสี่วัน โดยอ้างเหตุผลว่าสัญญากับเพื่อนชาวต่างชาติไว้แล้ว สุดท้ายพี่ชายของวายุจึงยอมให้ไป

เขาเดินทางทันทีโดยที่ไม่ได้ติดต่อกวี เพราะคิดว่าน้องคงยังไม่อยากให้รบกวน ซ้ำนี่เพิ่งผ่านมาแค่สามวันเท่านั้นที่พวกห่างกัน

บางทีอาจมีแค่เขาคนเดียวที่ฟุ้งซ่านก็เป็นได้

วายุได้แต่คิดไปเองคนเดียวและกดจองตั๋วเดินทางโดยไม่ลังเลอีก











หลังจากลงเครื่องมาเหยียบแผ่นดินเวียดนาม วายุก็เดินทางต่อไปที่ดาลัดและพักโรงแรมพร้อมกับจัดทริปพาเพื่อนกินเที่ยวอย่างที่เคยทำ เขาไปตรงนั้น ไปตรงนี้ ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ แต่ในใจก็ยังแอบคิดว่า

หากได้มาที่นี่กับกวี...คงดีไม่น้อย

ดูสิ ขนาดหนีมาไกลคนละประเทศ หัวใจก็ยังพะวงถึง เวลารักใครสักคน ความรู้สึกทั้งทุกขืและสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง

กระทั่งวันที่สาม ก่อนวันเดินทางกลับประเทศไทย วายุตั้งใจแล้วว่าจะกลับไปคุยและเคลียร์เรื่องหัวใจกับกวีให้รู้เรื่อง พวกเขาเพิ่งคบกันไม่นาน อาจมีเรื่องให้หมางใจกันบ้าง เรื่องที่ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ถ้าได้พูดคุยกันดีๆ และช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจที่กวีมีแล้วล่ะก็ วายุเชื่อว่าเรื่องราวต่างๆ จะคลี่คลายลงได้

ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างใจไปเสียหมด เพราะเย็นวันนั้น รถที่วายุจ้างให้พาเที่ยวไร่ดอกไฮเดรนเยียกลับประสบอุบัติเหตุตกเขา

...และสิ่งสุดท้ายที่วายุคิดถึง คือ ภาพใบหน้ายิ้มแย้มของผู้ชายน่ารักที่ติดกิ๊บสับปะรดสีสดใส

“วี...พี่อยากเจอวีจังเลย”

ทั้งที่รู้ว่าน้องไม่มีวันได้ยิน แต่คนที่กำลังจะหมดสติก็เผลอเอ่ยฝากลมไป และหวังใจว่าหากได้ตื่นมาพบกวีอีกครั้งคงจะดี...







-----------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2



บทที่ 22











หลังจากโหมงานมากว่าอาทิตย์ กวีก็ทำงานเสร็จตรงตามเป้าหมาย เขาหลับเป็นตายไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ ก่อนจะตื่นขึ้นเพราะฝันร้าย กวีจึงรีบลุกขึ้นมามาอาบน้ำสระผม และหาอะไรใส่ท้อง ด้วยเมื่อวานก่อนส่งต้นฉบับ กวีแทบไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากนมกับขนมปังเก่าๆ

ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วที่กวีไม่เจอวายุ ไม่ได้คุย ไม่ได้ติดต่อกัน ช่วงแรกๆ กวียอมรับว่าคิดถึงจนแทบขาดใจ อยากตบปากตัวเองหลายๆ ครั้งที่พูดว่าขอห่างกันสักระยะ แต่กวีคิดว่าถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น เขาคงไม่อาจทำงานให้เสร็จได้ภายในอาทิตย์เดียวก่อนส่งต้นฉบับเข้าโรงพิมพ์

ช่วงวันหลังๆ แม้จะยังคิดถึง แต่กวีก็ไม่อาจหยุดเพื่อเหม่อลอยได้ ด้วยการงานบีบบังคับให้ต้องคิดและพิมพ์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเวลานี้เขาทำสำเร็จแล้ว ในที่สุดเขาก็ทำงานจนเสร็จ และจะมีเวลาอยู่กับพี่ลมมากขึ้น

อีกความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากพวกเขาห่างกัน คือ กวีเข้าใจในสิ่งที่วายุพูดกับเขาวันนั้นแล้ว เข้าใจว่าตัวเองเครียดเกินไปเพราะรับงานจนล้นมือ และทั้งๆ ที่วายุเตือนด้วยความหวังดี กวีกลับตะแบงว่าเขารู้จักตัวเองดีที่สุด ไม่ฟัง ซ้ำไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด

ในวันนี้ที่กวีไม่มีงานค้างแล้ว เขาจึงตั้งใจว่าจะไปขอโทษวายุ พร้อมกับโทรไปบอกให้พี่เจนเพลาๆ โปรเจคใหม่ๆ ลง ด้วยกวีรู้แล้วว่าต้องบาลานซ์ชีวิตกับหน้าที่การงานอย่างไร

เมื่อเขากินอาหารจนอิ่มท้อง กวีก็ตัดสินใจเดินทางไปหาวายุที่ร้าน ความจริงเขาตั้งใจเซอร์ไพรส์อีกฝ่าย แต่พอไปถึง กวีกลับเป็นฝ่ายถูกเซอร์ไพรส์เสียเอง

“พี่ลมประสบอุบัติเหตุครับ รักษาตัวอยู่ที่เวียดนาม เห็นคุณดินบอกว่าเป็นมาก ตอนนี้เลยยังพาคุณกลับมารักษาตัวที่ไทยไม่ได้เพราะเคลื่อนย้ายลำบาก”

“...พี่ลม”

กวีแทบเป็นเข่าทรุดเมื่อได้ยินแบบนั้น มือของนักเขียนหนุ่มสั่นพร่าไปหมด เสียงของเขาหายไปไม่อาจโต้ตอบอะไรได้สักคำ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นดันคล้ายกับเหตุการณ์ที่เขาสูญเสียพ่อไปเมื่อตอนเด็กๆ เหลือเกิน

มันคือความกลัวที่กวีไม่เคยเล่าให้ใครฟัง...

ตอนนั้นกวียังเด็กมาก แม่บอกว่าพ่อต้องไปทำงานต่อประเทศ ซึ่งพ่อก็เดินทางบ่อยๆ อยู่แล้ว ทว่าครั้งสุดท้ายที่พ่อออกเดินทาง พ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย และกวีมารู้ทีหลังว่าเขาได้สูญเสียคนที่รักที่สุดคนหนึ่งไปตลอดกาลแล้ว

นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กวีไม่ชอบไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เพราะติดมาตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งเมื่อเติบโตขึ้น ชายหนุ่มจึงติดนิสัยขี้เกียจออกจากบ้าน เพราะอยู่บ้านแล้วสบายและปลอดภัยกว่า

“แล้วเจอกันครับ”

ประโยคสุดท้ายที่พี่ลมพูดกับเขา วันนี้มันย้อนกลับมาในห้วงความคิดของกวี ราวกับอีกฝ่ายกำลังกระซิบบอกอยู่ข้างหู

พี่ลมบอกว่าแล้วเจอกัน แต่ถ้าพี่ลมไม่กลับมาเจอกวีอีกเล่า...

ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาเอง เขาเป็นคนพูดว่าขอห่างกันสักพัก นั่นทำให้พี่ลมต้องไปเจอกับอุบัติเหตุ ทำให้พี่ลมต้องห่างกับเขาไปจริงๆ

“คุณวี...” เสียงของแซม พนักงานที่ร้านพี่รถกับข้าวซึ่งรู้จักกันดีกับกวีในระยะหลังมานี้ เอ่ยเรียกชื่อเขา

“ครับ”

“ไม่ต้องร้องไห้นะครับ พี่ลมเป็นคนดี พี่ลมต้องไม่เป็นไร”

เมื่อได้ยินแซมพูดว่าอย่าร้องไห้ กวีจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังร้องไห้อยู่ ชายหนุ่มรีบเช็ดน้ำตาของตัวเอง แม้มันไม่หยุดไหลง่ายๆ ก่อนจะพยายามตั้งสติ และถามเรื่องที่ต้องรู้

“แซมครับ”

“ครับ”

“รู้ไหมว่าพี่ลมอยู่โรงพยาบาลอะไรในเวียดนาม”

“...” แซมนิ่งไปนิด ก่อนเข้าใจเรื่องต่อจากนี้ทันที “ไม่รู้ครับ แต่ผมรู้ว่าใครที่รู้เรื่องนี้”









นี่เป็นครั้งแรกที่กวีบินด่วนออกนอกประเทศเพียงลำพัง เขาฝากพี่เจนหาตั๋วเครื่องบินให้ ขณะที่ตัวเองก็โทรไปถามข้อมูลจากพี่ชายของวายุ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย กวีก็เตรียมเอกสารและเสื้อผ้าใส่เป้สองชุด เพื่อเดินทางไปหาคนรักทันที

ในที่ที่ไม่คุ้นเคย เจ้าหินก้อนน้อยค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่ของมันราวปาฏิหาริย์ ก่อนจะเดินทางออกไปติดตามสายลมซึ่งอยู่ ณ ดินแดนไกลโพ้น

ก้อนหินเก็บงำความรู้สึกกลัวและประหม่าเอาไว้ เพราะรู้ว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่าการเดินทางออกไปเผชิญโลกกว้าง นั่นคือ...

การที่สายลมพัดจากไปและไม่หวนกลับคืน











กวีนั่งเครื่องบินข้ามประเทศไม่นานก็มาถึงเวียดนาม จากนั้นเขาก็พยายามหารถเพื่อเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่พี่ชายของวายุบอกมา

จนเมื่อมาถึง กวีจึงเข้าไปติดต่อกับจุดประชาสัมพันธ์ของทางโรงพยาบาล เพราะกวีไม่สามารถติดต่อเข้าไปที่เบอร์ของพสุธาได้

สื่อสารกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ทราบว่าวายุพักรักษาตัวอยู่ที่ไหน กวีจึงเร่งขึ้นไปหาคนรัก

ทางเดินก่อนถึงห้องพักฟื้นของวายุดูเหมือนจะยาวไกลขึ้นทุกขณะ เพราะจู่ๆ ในหัวใจเขาก็มีความรู้สึกกลัวผุดขึ้นมา และทันทีที่มาถึงหน้าห้อง กวีก็ได้แต่ยืนค้างอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเปิดประตูเข้าไป

พี่ลมจะเป็นอะไรมากไหม จะฟื้นขึ้นมาฟังคำขอโทษของเขาได้หรือเปล่า กวีคิดฟุ้งซ่านไปหมด

ชายหนุ่มมองมือตัวเอง กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

รออยู่ไม่นานนักประตูห้องพักก็ค่อยๆ เปิดออก และคนที่มาเผชิญหน้าก็คือ...พี่ลมของกวีนั่นเอง

“พี่ลม”

“วี!”

ดูท่าวายุคงตกใจไม่น้อย เพราะทันทีที่เห็นเขาอีกฝ่ายก็ใช้มือข้างที่ได้ใส่เผือกขยี้ตาราวกับไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง

“มาได้ไงน่ะ”

“พี่น้ำบอกมาว่าพี่ลมอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ครับ ผมก็เลยให้พี่เจนจองตั๋วเครื่องบินแล้วเดินทางมานี่ทันที พี่ลมเป็นไงบ้างครับ..ฮึก..พี่ลมเจ็บไหม...ผม--”

ยิ่งพูด คำที่เอ่ยออกมาก็ยิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ และพอรู้ตัวอีกที เขาก็ถูกอ้อมแขนที่แสนคุ้นเคยโอบล้อมให้กายแนบชิดเข้าไปซบอก

“ไม่ต้องร้องแล้ว พี่ไม่เป็นไร เจ็บแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง”

“ฮือ~ ผมขอโทษนะ....ฮึก ขอโทษที่พูดไม่ดี ขอโทษที่ไม่ฟังพี่ ฮือ...”

“โอ๋ๆ เจ้าก้อนยุ้ยของพี่ ไม่ร้องนะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ไม่โกรธเราเลยด้วย ไม่ร้องๆ”

คงดูน่าประหลาดที่คนเจ็บต้องออกมายืนกอดปลอบคนสบายดีอยู่หน้าห้องพักฟื้น แต่กวีกลับไม่มีสติพอจะสนใจสายตาใครอีก

“แต่ผมก็ยังต้องขอโทษอยู่ดี” กวีเอาหน้าถูกกับอกเพื่อเช็ดน้ำตา มือสองข้างกอดเอวสอบไว้แน่น

“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ วีคงเครียด แต่ต่อไปเรามาคุยกันดีๆ นะ”

“ครับ” กวีพยายามกลั้นสะอึก และรับปากอย่างว่าง่าย

“เราจะไม่ทะเลาะแล้วห่างกันแบบนี้อีก”

“ครับ ผมจะไม่ให้พี่ลมไปไหนอีกแล้ว”

“พี่เองก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน ถึงถูกไล่ก็ไม่ไปแล้วล่ะ”

“ผมไม่ไล่หรอก”

“ขอบคุณนะ” วายุว่า “ขอบคุณที่กลับมาให้พี่กอดอีกครั้ง...พี่รักวีนะ”

“ผมก็รักพี่ลมครับ รักมากๆ ๆ ๆ เลย”

แม้คำบอกรักที่เอ่ยจากปากของกวีครั้งแรกเต็มไปด้วยคราบน้ำ แต่มันก็เป็นคำรักที่ลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจของคนฟังจนวายุอยากขอบคุณโชคชะตาสักพันครั้งที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่









---------------------------------------------------------------------


ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2




บทส่งท้าย









“พี่ลม จะเป็นไทแล้วสิครับวันนี้” แซมเอ่ยแซวทันทีที่เห็นวายุเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมพสุธา

“อืม อึดอัดจะแย่แล้ว” วายุว่า

เขาขยาดเผือกที่ดามแขนมากๆ เผือกนี่มีข้อดีแค่อย่างเดียวคือตอนที่อยู่กับกวี เพราะเขาจะใช้มันเป็นเครื่องมือออเซาะ ออดอ้อนน้องได้เต็มที่

“แล้วนี่คุณวีไม่ไปโรงพยาบาลด้วยหรือครับ”

“ไม่หรอก วันนี้เขาต้องส่งต้นฉบับรายสัปดาห์น่ะ”

“อ้อ...ถ้างั้นพี่ลมคงไม่กลับร้านใช่ไหมคืนนี้” พนักงานคนสนิทว่าอย่างรู้ทัน

“ไม่กลับ ฝากปิดร้านด้วยนะ”

“ครับผม” แซมรับคำแล้วว่ายุจึงออกจาร้าน









วันนี้ชายหนุ่มถึงกำหนดถอดเฝือกออกและตรวจเช็คสภาพร่างกายว่ากระดูกประสานกันดีไหม โดยเขามีพี่ชายคนโตไปส่งที่โรงพยาบาล ซึ่งผลการรักษาก็เป็นไปได้ด้วยดี แขนของเขากลับมาใช้งานได้เกือบร้อยเปอร์เซ็น เหลือแค่ทำกายภาพบำบัดให้หากเป็นปรกติเท่านั้น

เมื่อโล่งใจเรื่องแขนแล้ว ชายหนุ่มก็ขอให้พี่ชายพาไปซื้อน้ำเต้าหู้นมสดที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดกวีนัก ก่อนจะขอให้ส่งเขาที่คอนโดของน้องเป็นที่สุดท้าย

เวลานี้ ยามที่เขาเดินเข้าไปที่คอนโดกวี เขาไม่ต้องรอให้ยามหน้าคอนโดตรวจบัตรอีกแล้ว เพราะวายุมาในฐานะคนรักของกวี

ชายหนุ่มทักทายยามคนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเดินตัวปลิวโดยมีถุงนมสดติดมือไปขึ้นลิฟต์ด้วย ตั้งแต่เจ็บตัวจากเวียดนามวายุไม่ได้มาที่นี่นานเป็นเดือน เพราะหลังจากหมออนุญาตให้วายุเดินทางกลับได้ เขากับกวีและพสุธาก็เดินทางกลับมาพักรักษาตัวที่ประเทศไทย และกวีก็แทบจะย้ายมาอยู่ที่ร้านพี่รถกับข้าวเป็นการถาวร

คนรักที่น่ารักของเขาอยากดูแลเขาด้วยตัวเอง กวีจึงต้องไปๆ มาๆ ระหว่างคอนโดและร้านพี่รถกับข้าวแทบจะทั้งอาทิตย์ จะมีแค่สองวันก่อนส่งต้นฉบับรายสัปดาห์เท่านั้นที่กวีต้องกลับไปอยู่คอนโดของตัวเอง

วายุรู้สึกว่าการทะเลาะและห่างกันคราวนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้น แม้ว่ามันอาจจะมีที่ไม่มั่นคงบ้าง มีที่ต้องปรับตัวเข้าหากันอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ใช้ประสบการณ์นั้นเป็นตัวอย่าง กล้าที่จะพูดคุย ฟังเสียงกันและกันมากยิ่งขึ้น

เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่ 17 วายุก็ออกไปตามทาง ไปหาประตูบานนั้นซึ่งด้านหลังมีคนที่เขาคิดถึงคอยอยู่

คิดๆ ดูแล้วก็น่าประหลาด แต่ก่อนวายุไม่เคยอยู่นิ่งเลย เขาชอบไปตรงนั้นตรงนี้ราวกับสายลม ไม่คิดว่าวันหนึ่งวายุจะมีที่ที่ทำให้เขาอยากกลับไปหามาที่สุด

ที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสถานที่พักใจ เป็น Best place ของวายุ

นั่นคือที่ที่มีกวีอยู่...

ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าห้องหมายเลข 1707 ก่อนจะนึกพิเรนทร์โดยการแกล้งเซอร์ไพรส์ให้คนข้างในตกใจเล่น

ตื๊อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~ ตื่อ ตือ ตื๊อ ตื่อ~

กดกริ่งได้ครู่เดียว คนน่ารักในชุดนอนย้วยๆ ก็เดินมาเปิดประตู

กวียังคงเป็นกวีที่ไม่ยอมดูก่อนว่าใครมาหา วายุจึงเอ่ยทักทายด้วยคำพูดที่ไม่ได้เอ่ยมานาน

“สวัสดีครับ พี่รถกับข้าวมาส่งแล้วครับ”

พอคนน่ารักเปิดมาเห็นและได้ยินเสียงเขา เจ้าตัวก็ทำตาโตพร้อมกับร้องเรียกเสียงใสผิดกับหน้าตาสะโหลสะเหล่

“พี่ลม!”

“ครับ พี่เอง” วายุตอบรับ

“มาได้ไงครับเนี่ย”

น้องถามด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มจึงยกยิ้มกว้าง แล้วยกถุงนมสดร้อนๆ ให้อีกฝ่ายดู แม้ที่จริงต้องการให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาถอดเฝือกแล้วมากกว่า

“มาได้สิ ก็มีรักมาส่ง ไม่รู้ว่าจะมีใครรับบ้างไหม”

“ฮ่าๆ ๆ” กวีหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินมุขเสี่ยวๆ ของเขา “มีสิครับ ผมเป็นคนสั่งไปเอง”

“หึๆ” ครั้นถูกย้อน คนที่คิดจะมาแกล้งให้เขาอายก็หลุดหัวเราะออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็มาเซ็นรับและตรวจดูด้วยครับว่าของที่ส่งถูกต้องไหม”

เมื่อได้ยินกวีก็กระโดดออกมาเกาะแขนวายุและลูบเบาๆ ก่อนตอบ

“ครบถ้วนสมบูรณ์ดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากรับไว้ด้วยนะ”

“อื้ม” คนน่ารักพยักหน้าจนแว่นเอียง จากนั้นจึงพยุงเขาเข้าห้อง ราวกับว่าเขายังไม่หายเจ็บอย่างไรอย่างนั้น “เข้าบ้านกันนะครับพี่รถกับข้าว”

“ครับคุณก้อนยุ้ย”

ตอบรับแล้ววายุก็เดินเข้าไปในบ้านตามคำเชื้อเชิญ และประตูบานโตก็ค่อยๆ ปิดลง ทว่าเรื่องราวความรักระหว่างวายุและกวีจะยังดำเนินต่อไป...








THE END









--------------------------------------------------------------------------------------------------------------





ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายกันแล้ว

เรื่องนี้ความจริงไม่มีอะไรมากเลยค่ะ 

ฝนแค่นึกอยากเขียนเรื่องที่เป็นความรักง่ายๆ ของคนสองคน

แล้วอาชีพก็มาจากความขี้เกียจของตัวเอง ที่อยากมีรถส่งกับข้าวมาส่งที่บ้าน

คือบางครั้งไม่อยากออกจากบ้านอะไรแบบนี้ 

ไอเดียก็เลยผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

ส่วนดราม่าในช่วงท้าย ก็เป็นดราม่ากรุบกริบที่ต้องมีบ้างให้พอหอมปากหอมคอ

ก็นะ...คนคบกันจะไม่ทะเลาะกันบ้างเลยก็คงแปลก

เขียนนิยายจบไปอีกเรื่องแล้ว ในใจก็แอบใจหาย แต่อีกใจก็รู้สึกดีที่เป็นไปตามเป้าที่คิดไว้

หลังจากนี้ฝนอาจจะมีฉบับรีไรต์มาลงแก้บ้าง เพราะต้องตรวจทานทำเล่มเองด้วย

ถ้าใครคิดถึงก็กลับมาอ่านกันได้นะคะ

อีกอย่างหนึ่งฝนจะลงตอนพิเศษด้วย น่ารักๆ กรุบๆ กริบๆ 

คาดว่าคงไม่นานนี้จะปล่อยออกมาค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันนะคะ

ฝนดีใจมากที่เปิดเข้ามาแล้วยังมีนักอ่านกลุ่มเล็กๆ ค่อยให้กำลังใจกัน

หวังว่าจะติดตามกันไปในทุกๆ เรื่องนี้



พบกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ



รัก   :กอด1: :กอด1: :กอด1:





ละอองฝน.



ปล. เรื่องนี้ฝนทำเล่มเองนะคะ ใครสนใจเข้าไปดูรายละเอียดในเพจละอองฝน หรือทวิตเตอร์ละอองฝนได้เลยน้า




ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
ดีใจกันพี่ลมและน้องก้อยด้วย  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด