ประโยค ๆ นี้ของพี่ศิทำให้ผมต้องชะงักตัวและยืนรอพี่เขา เราสองคนเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้า ๆ ซึ่งตลอดทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องนอนของผมเราทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
ผมไม่รู้ว่ามันอะไรมันเกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ศิ แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าความคิดของผมความรู้สึกของผมที่มอบให้แก่พี่ศินั้นไม่น่าใช่ตำแหน่งของพี่ชายคนสนิทธรรมดาแล้วหละครับ ตั้งแต่ที่ผมรู้จักพี่ศิมาแม้มันจะไม่นานมากนักแต่ความสัมพันธ์ของเราสองคนจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักชื่อกัน พัฒนาขึ้นมาเป็นคนรู้จักกัน และพัฒนาขึ้นมาเป็นพี่ชายคนสนิทผมคิดว่าความสัมพันธ์และตำแหน่งที่ผมจะให้พี่ศินั้นมันคงต้องเปลี่ยนไปอีกรอบแล้วหละครับเพราะในตอนนี้ความรู้ของผมที่มีต่อพี่ศิมันมากเกินคำว่าพี่ชายแต่มันก็ยังไม่ก้าวข้ามคำ ๆ นั้นไปมากนัก ตอนนี้ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของผมและพี่ศิน่าจะอยู่ในฐานะของคนสำคัญของกันและกันแล้วก็ได้นะครับ
แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทางพี่ศินั้นคิดอย่างเดียวกับผมหรือเปล่านี่สิ…
เมื่อผมเดินมาถึงหน้าประตูผมก็เปิดบานประตูและเชื้อเชิญให้แขกเข้าไปในห้องซึ่งพี่ศิก็อมยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะเดินก้าวเข้าไปในห้องตามผมแบบติด ๆ ผมดันบานประตูให้ผิดลงพร้อมกับไฟที่เพดานนั้นได้สว่างขึ้น ผมถลาตัวไปนั่งบนเตียงพร้อมกับลากพี่ศิให้ลงมานั่งข้าง ๆ
ทุกท่านก็คงสงสัยอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะผมตั้งใจว่าจะถามพี่ศิในเรื่องที่ผมสงสัยทั้งหมดออกไปนั่นหละครับ
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเอ่ยถามคำถามกับพี่ศิ
“พี่ศิครับ…” ผมพยายามใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีในตัวกลั่นกรองคำพูดออกมา ผมหยุดเงียบที่ประโยคนี้ไปสักพักก่อนจะกลั่นลมหายใจพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสงสัยออกไปทั้งหมด “พี่ศิ…เป็นคนอัธยาศัยดีแบบนี้แสดงว่าพี่ศิก็สนิทกับรุ่นน้องเยอะแยะเลยสินะครับ น่าอิจฉาจังเลยกรอยากมีคนสนิทเยอะ ๆ แบบนั้นบ้างจังเลย”
สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็เลิกคิ้วมองมายังผมด้วยแววตาสงสัยแต่ถึงพี่ศิจะยังคงงุนงงกับสิ่งที่ผมถามแต่พี่เขาก็ยอมเอ่ยคำตอบออกมา “พี่หนะเหรอพี่เป็นคนที่อัธยาศัยแย่สุด ๆ เลยต่างหากหละกร ชีวิตพี่วัน ๆ พี่มีแต่เรียน เรียน เรียนแล้วก็เรียน พี่ไม่สนิทกับรุ่นพี่รุ่นน้องหรอกแม้แต่รุ่นเดียวกันที่สนิทมาก ๆ ก็มีแต่ไอเต๋อร์กับวิมันเท่านั้นเอง ส่วนรุ่นน้องที่พี่สนิทมากก็มีแค่กรคนเดียวเท่านั้นครับ” พี่ศิตอบผม ซึ่งคำตอบที่พี่ศิเอ่ยออกมานั้นทำให้ผมแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่ แต่ผมก็กลับฝืนตัวทำหน้านิ่งและพยายามหุบรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้
“จริงเหรอ กรเห็นพี่ศิเข้ากับคนในบ้านกรได้ง่ายนี่นา พี่ศิก็น่าจะเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ง่ายเหมือนกันนะ” ผมกอดอกตัวเองพร้อมกับเบนหน้ามองไปทางอื่นหากแต่สายตาของผมก็ลอบเหลือบไปมองสีหน้าและการกระทำของพี่ศิที่จะแสดงออกมาหลังจากสิ้นคำพูดของผม
ใบหน้าของพี่ศิก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยแต่กระนั้นพี่ศิก็ยอมเอ่ยคำตอบออกมา และคำตอบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกยังไงก็ไม่รู้สิครับ ทั้ง ๆ ที่พี่ศิเอ่ยปากชมครอบครัวผมแต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนถูกพี่ศิเขาชมแบบทางอ้อมแบบนี้หหละ “ก็ครอบครัวของน้องชายที่พี่สนิทที่สุดนี่ พี่ก็อยากจะสนิทเอาไว้แล้วครอบครัวของกรก็น่ารัก ทุก ๆ คน…น่ารักเหมือนกร”
“อ่อออ…กรก็สงสัยนึกว่าพี่ศิรักแรกพบกับคุณเจ้หรือคุณน้องสาวกรหรือเปล่าเลยตีสนิทกันไวจริง” ผมลองพูดแหย่พี่ศิไปอีกรอบแต่พี่ศิก็ส่ายหัวปฏิเสธ ซึ่งการที่พี่ศิเอ่ยปฏิเสธออกมาแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่งในใจแบบแปลก ๆ ไม่รู้สิครับเหมือนกับว่าผมดีใจหละมั้งดีใจที่พี่ศิไม่ได้ชอบหรือปิ้งพี่สาวและน้องสาวของผม
โอ้ย…นี่ผมเป็นอะไรเนี่ยทำไมผมมีความรู้สึกว่าหวงพี่ศิมากขนาดนี้เนี่ย ทั้ง ๆ ที่คนที่พี่ศิคุยด้วยหยอกล้อด้วยเป็นคนในครอบครัวของผมแท้ ๆ ทำไมผมรู้สึกไม่อยากให้พี่เขาพูดหยอกล้อกับคนอื่นหรือสนใจคนอื่นมากกว่าผมกันเนี่ย
ผมเม้มปากแน่นและไม่ได้พูดอะไรต่อแต่พี่ศิเหมือนจะจับทางผมได้แล้วหละครับว่าผมตั้งใจจะถามอะไรกับพี่เขามือกร้านยกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาข้าง ๆ ใบหูของผม “ในตอนนี้ กรหนะสำคัญที่สุดสำหรับพี่แล้วหละครับอย่าคิดมากเลย”
ประโยคที่พี่ศิกระซิบข้างหูผมนั้นมันแทบจะทำให้ผมลงไปละลายกองอยู่ที่พื้นเลยหละครับ แถมตอนนี้ใบหน้าของผมนี่ไม่รู้ว่าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้วหนำซ้ำหัวใจก็เต้นแรงมาก แรงเสียจนมันจะออกมาเต้นเบรกแด้นซ์นอกตัวผมเลยครับ ผมพยายามก้มหน้าเพื่อหลบสายจาของพี่ศิที่มองมาแต่ยิ่งผมหลบสายตาของพี่ศิมาขึ้นเท่าไหร่พี่ศิก็ยิ่งแกล้งทำเป็นมองหน้าผมมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดผมก็ทนไม่ได้กับการถูกแกล้งแบบนี้จนยื่นมือไปยันที่หน้าของพี่ศิและแกล้งผลักพี่เขาออกไปเบา ๆ
ซึ่งคิดเหรอครับผู้ชายที่แสนเอาแต่ใจอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์จะยอมให้ผมทำแบบนั้นได้…ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณคิดถูกแล้วหละครับเพราะพี่ศิเขาไม่ยอมให้ผมดันพี่เขาออกไปห่าง ๆ ได้ ซ้ำยังคว้ามือทั้งสองข้าของผมไว้อีก
พี่ศิจับแขนผมทั้งสองข้างและออกแรงพลิกให้ผมหันไปมองทางพี่เขา และเมื่อสายตาของพี่ศิและผมจ้องมองกันไอผมที่คิดว่าตัวเองจะละลายลงไปกองอยู่ที่พื้นตอนนี้ผมคิดว่าตัวผมคงระเหิดกลายเป็นไอไปแทนเรียบร้อยหละครับ สายตาที่พี่ศิจ้องมานั้นมันมากไปด้วยความหมายแม้ผมจะเดาความรู้สึกที่พี่ศิส่งมาได้ไม่หมด แต่ผมก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างในแววตาที่พี่ศิส่งผ่านมาได้ครับ
มันเป็นความรู้สึกห่วงใย ความรู้สึกอยากดูแลและอยากทำให้คน ๆ นึงมีความสุขไปตลอดชีวิต ยิ่งผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพี่ศิแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกจะเบือนหน้าหนีก็ทำไม่ได้ หรือแม้แต่จะจ้องตาพี่ศิกลับไปผมก็ไม่สามารถทำได้ครับ
พวกเราทั้งสองคงเงียบเสียงกันไปอีกสักพัก จนในที่สุดพี่ศิที่ยังมีความรู้สึกสงสัยในคำถามของผมก็เอ่ยถ้อยคำออกมา “กรครับที่กรถามพี่แบบนี้ กรกำลังคิดอะไรอยู่เหรอครับ”
สิ้นคำถามของพี่ศิมันยิ่งทำให้ผมไปต่อไม่เป็นเลยครับ พี่แกเล่นถามมาแบบนี้แล้วผมจะตอบเขาไปยังไงหละเนี่ย ซึ่งทักษะในการเอาตัวรอดของผมมีสูงครับผมก็เฉไฉไปเรื่อยตามประสาผมแต่คิดเหรอว่าพี่ศิเขาจะเชื่อ…ผมขอบอกเลยนะครับว่าคนอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ไม่มีทางเชื่ออะไรง่าย ๆ ครับ
เมื่อผมหมดหนทางที่จะต่อกรกับพี่ศิเขา ผมก็จำใจ (และทำใจอยู่นานมาก ๆ) เอ่ยความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของผมออกไป
ผมไม่รู้ว่าการบอกความรู้สึกครั้งนี้ของผมจะทำให้สถานะภาพของผมกับพี่ศิเปลี่ยนไปยังไง พี่ศิอาจจะไม่พอใจก็ได้แต่ผมที่โดนพี่ศิไล่บี้แบบนี้มันไม่มีหนทางอื่นนอกจากการบอกความรู้สึกจริง ๆ ของผมออกไปแล้วหละครับ
“กรแค่คิดว่า...เออ กร” แม้ผมจะตัดสินใจแล้วว่าจะพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปให้พี่ศิฟังแต่ยังไงมันก็พูดออกไปยากอยู่ดีครับผมพยายามจะพูดออกไปหลายต่อหลายครั้งจนในที่สุดพี่ศิก็ดูเหมือนจะอดทนต่ออาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของผมไม่ได้แล้วหละครับ
ร่างสูงของพี่ศิค่อย ๆ เขยิบมาใกล้พร้อมกับมือกร้านที่เลื่อนขึ้นมาปิดที่ดวงตาของผมแทน “ถ้ากรอายที่จะมองหน้าพี่แล้วพูดออกมาพี่อนุญาตให้กรหลับตาพูดก็ได้ครับ” ซึ่งไอการได้หลับตาพูดมันก็ดีอยู่หรอกครับแต่มันจะดีกว่านี้ถ้ามือที่ปิดตาผมอยู่มันไม่ใช่มือของพี่ศิ
แต่มันก็ทำให้ผมลดอาการประหม่าไปได้ส่วนหนึ่งหละครับ ริมฝีปากผมที่เคยเม้มแน่นตอนนี้เริ่มคลายออก ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เปิดปากและเอ่ยในสิ่งที่พี่ศิต้องการจะรู้จากตัวผมออกไป “พี่ศิ...รู้ป่ะตั้งแต่วันแรกที่กรได้รู้จักพี่อะ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ กรคิดว่าทำไมเราทั้งสองคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน ไม่เคยแม้แต่จะเคยเห็นหน้ากันทำไมเราถึงสนิทกันได้มากขนาดนี้” หลังจากที่ผมพูดจนจบประโยคนี้ผมก็เงียบเสียงไปสักพักพร้อมกับสูดลมหายใจเข้ามาในปอดเฮือกใหญ่ “กรไม่รู้ว่าทำไมจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน ถึงพัฒนาเป็นคนรู้จักกันและค่อย ๆ กลายเป็นพี่น้องที่สนิทกัน จนตอนนี้กรคิดว่าพี่ศิกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกรเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของกร…พี่ศิเป็นคนสำคัญของกรที่กรรู้สึกได้เลยว่ากรนั้นขาดพี่ศิไปไม่ได้อีกแล้ว”
สิ้นเสียงพูดของผมห้องทั้งห้องก็เงียบสงัดลงทันทีทั้งผมและพี่ศิไม่มีใครคิดจะเอ่ยคำพูดอะไรออกมา (เนื่องจากผมนั้นพูดออกไปหมดแล้วส่วนพี่คงน่าจะกำลังตกใจอยู่หละมั้งครับ) เราเงียบเสียงกันไปสักพักไม่นานนักร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของพี่ศิพร้อมกับแขนทั้งสองข้างของพี่เขาที่ค่อย ๆ โอบรัดตัวผมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้ของพี่ศิหมายถึงอะไรแต่เท่าที่ผมรู้นั่นก็คือพี่ศิแกไม่ได้ไม่พอใจผมหรือโกรธผมเลยครับ
ผมยอมให้พี่ศิโอบกอดตัวผมอยู่แบบนั้นไปสักพักไม่นานนัก วงแขนแกร่งของพี่ศิก็คลายออกพร้อมกับปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากอ้อมแขนของพี่เขา
“นี่พี่ศิ…” หลังจากที่ผมเป็นอิสระจากอ้อมแขนของพี่ศิแล้วผมก็ทำการเอานิ้วสะกิดพี่ศิเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยปากถามพี่เขาออกไปว่า “พี่ศิเป็นคนสำคัญของกร…แล้วกรเป็นคนสำคัญของพี่ศิหรือเปล่า” ผมเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยแต่ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบจากปากของพี่ศิเขาผมก็โดนซัดมะเหงกลงบนหน้าฝากไปหนึ่งดอก
“อูย…พี่ศิทำอะไรกรเนี่ยมันเจ็บนะ!!” ผมบ่นงึมงำซึ่งการบ่นของผมนั้นทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“กรคิดว่ายังไงหละ…” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบเสียงตนลงไปราวกับว่าเขานั้นกำลังปล่อยให้อีกฝ่ายคิดถึงการกระทำของตนเอง แต่รู้สึกเหมือนว่าตัวของผมนั้นจะนึกอะไรไม่ออกเลยสักนิดสักพักเหมือนกับว่าตัวของพี่ศิจะทนรอคำตอบจากผมไม่ไหว ริมฝีปากหนาคลี่รอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คลายความสงสัยของผมออกมา “สิ่งที่พี่ทำให้กรทั้งหมด…พี่คิดว่ากรน่าจะเดาได้แล้วนะว่าพี่ให้ความสำคัญกับกรมากขนาดไหน ฐานะของกรสำหรับพี่งั้นเหรอ พี่คิดว่าก็น่าจะเป็น ‘คนสำคัญที่ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้’ หละมั้ง” เมื่อพี่ศิพูดจบมือกร้านของพี่ศิก็ยกขึ้นมาลูบบนศรีษะผมอย่างเบามือ
ที่จริงผมอยากจะโวยวายออกไปอยู่นะครับเพราะมือที่พี่ศิลูบหัวผมเนี่ยมันเป็นข้างเดียวกับมือที่พี่ศิใช้ซัดมะเหงกใส่หัวผมนั่นหละ อย่างงี้เค้าเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลังหรือเปล่าครับเนี่ย แต่ครั้งนี้ผมยอมให้พี่ศิก็ได้ครับปล่อยให้เขาลูบหัวผมอย่างสนุกมือส่วนผมก็ขอยืมบ่าพี่ศิเป็นที่หนุนต่างหมอนแล้วกัน
ผมนั่งพิงพี่ศิอยู่นานพอควรเลยครับ จนสุดท้ายไอบรรยากาศหวานแหวว (ชวนขนลุก) ในห้องก็หมดไปเพราะความง่วงของผมนั่นเอง
“พี่ศิกรง่วงแล้ว” ผมพูดพึมพำในขณะที่ผมกำลังยกหัวตัวเองออกจากบ่าพี่ศิซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับลุกออกจากเตียงไปและเมื่อพี่ศิลุกออกจากเตียงผมก็ถลาเข้าไปครอบครองเตียงทันที
ผมแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มที่หนานุ่มพร้อมกับหลับตาลงโดยไม่สนใจเลยว่า อีกฝ่ายที่ต้องนอนบนเตียงเดียวกับผมจะเข้าแทรกตัวนอนที่ตรงไหนเพราะในตอนนี้ร่างของผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียง
พี่ศิได้ส่ายหัวไปมาพลางทอดสายตามองมายังร่างของผมที่ตอนอยู่เบื้องหน้า พี่ศิมองค้างแบบนั้นอยู่สักพักไม่นานนักชายหนุ่มที่มีนามว่าศิรวิทย์ก็ตัดสินใจเดินหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องอาบน้ำไป
หลังจากพี่ศิเดินเข้าห้องอาบน้ำผมก็ทำตัวเป็นคนดีเล็กน้อยโดนการขยับตัวนิดหน่อยเพื่อให้เหลือที่นอนสำหรับอีกคนพร้อมกับหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนินทรา
สวัสดีครับผมศิรวิทย์หลังจากที่ผมเดินเข้าห้องน้ำมาแล้วผมก็ยังลอบแอบมองเจ้าตัวแสบของผมที่นอนเล่นอยู่บนเตียง แต่สักพักเจ้าตัวแสบของผมก็นอนแน่นิ่ง ผมว่าเขาคงจะหมดฤทธิ์ซะแล้วหละครับถึงได้นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงแบบนี้ แถมมีแอบกรนการแอบกรนเบา ๆ ด้วยหละครับ ซึ่งการกระทำแบบนั้นของเจ้าตัวแสบทำให้ผมหัวเราะออกมาน้อย ๆ ซึ่งไม่ว่ายังไงในสายตาของผมเจ้าตัวแสบคนนี้ก็น่ารักเสมออยู่ดีหละครับและที่สำคัญวันนี้เจ้าตัวแสบของผมน่ารักเป็นพิเศษเสียด้วยนั่นก็เป็นเพราะว่ากรเขายอมพูดความในใจของตัวเองออกมา ซึ่งคำพูดพวกนั้นของกรมันทำให้ผมดีใจเป็นอย่างมาก แม้ผมจะรู้ว่า ‘คนสำคัญ’ ในความหมายของกรมันไม่ได้หมายถึงคนรักก็ตาม แต่การที่กรยกฐานะให้ผมขึ้นมาตั้งขนาดนี้มันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ แล้วหละครับ
ผมลอบอมยิ้มเบา ๆ พร้อมกับเดินเข้าห้องอาบน้ำเพื่อไปทำความสะอาดร่างกายผมใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำตอนนี้สภาพของผมก็เตรียมพร้อมที่จะนอนแล้วครับ ผมสาวเท้าเดินไปข้าง ๆ เตียงแล้วทรุดตัวนั่งลงบนพื้นที่ว่างที่เจ้าตัวแสบมันเว้นไว้ให้
ผมไม่อยากจะพูดเลยว่าการที่ให้ผมมาห้องเดียวกับเจ้าตัวแสบนี่มันต้องทำให้ผมอดทนมากมายขนาดไหน จากตอนแรกที่ผมต้องอดทนที่จะไม่เคลื่อนหน้าตัวเองเข้าไปไกลกรในตอนที่พวกเราไปขโมยขนมเค้กกัน ตอนนี้ผมยังต้องอดทนที่จะไม่ทำอะไรกรอีกแล้วสินะครับ เมื่อความคิดนั่นลอยเข้ามาภายในสมองผมก็ถึงกับต้องถอนลมหายใจออกมาเสียงดังความจริงไอการนอนนิ่ง ๆ ผมก็ไม่อะไรหรอกครับแต่ในเรื่องกฤติศักดิ์การนอนดิ้นของกรมันหนักหนาเอาเรื่องครับผมได้แต่ปาดเหงื่อมองเจ้าตัวแสบที่ตอนนี้เริ่มพลิกตัวและกวาดมือไปมาแล้วหละครับ เห็นอย่างงี้ผมก็ไม่อยากจะไปนั่งขวางพื้นที่ของกรเขาเลยตัดสินใจลุกออกจากเตียงและเดินไปนั่งที่โซฟาใยห้อง ผมเฝ้ามองร่างสูงโปร่งนั่นดิ้นไปดิ้นมาด้วยรอยยิ้ม
การเฝ้ามองเจ้าตัวแสบแบบนี้ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้เสมอ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกันแล้วหละครับวันนั้นผมรู้สึกงุนงงมากกับการโดนรุ่นน้องที่ไม่รู้จักจับมือและลากมาสารภาพรัก ไอตอนแรกที่ผมตอบตกลงไปด้วยอารมณ์นึกสนุกอยากแกล้งน้องเขา
แต่พอผมรู้ว่านายรณกรรุ่นน้องที่มาสารภาพรักกับผมดันเป็นคนเดียวที่อยู่ในกล้องถ่ายภาพของผมมากที่สุด (พูดง่าย ๆ คือน้องเขาเป็นคนที่ผมสนใจนั่นเองหละครับ) ซึ่งภาพพวกนั้นเป็นภาพถ่ายจากงานกีฬาเฟรชชี่ครับ และไอตัวแสบของผมมันดันเป็นลีดปี 1 ของขณะวิศวะเสียด้วย ในวันนั้นรอยยิ้มของกรที่ส่องประกายทำให้ผมละลายตาจากเจ้าตัวแสบนี่ไม่ได้เลยสักวินาทีเดียว กล้องในมือของผมถูกยกขึ้นมาถ่ายภาพของกรหลายต่อหลายภาพจนในที่สุดเมมโมรี่กล้องของผมก็เต็มไปด้วยภาพรอยยิ้มและใบหน้าที่มีความสุขของไอตัวแสบ แต่สิ่งที่มันเซอร์ไพรส์ผมยิ่งกว่านั้นมันก็คือนายรณกรคนนั้นหรือไอคุณน้องกรที่ทุก ๆ คนเรียกกัน (ซึ่งความแสบของมันเป็นที่เรื่องลือไปทั่วมหาลัยเลยหละครับ) มันดันอยู่คอนโดเดียวกับผมและอยู่ห้องข้าง ๆ ผมเสียด้วย ตอนที่ผมบังเอิญเปิดประตูออกมาเจอกรเขามันทำเอาผมตกใจแทบแย่แต่ประจวบเหมาะที่น้องเขาขับมอเตอร์ไซค์ล้ม (ซึ่งผมนี่หละก็เป็นคนหิ้วน้องมันไปส่งที่โรงพยาบาลและมารู้ทีหลังว่าน้องเขาเป็นโรคที่ไม่ถูกกับเครื่องจักรประเภทยานยนต์แทบจะทุกชนิดแต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วครับน้องเขาจับมือญาติดีกับรถยนต์สี่ล้อเรียบร้อยแล้ว) และวันนี้น้องเขาไม่ยอมไปทำแผล ในฐานะว่าที่นายแพทย์ในอนาคตอย่างผมก็เลยลากน้องเข้าห้องเพื่อพาไปทำความสะอาดแผลครับ ซึ่งการทำความสะอาดแผลคราวนี้ทำให้ผมรู้จักตัวตนของน้องเขามากยิ่งขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวหรือความป่วนที่ใครต่อใครเขาพูดถึงกัน ผมอยากจะบอกเลยว่าความแสบ ป่วนและฮาของน้องมันนั้นไม่ตรงกับฉายาที่ทุก ๆ คนตั้งให้น้องเขาเลยครับ เพราะว่าสกิลการป่วน กวน แสบและฮาของกรเขามันยิ่งกว่าฉายาของน้องเขาอีกครับ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นใครกวนประสาทได้เท่าน้องมันเลยครับและนั่นก็คงเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มมองน้องเขาจนในที่สุดผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย
ยิ่งผมได้รู้จักกรผมก็ยิ่งรู้ว่าความสุขในชีวิตคืออะไรแม้อีกฝ่ายนั้นไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผม แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วแม้จะรู้สึกเจ็บบ้างเป็นบางครั้งที่น้องเขาบอกคนอื่น ๆ ว่าผมเป็นแค่พี่ชาย แต่การที่ได้อยู่ในฐานะนั้นผมคิดว่ามันก็มากเกินพอสำหรับผมแล้วหละครับ ผมพอใจกับฐานะนี้ที่น้องเขามอบให้ผมไม่อยากจะทรยศความไว้ใจของน้องมัน
แต่พอเรื่องราวในวันที่น้องไปฉลองวันปิดเทอมเกิดขึ้นและได้ฟังเรื่องราวจากปากของไอวิน ผมขอสารภาพเลยครับว่าผมโกรธมาก แต่ผมไม่ได้โกรธน้องหรอกครับแต่ผมโกรธตัวเอง โกรธที่ตัวเองไม่สามารถไปปกป้องน้องเขาได้ วันนั้นผมกล่าขอโทษน้องเขาหลายต่อหลายรอบ ซึ่งน้องเขาก็ไม่ได้โทษอะไรผมเลยสักนิด จนในที่สุดวันนั้นผมก็เผลอตัวทำบางสิ่งที่มากเกินกว่าหน้าที่ของพี่ชายนั้นสมควรทำและหลังจากวันนั้นเหมือนกรเขาจะหลบหน้าผมซึ่งผมเองก็หลบหน้าน้องเขาด้วยเรากลับมาใช้การติดต่อทางกระดาษโน้ตแทนการโทรศัพท์จนในที่สุดผมก็บังเอิญเจอกรเข้าที่หน้าประตูและถูกกรชวนมาที่บ้านของเขาถึงแม้ในช่วงแรก ๆ ผมกับกรจะทำอะไรไม่ถูกและอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ใส่กัน
แต่ในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าที่กรทำแบบนั้นเขาไม่ได้รังเกียจผมแต่มันเป็นเพราะความรู้สึกที่กรมีให้ผมมันแปลกไปจากเดิมและกรก็กำลังปรับตัวรับกับความรู้สึกพวกนั้นไม่ทันก็เท่านั้นเอง
ผมอมยิ้มนั่งมองร่างที่นอนดิ้นอยู่บนโซฟาก่อนจะถอดแว่นตาของตัวเองออกและนั่งหลับบนโซฟานั่นไป (ในวันนี้ถ้าผมนอนเตียงเดียวกับกรผมคงคิดว่าผมไม่น่าจะมีความอดทนได้มากขนาดนั้น ดังนั้นที่นอนของผมในวันนี้ขอเป็นโซฟาแทนก็แล้วกันครับ)
____________________________________
ส่งจูบให้ทุกคน ไม่ได้อัพมาสักพักพอจะกลับมาอัพก็เกิดอาการขี้เกียจตัวเป็นขนนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้ยังคงมุ่งมั่นกับการปั่นนิยายต่อไปแม้จะเสียทรัพย์แบบถล่มมทลายไปแล้วก็ตาม (ตอนนี้พลอยจนกรอบมากเลยค่ะน้ำตาจะไหล)
คราวนี้กรยอมเลื่อนตำแหน่งให้กับพี่ศิแล้วหละคะ ส่วนที่พี่ศิพยายามมา 13-14 ตอนก็เป็นผลสำเร็จแล้วหละค่า