- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 242432 ครั้ง)

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



“พี่ศิ! ทำแบบนั้นทำไมนั่นมือถือกรนะ!” ผมร้องเสียงหลงแต่พี่ศิแกก็ไม่ได้สนใจอะไรครับแถมยังยึดโทรศัพท์มือถือของผมไปเสียอีก ไอผมก็คิดจะโวยวายนะครับแต่คุณพี่ศิรวิทย์แกพูดทวนไปถึงคำชวนของเขาที่เอ่ยชวนผมเมื่อวันที่ 23 นะครับว่า “พี่บอกแล้วไงครับว่าเราจะไปเคาท์ดาวน์กันสองคน” รอยยิ้มเย็น ๆ ของพี่สิ่งถูกส่งมาพร้อมกับเอาโทรศัพท์มือถือของผมย่อนเข้าไปในกระเป๋าสูทของตัวเองอีกครับ ไอผมที่เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของพี่แกทำเอาผมปิดปากเงียบสนิทและก้มหน้าก้มตากินไอศกรีมในถ้วยของตัวเองต่อ


ไม่นานนักผมก็จัดการไอศกรีมในถ้วยของผมจนหมด ผมลอบแอบตาเหลือบมองหน้าของพี่ศิที่ตอนนี้แสดงถึงอาการไม่พอใจ ไอหน้าตาแบบนั้นทำผมร้อน ๆ หนาว ๆ จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับนิ้วชี้ของผมถูกยื่นไปพร้อมกับจิ้มไปตรงระหว่างคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปม รอยยิ้มจาง ๆ ของผมถูกส่งไปพร้อมกับพูดอ้อน ๆ เล็กน้อย (ความจริงผมก็อายเหมือนกันนะครับที่ต้องพูดแบบนั้น แต่ทำไงได้ล่ะผมไม่อยากให้พี่ศิรู้สึกหงุดหงิดรับปีใหม่นี่ครับ ตอนนี้ก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้วด้วยถ้าปล่อยให้พี่ศิแกหงุดหงิดต่อไปท่าทางจะยาวครับ) “พี่ศิอย่าขมวดคิ้วสิ น้องกรคนนี้ไม่ชอบหน้าของพี่ศิตอนเคร่งเครียดเลยน้า ยิ้ม ๆ ยิ้มนะพี่ศิ” เมื่อพูดจนจบประโยคผมก็เอียงคอส่งยิ้มให้พี่ศิครับและดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะคลายความตึงเครียดของตัวเองได้เล็กน้อยครับเพราะพี่แกก็ส่งยิ้มตอบกลับมาให้ผมครับ


ผมนั่งเท้าคางพลางมองบรรยากาศยามค่ำคืนใจกลางกรุงเทพไปสักพักในที่สุดพี่ศิก็เรียกบริกรให้มาเช็คบิลครับ ไอผมก็ไม่อยากจะรู้ราคาของค่าอาหารทั้งหมดครับผมก็เลยเลี่ยงที่จะดูใบเสร็จครับ แต่พี่ศิแกก็รู้สึกจะไม่สนใจราคาเหมือนกันบัตรเครดิทสีทองก็ถูกร่อนไปวางบนสมุดหนังและพนักงานก็โค้งตัวและเดินจากไป ผมนั่งเคาะนิ้วรอบริกรนำบัตรเครดิทของพี่ศิกลับมาคืนสักพักบัตรเครดิทใบนั้นก็คืนสู่เจ้าของพร้อมกับร่างของผมกับพี่ศิก็ลุกขึ้นยืนและเดินย้อนกลับไปที่ลิฟท์


ผมยกมือทั้งสองข้างประกบกับที่หัวพร้อมกับสาวเท้าเดินไปที่รถแต่พี่ศิแกก็เดินนำผมไปก่อนนะครับและทำหน้าที่ประจำของแกคือการเปิดประตูรถให้ผมขึ้นไปนั่ง และผมก็ว่าง่ายอีกรอบครับผมก็ขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับและทันทีที่ก้นของผมสัมผัสกับเบาะพี่ศิก็ปิดประตูรถทันทีและเดินอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง ผมปรายตามองพี่ศิที่ตอนนี้เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยแต่ดูแล้วก็ยังเหมือนจะมีความไม่พอใจแฝงอยู่ภายในครับ ผมก็เลยจัดการทำลายความเงียบด้วยการแกล้งหยอกพี่ศิพร้อมกับถามว่าพี่ศิตั้งใจจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน


“พี่ศิของน้องกรครับ พี่ศิจะพาน้องกรคนนี้ไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนเหรอครับ หรือว่าพี่ศิจะพาน้องกรคนนี้เข้าไปเคาท์ดาวน์ที่โรงแรมไม่น่ะ!” ผมพูดพร้อมกับแอ็คติ้งเต็มที่ซึ่งไอคำพูดของผมทำพี่ศิแกอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง มือกร้านถูกยกมือขึ้นมายีผมของผม (ที่ผมใช้เวลาเกือบสามสิบนาทีเซทมัน) จนยุ่งก่อนจะพูดตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่หน้าไว้ใจพร้อมกับรอยยิ้มร้ายที่ส่งมา “ถ้ากรอยากเคาท์ดาวน์ที่โรงแรมหรู ๆ พี่วนรถกลับไปก็ได้นะครับแล้วพี่จะจองห้องสวีทให้เลย”


ไอคำตอบนั่นของพี่ศิเอาผมชะงักไปเลยครับผมเอามือฟาดไปที่ไหล่พี่ศิทีหนึ่งแล้วบ่นคำว่า ‘พี่ศิบ้า’ ไปตลอดทางเลยครับ


ผมนั่งกอดอกพร้อมกับสะบัดหน้าหันไปมองทางนอกหน้าต่างภาพวิวภายนอกที่ตอนแรกเป็นตึกสูงตระหง่านระฟ้าตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นตึกเตี้ย ๆ และแปรสภาพเป็นพื้นที่ว่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไหมแล้วหละครับ ท่าทางพี่ศิแกจะขับรถพาผมออกนอกตัวเมืองซะแล้วสิ สงสัยจริงว่าจะพาผมไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนกันนะ


ผมนั่งเคาะกอดอกและหันไปมองภาพบรรยากาศด้านนอกตลอดทาง ในที่สุดพี่ศิก็ชะลอรถลงครับพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้านเรือนไทยหลังหนึ่งซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางพอดู ผมไม่รู้ว่าสถานที่นี่มันคือที่ไหนแต่พี่ศิที่ลงจากรถไปก่อนแกก็อ้อมตัวรถลงมาเปิดประตูให้ผมแล้วครับ ผมแหงนหน้ามองพี่ศิด้วยความงุนงงแต่ผมก็ยอมลงจากรถและเดินตามพี่ศิขึ้นบ้านเรือนไทยหลังนั้นไป
ผมคิดว่าพี่ศิคงไม่พาผมมาล่าท้าผีฉลองปีใหม่หรอกนะครับบ้านเรือนไทยหลังนี่ท่าทางจะเก่าพอตัวเลยและที่สำคัญพื้นที่ของบ้านเรือนไทยหลังนี้กว้างมากครับทำให้ระยะห่างจากบ้านหลังนี้ไปบ้านหลังอื่น ๆ ออกจะห่างสักเล็กน้อยและนั่นก็ทำให้บ้านหลังนี้โคตรวังเวงเลยครับ


และในทุก ๆ ครั้งที่ก้าวเดินไปตามไม้กระดาน พื้นไม้ก็จะลั่นดังทุกครั้ง ไอผมที่เดินตามพี่ศินี่ก็ทำเอาผมสะดุ้งไปหลายรอบแต่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เห็นภายนอกนะครับเพราะทันทีที่เราขึ้นถึงตัวบ้านคนรับใช้ของบ้านนี้ก็เดินออกมาต้อนรับพี่ศิครับแถมเรียกพี่ศิว่าคุณหนูเสียอีก


‘เออ…อย่าบอกนะว่านี่คือบ้านของพี่ศิเขาน่ะ’ ไอผมที่คิดไปอย่างนั้นก็เริ่มหนาวสันหลังและก็รีบเดินไปเกาะหลังพี่ศินี่แสดงว่าผมจะได้เจอหน้าคุณพ่อคุณแม่ของพี่ศิแล้วใช่ไหมเนี่ย


ซึ่งไอท่าทางของผมที่แสดงออกมาทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับเอื้อมมือมากุมมือของผมไว้ “นี่บ้านคุณยายของพี่ครับไม่ใช่บ้านของคุณพ่อคุณแม่พี่หรอกครับ” พี่สิพูดให้ผมคลายกังวลแต่มันกลับผิดถนัดเลยครับผมนึกว่าจะได้เจอคุณแม่คุณพ่อของพี่ศิ แต่นี่กลับมาเจอแจ็คพอร์ตครับผมโดนพี่ศิล่อลวง? ให้มาเจอหม่อมยายของพี่ศิเลยครับ


ไอสภาพครอบครัวที่ทำให้พี่ศิดูเป็นคนเคร่งขรึมและบรรยากาศโดยรอบ ๆ ตัวดูกดดันเนี่ย…มันจะเป็นยังไง สภาพหม่อมยายของพี่ศินี่ต้องอารมณ์คุณหญิงน่ากลัว ๆ แน่ ๆ เลยครับ ผมยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะเดินตามพี่ศิไปหาหม่อมยายของพี่เขาในห้องรับแขกครับ


ผมเดินก้มหน้าก้มตาตามไปและเมื่อพี่ศิแกหยุดฝีเท้าลงผมก็เดินชนแผ่นหลังของพี่ศิเขาเต็มเปา ไอผมนี่ตั้งใจจะเอ่ยปากว่าพี่เขาแต่ถ้อยคำที่คิดไว้ทั้งหมดก็ต้องถูกกลืนลงไปคอเสียหมดเพราะตอนนี้ผมกับพี่ศิกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าคุณยายของพี่ศิแล้วแหละครับร่างขอองพี่ศิค่อย ๆ นั่งพับเพียบลงกับพื้นพร้อมกับรั้งมือของผมให้ลงไปนั่งข้าง ๆ


“สวัสดีครับคุณยาย ไม่ได้เจอหน้ากันนานเลยนะครับ” พี่ศิยกมือไหว้และพูดอย่างนอบน้อม ส่วนผมก็ต้องยกมือไหว้ตามพี่ศิเขาครับ แต่คุณยายของพี่ศินี่แตกต่างไปจากที่ผมคิดไว้เยอะนะครับผมนึกว่าคุณยายของพี่ศิจะเชิดหน้าแล้วดูขรึม ๆ หยิ่ง ๆ (เรื่องนี้อย่าไปบอกพี่ศินะครับเพราะขืนพวกคุณเอาไปบอกผมนี่อาจจะโดนพี่ศิเทศน์ยกใหญ่เลยแหละครับ) แต่นี่มันคนละเรื่องจากที่ผมคิดเลยครับเพราะคุณยายของพี่ศินี่ใจดีมาก ๆ แถมยังมีบรรยากาศอบอุ่นโอบล้อมรอบกายด้วยครับ แต่ทำไมหลานชายของคุณยายถึงได้มีบรรยากาศไม่น่าไว้ใจรายล้อมรอบตัวเองหละครับเนี่ย ผมตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปสักพักพลันเสียงเรียกของพี่ศิก็ฉุดสติของผมให้กลับร่างพร้อมกับเอ่ยพูดแนะนำผมให้คุณยายท่านแกรู้จักครับ


“กรครับมาใกล้ ๆ หน่อยสิคุณยายเขามองหน้ากรไม่ชัดนะ” ไอเสียงเรียกนั้นทำให้ผมต้องเขยิบไปใกล้ ๆ คุณยายของพี่ศิเขาครับ ผมแหงนหน้ามองคุณยายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับส่งยิ้มให้


“สวัสดีครับคุณยาย ผมชื่อกรครับ รณกรเป็นรุ่นน้องของพี่ศิเขาครับ” ผมเอ่ยแนะนำตัวอย่างนอบน้อมพร้อมกับทำตัวเป็นเด็กดีมากขึ้นไปอีกโดยการก้มลงไปกราบที่เท้าของคุณยายพี่ศิครับ (อันนี้เรียกว่าซื้อใจผู้ใหญ่ครับถึงผมจะเกรียนและบ้าแต่เรื่องมารยาทกับผู้หลักผู้ใหญ่เนี่ยผมแหละได้เป็นที่หนึ่งเลยครับ)


คุณยายของพี่ศิซึ่งเห็นกิริยาแบบนั้นของผมท่านก็ยิ้มออกมาเสียงยกใหญ่พร้อมกับพยุงตัวให้ผมลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ แก (นี่ไงผมบอกแล้วว่าเรื่องมารยาทกับผู้หญิงผมเป็นที่หนึ่งครับ) ท่านจับหน้าผมและบิดไปบิดมาเพื่อมองหน้าของผมแกจ้องมองหน้าของผมสักพักในที่สุดริมฝีปากของคุณยายก็เปิดออกแต่เป็นคำพูดที่หันไปพูดคุยกับพี่ศิครับ “คนนี้เหรอใหม่…ทั้งนิสัยและหน้าตาน่ารักตามที่เราบอกยายจริง ๆ เลยนะ”


ผมสงสัยว่าคุณยายท่านพูดถึงใครผมจึงหันไปมองพี่ศิที่นั่งประกบคุณยายอีกข้างพี่เขากำลังส่งยิ้มให้กับคุณยายก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้แก่ผม ‘นี่ผมไม่ได้อยากได้รอยยิ้มมาเป็นคำตอบนะแต่ผมอยากรู้ว่าคนชื่อใหม่คือใครครับพี่ช่วยเคลียร์ให้ผมสงสัยสักทีดิพี่’ พี่ศิที่เห็นคิ้วของผมที่ขมวดเป็นปมพี่เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาท่าทางพี่เขาจะรู้แล้วครับว่าผมกำลังสงสัยว่าคนชื่อใหม่ที่คุณยายของพี่ศิท่านพูดหมายถึงใคร


“คุณยายครับท่าทางคุณยายจะทำให้น้องเขาสงสัยซะแล้วสิครับว่าคนชื่อใหม่คือใคร” พี่ศิพูดกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ใบหน้าคมเบนหันไปสบตามองกับคุณยายของเขาและดูเหมือนคุณยายท่านแกจะรู้ในสิ่งที่ผมสงสัยใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยคลี่ยิ้มพร้อมกับมือที่ถูกยกขึ้นมาลูบที่หัวของผมอย่างแผ่วเบา


“สงสัยสินะจ๊ะว่ายายเรียกใครว่าใหม่...ส่วนตาใหม่นี่ก็แย่จริง ๆ ชื่อนี้ยายอุตส่าห์ตั้งให้สมกับเวลาที่เราเกิด แต่เราก็ดันชอบไปบอกคนอื่นว่าชื่อศิ ทำแบบนี้ยายเสียใจนะ” คำพูดของคุณยายของพี่ศิเริ่มจะทำให้ผมคลายความสงสัยขึ้นเล็กน้อยแล้วหละครับว่าคนชื่อใหม่นั่นหมายถึงใคร


เพราะมันเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพี่ศิรวิทย์ผู้ที่บอกชื่อเล่นให้ผมฟังว่าตัวเองชื่อศิ ผมเบนสายตาจากคุณยายไปมองพี่ศิพร้อมกับคิ้วด้านหนึ่งที่กระตุกเบา ๆ การแสดงสีหน้าแบบนั้นของผมทำให้พี่ศิรู้ว่าผมต้องการคำอธิบายจากปากของพี่เขาอย่างแรง ซึ่งพี่ศิก็หัวเราะแห้ง ๆ ใส่พร้อมกับพูดอธิบายให้ผมฟัง


“จริง ๆ แล้วชื่อเล่นของพี่คือ วันใหม่ ครับเพราะพี่เกิดช่วงเที่ยงคืนพอดีคุณยายท่านเลยตั้งให้ชื่อนั้น ตอนแรกพี่ก็บอกทุก ๆ คนไปว่าพี่ชื่อวันใหม่แต่มันดูจะน่ารักน่าหยิกเกินไปเพื่อน ๆ พี่ก็ไม่ค่อยเรียกกันส่วนใหญ่ก็จะเรียกว่าศิ พี่เลยเปลี่ยนชื่อเล่นตัวเองว่าศิ ส่วนชื่อเล่นว่าวันใหม่จะเป็นชื่อที่คนในบ้านเรียกกันครับกร” พี่สิอธิบายด้วยรอยยิ้มส่วนคุณยายท่านก็ดูภาคภูมิใจกับชื่อเล่นนี่ของพี่ศิมากเลยล่ะครับ พวกทั้งสามคนนั่งคุยกันไปสักพักใหญ่ ๆ การคุยครั้งนี้ทำให้ผมรู้อีกว่าพี่ศิเป็นคนที่ติดคุณยายมากเลยครับ และที่สำคัญการคุณกับคุณยายทำให้ผมได้รับรู้ว่าคนในบ้านพี่ศิไม่ได้น่ากลัวเหมือนพี่ศิเขาทุกคนครับ เราพูดคุยกันต่อไปอีกสักพักคุณยายท่านก็ขอตัวเข้านอนก่อนเพราะว่าตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้วผมกับพี่ศิจึงช่วยกันประคองคุณยายพาไปที่ห้องนอนของท่าน หลังจากนั้นพวกผมก็เดินออกนั่งที่ชานบ้านของบ้านเรือนไทยหลังนี้


ผมนั่งเท้าคางมองพี่ศิอย่างปลง ๆ ดูเหมือนพี่ศิแกจะดูหงอยมากเลยครับ (จะไม่หงอยให้ได้ยังไงหละผมเล่นไม่พูดกับแกเลยหลังจากที่พาคุณยายท่านไปส่งที่ห้อง) ถ้าให้เปรียบเทียบสภาพของพี่ศิตอนนี้ผมก็ของเปรียบเทียบเลยครับว่าพี่แกเหมือนน้องหมาโกลเด้นรีทีฟเวอร์ที่กำลังนั่งหูหางลู่สำนึกผิดอยู่ครับ ที่จริงผมก็ไมได้โกรธอะไรพี่ศิเขาหรอกครับแต่แค่ตกใจที่พี่เขาทำเซอร์ไพรส์พาผมมาหาผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ แต่ผมก็ทนนั่งเมินพี่ศิแกไปได้ราว ๆ สิบถึงสิบห้านาทีเท่านั้นหละครับผมก็ทนต่อความเงียบไม่ไหวหันไปหาพี่ศิ (ที่หูหางลู่ เอ้ย ไม่ใช่!) พร้อมเปิดริมฝีปากตนเพื่อคุยกับพี่เขา “นี่คือสถานที่ที่พี่ตั้งใจว่าจะพาผมมาเคาท์ดาวน์สินะ”


เมื่อผมเปิดปากพูดน้องหมาศิรวิทย์ที่นั่งหูหางลู่อยู่ก็กระดิกหางแล้วพยักหน้าตอบผมครับ (…ทุกคนอย่าว่าที่ผมเปรียบพี่ศิเขาแบบนี้เลยนะครับเพราะว่ามันเหมือนจริง ๆ นี่นาผมเลยพูดเปรียบไปแบบนั้น) ริมฝีปากคมนั้นยิ้มจนแก้มแทบปริที่ผมหันมาคุยกับเขา แถมนอกจากจะพยักหน้าตอบผมกับยิ้มแล้วพี่ศิมีการบอกถึงโปรแกรมในวันพรุ่งนี้ด้วยครับว่าจะพาผมไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และกี่โมง


“กรครับพรุ่งนี้เราจะไปทำบุญวันปีใหม่กับคุณยายพี่นะครับ แล้วก็ไปให้อาหารปลากันวัดที่เราจะไปนี่เป็นวัดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มากแต่เป็นวัดที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปทุมธานีเลยนะครับ” อ่อ…พี่แกพาผมมาจังหวัดปทุมนี่เองท่าทางจะอยู่ในตัวเมืองปทุมซะด้วยเพราะผมได้ยินมาว่าทางตัวเมืองปทุมไม่ค่อยจะเจริญเท่าชานเมืองที่ติดกับตัวกรุงเทพอย่างเช่นรังสิตแต่มันก็ให้อารมณ์คราสสิคอีกแบบหนึ่งแหละครับ ผมนั่งมองสวนเล็ก ๆ ของบ้านหลังนี้พร้อมกับหลับตาลงฟังเสียงพลุที่ถูกจุดขึ้นเพื่อนฉลองวันขึ้นปีใหม่ ‘เป็นการเคาท์ดาวน์ที่เงียบสงบกว่าทุก ๆ ปีที่ผมเคยเจอมา แต่มันก็เป็นการเคาท์ดาวน์ที่อบอุ่นใจที่สุดเท่าที่ผมเคยได้พบมา’ ผมยังคงนั่งมองพลุแบบนั้นไปอีกสักพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นและถามหาถึงที่ห้องนอนที่จัดเตรียมไว้





เมื่อคืนผมนอนราว ๆ ตีหนึ่งกว่าครับเพราะกว่าผมจะได้นอนนี่ต้องถอดเสื้อถอดผ้าอาบน้ำสระหัวที่เต็มไปด้วยเจลแล้วก็ทะเลาะกันแย่งที่นอนกับพี่ศิอีกราว ๆ สามสิบนาทีครับ ในที่สุดหัวของผมก็ได้สัมผัสกับหมอนครับ (ซึ่งผมแย่งเตียงนอนได้สำเร็จและไล่พี่ศิไปนอนที่พื้นได้ครับ) และหลับยาวจนถึงตอนนี้แหละครับ ในความรู้สึกแรกที่ผมได้นอนบนเตียงและไล่พี่ศิไปนอนที่พื้นได้ผมนี่ก็รู้สึกสงสารพี่เขาอยู่หรอกครับ


แต่ตอนนี้…ผมชักจะสงสารพี่ศิไม่ออกแล้วครับ ซ้ำผมยังอยากจะประเคนเท้าให้พี่ศิไปสักทีเพื่อให้พี่เขาคลายวงแขนออกจากตัวผม ‘พี่ศิ…ไอคนฉวยโอกาส’ ผมกลั้นลมหายใจก่อนจะค่อย ๆ เอามือเสยคางพี่ศิไปหนึ่งที คราวนี้ร่างที่โอบกอดผมอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นและคลายวงแขนออกจากตัวผมทันที มือกร้านถูกยกขึ้นมากุมที่คางพร้อมกับบ่นพึมพำเรื่องที่ผมใช้หมัดสอยพี่เขาไปหนึ่งที “รุนแรงไปแล้วนะครับกร ถ้าจะปลุกพี่ก็ปลุกดี ๆ หน่อยได้ไหมครับแล้วนี่กี่โมงแล้วเนี่ย แล้วพี่จะไปทำบุญกับคุณยายทันไหมเนี่ย” พี่ศิแกดูร้อนรนนิดหน่อยครับแต่แกไม่ได้คิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อคืนเลยครับ


“พี่ศิ ไหนบอกว่าจะนอนข้างล่าง แล้วไหงตอนเช้าขึ้นมานอนกอดกรได้เล่า” ผมพูดพร้อมกับเอาหมอนข้างฟาดไปที่พี่ศิ พี่ศิก็เอามือปัดป้องนะครับแต่แกก็หัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับมา ไอเสียงหัวเราะนั่นทำให้ผมรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาอีกผมจึงใช้หมอนข้างฟาดพี่ศิรัว ๆ เลยครับ “ไม่สำนึกเลยเหรอ นี่แหนะ!”


“เปล่านะพี่ไม่ใช่ไม่สำนึก คือยุงมันกัดแล้วมุ้งมันก็มีอยู่บนเตียงพี่เลยขอไปนอนด้วยแต่กรนอนดิ้นเหลือเกินพี่ก็เลยใช้วิธีที่เจมส์กับบาสบอกเพื่อแก้อาการนอนดิ้นของกรครับ” คำพูดของพี่ศิทำเอาผมชะงักค้างพร้อมกับหมอนข้างที่อยู่ในมือร่วงไปนอนแหมะบนเตียง


‘ไอเพื่อนเวร อย่าให้กรูเจอหน้าพวกมรึงนะ จะต่อยคนละทีสองทีข้อหาสอนอะไรให้พี่ศิ’ ผมเอามือกุมหัวแล้วส่ายหัวไปมา แต่ผมก็สติหลุดได้แค่แปปเดียวเท่านั้นแหละครับเสียง ๆ หนึ่งก็เรียกสติของผมให้กลับคืนมาและเจ้าของเสียงนั่นก็คือคุณหญิงยายของท่านพี่ศินั่นเอง


“ตาใหม่ลูก ตื่นนอนหรือยังเดี๋ยวยายจะไปวัดแล้วนะถ้าไม่รีบเดี๋ยวยายทิ้งไว้นะจ๊ะ อ่อ อย่าลืมปลุกน้องกรด้วยนะลูก” สิ้นของคุณยายพูดอยู่หน้าประตูผมก็เด้งตัวลงจากเตียงทันทีเลยครับ ซ้ำผมยังรีบวิ่งเข้าห้องน้ำและอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่รู้สึกว่าผมลืมอะไรบางอย่างไปแหละครับ ตอนมาผมมาแต่ตัวแต่เสื้อผ้าผมไม่ได้เอามาเปลี่ยนครับ


ดังนั้นไอผมที่ตั้งใจว่าวันนี้จะไม่คุยกับพี่ศิก็ต้องยอมแพ้กับปณิธานกับตัวเองครับ ผมเกิดประตูพร้อมกับชะโงกหน้าไปหาพี่ศิแล้วร้องเรียกหาเสื้อผ้าครับ “พี่ศิ! มีเสื้อให้กรเปลี่ยนไหมตอนกรมากรมาแต่ตัวอ่ะ” ผมพูดแบบนี้ไปพี่ศิก็ได้แต่หัวเราะจาง ๆ พร้อมกับส่งเสื้อและกางเกงสีสุภาพมาให้ผม


ในที่สุดผมก็ได้ออกมาจากห้องน้ำครับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว (ที่ผมพับแขนขึ้น) สีฟ้าอ่อนกับกางเกงกึ่งสแลคสีขาวครับส่วนพี่ศิ (ที่ไปอาบน้ำอีกห้องหนึ่ง) เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำครับ เราทั้งสองคนที่แต่งตัวกันเสร็จแล้วก็รีบวิ่งลงบันไดไปหาคุณยายที่ยืนรอกันอยู่หน้าบ้านครับ


คุณยายที่ยืนรอพวกผมท่านก็ส่งยิ้มมาให้นะครับและพวกผมก็พาท่านขึ้นรถและขับรถไปที่วัดกันครับ เราใช้เวลาขับรถกันไปไม่นานครับ สักพักเราก็ไปถึงวันที่คุณยายท่านคิดจะไปทำบุญ พวกผมเดินกันเข้าโบสถ์เพื่อไปถวายสังฆทาน แต่ไอผมผู้ที่นั่งพับเพียบไม่ได้นาน ๆ ก็ขอปลีกตัวไปให้อาหารปลาก่อนดีกว่าซึ่งพี่ศิแกก็ไม่ต่างกับผมครับแกก็ขอตัวมาให้อาหารปลากับผมเช่นกัน เราซื้ออาหารปลากันคนละสองถังพร้อมกับไปหาที่นั่งเหมาะ ๆ ให้อาหารปลากัน


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่วันขึ้นปีใหม่กรได้มาทำบุญแบบนี้” ผมพูดไปพร้อมกับโปรยอาหารปลาไปใบหน้าของผมยิ้มแย้มและดูแจ่มใสมากเลยครับส่วนพี่แกก็พยักหน้าตอบผมมานะครับแต่พี่แกก้ไม่หยุดเพียงแค่นั้นใบหน้าคมหันมามองผมพร้อมกับพูดถ้อยคำที่ทำให้ผมหน้าขึ้นสีแดงจัด


“แบบนี้พี่ก็สบายใจแล้วหละครับได้ทำบุญกับกรแล้วชาติหน้าเราคงได้เจอกันอีกและขอให้เราทั้งสองคนเจอกันในชาติต่อ ๆ ไปด้วยนะครับ” รอยยิ้มและน้ำเสียงยืนดีที่ออกมาจากริมฝีปากของพี่ศิทำให้ผมเกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งซึ่งผมก็พยายามจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยกับพี่ศิเขาแต่ไม่ว่ายังไงผมก็เปลี่ยนเรื่องคุยไม่ได้เลยในท้ายที่สุดผมก็ต้องนั่งฟังคำพูดของพี่ศิต่อไป ไอผมนี่เขินจนแทบจะกระโดดลงไปว่ายน้ำเป็นเพื่อนกับปลาที่อยู่ในน้ำแล้วครับ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมือของผมข้างหนึ่งถูกพี่ศิกอบกุมอยู่ พี่ศินั่งกุมมือผมแบบนี้มาตั้งแต่แกพูดประโยคแรกแล้วครับ เสียงทุ้มยังคงพูดพร่ำต่อไป มืออีกข้างที่พี่เขาไม่ได้กอบกุมมือของผมไว้ก็พลางชี้ไปโน่นมานี่ให้ผมดู ไอผมก็อยากจะสะบัดมือออกจากมือของพี่ศิอยู่หรอกครับแต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างผมก็อยากให้พี่ศิแกกุมมือผมอยู่แบบนั้นผมนั่งมองบรรยากาศโดยรอบอย่างสบายใจและในที่สุดคุณยายของพี่ศิท่านก็ออกมาจากโบสถ์ครับ ไอผมก็เตรียมตัวจะลุกขึ้นและเดินไปหาท่านแต่ทว่าพี่ศิกับรั้งมือของผมเอาไว้และพูดประโยคสุดท้ายออกมา


“แต่ก่อนจะถึงชาติหน้า...ชาตินี้พี่ดีใจนะครับที่ได้เจอกรได้รู้จักกับกรและสนิทกับกร” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างหูก่อนจะเดินนำและจูงมือผมกลับไปหาคุณยายที่ยืนรออยู่ด้านบน





______________________________




เค้าเรียกว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันค่ะกร

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เขาได้อยู่ด้วยกันฉลองปีใหม่แบบสวบแต่อบอุ่นไปทั้งใจ
แล้วยังได้ทำบุญด้วยกันอีก

ส่วนไฮซ์ชักแปลกๆ เหมือนพี่ศิจะสัมผัสได้

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
แล้วอย่างนี้กรจะหนีไปไหนพ้น

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พี่ศิชื่อวันใหม่ ชื่อน่ารักยังทำตัวน่ารักอีกน้องกรไปไหนไม่ได้แล้วค่่ะ แต่ระวังนะคะพี่วันใหม่หวานมากขนาดนี้น้องกรอาจเป็นเบาหวานจนต้องให้ว่าที่คุณหมอรักษา ส่วนน้องกรคะเรียก"พี่ศิของน้องกร"แบบนั้นพี่เค้าก็หลงเราหนักขึ้นไปอีกซิลูก

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น่ารักกันจัง อยากมีบ้าง ^^

ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
พี่ศิน่ารัก

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ห๊าา พี่ศิชื่อวันใหม่ โอ๊ยย น่ารักน่าหยิกมาอะ  :-[
ตอนนี้พี่ศิพาน้องกรเข้าบ้านแล้ว มีทำบุญร่วมชาติกันอีก แล้วงี้กรจะหนีไปไหนพ้นจ๊ะ   o18
ว่าแต่ไฮซ์แอบหลงเสน่ห์น้องกรอีกคนแล้วสิท่า

 :L2: :pig4: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
พี่ศิน่ารักมากอะ แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนกานนนนน

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
พี่ศิทำกรหัวใจละลายไปแล้ว ตั้งแต่พาไปดินเนอร์ที่โรงแรมหรู
คำพูดของศิทำเอาเราเขินแทนกรไปเลย
ตอนไฮน์โทรมาสงสัยพี่ศิหึงน่าดู กรเลยต้องง้อแถมง้อได้น่ารักซะด้วย

ออฟไลน์ aelfy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เมื่อไหร่จะคบกันเป็นเรื่องเป็นราว สวีท วีดวิ้ว ซะที :-[ :-[ :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0




Chapter 24



หลังจากวันหยุดปีใหม่จบลงพวกผมทุกคนก็เผชิญชะตากรรมนรกแตกที่เรียกว่าสอบครับ แต่ครั้งนี้เป็นสอบมิดเทอมไม่ใช่ไฟนอลและช่วงเวลานั่นผมก็ผ่านมาได้โดยการติวของติวเตอร์คนเดิมเพื่อนเจมส์ที่รักนั่นเองครับ คราวนี้เพื่อนเจมส์นี่ไม่มีพลาดเหมือนรอบที่แล้วครับ เพราะเพื่อนเจมส์นี่ติวได้เป๊ะทุกวิชา ซ้ำเก็งข้อสอบแม่นอย่างกับว่ามันไปออกข้อสอบให้อาจารย์เพื่อเอามาสอบพวกผมเลยครับ แล้วคะแนนที่มันออกมาผมก็คิดว่ามันใช้ได้อยู่ครับ (มันทำให้ผมสัมผัสกับคำว่าอยู่เหนือมีนสักทีครับ)

 
และหลังจากเทศกาลสอบมันก็เข้าสู่เทศกาลจัดงานโอเพนเฮาส์ของมหาวิทยาลัยครับ ซึ่งกิจกรรมของมหาวิทยาลัยผมจะจัดเป็นเวลาสองวันและจะเปิดคณะให้เด็ก ๆ ชั้นมัธยมเข้าชมกัน แต่กิจกรรมพวกนี้มันเป็นหน้าที่ของพวกรุ่นพี่ปี 2 – 3 จัดกันครับและที่ไม่ให้พวกชั้นปี 1 อย่างพวกผมจัดก็เพราะอย่างพวกผมที่ยังไม่เข้าถึงเนื้อหาของวิชาชีพวิศวกรก็เลยยังไปแนะแนวพวกน้อง ๆ มัธยมที่จะมาสอบถามเกี่ยวกับวิชาชีพนี้ได้ครับ แถมไอวิชาที่เรียน ๆ กันก็เป็นแค่วิชาพื้นฐานครับยังไม่ได้เข้าภาควิชาดังนั้นตอบคำถามพวกน้อง ๆ เขาไม่ได้หรอก


แต่ก็นะต่อให้พี่ ๆ เขาลากผมให้ไปช่วยผมก็ไม่ไปหรอกครับขอบอกเลยว่าขี้เกียจมาก! ถ้าให้ผมไปยืนปากเปียกปากแฉะแนะแนวรุ่นน้อง สู้ให้ผมไปปั่นรถสามล้อขายไอติมปั่นแบบงานวันลอยกระทงดีกว่าครับ แต่คนที่คิดแบบผมจะไม่ค่อยมีนะครับยกตัวอย่างเช่นไอบาสกับไอเจมส์ ไอสองคู่หูหน้าหม้อรอหลีสาวครับ ไอสองคนนี้ระริกระรี้ไปช่วยรุ่นพี่ทำแถมยังตบปากรับคำ (และลากผมไปด้วย) ว่าจะไปช่วยรุ่นพี่ที่ซุ้มของคณะด้วยครับ จุดประสงค์ของมันก็ไม่ต้องบอกเลยครับว่าพวกมันต้องการอะไร
เพราะมันไม่ต้องการอะไรนอกจาก ‘การได้หลีสาวรุ่นน้องที่น่ารัก’ ครับ เห็นไหมครับว่าจุดประสงค์มันไม่ค่อยจะชัดเจนเลย


และไอการที่สองสหายของผมรับปากรุ่นพี่มันก็ทำให้ผมมายืนหน้าบึ้งช่วยรุ่นพี่จัดซุ้มแบบนี้ไงครับ ซึ่งการที่รุ่นน้องมาช่วยงานรุ่นพี่แบบนี้ พวกผมชาวปี 1 ก็กลายเป็นเจเนอรัลเบ้ไงครับงานแบกหาม วิ่งหาของจัดไวนิลอะไรเนี่ยกลายเป็นหน้าที่ของพวกผมทั้งนั้นแหละครับ ไอตัวผมก็คิดจะโดดร่มครับแต่ก็ทำไม่ได้ครับเพราะด้วยอำนาจอันล้นเหลือของประธานรุ่นไออย่างไอเจมส์และสายตาทิ่มแทงของเพื่อนทั้งกลุ่มที่มองมาทำให้ผมต้องทำตัวเจียม ๆ พร้อมกับกล้ำกลืนน้ำตาช่วยกันจัดซุ้มตามคำสั่งของรุ่นพี่จนเสร็จครับ


และกว่าที่พวกเราจะจัดซุ้มกันเสร็จเวลาก็ผ่านไปเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วหละครับซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่สารถีกิตติมศักดิ์ของผมเลิกเรียนและจะขับรถมารับผมครับ


นั่นพูดไม่ทันขาดคำคุณคนขับรถก็เดินมาหาผมที่นั่งแกร่วอยู่ในซุ้มแล้วหละครับ ผมยกมือทักทายไปและพี่ศิก็ส่งรอยยิ้มซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองคืนกลับมาให้ผม


“ซุ้มใกล้เสร็จแล้วนะครับกร” ร่างสูงโค้งคัวมาพูดใส่ผมที่ยังคงนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเก้าอี้ (ไม่ต้องสงสัยกันนะครับว่าทำไมพี่ศิถึงรู้ว่าผมมาช่วยงานรุ่นพี่ ก็เพราะผมโทรไปบ่นใส่พี่แกเป็นชั่วโมงตั้งแต่ไอเจมส์มันมัดมือชกผมให้มาช่วยงานที่ซุ้มคณะครับ แต่พี่ศิก็ช่วยงานที่ซุ้มคณะแพทย์เหมือนกันนะครับแต่พี่ศิแกเป็นคนมาช่วยอธิบายเกี่ยวกับวิชาการเรียนให้รุ่นน้องฟังครับ พูดง่าย ๆ คือหน้าที่ของพี่แกคือใช้สมองแต่หน้าที่ของพวกผมมันชนชั้นแรงงานครับ)


“พี่ศิก็มาช่วยกันสิมันจะได้เสร็จสักที กรนี่วิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งบ่ายแล้วเหนื่อยจะตายแล้วเนี่ย มารับก็มารับช้ากรนี่นั่งรอจนไม่รู้จะรอยังไงแล้ว” ผมบ่นเสียงดังใส่พี่ศิซึ่งรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ของผมที่อยู่ที่ซุ้มหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว และทุกคนคิดว่าคนอย่างผมมีหรือจะสนใจสายตาอะไรพวกนั้น ซึ่งเป็นที่แน่นอนครับผมไม่สนใจไงหละซ้ำยังคงเปิดปากบ่นต่อไปเรื่อย ๆ จนพี่ศินี่ถึงกับเอื้อมมือมาปิดปากผมเพราะกลัวว่าผมจะโดนคนที่กำลังทำงานอยู่ทั้งซุ้มมาไล่กระทืบครับ (แต่ก็ไม่มีใครไล่กระทืบผมหรอกครับเพราะว่าพวกมันรู้นิสัยของผมดีผมมันพวกปากหมา ปากไว ทุกคนเลยไม่ค่อยถือสาอะไรกับสิ่งที่ผมพูดครับ)


ก็แหมผมมันเป็นพวกที่เจออากาศร้อน ๆ เหงื่อแตกเยอะ ๆ แล้วอารมณ์เสียนี่ครับ ผมเลยวีนใส่คนทั้งซุ้มและพาลไปหาพี่ศิแบบนี้ไง


ผมขมวดคิ้วมองพี่ศิก่อนจะยืนมือส่งไปให้พี่เขาและพี่ศิแกก็รู้หน้าที่ดีนะครับมือกร้านยื่นมาจับมือของผมพร้อมกับช่วยดึงร่างของผมที่นั่งหมดแรงให้ลุกขึ้นยืนครับ ซึ่งผมก็กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนตามแรงดึงของพี่ศิพร้อมกับเดินตามพี่เขาไปที่รถที่จอดไว้ไม่ไกลไปจากซุ้ม


(ทุกท่านคงสงสัยว่าทำไมพวกผมถึงรีบเร่งกันจังเลยกับการจัดซุ้มคณะเพื่อนเตรียมรับโอเพนเฮาส์ของมหาลัย แต่ต่อให้ผมไม่บอกทุกคนก็น่าจะคาดเดาได้นะครับว่าทำไมต้องรีบ นั่นก็เป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวันโอเพนเฮาส์มหาวิทยาลัยของผมวันแรกครับพวกผมชนชั้นแรงงานเลยถูกใช้งานเยี่ยงทาสแบบนี้ไง)


และเมื่อผมได้ขึ้นไปนั่งบนรถของพี่ศิ (และเร่งแอร์เปิดจนสุด) ไออารมณ์หงุดหงิดโวยวายของผมก็เพลาลงแล้วล่ะครับ หลังจากผมอารมณ์เย็นลงผมก็กระดื๊บไปหยิบไอโฟน 5s รุ่นใหม่ล่าสุดจากกระเป๋าเสื้อนิสิตของพี่ศิและหยิบมาเปิดเพลงฟังเหมือนกับทุก ๆ ครั้ง (ผมไม่อยากจะอวดนะครับว่าแบตไอโฟนของพี่ศิที่ต้องชาร์ตบ่อย ๆ ก็เป็นเพราะผมนี่หละของตัวเองมีให้เล่นก็ไม่เล่นไปเล่นของพี่เขา อ่อ อีกอย่างพี่ศิเปลี่ยนมือถือเป็นไอโฟน 5s แล้วส่วนไอโฟน 5 เครื่องเก่าของพี่ศิผมก็ซื้อต่อมาในราคาพิเศษครับ พอดีพี่ศิแกคิดจะขายไอผมก็อยากได้มือถือเครื่องใหม่เลยไปขอซื้อต่อพี่เขามา) แต่ว่าครั้งนี่น่าจะพิเศษกว่าครั้งก่อน ๆ นิดหน่อยครับนั่นก็คือผมกดเข้าไปดูในอัลบั้มภาพถ่ายครับ (ไม่รู้ว่าผมครึ้มอกครึ้มใจอะไรเลยกดเข้าไป ส่วนมือถือเครื่องเก่าของพี่ศิก่อนที่จะให้ผมพี่แกล้างเครื่องแล้วค่อยส่งให้ผมครับผมเลยไม่รู้ว่าความลับของพี่ศิแกมีอะไรบ้าง) และผมก็ไปพบเจอกับอัลบั้มอัลบั้มหนึ่งที่มีชื่อว่า N’Korn (อ่อม…นี่มันชื่อของผมไม่ใช่เหรอครับแล้วพี่ศิแกมาตั้งอะไรแบบนี้ไว้เนี่ย)


ผมหันไปหมายจะถามพี่ศิแต่ผมก็ชั่งใจครับและหันมาเปิดอัลบั้มดูเงียบ ๆ โดยที่ไม่บอกอะไรพี่ศิเขา (ถ้าขืนบอกพี่ศิไปผมอาจจะไม่ได้ดูว่ามันมีอะไรอยู่ในอัลบั้มนั่นหนะสิ) ผมจิ้มเข้าไปอัลบั้มนั้นพร้อมกับไล่ตามองภาพต่าง ๆ ที่เรียงรายเต็มหน้าจอ แต่ไอจำนวนภาพมันไม่สำคัญเท่ากับคนที่อยู่ในภาพครับผมมองตั้งแต่ภาพแรกไล่ไปถึงภาพสุดท้าย (แบบยังไม่ขยายภาพนะครับ) ทุกภาพนี่เค้าลางว่าน่าจะเป็นผมทุกภาพเลยครับ แล้วบางภาพเนี่ยผมไม่รู้ว่าพี่แกถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ตอนไหนเวลาไหน


ผมจิ้มดูภาพใหญ่และไอการทำแบบนั้นมันทำให้ผมยิ่งช็อคมากกว่าเก่าเสียอีก…


เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาของผมมันเป็นภาพของผมตั้งแต่งานกีฬาเฟรชชี่เมื่อเทอมก่อนครับ เป็นภาพตอนผมเป็นหลีดของคณะครับ (ผมโดนคุณเจ้น้ำหวานใช้อำนาจมืดบังคับให้เป็นครับ) ผมเลื่อนดูไปเรื่อย ๆ เพราะมันมีภาพของผมแทบทุกมุม ทุกสถานการณ์ ภาพที่ผมยิ้ม ภาพที่ผมหัวเราะและไม่เว้นกระทั้งภาพที่ผมเบ้หน้าใส่เพื่อนเวลาพัก นี่พี่ศิแกไปเอาภาพพวกนี้มาจากไหนกันผมยังคงนั่งเลื่อนภาพดูต่อไปเรื่อย ๆ หลังจากภาพถ่ายในงานกีฬาเฟรซชี่ก็เปลี่ยนเป็น ภาพกิจวัตรประจำวันของผม (ที่ถ่ายด้วยไอโฟนและกล้องโปร) ภาพต้องผมนอนหลับบ้าง ภาพที่ผมกำลังทำขนมบ้าง ภาพที่ผมกำลังอ่านหนังสือบ้าง นี่พี่ศิแกเก็บภาพของผมทุกโมเมนต์เลยครับและหลังจากผมที่ดูรูปภาพไปเรื่อย ๆ รถคันหรูของพี่ศิก็จอดสนิทในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า พี่สิแกถอดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับหันมาเรียกผมให้ลงจากรถและในเวลานั้นแหละที่พี่ศิแกรู้ตัวว่าผมแอบดูรูปภาพในมือถือของเขา


ร่างสูงใบหน้าแดงก่ำพร้อมกับเอื้อมมือไปกระชากมือถือของตนออกไป พี่ศิยกมือขึ้นมาขยี้ผมตัวเองแก้เขินก่อนจะลนรานเปิดประตูรถออกไปและรีบสาวเท้าตนไปยืนกอดอกทำเป็นเท่ห์อยู่หน้ารถ ไอผมก็หลุดขำในท่าทีที่ของพี่ศิเขานะครับแต่ผมก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อ ผมลงจากรถตามพี่ศิไปพร้อมกับเดินจับมือพี่เขาเพื่อเข้าไปในตัวห้าง


คราวนี้ผมเลือกทานอาหารง่าย ๆ ครับนั่นก็คือข้าวแกงกะหรี่ของร้านโคโค่ (นี่มันง่ายตรงไหนกัน) ผมเดินตรงเข้าไปนั่งโต๊ะพร้อมกับบอกพนักงานให้นำเมนูมาให้ แต่ผมก็ลอบแอบมองใบหน้าคมของพี่ศิเขานะครับว่ามันแสดงออกมายังไงแต่มันก็ยังคงแสดงออกมาเป็นแบบเดิมครับนั่นก็คือ ใบหน้าคมขึ้นสีแดงก่ำริมฝีปากหนานี่เม้มแน่นเชียว ท่าทางจะเขินมากนะเนี่ย (อย่าถามผมนะครับว่าผมไม่เขินเหรอ ผมตอบเลยว่าเขินครับแต่เขินไม่เท่าพี่ศิผู้เป็นคนถ่ายภาพพวกนั้นหรอกครับ) เมื่อพนักงานยื่นเมนูมาให้ผมผมก็จัดการสั่งของโปรดของผมนั่นก็คือ กางกะหรี่ซีฟู้ดเพิ่มเห็ดกับปลาทอดลดข้าวเลเวลความเผ็ดคือ 5 ครับ ส่วนพี่ศิสั่งเป็นแกงกะหรี่เห็ดรวมเพิ่มปลาทอดดันไก่ทอดครับส่วนความเผ็ดเป็นเลเวล 3 ส่วนน้ำดื่มนี่ไม่ต้องถามนะครับว่าเราสั่งอะไรกันเพราะผมก็ไม่พ้นสั่งน้ำส้มคั้นแล้วของพี่ศิก็เป็นน้ำเปล่าครับ (ใครที่เคยมาทานร้านโคโค่นี่ทุกคนจะรู้กันดีว่ารอนานมากมันก็เลยทำให้ผมนั่งแกร่วสักเล็กน้อยส่วนพี่ศิแกก็ยังเขินไม่หายแต่อาการเขินของพี่เขาก็ลดลงไปเยอะแล้วครับ) ผมนั่งเคาะนิ้วบนโต๊ะรออาหารส่วนพี่ศิก็นั่งเบนหน้าหลบสายตาผม แต่ในที่สุดผมก็เลือกที่จะเอ่ยปากถามพี่ศิไปว่าพี่ศิเขามองผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่


“นี่พี่ศิ ภาพพวกนั้นคือพี่ศิ…พี่เริ่มแอบถ่ายภาพของกรตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” ไอเรื่องที่ผมเอ่ยปากถามไปนี่ไม่ใช่ไม่เขินนะครับผมเขินครับแต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าความอายเยอะครับ (เรียกง่าย ๆ ว่าผมหน้าด้านแล้วนั่นเอง) แม้หน้าของผมนั้นจะด้านแล้วแต่คนตรงหน้าของผมหน้ายังไม่หนาเท่าผมครับมือของพี่ศิชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงผมเอ่ยปากถามและปัดแก้วน้ำเปล่าลงจากโต๊ะทันทีเมื่อผมถามจบ (ปฏิกิริยาที่พี่ศิแสดงออกมา…ดูเป็นผู้ชายขี้อายมากครับไม่เหมือนกับว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ที่ผมรู้จักเลยแต่แบบนี้มันก็น่ารักไปอีกแบบครับ) เสียงแก้วแตกดังลั่นทำให้พนักงานทั้งร้านหันมามองและทุกคนก็ต่างรีบกุลีกุจรมาเก็บกวาดและเตรียมแก้วน้ำใหม่ให้


ผมนั่งเท้าคางมองพี่ศิแล้วส่งยิ้มไป ส่วนพี่ศิก็แสดงอาการลนลานออกมาอย่างเห็นได้ชัด สภาพการแบบนี้แสดงว่ามองผมมานานแล้วแน่ ๆ เลยครับ จะให้พูดว่าเขินไหมผมเขินนะครับที่รู้ว่ามีคน ๆ หนึ่งมองผมมาตั้งนานแบบนี้แต่ก็นะสำหรับคนบางคนอาจจะรู้สึกไม่ดีก็ได้เพราะมีผู้ชายเฝ้ามองตัวเองมาตั้งนานทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชายด้วยเช่นกัน แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรือรังเกียจเลยครับ ซ้ำยังแอบดีใจลึก ๆ เสียด้วยซ้ำครับบางทีผมอาจจะค่อย ๆ ตกหลุมรักพี่ศิไปเรื่อย ๆ แล้วล่ะมั้งครับแต่ก็ยังก่อนผมขอเล่นตัวใส่พี่ศิก่อนแล้วกันผมยังอยากเห็นมุกจีบของพี่ศิที่จะงัดมาจีบผมแบบไหนอยู่


คนบางคนอาจจะมองว่าผมแปลกทำไมผมถึงรับเรื่องแบบนี้ได้ง่าย ๆ ว่าตัวเองอาจจะตกหลุมรักผู้ชายไปแล้วอะไรแบบนั้นผมไม่คิดว่าการชอบหรือมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเพศเดียวกันว่ามันแปลกหรอกครับเพราะความรักมันไม่มีพรมแดนนี่นาไม่ว่าใครก็รักกันได้ ไม่ว่าเพศไหนก็รักกันได้และไม่ว่าเราจะมีสภาพแบบไหนคนเราก็รักกันได้ครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่สามารถยืนยันความรู้สึกตัวเองกับพี่ศิได้ครับว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่เขาแต่เท่าที่รู้ตอนนี้คน ๆ นี้เขาเป็นคนสำคัญของผมครับ


ผมยังคงนั่งมองหน้าพี่ศิที่แสดงสีหน้าประหม่าอย่างเห็นได้ชัดผมก็แกล้งเคาะนิ้วรอมืออีกข้างก็เท้าคางตัวเองไปด้วยจนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวและตัดสินใจจะเอ่ยปากถามไปอีกรอบทว่าพี่ศิผู้ที่นั่งเงียบมานานก็เอ่ยตอบกลับมาเสียก่อน


“ตั้งแต่กีฬาเฟรซชี่นั่นแหละครับกร…ตอนนั้นพี่มองกรผ่านเลนต์กล้องและกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพของกรไม่รู้กี่สิบภาพ รอยยิ้มของกรใบหน้าของกรที่มีความสุขทำให้พี่ละสายตาไปจากกรไม่ได้แต่หลังจากวันนั้นพี่ก็ไม่ได้เจอกรอีกเลยและพื่อก็ไม่รู้ว่ากรเป็นใครจนกระทั่งวันนั้นวันที่กรมาดึงแขนพี่นั่นหละที่ทำให้พี่รู้ว่าเด็กที่ทำให้พี่ละลายตาไม่ได้คนนั้นก็คือกร” สิ้นเสียงของพี่ศินิ้วมือของผมที่เคาะเล่นบนโต๊ะก็ชะงักค้างพร้อมกับใบหน้าที่ก่อนหน้านี้ส่งรอยยิ้มยียวนใส่พี่ศิตอนนี้มันขึ้นสีแดงชาดและริมฝีปากของผมก็เม้มแน่น


‘ตายแล้วไอกรไอการที่คิดว่าจะแกล้งคนอื่นเขาแต่กลับโดนตลบหลังซะเองถึงแม้เจ้าตัวเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ มรึงบ้าไปแล้วครับกรจะแกล้งเขาแล้วทำไมมาหน้าแดงเองแบบนี้ แถมหัวใจก็เต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกมาเต้นเบรกแดนซ์นอกอก’ ผมพึมพำกับตัวเองในใจพร้อมกับกร่นด่าตนองไปด้วย ตอนนี้สภาพโต๊ะของเรานี่อึมครึมมากครับต่างคนต่างเขินและไม่มีใครพูดอะไรใส่กันแต่ในที่สุดเสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้นพร้อมกับจานข้าวราดแกงกะหรี่มาวางลงมาข้างหน้าผมกับพี่ศิ (ที่เป็นเสียงจากสวรรค์ก็เป็นเพราะมันทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดบนโต๊ะหมดไป)


ไอผมนี่ถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจซึ่งพี่ศิก็แสดงออกมาด้วยเช่นกัน เราทั้งสองคนค่อย ๆ จัดการข้าวราดแกงกะหรี่ในจานไป ส่วนพี่ศิตักผักดองของสุดฮอตฮิตของร้านใส่จานตัวเองไปเสียพูนจานและค่อย ๆ ตักข้าวในจานใส่ปาก (ไอผักดองของร้านนี้ผมไม่อยากจะบอกนะครับว่าเพื่อน ๆ ของผมนี่มากินผักดองกันมากกว่าข้าวแกงกะหรี่ครับผมไม่รู้ว่าพวกมันชอบกินกันได้ยังไง แต่ที่รู้ ๆ ผมไม่ชอบกินครับเพราะว่ามันเป็นผักนั่นหละครับ)


 เราทั้งสองคนค่อย ๆ นั่งกินข้าวทานกันไปพลางจิบน้ำไปพลาง จานของผมนี่เป็นระดับเผ็ดขั้นสุดยอดครับ มันเลยทำให้น้ำหูน้ำตาผมเลยไหลเอา ๆ เพราะความเผ็ด ซึ่งในขณะที่ผมนั่งปาดน้ำตาไปสูดน้ำมูกไปทิชชู่จำนวนหนึ่งก็ถูกยื่นมาซับน้ำมูกของผมที่ไหลอยู่ครับและไม่ต้องบอกเลยว่าเจ้าของมือที่ส่งทิชชู่มาให้ผมนั้นคือใครเพราะมันเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากคุณพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุก ๆ คนไงครับ หน้าของร่างสูงยังคงขึ้นสีเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ได้แดงก่ำเมื่ออย่างก่อนหน้านี้แล้วหละครับ
ผมรับทิชชู่มาซับน้ำมูกที่ไหลแต่ก็ยังคงนั่งกินข้าวแกงกะหรี่กันแบบนั้นและในที่สุดผมก็นั่งกินหมดจานครับแต่กว่าจะหมดจานนี่ผมต้องสั่งน้ำเปล่ามาเพิ่มหลายขวดเลยครับ ส่วนทางฝั่งพี่ศิแกก็ต้องกินน้ำเยอะไม่แพ้กันเพราะพี่ศิแกกินเผ็ดมากไม่ค่อยได้ครับแต่สั่งความเผ็ดเลเวล 3 มา (พี่ศินี่กินเผ็ดไม่ได้แต่ก็ซ่าสั่งมาซะเผ็ดเลยนะครับ) การทานอาหารเย็นครั้งนี้ของพวกผม ขอบอกเลยว่ามันเป็นการทานอาหารที่เงียบที่สุดเท่าที่ผมทานกับพี่ศิเลยครับ (แต่มันก็ไม่ได้มีอาการอึดอัดใจนะครับมันเป็นอารมณ์ของคนที่เขินใส่กันมากจนไม่กล้าจะพูดคุยอะไรออกมา) มันอาจจะเป็นเพราะไอโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมของพี่ศิ ความมือบอนของผมที่ไปเปิดไล่ดูภาพในมือถือเครื่องนั้นและก็รวมไปถึงคำถามที่วัดความหนาของหน้าที่ผมถามพี่ศิไปนั่นก็เป็นได้หละมั้งครับ เลยทำให้ต่างคนต่างไม่กล้าพูดคุยอะไรออกมาก (เพราะต่างคนต่างก็เขินใส่กัน)


และหลังจากที่พวกเราจัดการอาหารกันจนหมดโต๊ะพวกเราทั้งคู่ก็เช็คบิลและเดินออกจากร้านครับ ผมเดินนำพี่ศิไปยังลานจอดรถพร้อมกับกระเด้งตัวขึ้นไปนั่งบนรถครับ (ซึ่งไอประตูนี่พี่ศิแกก็เปิดให้ผมขึ้นครับ) ตลอดทางกลับไปยังคอนโดเราสองคนต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันเหมือนเดิมครับ แต่บรรยากาศภายในรถกลับรู้สึกอบอุ่นภายในหัวใจยังไงก็ไม่รู้ครับ เมื่อรถคันงานถูกวนขึ้นไปจอดในลานจอดรถผมก็ดีดตัวออกมาจากรถของพี่ศิทันที (คราวนี้ผมลงมาเองโดยที่ไม่รอให้พี่ศิมาเปิดประตูให้ครับ) พร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปในลิฟท์โดยทิ้งให้พี่ศิแกขึ้นลิฟท์รอบต่อไป


เมื่อถึงชั้น 14 ผมก็รีบวิ่งปรี่ไปยังห้องของผมและรีบไข้กุญแจห้องเข้าไป และทันทีที่ร่างของผมเข้าไปในตัวห้องผมก็ถลาตัวขึ้นไปนอนบนโซฟา มือทั้งสองข้างทุบไปที่เบาะพร้อมกับใบหน้าที่แสนแดงก่ำของผมที่ซุกไปลงกับโซฟา
‘พี่ศิ…พี่เกือบจะฆาตกรรมผมอีกแล้วนะครับคำตอบของพี่ศิที่ตอบผมในร้านมันทำเอาหัวใจของผมเต้นแรงจนผมคิดว่ามันจะหลุดออกมาจากอกแล้วครับ ถ้าเกิดตอนนั้นผมหัวใจวายไปพี่ศิต้องเป็นคนรับผิดชอบผมด้วยนะ’ เสียงผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่ปรือและหลับลง





อรุณสวัสดิ์ครับหลังจากเมื่อคืนผมได้นอนซุกตัวบนโซฟาแบบไมได้อาบน้ำและไมได้แปรงฟันตอนนี้ผมตื่นแล้วครับซึ่งตอนนี้เป็นเวลา หกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการไปจ๊อกกิ้งยามเช้ามากแต่ผมคงไม่ทำเพราะขี้เกียจทำให้ตัวเองเหนื่อยโดยใช่เหตุทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีหุ่นอันสุดแสนจะเพอร์เฟกอยู่แล้ว ขั้นแรกหลังจากที่ผมตื่นนั่นก็คือควานมือไปรับโทรศัพท์ที่แผดเสียงอยู่ในกระเป๋ากางเกงเพราะไอเจมส์มันโทรมาปุกผมให้ผมไปสแตนบายที่ซุ้มคณะได้แล้ว (ทุกท่านยังไม่ลืมใช่ไหมครับว่าวันนี้เป็นวันโอเพนเฮาส์มหาลัยผมวันแรก) ผมก็ใช้ความง่วงงุนพร้อมมึน ๆ ตอบมันไปและก็รีบปลุกสติตัวเองให้กลับคืนมาพร้อมกับจัดการตัวเองที่เน่ามาตั้งแต่เมื่อคืนครับ ทั้งอาบน้ำ สระผม ขัดตัวอะไรต่าง ๆ และในที่สุดตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงผมก็อยู่ในชุดนิสิตเรียบร้อยพร้อมผูกไทค์อย่างสวยงาม ผมเตรียมตัวจะออกจากห้องมือหนึ่งล้วงประเป๋าส่วนอีกมือถือกุญแจรถยนต์ของตัวเอง (วันนี้ผมคิดว่าผมจะขับรถไปมหาวิทยาลัยเองครับไม่ต้องถามถึงเหตุผลนะครับตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้าเจอหน้าพี่ศิตรง ๆ เลยครับ) แต่คนเราเวลาไม่อยากจะเจออะไรมันมักจะเจอหรือได้แบบนั้นเพราะว่าตอนนี่ประตูห้องข้าง ๆ ของผมก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของคนที่ผมยังไม่อยากเจอ (เรียกว่าไม่กล้าเจอ) ที่ก้าวเดินออกมา


พี่ศิหันมามองผมพร้อมกับชะงักตัวส่วนผมก็พยายามยกมุมปากส่งรอยยิ้มไปให้พี่ศิส่วนพี่แกก็พยายามยิ้มกลับมาให้ผมเรามองหน้ากันสักพักก่อนจะเบนสายตากันไปอีกทาง และการที่เราหลบหน้ากันนั่นก็เป็นเพราะใบหน้าของเราทั้งสองขึ้นสีแดงก่ำและหัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง


ผมรีบรนลานและรีบวิ่งปรี่ไปที่ลิฟท์แต่พี่ศิแกก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมหนีหายไปมือกร้านเอื้อมมารั้งผมไว้พร้อมกับเอ่ยปากชวนให้ผมขึ้นรถไปมหาลัยด้วยกัน (ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติครับที่ผมจะนั่งรถไปกับพี่ศิในทุก ๆ เช้าและกลับด้วยกันเกือบจะทุกเย็น) ซึ่งผมที่กำลังหน้าแดงก่ำและหัวใจเต้นแรงผมก็พยักหน้าตอบพี่เขาไปโดยใบหน้าของผมก็พยายามเบี่ยงเพื่อหลบสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา (ทั้ง ๆ ที่วันนี้ผมคิดว่าจะขับรถไปมหาลัยเอง แต่ทำไมถึงใจอ่อนยอมนั่งรถไปกับพี่ศิด้วยนะและที่สำคัญยิ่งกว่าการใจอ่อนให้พี่ศิ ทำไมผมต้องดีใจทุกครั้งหรือมีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอหน้าของพี่ศิด้วยหละครับเนี่ยบ้าไปแล้วผม)


ผมก้มหน้าก้มตาเดินตามพี่ศิไป หรือเรียกง่าย ๆ ว่าผมเดินตามแรงดึงของพี่ศิจะดีกว่าตอนนี้ผมโดนพี่ศิจับมืออยู่ครับผมเงยหน้ามองด้านหลังของพี่ศิไปพลันสายตาก็เป็นใบหูที่แดงก่ำของพี่ศิเขา


…แย่จังเลยนะ เราทั้งสองคนหน้าแดงกันทั้งคู่แบบนี้ถ้าใครมาเห็นจะคิดว่ายังไงกันนะ…



v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ผมยอมนั่งรถคันงามของพี่ศิไปและผมทำตัวเป็นตุ๊กตาหน้ารถได้อย่างดีเยี่ยมในที่สุดรถของพี่ศิก็ขับมาถึงคณะของผมผมเดินลงจากรถพร้อมกับโค้งตัวขอบคุณพี่ศิไปซึ่งพี่ศิรวิทย์ที่รักของทุก ๆ คนก็ส่งรอยยิ้มเขิน ๆ กลับมาให้และหลังจากพวกเราส่งยิ้มให้กันสักพักเราทั้งสองคนก็ค่อย ๆ เบือนหน้าหนีกันด้วยความเขินอาย ผมยืนค้างอยู่ตรงประตูรถสักพักไม่นานนักพี่ศิก็เอ่ยขอตัวไปยังคณะของตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อมในการต้นรับรุ่นน้องชั้นมัธยมปลายที่จะมาเยี่ยมเยียนที่คณะ (ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าบรรยากาศภายในรถระหว่างทางที่จะมามหาวิทยาลัยบรรยากาศนี่โคตรจะเป็นใจเลยครับเพราะว่าไม่ว่าจะเปิดเพลงจากวิทยุก็เป็นเพลงหวาน ๆ สำหรับคนมีความรัก ไม่ว่าจะเปิดซีดีฟังในรถก็เต็มไปด้วยเพลงรัก สุดท้ายผมปิดเครื่องเสียงไปซะเลยครับภายในรถถึงค่อย ๆ กลับไปสู่ภาวะปกติ)


ผมค่อย ๆ สาวเท้าตนเข้าไปยังซุ้มของคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งในตอนนี้ทุกคนที่อยู่ภายในบูทกำลังขยันขันแข็งเตรียมงานกันอย่างเต็มที่และเมื่อผมเดินเข้าไปสายตาของคนทั้งซุ้มก็หันมาทางผมพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ไม่น่าจะไว้ใจมาให้ ซึ่งการกระทำแบบนั้นของทุกคนก็ทำให้ผมแปลกใจแต่ไอความแปลกใจทั้งหมดของผมก็ถูกคลายด้วยคำพูดของเพื่อนเจมส์และเพื่อนบาสที่พากันเดินมากอดคอผม


“สวัสดีครับเพื่อนกรเมื่อกี้ทุกคนเห็นฉากหวานแหว๋วที่หน้าคณะกันนะครับ หวานชื่นซะกรูอิจฉาเลยทีเดียว” เสียงของเจมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับแกล้งเอานิ้วชี้เอาแตะคางผมแล้วเชยขึ้น ส่วนไอบาสมันลดมือจากคอของผมพร้อมกับเอาศอกเข้ากระทุ้งสีข้างของผม “วันนี้หวานยิ่งกว่าทุกวันเลยนะครับเพื่อนกร กรูเห็นมรึงนี่หน้าแดงเดินเข้าซุ้มมาเลยถึงกรูจะไม่เห็นหน้าพี่ศิก็เถอะแต่ก็คงมีสภาพเดียวกับมรึงตอนนี้หละมั้ง” เมื่อผมได้ยินคำพูดหยอกล้อของเพื่อน ๆ ทั้งสองคนผมก็รีบสะบัดตัวออกจากการจับกุมของพวกมันนั้นสอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ครับเพราะไอเพื่อนสองคนที่มีแรงช้างนี่ต่างพากันลอคคอผมไว้อยู่ครับ พี่ ๆ และเพื่อน ๆ ในซุ้มคณะต่างหัวเราะพวกผมสามคนแต่ ทุกคนก็สนใจพวกผมกันไม่นานทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปกันทำงานของตัวเองต่อ


และในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาถึง 8 โมงเช้าครับและงานโอเพนเฮาส์ของมหาวิทยาลัยของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในตอนแรกน้อง ๆ ชั้นมัธยมปลายยังไม่ค่อยมีครับพวกผมเลยสบายหน่อย


แต่พอเข้าช่วงสายเท่านั้นแหละพวกผมนี่แทบไม่มีเวลาทำอะไรกันเลยครับขนาดเวลาไปเข้าห้องน้ำยังไม่มีเลยครับ ผมพวกคงยังต้องทำงานต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงเที่ยงน้อง ๆ มัธยมปลายก็ค่อย ๆ ซ่าลงและผมก็ได้ฤทธิ์ทานเข้ากลางวันสักทีครับ


ผมเดินโซซัดโซเซไปที่โรงอาหารของคณะแต่ผมก็ต้องพบการณ์กลุ่มก้อนของนักเรียนมัธยมมหาศาลที่ไม่รู้มาจากไหนกัน นั่งจับจองโต๊ะภายในโรงอาหารกันจนหมดเกลี้ยงแล้วครับ ผมมองภาพตรงหน้าอย่างปลง ๆ พร้อมกับเดินโซซัดโซเซไปยังโรงอาหารของคณะอื่นซึ่งโรงอาหารของคณะอื่น ๆ มันก็ไม่ต่างจากโรงอาหารคณะผมสักเท่าไหร่ครับจนในที่สุดผมก็เดินเซไปมาจนถึงคณะแพทย์จนได้ครับ


ผมมองสภาพคณะแพทย์ด้วยสีหน้าปลง ๆ น้อง ๆ มัธยมปลายยังคงเต็มซุ้มคณะแพทย์อยู่เลยครับท่าทางคณะนี่ฮอตฮิตไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ นี่ขนาดยังไม่ได้เข้าไปใกล้มากนะครับคนยังเยอะขนาดนี้ถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้คนมันจะแออัดขนาดไหน ผมค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้นี้มาขึ้นโดยที่ตัวผมสูงอยู่แล้วผมก็เห็นร่างสูงของคุณพี่ศิรวิทย์ที่ยืนให้คำแนะนำลูกน้องอยู่ไกล ๆ ผมอมยิ้มกับใบหน้าจริงจังของพี่เขาและตัดสินใจที่จะเข้าไปทัก แต่ก็ไม่ทันที่ผมจะได้เดินเข้าไปบ่าของผมก็ถูกมือของใครสักคนพาดมาพร้อมกับเสียงทักทายดังขึ้น


“ไงกร มาแถวคณะไฮซ์มีอะไรเหรอ” และผู้เป็นเจ้าของมือนั่นก็คือไฮซ์เพื่อนสนิทสุดแสบของผมเองครับ ผมหันไปส่งยิ้มทักทายให้กับมันพร้อมกับโอดครวญถึงอาการท้องร้องให้มันฟัง “มาหาข้าวกินอ่ะคณะกรมีแต่เด็ก ๆ นั่งจองโต๊ะเต็มไปหมดเลย กรก็เลยเดินมาดูที่คณะอื่นบ้างว่าจะมีอะไรให้กินไหมแต่ก็เหมือนกันทุกคณะเลยเลยเดินยาวมาถึงคณะแพทย์ไง” ไฮซ์พยักหน้ารับทราบพร้อมกับออกปากชวนผมไปทานข้าวกลางวันด้วยกันแต่ว่าผมกลับขอเวลาไปทักทายพี่ศิแกก่อนครับ


“เดี๋ยวไปกินด้วยแต่กรขอไปทักพี่ศิก่อนนะไฮซ์” ผมพูดพร้อมขยิบตาให้ไฮซ์และหาทางที่แทรกตัวเข้าไปในซุ้มของคณะแพทย์แต่ดูเหมือนท่าทางของผมจะเก้ ๆ กัง ๆ สักหน่อยไฮซ์เลยออกปากที่จะพาผมเข้าไปทางด้านหลังซุ้มเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเบียดกับพวกรุ่นน้อง


“มานี่กรเดี๋ยวไฮซ์พาเข้าไป” ผมหันไปมองหน้าไฮซ์พลางพยักหน้าขอบคุณมือของผมถูกไฮซ์จับไว้แน่นพร้อมกับร่างสูงของไฮซ์เดินนำผมไปที่หลังซุ้มของคณะแพทย์


เมื่อไปถึงหลังซุ้มคณะแพทย์ผมก็เจอรุ่นพี่หลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายต่อหลายคน (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนพี่ศิแกทั้งนั้นครับ) ผมยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ที่ทำงานกันอยู่ซึ่งคนข้างตัวผมก็ทำเช่นเดียวกันกับผม พี่ ๆ ส่วนหนึ่งที่รู้จักผมดีก็ยกมือทักทายผม ส่วนรุ่นพี่ที่สนิทกับผมอย่างพี่วิกับพี่เตอร์พอทั้งสองคนเห็นผมพี่แกก็วิ่งถลาเข้ามากอดผมทันทีเลยครับพี่เตอร์แกเอาหน้าถูไถที่หน้าท้องของผมส่วนพี่วิแกเอาหน้าถูไถกับบ่าของผม ทั้งสองคนต่างร้องโอดครวญพร้อมกับพร่ำพูดแทบจะไม่เป็นภาษาแต่ผมก็พอจะจับใจความได้ว่า “เหนื่อยมากเลยน้องกร พี่หิวข้าว พี่ไม่ไหวแล้ว เอาพี่ออกไปจากตรงนี้ทีเถอะขอร้องแล้วก็พี่กำลังจะตายแล้วน้องกรที่รัก” ไอผมที่ได้ยินแบบนี้ก็ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับพูดปลอบคนทั้งคู่ไปมา ผมปลอบอยู่นานสองนานเลยหละครับกว่าพี่ ๆ ทั้งสองแกจะยอมปล่อยมือจากร่างของผมพี่เตอร์แกลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำหน้าเศร้าส่วนพี่วิเธอทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ผมพูดปลอบพี่ ๆ ทั้งสองคนอีกสักพักในที่สุดพี่วิกับพี่เตอร์ก็ยอมเดินกลับไปหน้าซุ้มคณะเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ซึ่งผมที่ตั้งใจจะไปหาพี่ศิที่ยืนอยู่หน้าซุ้มก็เอ่ยปากขอตามพี่เขาไม่ทันจนทำให้ผมต้องวิ่งตามออกไปทีหลัง ผมพลางเบียดไปมากับเด็ก ๆ ชั้นมัธยมสักพักในที่สุดร่างของผมก็ไปถึงพี่ศิผมสะกิดบ่าพี่เขาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยทักทายพี่เขาไป “สวัสดีครับพี่ศิ”


เสียงทักทายของผมทำให้พี่ศิแกสะดุ้งพร้อมกับหันหน้ามามองทางด้านหลัง เมื่อพี่ศิแกหันหน้ามาหาผม ผมก็จัดการส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมแกเกิดอาการตกใจเล็กน้อยครับก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวของผมเบา ๆ ผมคิดว่าไอการเขินอาจที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากเมื่อคืนนี่คงหมดไปแล้วนะครับ ผมคุยกับพี่ศิอีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปทานข้าวกับไฮซ์ก่อน ทว่าพี่ศิกลับยังไม่ยอมให้ผมไปแถมยังจับผมไปยืนข้าง ๆ พี่แกอีก


ไอผมก็มึนเลยสิครับเรียนวิศวะกลับโดนลากมาอยู่ซุ้มคณะแพทย์น้อง ๆ ถามคำถามกันมาทำเอาผมงงมิใช่น้อยแต่จะบอกว่าผมไม่ได้เรียนแพทย์แต่ดันมาอยู่ซุ้มคณะแพทย์มันก็ยังไง ๆ อยู่ผมเลยนิ่งเงียบและสะกิดให้พี่ศิแกตอบคำถามแทนผมยืนอยู่หน้าซุ้มนี่นานพอดูเลยครับ และมันก็นานพอที่จะทำให้ไฮซ์ที่ยืนรอผมอยู่หลังซุ้มเดินออกมาตามเสียงของไฮซ์เรียกชื่อของผมเบา ๆ ซึ่งผมก็จะหันไปคิดว่าจะเดินไปหามันนั่นหละครับ ทว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกายผมกลับคว้ามือของผมและจับไว้แน่นซ้ำนิ้วทั้งหน้าขอพี่แกก็แทรกเข้ามาระหว่างฝ่ามือของผม


การกระทำนั่นของพี่ศิทำให้ผมหน้าขึ้นสีขึ้นมาทันทีแต่ดีที่ไม่มีใครเห็นมือของผมกับพี่ศิที่กำลังสัมผัสกันผมก็เลยได้แต่โค้งหัวลงพร้อมกับบอกให้ไฮซ์ไปกินข้าวก่อนแล้วผมจะตามไปพร้อมกับพี่ศิ เมื่อไฮซ์เขาเห็นผมทำท่าทางแบบนั้นไปเขาก็ได้แต่ส่งรอยยิ้มกลับมาให้ผมจาง ๆ พร้อมกับโบกมือขอตัวไปทานข้าวก่อน พอผมหันหลังกลับมาพี่ศิก้ทำหน้าไม่พอใจออกมานิดหน่อยจนทำเอาผมสงสัยแต่ผมก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อหรอกครับ เพราะพี่ศิเป็นคนปากหนักไม่พอใจอะไรแกจะไม่ค่อยบอกต้องปล่อยให้หายเอง


ผมกับพี่ศิยังคงยืนแนะแนวน้องที่สนใจคณะแพทย์ไปสักพักในที่สุดซุ้มคณะแพทย์นี้คนก็ซาลงเสียที และในขณะที่ผมกับพี่ศิจะสลายตัวจากซุ้มไปทานข้าวกลางวัน (ที่ตอนนี้เลยมาราว ๆ 1 ชั่วโมงเพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าเกือบบ่ายสองโมงแล้วครับ) เสียง ๆ หนึ่งที่ผมรู้สึกคุ้นหูก็ถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของเด็กสาวชั้นม.ปลายก็เดินเข้ามาในซุ้มคณะแพทย์


“ขอโทษนะคะรุ่นพี่ คือฟ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคณะแพทย์หน่อยนะคะ รุ่นพี่จะไปแล้วเหรอคะแย่จังเลยแล้วแบบนี้ฟ้าจะถามใครได้หละเนี่ย” เสียงเล็กนั่นยังคงฟังแล้วระรื่นหูอยู่เช่นเดิมและไม่มีทางที่ผมจะจำเจ้าของน้ำเสียงนั่นผิดเพราะเธอคือ ‘น้ำฟ้า’ แฟนเก่าของผมนั่นเอง


ผมแทบจะไม่อยากหันหลังกลับไปมองทว่าพี่ศิผู้ที่รับหน้าที่ดูแลซุ้มกลับทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีร่างสูงพลิกตัวกลับไปเพื่อตะสนทนากับเธอคนนั้นโดยมือของพี่ศิยังคงกอบกุมมือของผมอยู่นั่นก็ทำให้ผมก็จำใจต้องหันไปมองหน้าของเธอคนนั้น ‘น้ำฟ้า’ หรือเด็กสาวผู้เป็นแฟนเก่าของผมเอง


พี่ศิหันไปต้อนรับเธอด้วยร้อยยิ้มส่วนผมนี่ก้มหน้าพร้อมกับพยายามหลบหน้าของเด็กสาวคนนั้น ไม่ใช่ว่าผมยังเจ็บปวดหรือเสียใจเพราะเธอนะครับเพียงแต่ผมไม่อยากพบเจอใบหน้าและรอยยิ้มที่แสนหลอกลวงผู้คนของเธอคนนี้อีกแล้ว ผมพยายามกระตุกมือของพี่ศิเบา ๆ แต่เหมือนเขาจะไม่รู้ตัวอะไรเลย ใบหน้าคมยังส่งยิ้มนั่นให้กับเธอคนนั้นและริมฝีปากหนาก็เริ่มเอ่ยพูดคุยออกไป
“สวัสดีครับน้อง สนใจอะไรหรือมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเรียนแพทย์เหรอครับหรือต้องการให้พี่อธิบายอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับริมฝีปากคมส่งรอยยิ้มบาง ๆ ไปให้ (แม้รอยยิ้มนั้นจะเป็นรอยยิ้มหลอกลวงผู้คนก็เถอะ)


“ว้าว รุ่นพี่คะฟ้าอยากรู้ว่าพอเริ่มขึ้นปีหนึ่งนี่ถ้าสายแพทย์ต้องเรียนอะไรบ้างเหรอคะ แล้วตอนขึ้นปีสองที่ต้องผ่าอาจารย์ใหญ่นี่น่ากลัวไหมคะแล้วก็เอ่อ…” คำถามของน้ำฟ้าเป็นคำถามเดิม ๆ ที่พวกเด็ก ๆ ชั้นมัธยมชอบถามกันซึ่งพี่ศิก็ตอบไปตามแพทเทินเดิมที่แกตอบมาตลอดครึ่งวันเช้าครับ


ผมพยายามจะแกะมือพี่ศิออกและวิ่งไปหลังซุ้มมากแต่พี่ศิยังคงจับมือผมไว้แน่นจนผมต้องตัดสินใจที่จะหลบหลังพี่ศิแกแทนวิ่งหนีออกไปจากที่ตรงนี้ เด็กสาวตรงหน้าเธอยิ้มแย้มอย่างกับว่าเธอไม่เคยทำอะไรผิด เธอยิ้มอย่างไม่เคยนึกย้อนกลับไปว่าเธอเคยเสแสร้งแกล้งทำอะไรไว้มั่ง


ผมยืนฟังทั้งสองคนคุยกันไปสักพักในที่สุดน้ำฟ้าเธอก็ทำตามแพทเทินเดิมของเธอครับนั่นคือการถามชื่อคู่สนทนาครับ (ทำไมถึงแพทเทินเดิมเหรอครับเพราะผมกับไอไฮซ์ก็เคยเจอแบบนี้มากันทั้งคู่ยังไงหละ)


“รุ่นพี่ชื่ออะไรเหรอคะ หนูชื่อน้ำฟ้าค่ะยินดีที่ได้รู้จักนะคะหนูอยากเรียนแพทย์มากเลยหละคะ” เธอพูดคุยกับพี่ศิอย่างคล่องแคล่วซึ่งสิ่งที่เธอพูดออกมานั่นโกหกหมดครับเพราะว่าเธอไม่ได้เรียนสายวิทย์คณิตครับ แต่เธอเรียนสายภาษาซึ่งแทบจะไม่ได้เรียนอะไรเกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์เลยสักนิดเดียวครับ หลังจากที่ผมได้รับฟังคำพูดของไฮซ์มาทำให้ผมรู้จักด้านเลวร้ายของผู้หญิงคนนี้มามากมายครับ คำพูดของเธอหลาย ๆ อย่างมันโกหกทั้งเพเลยครับ


ซึ่งผมเป็นคนที่โดนเธอโกหกใส่มากที่สุด ผมจึงรู้จักคำโกหกขอเธอเป็นอย่างดี…


“พี่ชื่อศิครับน้องน้ำฟ้าถ้าสงสัยอะไรมากกว่านี้ถามรุ่นพี่คนอื่นนะครับ พอดีพี่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย” พี่ศิบอกชื่อของตนไปพร้อมกับเอ่ยขอตัวไปทานข้าวซึ่งน้ำฟ้าเธอก็ไม่ปล่อยให้เป้าหมายที่เธอเลงไว้พลาดหรอกครับมือข้างหนึ่งของน้ำฟ้าเอื้อมมาคว้ามืออีกข้างของพี่ศิไว้พร้อมกับพูดขอเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของพี่ศิออกมา “พี่ศิคะ จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าเกิดว่าน้ำฟ้าอยากขอเบอร์มือถือของพี่ศิ”


พอพี่ศิแกได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักตัวแล้วคิดอยู่เล็กน้อยแต่พี่เขาก็กล่าวปฏิเสธออกไป นั่นทำให้ผมโล่งใจไปได้เปราะหนึ่งแต่น้ำฟ้าเธอก็ยังไม่ยอมแพ้ครับเธอพยายามที่จะหาทางที่จะติดต่อพี่ศิเป็นการส่วนตัวให้ได้เธอขอแทบจะหมุดทุกอย่างผมซึ่งอยู่ด้านหลังของพี่ศิก็เริ่มที่จะทนไม่ไหว ผมไม่ได้ทนไม่ไหวที่เธอมายุ่งกับคนสำคัญของผมหรอกครับแต่สิ่งที่ผมไม่ชอบใจนั่นก็คือการที่เธอเสแสร้งตีหน้าหลอกลวงและยังทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ทั้ง ๆ ที่เธอมีพิษสงร้ายกาจ


พี่ศิยังโดนน้ำฟ้ายื้อไว้ราว ๆ 10 นาทีตอนนี้พี่ศิมีสีหน้าลำบากใจสุด ๆ แล้วครับและตอนนี้เขาก็กำลังจะตัดสินใจให้เฟซบุค (ที่ไม่ค่อยได้เข้า) ของเขาไป ทว่าไอความอดทนของผมมันหมดลงเสียงก่อนผมที่ยังโดนพี่ศิกุมมือแน่นเดินสาวเท้าไปทางน้ำฟ้าพร้อมกับกระชากมือของพี่ศิออกมาจากมือของเธอ


น้ำฟ้าตวัดสายตามองมาที่ผมเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจและดุเหมือนเธอยังจะจำผมไม่ได้ครับเพราะตอนนี้ผมก้มหน้าก้มตาและไว้ผมคนละทรงกับเมื่อก่อน


แต่ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นใบหน้าของน้ำฟ้าก็แสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย (แค่เล็กน้อยเท่านั้นนะครับ) ก่อนจะส่งยิ้มและพูดแนะนำตัวให้กับผมอีกคน “สวัสดีค่ะหนูชื่อน้ำฟ้ายินดีที่ได้รู้จักนะคะรุ่นพี่” เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้จักผมครับ แต่ฝั่งผมไม่มีความจำเป็นที่จะทำเป็นไม่รู้จักเธอ


“ไม่ได้เจอกันนานนะครับน้องน้ำฟ้า ไม่ได้เจอกันไม่เท่าไหร่ถึงกับจำพี่ไม่ได้เลยเหรอครับถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ตอนนี้พี่กับพี่ศิหิวข้าวมากครับ ดังนั้นช่วยปล่อยมือพี่ศิด้วยเพราะพี่จะเป็นลมเพราะหิวข้าวแล้วครับ” ผมพูดด้วยถ้วยคำสุภาพพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ (แต่ทุกคนก็หน้าจะรู้นะครับว่าไอรอยยิ้มกว้างของผมมันแปลความหมายได้เป็นยังไง) ส่วนพี่ศินี่พี่แกตะลึงเลยครับที่ผมทำแบบนั้นลงไปแต่ดูพี่แกดีใจนิด ๆ นะครับเพราะพี่แกอาจจะคิดว่าผมหึงพี่เขาแต่ความจริงใช่ครับผมไม่อยากให้พี่ศิตกหลุมผู้หญิงข้างหน้าเขาต่างหาก


น้ำฟ้าพยายามตีหน้าเนียนไม่รู้เรื่องแต่ผมสุดจะทนแล้วครับผมเอ่ยขอตัวลาพร้อมกับดึงร่างพี่ศิให้กลับเข้าไปหลังซุ้ม ผมรีบเก็บกระเป๋าของตัวเองที่วางทิ้งไว้พร้อมกับหยิบกระเป่าของพี่ศิขึ้นมาและลากคุณพี่ศิรวิทย์ที่ฮอตฮิตมากในขณะนี้ไปยังรถสุดหรูของพี่เขา ผมแบมือขอกุญแจรถของพี่ศิซึ่งพี่แกก็ส่งให้ผมด้วยความงุนงงครับ และเมื่อผมปลดลอครถผมก็จัดการโยนของทุกอย่างในมือเข้าไปที่หลังรถและเรียกให้พี่ศิแกขึ้นรถมา


เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้นผมก็เหยียบคันเร่งรถไปเกือบ 120 แล้วตรงดิ่งกลับคอนโดเลยครับ เมื่อรถถึงคอนโดผมก็เดินลงจากรถพร้อมกับปิดประตูกระแทกและเดินนำพี่ศิไปที่ลิฟท์คราวนี้ผมรอให้พี่ศิเข้าลิฟท์มาพร้อมกันนะครับและกดลิฟท์ให้ตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นที่ 14 ทันที


พี่ศิแกก็มองออกนะครับว่าผมอารมณ์เสียมาก ๆ ผมแทบจะทนให้ลิฟท์ขึ้นไปยัน 14 ไม่ไหวและเมื่อมันขึ้นไปถึงชั้นที่ผมพักผมก็รีบดึงแขนให้ตรงไปยังห้องของผมเมื่อบานประตูห้องปิดลง ผมก็ดันไปศิไปกระแทกกับประตูและพูดใส่เครียดใส่พี่ศิว่า


“อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น...เด็ดขาด...ถ้าพี่ศิไม่อยากโดนเธอหลอกจนเกือบจะบ้าแบบกร” เมื่อผมพูดจนจบประโยคพี่ศิก็เกิดอาการงุนงงเล็กน้อยและเมื่อประโยคถัดไปของผมเอ่ยออกมาพี่ศิก็เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด


“เธอคนนั้นชื่อน้ำฟ้า...แฟนเก่ากรเอง”





_______________________________________________


โนคอมเมนค่ะตอนนี้ สถานะ...ป่วย//

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ที่แท้น้องกรก็ตกหลุมรักพี่ศิแล้วนิเอง  :mew3:
รอดูวิธีจีบของพี่ศิด้วยคน แต่เอ๊ะไม่ใช่ว่ากำลังจีบอยู่รึ  :hao7:
ว่าแต่ยัยน้องน้ำฟ้าโผล่มานิจะมาเป็นก้างระหว่างพี่ศิกะกรรึปล่าวนี่

รอตอนต่อไป หายป่วยไวๆนะคะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ omyim_jjj

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
คนเขียนหายไวๆนะ



ออฟไลน์ aelfy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
 :katai1: นังน้ำฟ้า นางจอมมารยา :angry2:

น้องกรตบมันค่ะ :fire:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เขินกันไปเขินกันมา จนเราเขินแทน

ยัยน้ำฟ้ามาทำไม

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
 :hao7:  น้องกรอย่าแกล้งพี่ศิสิ รู้ว่ารักแล้วจัดเลยกองเชียร์เพียบ อย่าให้น้ำฟ้ามาตัดหน้านะ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
น้ำฟ้าดูเหมือนจะร้ายกาจมากอ่า

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
แย่แล้ว แฟนเก่า (น้ำฟ้า) VS แฟนใหม่ (พี่ศิ)
พี่ศิต้องดีกว่าอยู่แล้ว เพราะน้องกรรักพี่ศิแล้ว อิอิ สู้ๆ

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ชะนีล้านเล่มเกวียนโผล่มาแล้ว! เชอะๆอ่อยไปเถอะยังไงพี่ศิคนดีก็มีแต่น้องกรเท่านั้น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


สวัสดีค่ะพลอยนะคะพอดีพลอยอยากจะสอบถามอะไรนิดหน่อยค่ะเนื่องจากพลอยแต่งนิยายเรื่องนี้จบแล้วพร้อมตอนพิเศษ 6 ตอน

พลอยเลยอยากจะสอบถามอะไรนิดหน่อยนะคะตามโพลด้านบนเลยค่ะ คืออยากจะรู้ยอดหนะคะว่ามีใครสนใจนิยายเรื่องนี้ไหมถ้าเกินรวมเล่ม

ถ้าเกิดโพลสอบถามนี้ผิดกฏยังไงขอโทษด้วยนะคะจะทำการลบทันทีค่ะ


ออฟไลน์ pemiko2012

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :katai2-1:

อ่านรวดเดียว ตามทันแล้วเย่ๆ
น้องกรน่ารักจุง ฮ่าๆๆๆๆ
เมื่อไหร่จะใช้คำว่าคนรักน้า อิอิ

แอบสงสัยไฮซ์แหละ คิดไรกะกรป่ะเนี่ย
ดูจากที่พี่ศิ ไม่พอใจเวลาน้องกรเจอไฮซ์

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
สวัสดีค่ะพลอยค่ะ เราคิดว่าตอนนี้ใครหลาย ๆ คนอาจจะหมั่นไส้อะไรสาวน้อยที่เพิ่งโผล่มาในตอนที่แล้ว แต่ตอนนี้...เราขอบอกไว้เลยว่า..คามพยายาม 25 ตอนของพี่ศิ สำเร็จแล้วค่ะ แต่...สำเร็จในด้านไหนก็ไม่รู้นะคะ





Chapter 25



‘เธอคนนั้นชื่อน้ำฟ้า...แฟนเก่ากรเอง’ เมื่อผมพูดจบประโยคนี้ห้องทั้งห้องก็เงียบสนิทผมไม่อยากที่จะเอ่ยปากพูดอะไรออกไปต่อ ส่วนพี่ศิเขาก็ไม่คิดจะพูดหรือซักถามอะไรผมออกมาเช่นกัน (ความจริงคือพี่ศิแกรู้นิสัยแฟนเก่าของผมหมดแล้วครับเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบจะทุกเรื่องที่ผมเจอ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ศิแกจะเชื่อที่ผมเล่าออกไปหรือเปล่า)


เรานิ่งเงียบใส่กันไปอีกสักพักในที่สุดมือของผมที่ดันร่างของพี่ศิให้ติดกับประตูก็ทิ้งตัวลงไปข้างกาย ใบหน้าของผมหันเบนหนีสายตาของพี่ศิ ริมฝีปากของผมเม้มแน่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง


ผมเตรียมที่จะหันหลังและวิ่งหนีพี่ศิเข้าไปหลบภายในห้องนอน ทว่าผมก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่หวังร่างของผมกลับถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดของพี่ศิ วงแขนแกร่งนั่นกอดรัดร่างของผมไว้แน่น


“พี่ขอโทษครับกร” เสียงทุ้มกระซิบแผ่นเบาข้างใบหูพร้อมกับใบหน้าคมที่ก้มหน้าซบลงไปที่บ่าของผม


ผมรู้สึกว่าคำขอโทษของพี่ศิที่เอ่ยออกมานั้นไม่ใช่คำขอโทษที่ทำให้ผมหงุดหงิดใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ หรือทำให้ผมไม่พอใจที่พี่ศิแกไปสนิทสนมกับน้ำฟ้า แต่คำขอโทษนี้น่าจะเป็นคำขอโทษที่พี่เขาคิดว่าตนเป็นต้นเหตุให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงอดีตที่ผมได้พบเจอและเสียใจกับมันมา ร่างของผมสั่นน้อย ๆ ในอ้อมกอดของพี่เขาพร้อมกับมือข้างหนึ่งของผมที่ยกขึ้นไปแตะเบา ๆ ที่ท่อนแขนแกร่งของพี่ศิ


และในขณะที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่ศินั้นผมก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาและก็ยังรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่พี่ศิแกมอบให้กับผม ริมฝีปากของผมที่เม้มเม้นเริ่มคลายออกก่อนจะแปรเปลี่ยนออกมาเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาแทน


“ขอบคุณครับพี่ศิกรไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ ที่กรรู้สึกไม่ชอบใจที่พี่ศิไปคุยหรือสนทนาอะไรกับน้ำฟ้าเป็นเพราะกรห่วงพี่ศิมาก ๆ และที่สำคัญกรอาจจะหวงพี่ศิด้วยล่ะมั้งครับถึงได้ไม่พอใจและแสดงออกมาแบบนี้” ผมเอ่ยถ้อยคำพวกนั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่ผมก็รู้นะครับว่าพี่ศิแกได้ยิน


ร่างของผมที่ในตอนแรกหันหลังและอยู่ในอ้อมกอดของพี่ศิตอนนี้ถูกมือแกร่งนั้นพลิกกายไปประจันหน้ากับพี่เขาพร้อมกับใบหน้าคมที่ค่อย ๆ โน้มตัวลงมาใกล้ใบหน้าของผม แต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนคิดกันไปว่าพี่ศิแกจะโน้มตัวลงมาจูบผมนะครับเพราะพี่แกแค่โน้มตัวลงมาเพื่อเอาหน้าผากของเขามาแตะเบา ๆ ที่หน้าผากของผมเท่านั้นเอง สายตาของเราทั้งคู่จ้องมองกันปลายจมูกของเราห่างกันไม่ถึงคืบผมจ้องมองดวงตาคมผ่านใต้กรอบแว่นสีดำสนิทไปอีกสักพักในที่สุดความเงียบงันที่เกิดขึ้นภายในห้องก็ถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มหากแต่ฟังแล้วรื่นหูของพี่ศินั่นเอง


“พี่ดีใจที่กรห่วงพี่นะครับและยิ่งดีใจเข้าไปอีกที่ได้ยินว่ากรก็หวงพี่เหมือนกับที่พี่หวงกร” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมานั้นแฝงไปด้วยความยินดีอย่างล้นเหลือแต่ทำไมหลังจากที่ผมได้ยินที่พี่ศิพูดประโยคนี้จบผมกลับรู้สึกสงสัยในคำว่า ‘พี่หวงกร’ ออกมากันได้หละ ผมจำได้ว่ารอบ ๆ ตัวผมไม่มีใครมาเกาะแกะเลยนี่นาแถมสาว ๆ ที่เคยเรียงคิวมาขอเบอร์ผมนี่หายหมดตั้งแต่เป็นข่าวกับพี่ศิมา


ผมดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของพี่ศิพร้อมกับเอ่ยคำถามที่ผมสงสัยในใจออกไป “นี่พี่ศิ…อย่างกรมีอะไรน่าหวงเหรอสาว ๆ มาเกาะติดก็ไม่มีแถมต้นเหตุที่ทำให้สาว ๆ หายหมดก็เป็นเพราะพี่ศินี่แหละ แล้วพี่จะมาหวงกรได้ยังไง” ผมกอดอกเอียงคอมองด้วยความสงสัย ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่คลี่รอยยิ้มกว้างออกมาแต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยพูดเพื่อคลายความสงสัยให้ผมเลยสักนิดเดียวซ้ำยังบอกผมด้วยถ้อยคำชวนงุนงงอีกว่า “ถ้ากรรู้ไปพี่ว่ากรจะไม่สบายใจเปล่า ๆ”


คือรู้กับไม่รู้ผมก็ไม่สบายใจพอ ๆ กันนั่นหละครับ เพราะถ้าไม่รู้ผมก็หงุดหงิดว่าทำไมมีอะไรไม่บอกและถ้ารู้ผมก็อาจจะคิดมากว่าเรื่องมันเป็นแบบนั้นได้ยังไง ไอมือขอผมนี่ยื่นไปหมายจะเขย่าคอของพี่ศิแต่เสียงเรียกเขาโทรศัพท์มือถือของพี่ศิดังขึ้นมาเสียก่อน พี่ศิล้วงโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดรับสายพร้อมกับเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ผมได้ยินด้วย


เสียงแรกที่แทรกมาคือเสียงของพี่วิครับเธอโอดครวญออกมาเสียงยกใหญ่จนผมเดาท่าทางของพี่วิออกเลยครับว่าตอนที่เธอกำลังพูดเธอนั้นทำท่าทางอะไรอยู่ “ศิที่รักกลับมาช่วยงานที่ซุ่มทีเถอะค่ะ วิรดาคนนี้จะไม่ไหวแล้ววิจะตายแล้วนะคะศิที่รักขา” พี่วิคร่ำครวญตามสายซึ่งเสียงพวกนั้นทำให้ผมกับพี่ศิลอบหัวเราะกันออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ไม่ทันที่พี่วิแกจะได้พูดโอดครวญอะไรต่อเสียงพี่เตอร์ก็ดังแทรกมาพร้อมกับเสีงพี่ซิที่กรีดร้องเหมือนแว่นดังมาจากที่ไกล ๆ นี่ท่าทางพี่เตอร์จะกระชากโทรศัพท์ออกจากมือของพี่วิแล้วเดินหนีพี่วิเพื่อคุยเงียบ ๆ สินะ


“ไอศิมรึงกลับมาด่วนเลยหายหัวไปไหนวะ ตอนนี้น้องแม่มล้นซุ้มมากถ้ามรึงไม่กลับพวกกรูก็ตายครับ” เสียงของพี่เตอร์แลดูจริงจังมากเลยครับ แต่ฟังเสียงที่แทรกเข้ามาตามสายโทรศัพท์เรื่องที่ว่าเด็ก ๆ เต็มซุ้มคณะแพทย์นี่น่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ ไอผมก็พยักหน้าเชิงอนุญาตให้พี่ศิแกกลับไปช่วยงานที่ซุ้ม (แต่ผมเป็นแม่พี่ศิแกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยพี่ศิแกถึงต้องมาขอคำอนุญาตจากปากผม) เพียงแต่ว่าว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์แกส่ายหัวปฏิเสธครับพร้อมกับพูดตอบกลับไปให้พี่วิกับพี่เตอร์แกฟังว่า “โทษทีนะวิ โทษทีนะเต๋อร์เราคิดว่าเราคงกลับไปช่วยที่ซุ้มไม่ได้แล้วแหละ ไม่ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ พอดีมีคน ๆ หนึ่งเขาไม่ค่อยพอใจที่เราต้องไปทำอะไรแบบนั้นน่ะสิ” พี่ศิเอ่ยตอบพี่เตอร์ออกไปพร้อมกับปรายตามามองผมซ้ำยังส่งรอยยิ้มยียวนกวนประสาทมาให้ผม
ไอทางผมที่เห็นรอยยิ้มแบบนั้นของพี่ศิก็คิดจะเอ่ยปากโวยวายแต่พี่ศิเขายกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากเพื่อบ่งบอกให้ผมเงียบเสียงของตนเอาไว้ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นผมก็ได้แต่เบ้ปากแล้วหันหน้าหนีและปล่อยให้พี่ศิคุยกับพี่เตอร์แกต่อ (เอาตรง ๆ นะครับผมว่าผมปล่อยให้พี่ศิแกฟังเสียงคร่ำครวญของพี่วิกับพี่เตอร์แกมากกว่า)


“ไอศินี่แกทิ้งเพื่อนเหรอวะ! นี่แกกล้าทิ้งเพื่อนของแกเลยเหรอ” รู้สึกว่าพี่วิแกจะถลามาแย่งโทรศัพท์มือถือแล้วกรีดร้องใส่โทรศัพท์มาครับไอผมนี่ยกมือขึ้นมาอุดหูแทบจะไม่ทัน เสียงพี่วินี่แสบแก้วหูได้ใจจริง ๆ เลยครับแถมนอกจากเสียงของพี่วิยังมีเสียงของพี่เตอร์แกแทรกมาเป็นพัก ๆ ด้วยครับ


ผมยืนกอดอกฟังที่พี่ศิคุยกับพี่ ๆ ทั้งสองคนไม่นานพี่ศิแกก็พูดรวบรัดพร้อมกับตัดสายทิ้งไปทันที เพราะท่าทางดูเหมือนพี่แกจะขี้เกียจฟังคำคร่ำครวญของพี่วิกับพี่เตอร์แล้วครับ และหลังจากที่พี่ศิแกตัดสายทิ้งพี่แกก็กดปิดเครื่องทันทีพร้อมกับโยนโทรศัพท์สุดหรูไปที่โซฟาที่ตั้งอยู่ในห้องของผม (เห็นแล้วเสียวไส้จริง ราคาโทรศัพท์แพงบรรลัย แต่พี่ศิแกดูเหมือนไม่รู้สึกถึงค่าของมันเลยครับ) ร่างสูงนั้นยืนบิดขี้เกียจอยู่สักพักก่อนที่จะหันกลับมาเอ่ยถามผมเรื่องข้าวกลางวัน


“กรครับ ยังหิวอยู่หรือเปล่าเนี่ยเห็นตอนมาที่ซุ้มคณะพี่โอดครวญว่าหิวข้าวเสียยกใหญ่” พี่ศิพูดเหมือนเตือนสติผมครับและหลังจากที่พี่แกพูดท้องของผมก็ร้องประท้วงทันที ผมจึงได้เงยหน้ามองพี่ศิแล้วยิ้มแห้ง ๆ ตอบไปให้


ร่างสูงตรงหน้าของผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ มือกร้านยกขึ้นมายีหัวผมเมื่อปกติและค่อย ๆ เดินเลยผมเข้าไปในห้องครัว สภาพการแบบนี้แสดงว่าผมจะได้กินอาหารรสชาติอร่อย ๆ ฝีมือพี่ศิแน่นอนเลยครับ ผมสาวเท้าเดิมตามพี่ศิเข้าไปในห้องครัวผมกับเสนอตัวเป็นลูกมือช่วยพี่ศิทำอาหาร (เรียกว่าช่วยทำอาหารก็ไม่ได้หรอกครับ เรียกว่าผมไปนั่งกดดันพี่ศิจะดีกว่านะครับ)


ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้รอพี่ศิทำอาหารไปคราวนี้ดูเหมือนพี่ศิแกจะทำอาหารมื้อใหญ่เลยหละครับ เพราะพี่แกเล่นเอาของในตู้เย็นของผมมาทำซะเกือบหมดตู้แถมหันมาส่งยิ้มแล้วบอกว่าไว้พี่จะซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ มาใส่คืนให้ด้วยครับ ท่าทางพี่แกคงอดกลั้นมานานหลังจากที่ผมไม่ได้ทานพี่ฝีมือพี่แก (รวมทั้งตัวแกเองไม่มีเวลาทำด้วย) ก็ได้มั้งครับแบบนี้น่ะ


ผมนั่งรอต่อไปอีกราว ๆ 30 นาที อาหารชุดใหญ่ฝีมือของเชฟศิรวิทย์ก็เสร็จครับจานกับข้าวทั้งหมดถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะทานข้าวพร้อมกับจานของข้าวสวยหอมกรุ่นที่สุกพอดี ผมคลี่ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจและเริ่มจัดการทานอาหารทั้งหมดหลังจากที่พี่ศิแกนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะ เราทั้งสองคนคุยกันไปทานข้าวกันไปจนในที่สุดเราทั้งสองคนก็จัดการอาหารบนโต๊ะกันหมดเกลี้ยงเลยครับ ผมไม่อยากจะบอกว่าอาหารมื้อนี้มันอิ่มเสียจนไม่รู้จะอิ่มยังไงเลยครับ หลังจากผมกับพี่ศิจัดการทานบนโต๊ะหมดผมกับพี่ศิก็ช่วยกันเก็บและทำความสะอาดจานกัน เมื่อจานทุกใบสะอาดเรียบร้อยและรวมไปถึงเครื่องครัวที่พี่ศิใช้ปรุงอาหารก็สะอาดเอี่ยมอ่องผมกับพี่ศิก็เคลื่อนตัวจานห้องทานอาหารไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมกับนอนเอกเขนกบนโซฟากันครับ


โซฟาบนในห้องของผมจะแต่งตางจากโซฟาในห้องของพี่ศิสักเล็กน้อยครับเพราะว่าโซฟาของผมจะเป็นแบบรูปตัวแอลครับดังนั้นสภาพของผมกับพี่ศิที่ซุกกันอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันก็จะเป็นพี่ศินั่งยืดเท้าเอาหลังพิงผนักพิงส่วนผมเหรอผมก็นอนเอาราบไปกับโซฟาแล้วหัวของผมก็หนุนบนตักของพี่ศิครับ ผมนอนกินขนมขบเคี้ยวไปส่วนพี่ศิก็นั่งอ่านเลคเชอร์และหนังสือเรียนของตัวเองไป


เราสองคนนั่งเล่นกันแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยครับจนตอนนี้ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าสว่างก็แปรเปลี่ยนเป็นสีนิลกาลซึ่งเป็นสีของท้องฟ้ายามราตรี


เสียงโทรศัพท์มือถือของผมกรีดร้องทำให้ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อยและเอามือควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมกดรับสายก่อนจะกรอกเสียงตนลงไปให้ผู้ถือสายอีกสั่งนั้นได้ยิน “ฮัลโหล ใครพูดสายอยู่ครับ” ที่ผมเอ่ยถามไปแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าคู่สนทนาที่คุยกับผมอยู่นั้นคือใคร


“สวัสดีค่ะพี่กร” ปลายสายเอ่ยชื่อของผมพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาแผ่ว เสียง ๆ นี้เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้ผมจำขึ้นใจและเป็นเสียงของผู้หญิงที่ผมไม่มีวันลืมเลยล่ะครับ เพราะมันเป็นใครไม่ได้จากเด็กสาวที่ผมเจอเมื่อตอนบ่ายหรือคนที่ทำให้ผมอารมณ์เสียในวันนี้ไงหละครับคนที่กำลังพูดสายกับผมในตอนนี้นั่นก็คือ ‘น้ำฟ้านั่นเอง’


“สวัสดีครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจึงทำให้พี่ศิที่ตอนนี้ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่หลุบตาลงมามองผมที่น้ำเสียงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ผมโบกมือให้พี่ศิเชิงบอกว่าอย่าเพิ่งถามอะไรก่อนจะเปิดสปีกเกอร์โทรศัพท์แล้ววางไว้บนโต๊ะนั่งเล่นข้างหน้า


“วันนี้พี่กรทำน้ำฟ้ารู้สึกไม่ดีเลยนะคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจออกมาแต่มีหรือผมจะสนใจความรู้สึกของพี่หญิงร้ายกาจคนหนึ่ง คำตอบของคำถามนี้ผมขอบอกเลยครับว่าผมไม่มีวันสนใจหรือแคร์ความรู้สึกอะไรของผู้หญิงคนนี้อีกแล้วครับ


“น้ำฟ้ารู้สึกไม่ดีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมหละครับ” ผมตอบคำถามเธอไปพร้อมกับหยิบแก้วน้ำขึ้นมาส่งให้พี่ศิ (พอดีพี่ศิแกกระซิบผมว่าหิวน้ำครับผมเลยหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าให้)


“ก็พี่กรมาขัดขวางน้ำฟ้านี่คะ ตั้งแต่รอบพี่ไฮซ์แล้ว” ผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างที่ไฮซ์และเพื่อนผู้หญิงหลาย ๆ คนของผมบอกจริง ๆ เธอมักจะทำตัวละรานคนที่มาขัดขวางการจีบผู้ชายเสมอและสำหรับผมที่รู้ธาตุแท้ของเธอแม้ผมจะเป็นผู้ชายเธอก็มาวีนหรือโวยวายใส่ผมได้ครับ (ผมหมดประโยชน์กับเธอแล้วไง)


“ขัดขวางเหรอครับ ผมแค่ช่วยพี่ศิเท่านั้นเองครับเพราะผมไม่อยากให้พี่ศิเขาเจอผู้หญิงอย่างน้ำฟ้าไม่สิไม่อยากให้พี่เขามายุ่งเกี่ยวกับน้ำฟ้าเลยต่างหากหละครับ”ผมตอบกลับไปน้ำเสียงของผมนี่เริ่มใส่อารมณ์มากขึ้นเรื่อง ๆ พี่สิที่กำลังดื่มน้ำอยู่พลางปรายตามองผมพร้อมกับอมยิ้มออกมา


พี่ศินะพี่ศิมาทำหน้าดีใจอะไรตอนนี้  โอเคครับ ผมยอมรับว่าผมไม่พอใจน้ำฟ้าที่มายุ่งกับพี่ศิแต่ผมยังไม่ได้บอกพี่เขาเลยนะครับว่าผม ‘หึง’ พี่เขา แต่ผมแค่ ‘หวง’ พี่ศิเท่านั้นเองครับ


“พี่กรนี่ไม่ตามใจน้ำฟ้าเหมือนเมื่อก่อนเลยนะคะ น้ำฟ้าอยากได้อะไรให้นำฟ้าหมดแต่คราวนี้พี่กรกับไม่ยอมตามใจน้ำฟ้าเลย” น้ำเสียงเธอเริ่มออดอ้อนผมครับแต่ผมก็รับรู้ได้ในน้ำเสียงนั่นว่าเธอกำลังเริ่มไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่แล้ว ความจริงเธอก็ไม่พอใจตั้งแต่เริ่มโทรมาหาผมแล้วหละครับแต่นี่แค่ยิ่งทวีความไม่พอใจจากเดิมมากกว่า แต่ผมสงสัยนิดหน่อยนะเนี่ยน้ำฟ้าเธอยังเก็บเบอร์โทรศัพท์มือถือผมไว้อยู่อีกเหรอเนี่ยน่าแปลกใจจริง ๆ หรือเธอจะเก็บแต้มกันนะ ถ้าถามถึงทางด้านผมเรื่องเบอร์โทรศัพท์ของน้ำฟ้าผมไม่อยากจะบอกเลยว่าผมลบไปตั้งแต่วันแรกที่ผมเลิกกับเธอไปแล้วหละครับ


“แล้วผมมีความจำเป็นอะไรที่ต้องตามใจน้ำฟ้าหละครับ” ผมพูดตอบเธอไปอย่างไร้อารมณ์ซ้ำผมยังลุกขึ้นมาบีบจมูกพี่ศิคืนด้วยเพราะตอนที่น้ำฟ้าเธอพูดเมื่อสักครู่พี่แกขยับปากให้ผมอ่านว่า ‘เด็กขี้แกล้ง’ แล้วนิ้วเรียวของพี่ศิยกขึ้นมาบีบจมูกของผมเบา ๆ
ผมคิดว่าถ้าน้ำฟ้าเธอมาเห็นสภาพผมกับพี่ศิตอนนี้เธออาจจะถอยกรูไปติดข้างฝาแล้วกรีสร้องรับไม่ได้แน่นอนเลยครับเพราะว่าคนที่เธอเล็งไว้กลับมานั่งเล่นกุ๊กกิ๊ก ๆ อะไรกับผม


“ในฐานะที่น้ำฟ้าเป็นผู้หญิงแล้วพี่กรเป็นผู้ชายไงคะ ต่อให้พี่กรเป็นเพื่อนกับพี่ศิก็ควรหลีกทางให้พี่ศิได้เจอกับผู้หญิงที่เหมาะสมกับพี่เขานะคะ” ประโยคนี้ที่น้ำฟ้าพูดทำให้ผมสะอึกออกมาเบา ๆ มันก็เป็นความจริงนั่นแหละครับที่ผมควรปล่อยให้พี่ศิแกได้เจอกับผู้หญิงดี ๆ และเหมาะสมกับเขาแต่ผู้หญิงดี ๆ คนนั้นมันต้องไม่ใช่น้ำฟ้าแน่นอนครับ


“ผู้หญิงที่เหมาะสมกับพี่ศิตอนนี้พี่ยังหาไม่เจอเลยนะครับ แต่ถ้าน้ำฟ้าหมายถึงตัวเอง พี่คิดว่าน้ำฟ้าคงเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับตัวเองนิดหน่อยหละครับ เพราะผมคิดว่าน้ำฟ้าไม่ได้มีอะไรเหมาะสมกับพี่ศิเลยสักนิดเดียว” ผมตอบเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่ภายในใจของผมกลับสั่นไหว ถึงแม้ผมจะยอมรับได้กับความรักของคนเพศเดียวกันแต่ผมกลับลืมไปเลยว่าพี่ศิเขาอาจจะไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น (ซึ่งผมก็ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นเหมือนกัน) ก็ได้ สิ่งที่เราเป็นอยู่แบบนี้อาจจะเป็นความเข้าใจผิดที่เราทั้งสองคนสนิทกันมากเกินไปก็เป็นได้


หัวใจของผมสั่นไหวไม่แพ้แววตากำลังที่สั่นเครือเมื่อผมเอ่ยตอบน้ำฟ้าไปจนจบประโยคริมฝีปากของผมก็เม้มเข้าหากันแน่นภายในสมองของผมไม่ได้หาถ้อยคำโต้ตอบน้ำฟ้าแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมกลับนึกถึงเรื่องพี่ศิกับตัวผมและความสัมพันธ์ของเราสองคน แต่ดูเหมือนคุณพี่ศิรวิทย์แกจะอ่านใจผมออกนะครับมือกร้านถูกยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ดันหัวของผมให้ไปซบกับบ่าของพี่เขา เสียงของน้ำฟ้ายังคงดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือของผมแต่สภาพของผมในตอนนี้กลับไม่รับรู้อะไรที่อยู่รอบตัวอีกแล้วครับ





v
v
v
v
v
v


ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



เพราะในขณะที่พี่ศิดันหัวของผมให้ไปซบบ่าของพี่ศิมือกร้านข้างนั้นก็จับคางของผมให้หันตามไปด้วยหลังจากนั้นริมฝีปากหนานุ่มก็ทาบทับลงมาที่ริมฝีปากของผมและค่อย ๆ ไล้เลียริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา มือทั้งสองข้างของผมทุบไปที่แผ่นอกของพี่ศิทว่าร่างกายจองผมกับไร้เรี่ยวแรง ดวงตาทั้งสองข้างผมค่อย ๆ ปรือตาหลับลงพร้อมกับรับสัมผัสที่พี่ศิมอบให้นั้นอย่างเต็มใจ
มือทั้งสองข้างของผมแปรเปลี่ยนจากการทุบแผ่นอกของพี่ศิเป็นขยำเสื้อนิสิตของพี่เขาแน่น เวลานั้นผ่านไปไม่รู้กี่นาทีแล้วในที่สุดพี่ศิก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระแต่ที่ร่างสูงนั้นก็ไม่คิดจะปล่อยให้ผมหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา เสียงทุ้มของพี่ศิก็กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของผม ถ้อยทำนั่นทำให้ใบหน้าที่แดงเรื่องของผมยิ่งขึ้นสีจัดยิ่งกว่าเดิมเข้าไปใหญ่


 “สำหรับพี่...กรคือคนที่สำคัญและพิเศษที่สุดจนไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้นะครับ ได้โปรดอย่าฟังคำพูดของคนอื่นเลยครับกร” ถ้อยคำเหล่านี้ดังก้องไปมาอยู่ภายในหัวของผมและไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ร่างของผมถูกรวบไปกอดแน่นใบหน้าของผมซุกอยู่บนบ่าของพี่ศิ เราทั้งสองคนนั่งกันอยู่แบบนี้ไปสักพักสายโทรศัพท์ของน้ำฟ้าถูกตัดไปแล้วทว่าพี่ศิแกก็ยังไม่คิดที่จะคลายอ้อมแขนของตัวเองออกผมจึงนั่งอยู่ในสภาพแบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเสียงเคาะประตูและเสียงปลดลอคห้องของผมก็ดังขึ้นซึ่งทำเอาผมกับพี่ศินี่เด้งตัวออกจากกันแทบจะไม่ทัน


บานประตูห้องของผมถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของไฮซ์ที่เดินนำเข้ามาอย่างรวดเร็วและตามด้วยไอบาส ไอเจมส์ และเหล่าก๊วนสนิทมิตรสหายของผมทั้งหมด แต่ละคนถือของกินกันมาเต็มไม้เต็มมือแต่กลุ่มคนที่เข้ามาในห้องของผมนั้นไม่ได้มีแต่พวกเพื่อน ๆ ของผมทางด้านหลังสุดก็ยังปรากฏร่างของพี่วิกับพี่เตอร์ที่พากันกอดคอเดินโซซัดโซเซเข้ามา


“กร...เป็นอะไรหรือเปล่า” ไฮซ์รีบเดินมาหาผมพร้อมกับเอ่ยถามผมด้วยความเป็นห่วง ผมรู้สึกว่าไฮซ์กับเพื่อน ๆ ทุกคนของผมนี่น่าจะรู้ว่าวันนี้ผมเจอได้น้ำฟ้า


“เปล่า ไม่เป็นอะไรมากหรอก เมื่อกี้น้ำฟ้ายังโทรมาหากรเลยเรื่องที่กรไปขัดขวางน้ำฟ้าไว้” ผมลุกขึ้นพร้อมไหวไหล่ไปทางพี่ศิ ซึ่งพี่ศิแกก็ลุกขึ้นมาต้อนรับเพื่อน ๆ ของผม  (และของตัวแกเอง) ด้วยเช่นกัน


สิ้นเสียงที่ผมเอ่ยออกไปเพื่อนทั้งหมดของผมก็หันมามองที่ผมพร้อมกับทำสีหน้าตกใจกันทุกคน ไอผมก็เลยหลุดหัวเราะออกมาเสียงยกใหญ่กับท่าทางของเพื่อน ๆ แต่ละคน ผมส่งยิ้มให้พวกมัน (รวมไปถึงพี่วิกับพี่เตอร์ด้วย) แล้วกล่าวเชิญให้ทุก ๆ คนเข้ามาในห้องอย่างไม่ต้องเกรงใจ


“เข้ามา ๆ เลยซื้ออะไรกันมาเยอะแยะนั่น วางแผนจะมากินเลี้ยงกันที่ห้องของกรหรือไง” ผมเดินออกไปช่วยพรีมถือของที่เต็มไม้เต็มมือแต่ไฮซ์กลับเข้ามาหยิบถุงพวกนั้นออกไปจากมือของผมก่อนผมมองมันด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรทุกคนทยอยกันเอาของไปเก็บในครัวก่อนจะออกมานั่งล้อมวงคุยกัน


ผมนั่งอยู่ข้างพี่ศิพร้อมกับเอนหัวไปซบที่บ่าของพี่เขา แต่ละคนพูดคุยกันถึงเรื่องของวันนี้บ้างก็นั่งกินขนมกินน้ำอัดลมกันไปสนใจที่สุดทุกคนก็วกกลับมาเปิดประเด็นเรื่องของน้ำฟ้า


“กร…กรูนึกว่ามรึงจะหนีกลับมาร้องไห้ซะอีก ไหงกลับมานั่งสวีทกับพี่ศิแบบนี้ได้วะ” ไอบาสพูดประโยคแรกผมก็ซึ้งใจอยู่แต่ไอประโยคหลังผมนี่แทบจะกระโดดเข้าไปเตะปากไอบาสมันจริง ๆ แต่ผมก็แค่ทำได้แต่หาอะไรใกล้มือปาใส่มันแทน ไอบาสโยกหัวหลบพร้อมกับส่งรอยยิ้มยียวนกลับมาให้


“สวีทเตี่ย กรูพาพี่ศิเขาโดดงานมาก็เลย พามาเทคแคร์เท่านั้นเอง” ผมยกหัวออกจากบ่าของพี่ศิพร้อมกับพูดเถียงใส่พวกมัน
พวกเราทุกคนในห้องคุยกันเฮฮาไปจนเวลานั้นล่วงเลยจนตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วทุกคน ๆ คนก็เอ่ยขอตัวและทยอยกันกลับบ้านกลับหอกันไปหมดดังนั้นภายในห้องตอนนี้ขอบผมเหลือไอบาส ไอเจมส์ ไฮซ์และพี่ศิที่ช่วยกันเก็บขยะที่ทุก ๆ คนกินกันในที่สุดเวลาก็เลยไปถึงสี่ทุ่มครึ่งภายในห้องของผมก็สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเดิมครับ (ทำไมไอไฮซ์ ไอบาส ไอเจมส์ถึงยังอยู่ในห้องของผมหนะเหรอครับพวกมันทั้งสามคนมันตกลงกันว่าจะนอนที่ห้องผมกันซึ่งผมก็ปฏิเสธไม่ได้ก็เลยยอม ๆ ให้มันนอนไป ส่วนพี่ศิเป็นเพื่อนบ้านผมดังนั้นอยู่ใกล้เลยต้องรับเคราะห์ช่วยกันเก็บขยะในห้องของผมด้วยแต่ดูเหมือนพี่แกจะเต็มใจช่วยนะครับท่าทางแบบนั้น)


และเมื่อทุกอย่างภายในห้องสะอาดเรียบร้อยผมพี่ศิก็ขอตัวกลับห้องตัวเองไปและก่อนบานกระตูห้องของผมจะปิดลงพี่ศิก็ส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้ผมแต่มีเพียงวูบหนึ่งสายตาอันแสนอ่อนโยนของพี่ศิก็แข็งกร้าวและจ้องมองผ่านตัวผมเข้าไปในห้อง


หลังจากที่ผมส่งพี่ศิที่หน้าห้องเสร็จแล้วผมก็หันหลังกลับมามองสามสหายที่นั่งทำตัวเป็นเจ้าของห้องของผมอยู่ผมไล่ให้ไอเจมส์กับไอบาสไปนอนห้องนอนที่ว่าง (ซึ่งเดิมเป็นห้องนอนของคุณเจ้ของผม) ส่วนไฮซ์ผมก็บอกให้มันเข้ามานอนห้องเดียวกับผมครับซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ไฮซ์มันได้เข้ามานอนในห้องของผมดังนั้นเสื้อผ้าของมันก็ไม่มีใครผมจึงจำใจโยนเสื้อผ้าและชุดนอนของผมให้มันไปเปลี่ยน ไฮซ์ส่งยิ้มมาให้ผมพร้อมกับเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ


(อ่อ ที่หลาย ๆ ท่านสงสัยว่าพวกกระดาษโน้ตของพี่ศิหายไปไหนหมดผมจะบอกว่ามันไม่มีที่ติดจนผมต้องเก็บกระดาษโน้ตพวกนั้นลงกล่องและยัดใส่ลิ้นชักไปแล้วหละครับดังนั้นห้องนอนของผมก็ไม่กลายเป็นห้องแห่งความลับอีกแล้วครับ)


ผมซึ่งอาบน้ำเสร็จแล้วเพราะใช้อำนาจมืดของเจ้าของห้องก็นั่งเตะเท้าเล่นอยู่บนเตียงพร้อมกับรอให้ไฮซ์มันออกมาจากห้องน้ำด้วยผมนั่ง (และนอนกลิ้ง) บนเตียงไปสักพักร่างสูงของไฮซ์ที่อยู่ในชุดนอนของผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ “กรผ้าขนหนูนี้ให้ไฮซ์เอาไปพาดไว้ตรงไหน” ผมหันไปมองเล็กน้อยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ราวตากผ้าที่วางไว้ข้าง ๆ ห้องน้ำ ไฮซ์พยักหน้าตอบรับพร้อมกับเดินเอาผ้าผืนนั้นไปพาดเอาไว้แล้วเดินมานั่งบนเตียงข้าง ๆ ผม


“สภาพแบบนี้นึกถึงตอนกรไปนอนที่บ้านไฮซ์เลยนะ ตอนนั้นกรร้องไห้ด้วยที่ไฮซ์แกล้งปิดไฟห้องน้ำตอนกรอาบน้ำอยู่” เสียงของไฮซ์พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ ไอถ้อยคำพวกนั้นทำให้ผมรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมากใครใช้ให้ใครเอาเรื่องเก่าเรื่องแก่ออกมาพูด เมื่อสิ้นเสียงนั้นผมก็ควานหาหมอนเอาไปฟาดไฮซ์เสียหลายที


“นั่นมันเป็นเรื่องมากี่ชาติแล้วครับไฮซ์ เลิกพูด ๆ ตอนนี้กรไม่เป็นแบบนั้นแล้วสักหน่อยนะ” ผมพูดไปเสียงของไฮซ์ก็หัวเราะออกมามือทั้งสองข้างของเขาพลางยกมือมาปัดป้อง


เราเล่นกันแบบนี้ไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ในที่สุดไฮซ์ก็คว้าข้อมือของผมและดึงผมเข้าไปกอด “ไฮซ์เล่นบ้าอะไรวะ ปล่อยดิ” ผมพูดบ่นใส่มันพร้อมกับดิ้นไปมาเบา ๆ ทว่าเสียงทุ้มของไฮซ์ที่เอ่ยออกมาหลังจากผมโวยวายนั้นทำให้ผมต้องหยุดดิ้นและนั่งนิ่ง ๆ ฟังคำพูดของผม


“กรรู้ไหม พอไฮซ์รู้ว่าน้ำฟ้ามาที่ซุ้มคณะแพทย์ตอนกรอยู่ในนั้นแล้วโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง…แล้วลากพี่ศิออกมาจากซุ้มไฮซ์ห่วงกรมากเลยนะคิดว่าจะแอบไปร้องไห้ที่ไหนหรือเปล่า” ไฮซ์เงียบเสียงไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาต่อ “แต่ไฮซ์เห็นกรยิ้มได้หัวเราะได้นี่ไฮซ์ก็ดีใจมากแล้วหละ” มือของไฮซ์ลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา


ผมอมยิ้มน้อย ๆ กับการกระทำของมันและยอมให้ไฮซ์มันลูบหัวผมแบบนั้นต่อไป ซึ่งเมื่อก่อนหน้าที่ปลอบผมเวลาร้องไห้ก็จะเป็นหน้าที่ของไฮซ์มันนั่นหละครับผมเลยยอมให้มันลูบหัวปลอบแบบนี้ เราทั้งสองคนนั่งแบบนี้ไปสักพักเสียงเมสเสจของโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นทำให้ผมเด้งตัวออกจากไฮซ์และไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาอ่าน เมสเสจนี้เป็นเมสเสจจากพี่ศิครับและเมสเสจที่พี่ศิแกส่งมาให้ผมมันก็มีข้อความเขียนส่งมาว่า ‘คืนนี้ฝันดีนะครับกร อย่าหลับจนน้ำลายยืดแบบตอนที่แอบหลับบนตักของพี่นะครับ’ ผมอ่านประโยคพวกนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะพิมพ์เมสเสจส่งกลับไปให้พี่ศิเขา และในขณะที่ผมพิมพ์ส่งเมจเสจไปผมไม่ได้หันไปมองเพื่อนสนิทที่สุดของผมเลยว่ามันกำลังทำสายตาแบบไหนและยังไงอยู่ ผมทิ้งให้ไฮซ์นั่งอยู่ทางด้านหลังและตัวผมก็หันไปมีความสุขกับข้อความที่โต้ตอบไปมาของผมกับพี่ศิ


แววตาที่สั่นไหวจ้องมองมาที่แผ่นหลังของผมโดยที่ตัวผมไม่ได้รับรู้อะไรเลยว่าผู้เป็นเจ้าของสายตานั้นจะมีความรู้สึกอย่างไร
หลังจากผมคุยกับพี่ศิจบผมก็ถลาขึ้นไปบนเตียงซึ่งไฮซ์นอนหลับตาอยู่ก่อนแล้วผมมองหน้ามันแล้วยิ้มออกมาน้อย ๆ กับใบหน้ายามหลับของมัน และที่ผมยิ้มออกมาเพราะผมคิดว่าผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้อีกแล้วครับแต่ก็เป็นเพราะผู้ช่วยจอมวางแผนคงหนึ่งทำให้ผมได้กลับมาคุยกับเพื่อนสนิทที่สุดคนนี้กับผมอีกครั้ง เอาหละครับหลังจากนี้ผมขอเวลาส่วนตัวสักหน่อยนะครับราตรีสวัสดิ์ครับไว้พรุ่งนี้เจอกันนะครับ




ผมนอนขดตัวอยู่บนเตียงอันหนานุ่มและที่สำคัญผ้าห่มผืนที่ผมห่มอยู่มันก็อุ่นมาก อุ่นและนุ่มจนผมไม่อยากจะตื่นแต่ด้วยอำนาจมืดของใครก็ไม่รู้มากระชากผ้าห่มออกจากร่างของผมจนทำให้ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงพร้อมกับหันไปชี้นิ้วด่าผู้เป็นอำนาจมืดคนนั้น และคน ๆ นั้นมันก็เป็นใครไปไม่ได้จากไอไฮซ์นั่นแหละครับ “เชี่ยไฮซ์ครับ ทำอะไรเนี่ยคนเขาจะหลับจะนอน มาทำตัวเป็นเด็กดีนอนไวตื่นไวแบบนี้วะ ไม่เหมือนพี่ศิเลยตอนพี่ศิปลุกกรไม่เห็นปลุกรุนแรงอะไรแบบนี้เลย”


ผมบ่นงึมงำใส่ไฮซ์ไปแต่ผมก็ยอมตื่นตามที่มันปลุกนะครับผมค่อย ๆ คลานลงจากเตียงและหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้ที่ราวตากผ้าหน้าห้องน้ำผมใช้เวลาอาบน้ำราว ๆ สิบนาทีพร้อมกับแต่งตัวและเซทผมอีกสิบนาที ในตอนนี้ผมก็แต่งตัวสวมเสื้อนิสิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ผมเดินเปิดประตูห้องนอนออกมาก่อนพร้อมกับหันมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาไฮซ์ครับ (พอดีเมื่อกี๋ตอนที่ผมออกมาจากห้องน้ำไฮซ์เขาไม่ได้อยู่ในห้องนอนผมครับ) แล้วผมก็ไปเจอไฮซ์ที่กำลังง่วนทำอะไรอยู่ในครัว ผมสาวเท้าเดิมเข้าไปในครัวพร้อมกับชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่ไฮซ์เขากำลังทำอยู่


“จะทำข้าวเช้าเหรอไฮซ์” ไฮซ์สะดุ้งตัวโหย่งพร้อมกับหันหลังมามองที่ผมใบหน้าของไฮซ์พยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยเป็นการตอบว่า ‘ใช่แล้ว’


“แต่สภาพแบบนี้จะกินได้ไหมเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับดูสภาพห้องครัวผมกระตุกยิ้มน้อย ๆ แล้วผลักให้ไฮซ์ออกไปยืนด้านข้างแล้วจัดการทำข้าวเช้าเอา “เอาเป็นแบบสไตล์ฝรั่งแล้วกันนะเพราะไฮซ์เตรียมของเอาไว้แล้วด้วย แต่เรื่องทอดไข่กับแฮมกรไม่รับปากนะว่ามันจะไหม้หรือเปล่า” เมื่อพูดจบผมก็หยิบผ้ากันเปื้อนตัวเก่งของผมมาสวมแล้วก็จัดการตอกไข่ลงไปในกระทะพร้อมกับกระโดดหนีน้ำมันที่มันกระเด็นใส่ ท่าทางที่แสดงออกมาของผมทำให้ไฮซ์หัวเราะออกมาเสียงดังจนทำให้ไอเพื่อนสองคนที่นอนอยู่อีกห้องเอามือปิดปากหาววอด ๆ กันออกมาจากห้อง


“ทำอะไรเสียงดังพวกกรูตื่นหมดแล้วเนี่ย” ไอบาสพูดบ่นเป็นคนแรกพร้อมกับเดินมาดันผมออกจากกระทะแล้วจัดการทอดไข่ฟองนั้นเอง ท่าทางมันกลัวว่าผมจำห้องไฟไหม้หละมั้งครับเพราะว่าเวลาที่ไอบาสมันเห็นผมเข้าครัวทำอาหารคาวต่อให้มันง่วงนอนมากขนาดไหนมันก็จะรีบวิ่งมาทำแทนผมทันทีเลยครับ


“ไอไฮซ์ให้กรมันทำกับข้าวอยากเห็นไฟไหม้ห้องมันหรือไง” เสียงของไอเจมส์พูดออกมาหลังจากไอบาสพูดจบมือข้างหนึ่งของมันยกมือขึ้นมาป้องปากหาวตามไอบาสส่วนอีกข้างถูกยกขึ้นไปเกาที่ท้ายทอย ไอเจมส์มันสาวเท้าเดินเข้ามาในห้องตามไอบาสมาติด ๆ พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงไปบนโต๊ะทานอาหาร


พวกผมทั้งสามคนรอเชฟบาสทำอาหารเช้ากันสักพักไม่นานนักอาหารเช้า 4 ชุดก็ถูกนำมาวางเรียงไว้บนโต๊ะทานข้าวและพวกเราทั้งสี่คนก็นั่งจัดการอาหารในจานกันจนเกลี้ยง พวกเราทั้งสี่คนนั่งหัวเราะกันแบบเดิมเหมือนกับตอนมัธยม (แต่ก็ขาดกานต์ไปหนึ่งคนนะครับ) พร้อมกับคุยเรื่องสนุกสนานเฮฮากันออกมาเราคุยกันจวบจนเวลาล่วงเลยมาถึงเจ็ดโมงแล้วหละครับผมมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังก่อนจะเอ่ยขอตัวและรีบไปหยิบกระเป๋านิสิตมาถือไว้


“ไปก่อนนะสายแล้ว” ผมหันไปขยิบตาใส่พักพวกพร้อมกับรีบสาวท้าเดินออกไปจากห้อง ทุกคนคงคิดว่าสายแล้วอะไรของผมกันหละ แต่ว่าเวลานี้ของผมมันถือว่าสายแล้วหละครับเพราะว่าถ้าเกิดออกจากห้องช้ากว่านี้ผมจะออกมาไม่ทันสารถีที่ขับรถไปรับไปส่งผมที่มหาลัยไงหละครับ


ผมที่รีบเปิดประตูห้องของตัวเองออกไปมันก็เป็นจังหวะพอดีที่พี่ศิเปิดประตูห้องออกมาเช่นกันผมหันไปสบตากับพี่ศิพลันเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันก็ลอยเข้ามาใน


ริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับพร้อมกับลิ้นที่ไล้เลียที่ริมฝีปากของผม และไอความคิดพวกนั้นทำให้ผมสติแตกและแทบอยากจะปิดประตูห้องตัวเองทันทีเลยครับ


ทว่ามันก็ไม่ทันแล้วใบหน้าของพี่ศิหันมามองทางผมพร้อมกับเอ่ยทักทายออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนจะสดชื่น “อรุณสวัสดิ์ครับกรเมื่อคืนหลับสบายไหมครับ”


ถ้าไม่นับว่าเรื่องที่พี่ศิแกจูบผมผมก็หลับสบายดีแหละครับ แต่ถ้าให้นับเรื่องนั้นนี่ผมอยากจะบอกว่าผมโคตรจะไม่สบายดีเลยครับ ผมกระตุกยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบพี่ศิไปเบา ๆ


“งั้นเหรอครับ งั้นไปกันเถอะ แต่เออ…วันนี้เรากับพี่ตกลงกันแล้วว่าจะไม่ไปช่วยที่ซุ้มคณะแล้วแบบนี้เราจะไปไหนกันแทนครับ” พี่ศิทำท่าชวนผมไปมหาวิทยาลัยแต่ว่าเมื่อวานพวกเราสองคนตกลงกันไว้แล้วว่าเราจะไม่ไปช่วยงานที่ซุ้มของมหาวิทยาลัยอีกแต่ดูเหมือนพี่ศิจะตีเนียนทำเป็นลืม (แต่ผมนี่ลืมจริงครับ) และเตรียมแผนการที่จะพาผมไปเที่ยวแทนพาผมไปมหาวิทยาลัยผมนี่กระตุกยิ้มส่งให้พี่ศิที่ทำหน้าเนียนแต่ผมก็ไม่ทันได้ปฏิเสธพี่ศิครับเพราะมือข้างหนึ่งของพี่ศิถูกยื่นมาคว้ามือของผมไว้และลากผมตรงไปที่ลิฟท์ทันที


ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับว่าเจ็ดโมงเช้ามันมีห้างที่ไหนเปิดและที่สำคัญเช้าขนาดนี้ไม่มีอะไรทำนอกจากขับรถเล่นแต่การที่เราคิดจะขับรถเล่นในกรุงเทพนี่มันเป็นเรื่องที่ผิดมหันเลยครับเพราะอะไรทุก ๆ ท่านก็ทราบดีนะครับว่ากรุงเทพไม่ว่ายามเช้า ยามสาย ยามบ่าย ยามเย็นนี่รถมันติดตลอดเวลาแต่ดูเหมือนไอเรื่องรถติดมันไม่ใช่ปัญหาของคุณพี่ศิรวิทย์สักนิดเดียว ผมส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของพี่เขาพร้อมกับยอมเข้าไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของพี่ศิ


ซึ่งกิจกรรมที่ผมทำในรถของพี่ศิก็เป็นกิจกรรมเดิม ๆ ครับนั่นก็คือการเอาไอโฟนของพี่ศิมาเปิดเพลงฟังและคราวนี้ผมไม่ไปมือบอนทำอะไรอีกแล้วครับเจอรอบที่แล้วไปหนึ่งทีผมเข็ดเลยครับไม่อยากทำตัวไม่ถูกต่อหน้าพี่ศิอีกแล้วแต่จะให้พูดไปตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าพี่ศิอยู่นั่นแหละครับ เวลาที่ผมหันไปหมายจะคุยกับพี่ศิสายตาผมก็ไปจับจ้องที่ริมฝีปากพี่เขาแล้วก็หน้าแดงจนต้องหันหน้ากลับมา ถึงผมจะเคยริมฝีปากประกบกับพี่ศิเมื่อนานมาแล้วแต่สัมผัสอย่างเมื่อวานมันไม่เหมือนกับวันนั้นครับเพราะว่าครั้งนี้มันรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน ความอบอุ่นและมันก็มีความรู้สึกลึกซึ้งที่เรียกว่าความรักปะปนอยู่ในรสจูบนั่นด้วย
ไอใจผมก็อยากจะถามพี่ศินะครับว่าเมื่อวานพี่จูบผมทำไมแต่มันไม่กล้าครับ คราวนี้นายรณกรของยอมรับเลยนะครับว่าปอดมากแต่ไอความอยากเจือกมันมีมากล้นเหมือนกันผมลังเลอยู่สักพักจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเอ่ยไอคำพูดพวกนั้นออกไป (ถ้าทุกคนสงสัยว่าทำไมผมเพิ่งมาออกอาการเขินตอนนี้ผมตอบเลยครับว่าช่วงเวลาหลังจากที่พี่ศิแกผละออกจากผมเพื่อน ๆ ของผมและเพื่อน ๆ ของพี่ศิเข้ามาในห้องพอดีอาการพีคตอนนั้นเลยเปลี่ยนไปเป็นเฮฮาปาจิงโกะกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ แทน)


“พี่ศิ เรื่องเมื่อวาน” ผมเอ่ยเกริ่นเรื่องแต่ดูเหมือนพี่ศิแกจะเข้าใจว่าผมจะคุยเรื่องของน้ำฟ้าครับพี่แกเลยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า “เรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้นพี่ไม่สนใจอะไรหรอกกร แล้วเรื่องที่เธอโทรมาบอกให้กรเลิกคุมพี่ก็ไม่ต้องไปสนใจนะเพราะเรื่องคนที่เหมาะสมสำหรับพี่ พี่เลือกเองได้และที่สำคัญพี่มีคน ๆ หนึ่งในใจแล้ว” สิ้นเสียงพูดพี่ศิก็ปรายตามองมาที่ผมไอผมก็รู้อยู่แล้วหละครับว่าพี่ศิไม่สนใจอะไรน้ำฟ้าหรอกแต่ไอเรื่องที่ผมจะถามหนะมั่นไม่ใช่เรื่องนี้ครับ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่แล้วตัดสินใจเอ่ยถามพี่ศิออกไปอีกครั้ง “ไม่ใช่เรื่องนั้นพี่ คือมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กรสงสัย แล้วไอเรื่องที่กรอยากรู้มันก็เกี่ยวกับพี่ศิ…เอ่อ แต่เรียกว่าเกี่ยวกับการกระทำของพี่ศิก็ว่าได้”


ผมพูดไปแบบนี้เหมือนพี่แกจะรู้ตัวแล้วหละครับว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร มือกร้านหักรถเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทางพร้อมกับใบหน้าคมที่หน้ามาจ้องยังใบหน้าของผม ไอผมนี่กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เลยครับ


“ที่พี่ทำก็เพราะพี่อยากทำ ที่พี่จูบกรไปเพราะพี่อยากจูบและสิ่งที่พี่ทำไปเมื่อวานพี่ไม่เคยคิดอยากทำกับใครนอกจากกร” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความหนักแน่น ถ้อยคำพวกนั้นของพี่ศิมันวิ่งพุ่งเข้ามาภายในสมองของผมแต่แค่นั้นยังไม่พอมันยังวนลูบไปมาอย่างไม่จบไม่สิ้น


ไม่ต้องเดาเลยว่าหน้าของผมตอนนี้มีสภาพเป็นอย่างไรเพราะมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากใบหน้าของผมที่ขึ้นสีแดงก่ำพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่น


ผมเขินครับ เขินมาก ๆ เลยถ้อยคำที่พี่ศิพูดออกมาเหมือนกับว่ามันเป็นคำสารภาพรักเลยหละครับแต่มันยังไม่จบเพียงแค่นั้นมือกร้านที่ก่อนหน้านี้ยังจับอยู่ที่พวงมาลัยรถยนต์ตอนนี้ละมือมากุมมือของผมแน่น นัยน์ตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้อกรอบแว่นสีดำสนิทนั่นจองมองมายังผมพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ผมอยากจะเปิดประตูรถออกไปแล้ววิ่งหนีกลับไปนอนซุกที่คอนโดของผม


“สำหรับพี่ ตามที่พี่บอกไปตั้งแต่เมื่อคืน กรคือคนสำคัญที่และพิเศษที่สุดสำหรับพี่และเป็นคนที่เข้ามาอยู่ในนี้ของพี่ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน…” พี่ศิเอ่ยออกมาพร้อมกับยกมือของผมไปแนบที่แผ่นอกด้านซ้ายของเขา ไอผมนี่อายม้วนจนไม่รู้จะทำยังไงแต่ในประโยคถัดมาของพี่ศิกลับทำให้ผมเกิดอาการนิ่งค้างยิ่งกว่าเก่าเสียงอีก


“แล้วสำหรับกรหละ พี่...จะได้ตำแหน่งคนสำคัญและพิเศษที่สุดเมื่อไหร่”




_____________________________


บอกแล้วว่าความพยายามของพี่ศิที่รักของพลอยสำเร็จแล้วเปราะหนึ่ง ตอนจากนี้ก็เหลืออีกเปราะหนึ่งค่ะว่าเมื่อไหร่กรจะให้ตำแหน่งพิเศากว่านี้กับพี่ศิสักที



ปล. ฝากโหวตด้านบนด้วยนะคะ//
ปล2.เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศิบอกความรู้สึกให้กรรู้ แล้วกรล่ะรู้สึกกับพี่ศิพิเศษขนาดไหน
ลุ้นคำตอบของกรอยู่นะ

พี่ศิหึงกรกับไฮซ์เพราะพี่ศิรู้ว่าไฮซ์คิดยังไงแน่ๆ แต่กรสิไม่รู้อะไรบ้างเลย

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ลุ้นคำตอบกรด้วยคน
แอบสงสารไฮซ์เหมือนกันอารมณ์แอบรักเพื่อน มันเศร้าง่ะ  :mew4:
 :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
กรยกตำแหน่งให้ไปเลย

ออฟไลน์ aelfy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ไฮด์ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ

นายสู้พี่สิ ไม่ได้หลอก

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
เดี๋ยวน้ำฟ้าต้องกลายมาเป็นมือที่สามแน่ๆ ฮึ่มฮั่ม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด