ตอนที่ 27
ผมบอกได้เลยว่าสงครามเปลี่ยนไปมากเสียจนอึ้งกันไปเป็นแถบๆ
ชีวิตของมันตอนนี้อย่างกับเป็นคนของหอสามเต็มตัว ถ้าบอกว่ามันอยู่หอสองก็ไม่มีใครเชื่อแล้วครับ เพราะว่าตลอดทั้งวันมันใช้เวลาอยู่ที่หอสามมากกว่าหอสองอีก และต้นเหตุก็ไม่ใช่ใครอื่น...เพราะผมนี่แหละที่ทำให้สงครามต้องมาหอสามอย่างกับเป็นหอพักหลังที่สองของมัน
นี่คือคำพูดของคนอื่นที่อยู่รอบตัวผมกับสงครามว่าควรจะเรียกอาการนี้ของสงครามว่าอะไร
ไอ้ธัช = ตามตูดเหมือนหมาตามเจ้านาย
ไอ้ทนาย = พ่อบ้านใจกล้าเลเวลหนึ่ง
อาสา = พี่สงครามโหมดมุ้งมิ้ง
ไอ้มีน = ภาพที่ควรจะเกิดขึ้นมานานแล้ว
ไอ้ไปป์ = ประธานหอสองในตำนาน
ผมเข้าใจที่ไปป์มันเรียกสงครามแบบนั้น เพราะมันให้เหตุผลว่าปกติแล้วไม่มีประธานหอสองรุ่นไหนมาหลงประธานหออื่นแบบนี้ ส่วนใหญ่จะแข่งกันว่าจะกระทืบประธานหออื่นได้เจ็บมากแค่ไหน ไม่ได้ตามดูแลอย่างใกล้ชิด (เกินไป) แบบนี้
บางครั้งผมก็รู้สึกกลัวว่าไอ้สงครามมันจะโดนลูกหอมันรุมกระทืบหรือเปล่า เพราะมันเล่นไม่สนใจธรรมเนียมศักดิ์ศรีหอเลย มันเป็นบุคคลประเภทที่โนแคร์โนสนได้อย่างเหลือเชื่อจนผมอดที่จะอึ้งไม่ได้
ทำอะไรตามใจคือคนไทยที่ชื่อสงครามทุกครั้งที่ผมถามเรื่องนี้ มันก็จะตอบกลับมาเป็นคำพูดซ้ำๆ ว่า ‘กูไม่แคร์’ ‘มันเป็นเรื่องของกู’ ‘เป็นใครใครก็ต้องดูแลแฟน’ และก็ ‘กูจะตามไปขู่คนที่แอบมองมึงทุกคน’
นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ถึงแม้จะเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ มากไปหน่อยก็ตาม แต่ผมกับสงครามอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเป็นประธาน อีกทั้งยังต้องโฟกัสเรื่องโปรเจ็กต์อีก ผมกับสงครามจึงปล่อยวางเรื่องความไม่เหมาะสมว่าอยู่คนละหอแต่กลับคบกัน และหันมาสนใจสิ่งที่ควรสนใจมากที่สุดในตอนนี้แทน
ถ้าประธานหอคนที่มาเป็นแฟนผมไม่ใช่สงคราม ผมว่าสถานการณ์คงกลับตาลปัตร หอผมก็คงจะมีคนโวยหาว่าผมห้ามให้ไปยุ่งกับเด็กหออื่นแต่ตัวเองดันไปคบซะเอง ทำไมกลืนน้ำลายตัวเองแบบนี้ อะไรทำนองนั้น แต่แฟนผมดันเป็นสงคราม คนที่ผมทราบจากปากของไปป์ว่าคนในหอสองรักและเคารพมันกันหมด มันมีความสุข ทุกคนก็มีความสุข
หลายคนบ่นอย่างเสียดายว่าหากสงครามเรียนจบไป...ใครจะเป็นประธานหอสองได้ดีเท่ามัน
คิดเรื่องนี้แล้วผมก็เผลอกลืนน้ำลายและนึกไปถึงเรื่องของตัวเอง ช่วงนี้ผมปล่อยข่าวไปอย่างแพร่สะพัดว่าประธานหอคนต่อไปก็คือไอ้ไมล์ (แฟนไอ้เชี่ยเต) ตอนแรกที่คุยกับไมล์ ดูมันตกอกตกใจเหมือนกัน อีกทั้งยังแสดงสีหน้ากังวล กลัวปฏิบัติหน้าที่ประธานได้ไม่ดีเท่าผม แต่เพราะไอ้เตมันตบบ่าพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะเป็นผู้ช่วยของมันอีกที ไมล์จึงตบปากรับคำ
ระหว่างนี้มันก็เริ่มลองทำงานในส่วนของผมดูแล้ว ส่วนผมก็เอาเวลาไปจัดการเรื่องเรียนและ...คอยคุมไม่ให้สงครามมันหาเรื่องคนอื่นมากไปกว่านี้
แม้จะอยู่ในร้านที่มีแต่ผู้หญิงแม่งก็ไม่เว้นครับ
ตอนนี้ผมกับมันอยู่ในร้านกาแฟที่มันไม่ชอบ จำชื่อได้ใช่มั้ยครับว่าร้านอะไร ผมทวนให้ก็ได้ ร้านชื่อว่าชิฟฟ่อนสีชมพูนั่นแหละ (ใครตั้งชื่อร้านวะ สิ้นคิดเว่อร์) ในมือของมันกำลังถือการ์ตูนวายเล่มโปรดที่สุดของมันอยู่ (เรื่องเพียงหนึ่งเส้นด้าย) แม้จะทำเป็นอ่านการ์ตูน แต่ก็คอยทำหน้าบึ้งใส่ผู้หญิงที่มองผมไปเรื่อย ในส่วนของผมนั้นกำลังตรวจทานเล่มโปรเจ็กต์ให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุดอยู่ พยายามมองดูว่าสงครามมันจะไปขู่ผู้หญิงคนไหนหรือเปล่า แต่ก็ทำเล่มโปรเจ็กต์ไปด้วย
เพราะนี่มันคือโค้งสุดท้ายของการเรียนปีสี่แล้วจริงๆ
โปรเจ็กต์ของไอ้สงครามเสร็จไปเมื่อสองสามวันก่อน คงต้องซ้อมพรีเซนต์ต่อหน้าอาจารย์วนไป จนกว่าจะถึงวันนั้นมันก็ยังมาเฝ้าผมอย่างใกล้ชิดต่อไปตามแบบฉบับของมัน
“อ้าย”
“...”
“ลองทำท่านี้กันดูมั้ย”
ไอ้การ์ตูนเรื่องนี้แม่งยังตามหลอกหลอนผมไม่จบไม่สิ้น ผมดันการ์ตูนที่สงครามส่งมาออกไปจากคลองสายตา
“อยากรู้จังว่าจะฟินขนาดไหน”
“ได้ทีแล้วเอาใหญ่”
“แน่นอน ได้แล้วก็ต้องเอาดิ”
ผมทำหน้าปวดหัว “ในร้านมีแต่ผู้หญิง ไอ้สัด”
“มึงคิดว่ากูแคร์มั้ยล่ะ”
ลืมไปว่ามันไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น “มึงพูดเบาๆ ก็ได้”
สงครามพ่นลม กลายเป็นคนที่เหมือนกับเด็กอีกครั้งหนึ่ง ผมนั่งทำงานหน้าแล็บท็อปต่อไปโดยที่ไอ้สงครามก็นั่งเฝ้าผมต่อไปเฉยๆ แบบที่ไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลย นอกจากอ่านการ์ตูนเล่มเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรือไม่ก็ส่งสายตาข่มขู่คนที่มองผม
“วันนี้ว่างมากใช่มั้ย”
“ใช่ดิ”
“ประธานหอคนใหม่มึงเป็นไงบ้าง”
สงครามยักไหล่ “ก็ดี...แต่ยังต้องฝึกอีกเยอะ คนไม่ค่อยกลัวมัน”
“ใครมันจะเหมือนมึง มึงมันน่ากลัวไอ้สัด”
“มึงน่ากลัวกว่าอีก”
“กูน่ะเหรอ” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“มึงทำให้คนที่น่ากลัวที่สุดกลัวมึงได้...มึงคิดว่ามึงน่ากลัวป่ะล่ะ”ผมควรจะภูมิใจดีมั้ยเนี่ย “รู้สึกยังไงเรื่องที่ไม่ได้เป็นประธานหอแล้ว”
สงครามวางหนังสือการ์ตูนลง มันยกมือมาจับพนักโซฟาตัวยาวจึงทำให้ดูเหมือนเป็นการโอบผมกลายๆ “เรื่องนี้กูเป็นห่วงมึงมากกว่า”
“ยะ ยังไงนะ”
“พอถึงเวลากูก็ทำใจได้ แต่มึงอ่ะดิ...จะทำใจได้หรือเปล่า” ผมกลืนน้ำลายขณะฟัง “มึงแม่งอย่างกับแม่เด็กหอสามอ่ะ คนเป็นแม่ใครบ้างวะจะไม่คิดถึงลูก คิดถึงตอนดูแลลูก”
ทำไมใจผมมันวูบๆ วะ สิ่งที่สงครามพูดมันจริงเสียยิ่งกว่าจริง เวลาคิดถึงเรื่องที่ผมต้องส่งต่อตำแหน่งประธานหอผมก็ต้องสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไป มันเป็นเหมือนเรื่องหน่วงๆ ที่ผมพยายามไม่นึกถึง
ชีวิตตลอดสองปีของผม ผมยกให้เรื่องลูกหอมาเป็นที่หนึ่งเสมอ แม้ตลอดระยะเวลาเหล่านั้นผมจะแอบมองสงครามอยู่บ้าง แต่หน้าที่เรื่องการเป็นประธานหอก็สำคัญเป็นอันดับแรก ตื่นเช้ามาผมจะคิดถึงเรื่องหอไม่ก็ลูกหอ ก่อนนอนผมก็คิดเหมือนเมื่อเช้า ยกเว้นเสียแต่ว่าผมมีดราม่าเรื่องสงคราม ซึ่งหลังๆ ชีวิตรักของผมกับมันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
สิ่งที่สงครามพูดนั้นไม่ผิด...แทนที่ผมจะห่วงมัน ผมควรห่วงตัวเองมากกว่าว่าถ้าไม่ได้เป็นประธานหอแล้ว ผมจะรู้สึกยังไง
แม่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่โคตรอ่อนไหวของผมแน่ๆ เลย
อีกไม่กี่อาทิตย์ตำแหน่งประธานหอสามก็ต้องเปลี่ยนแล้วล่ะครับ
“ชีวิตยังไงก็ต้องดำเนินต่อไป” ผมก้มหน้าดูหน้าจอ “ต่อไปกูก็ต้องคิดเรื่องงานสิวะ”
“พูดถึงเรื่องงาน...มึงรู้บ้างป่ะว่ากูอยากเป็นอะไร”
“มึงไม่เคยบอกกูนี่”
“กูอยากเป็นนักบิน” สงครามตอบทันที “กูอยากเป็นกัปตัน”
ดวงตาของผมเป็นประกายมากขึ้นระหว่างที่จ้องมองมัน สิ่งที่สงครามเพิ่งพูดแม่งโคตรแน่วแน่เสียจนผมคิดว่าคนอย่างมันต้องทำสำเร็จแน่ๆ
“ถ้าสายการบินไหนเปิดรับสมัครนักบินผู้ช่วยกูจะไปสอบทันที กูขอบอกแฟนกูไว้ก่อน”
“ใครแฟนมึงวะ”
“แมวตัวนั้นมั้ง ไอ้สัด” สงครามชี้มือไปที่แมวซึ่งเดินเล่นอยู่นอกร้าน ผมหัวเราะหึหึในลำคอ “แล้วมึงล่ะ คงอยากไปทำงานโรงงานผลิตรถยนต์แน่เลย กูเดา”
“ช่าย ก็ต้องเป็นสายงานตามที่กูจบมาอ่ะ”
“นักบินกับวิศวกร” สงครามพึมพำ “กูเชื่อว่าเราทำได้เว้ย”
ผมยิ้ม เอียงตัวไปซบกับอกสงครามโดยที่มันก็ไม่ได้ขยับตัวหนี หลังจากนั้นไม่นานโทรศัพท์สงครามก็ดัง มันกดรับสายอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็ทันเห็นชื่อบนหน้าจอแวบหนึ่ง
เป็นชื่อของผู้หญิง และสงครามก็เม็มไว้ว่า
‘อิเจน’“มีเหี้ยอะไร” ดูแม่งรับสายผู้หญิงสิครับ “หา ตอนนี้เนี่ยนะ มึงบ้าป่ะ” ผมได้ยินเสียงแหลมๆ ดังออกมาจากโทรศัพท์ของสงครามเลยทีเดียว “ไม่ว่าง กูอยู่กับแฟน”
ใจผมชื้นขึ้นนิดหน่อยเพราะสงครามมันเป็นคนชัดเจน
“มึงอกหักเหรอ ไอ้เหี้ยนั่นมันทิ้งมึงเหรอ แม่งเอ๊ย ห่าราก ส้นตีน ประสาทแดก” ปกติสงครามมันไม่ด่าเป็นชุดแบบนี้ แปลว่าครั้งนี้มันโกรธมาก แต่ไม่ได้โกรธแบบคิดอยากทำลายข้าวของ “อะไรนะ มึงจะมามอกู”
แฟนผมมองหน้าผมก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ให้
“โปรเจ็กต์กูเสร็จแล้วเหลือพรีเซนต์ สัมมนาก็พูดแล้ว ก็คงเหลือแค่อ่านสอบไฟนอลและก็พรีเซนต์โปรเจ็กต์นั่นแหละ ไม่หนักมากหรอก...ยังไงมึงก็จะมาให้ได้สินะ”
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าสงครามมีเพื่อนผู้หญิงที่ทำให้มันพูดถึงชีวิตตัวเองได้ละเอียดขนาดนี้ รู้สึกเคืองนิดหน่อยแล้วว่ะ
“อาจจะมั้ง ไม่รู้โว้ย แม่งเอ๊ย ยุ่งยากจริงๆ”
สงครามวางสายไปแล้ว ผมกำลังคิดในใจว่าควรถามมันดีหรือเปล่าว่าใครคือคนที่โทรมาหา แต่ผมคิดว่ารอให้มันเล่าเองจะดีกว่า ผมไม่อยากเป็นแฟนที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากเกินไป แม้จะอยากรู้มากก็ตาม
แต่สงครามแม่งไม่บอกผมว่ะ
มันกำลังคุยไลน์กับใครสักคน ผมทำเป็นสนใจงาน แต่จริงๆ แล้วผมสนใจสงครามต่างหาก นี่มันไม่คิดจะบอกผมสักหน่อยเหรอว่าคนที่โทรมาน่ะเป็นใคร
ไอ้เหี้ย...ไม่ได้มีเซนส์อะไรสักนิดเลยเหรอว่าควรบอกอ่ะ
“ใครโทรมา” เอาล่ะ ยอมแพ้ ผมถามแม่งก็ได้ เพราะถ้าจะให้รอ ผมคิดว่าชาตินี้แม่งก็คงไม่บอก
“อิเจน”
“คือใคร”
“กระเทย”
เสียงที่ผมได้ยินมันเป็นเสียงของผู้หญิงชัดๆ แม่งหลอกผมแบบนี้ผมเคืองว่ะ “โกหก”
สงครามเงยหน้าขึ้นมองผม “มาแล้ว หน้าแบบนี้...”
“หา”
“โดนงอนอีกชัวร์ๆ เลยกู”
“เดี๋ยว” เมื่อไหร่ผมจะหนีพ้นจากคำว่าขี้งอนนี่สักที “ยังไม่ได้งอน แค่ต้องการคำอธิบาย”
“อิเจนมันคือเพื่อนกู”
“เรียกเขาดีๆ หน่อย เขาเป็นผู้หญิง”
สงครามทำหน้าเบื่อโลกขึ้นมา “กูอยากให้มึงเจอมันก่อน แล้วมึงจะเข้าใจว่าทำไมกูถึงไม่อยากให้เกียรติมัน”
สีหน้าของผมยังเต็มไปด้วยคำถาม แต่สงครามก็ไม่คิดที่จะไขข้อสงสัยให้กระจ่าง มันวางการ์ตูนวายไว้ตรงนั้น สนใจแต่โทรศัพท์มากเป็นพิเศษ
ผมนั่งนิ่งๆ จ้องมันมาห้านาทีแล้วครับ ไอ้สงครามยังไม่เงยหน้าจากจอโทรศัพท์เลย
ชักสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าผู้หญิงที่ชื่อเจนมีความหมายกับสงครามยังไง
ช่วงนี้ผมเจอไอ้ไปป์กับไอ้ธัชบ่อยจนเรียกได้ว่าแทบจะเบื่อขี้หน้า
ไอ้ธัชบ่นฉิบหายเรื่องไม่ได้ไปไหนมาไหนกับสาวๆ ส่วนไอ้ไปป์...ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเมื่อก่อนมันเคยชอบผมได้ยังไง ตอนนั้นมันคิดไปเองหรือมีตัวอะไรแปลกๆ มาเข้าสิงมันกันแน่ เพราะสิ่งที่ผมเห็นตอนนี้มันไม่ได้เสริมเหตุผลเรื่องที่มันเคยชอบผมเลยครับ ตรงกันข้าม...แม่งกลับชัดมากด้วยซ้ำ
ระหว่างที่เราช่วยกันทำเล่มโปรเจ็กต์ ไอ้ไปป์มันเอาแต่เช็กโทรศัพท์ ติดคนในโทรศัพท์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใบหน้ามันดูแฮปปี้สลับกับกังวลจนผมรู้สึกว่ามันเป็นไบโพล่าร์
มึงจะอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่...มึงช่วยเลือกซิ
“เอาล่ะไปป์ กูต้องพูดกับมึงตรงๆ แล้ว กูรำคาญเสียงถอนหายใจมึงมากตอนนี้” เสี่ยธัชกล้าบวกหนุ่มหอสองว่ะ “เป็นเหี้ยอะไร ไหวมั้ย มีอะไรเล่า”
สรุปคืออยากเสือกนั่นเอง
“กูรู้สึกว่ากูเข้ากับมีนไม่ได้”
แค่จั่วหัวมาก็รู้ว่าดราม่า ผมกับไอ้ธัชวางงานทันทีแล้วหันมาสนใจไอ้ไปป์
“ยังไง” ผมถาม
“มาถึงจุดนี้กูพูดตรงๆ ได้หมดแล้วใช่มั้ย”
ผมกับธัชยักไหล่ ไปป์แม่งไปเฝ้ามีนตลอดเช้าจรดเย็นแบบนั้นมันจะต้องมีอะไรอ้อมค้อมอีกล่ะ
“กูกับมีนกำลังดูๆ กันดูเว้ย อะไรที่มันรับไม่ได้มันก็บอก อะไรที่กูรับไม่ได้กูก็บอก ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าไอ้สิ่งที่กูไม่ชอบเนี่ย ไอ้มีนแม่งทำฉิบหาย”
คนที่อยู่หอเดียวกันกับมีนซึ่งนั่นก็คือผมกับธัชมองหน้ากัน พอจะเดาออกว่าไอ้ไปป์มันหมายถึงอะไร
ก็มีนมันเป็นคนชอบเที่ยวไง
“บอกแม่งไปดิว่าให้ลดลงบ้าง” ผมพูด
“บอกเป็นสิบๆ รอบแล้ว มันไม่ฟังเลย”
“มึงได้ตามไปมั้ย” ธัชถามต่อ
“กูตามจนเหนื่อยอ่ะ อาทิตย์ละหลายวันแบบนี้ก็ไม่ไหวป่ะ” ไปป์ทำหน้าเครียด พิมพ์ไลน์คุยกับมีนอย่างกระแทกกระทั้น แม่งคงกำลังทะเลาะกันอยู่ “จนบางครั้งมันทำให้กูคิดถึงสมัยก่อนที่กูสนิทกับมัน ตอนนั้นแม่งมีความสุขกว่านี้เยอะ มีนมันโตขึ้นมาก เปลี่ยนไปมาก กูรู้สึกอึ้งเลย”
เป็นอีกครั้งที่ผมกับไอ้ธัชมองตากันราวกับปรึกษากันผ่านระบบไวไฟ
“เท่าที่กูจำได้ มึงสนิทกับมีนมาก่อนจากนั้นก็ห่างๆ กันใช่ป่ะ” ธัชเอ่ย
“ใช่”
“ได้ข่าวว่าห่างหลายปีเลยนี่”
“อืม”
“มีนมันก็ต้องโตขึ้นป่ะวะ มันอาจจะเพิ่งมาชอบเที่ยวทีหลังก็ได้”
“กูเข้าใจเว้ย อย่างกูเองก็ชอบแดกเหล้ามากกว่าตอนมอปลายเยอะ” ไปป์มันดูเหนื่อยใจมากจริงๆ “และกูก็เข้าใจด้วยที่มันชอบเที่ยว ก็พยายามปรับๆ อยู่ แต่ในเรื่องเที่ยวเนี่ยมันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น”
“ยังไง” ผมพูดบ้าง
“มีนมันดังในหมู่นักเที่ยวมากเลย บางอย่างกูก็ปรับตัวเข้ากับแม่งไม่ได้”
“ขยายความทีดิ๊” ธัชเลิกคิ้ว
“กูกังวลและก็ระแวงไปหมด แม่งมีพวกเกย์มาส่งสายตาให้มันเยอะฉิบหาย บางคนก็มองเหมือนจะมีอะไร บางคนก็มองมันเหมือนเป็นคนที่เคยผ่านอะไรกันมา พวกมึงเข้าใจความหมายที่กูพยายามสื่อป่ะ”
ผมนิ่งคิด ส่วนไอ้ธัชเอามือลูบคาง ตอนนี้ไม่มีใครสนใจที่จะทำเล่มโปรเจ็กต์แล้วล่ะครับ ทุกคนสนใจเรื่องไอ้เหี้ยไปป์กันหมดเลย
“กูเข้าใจแล้ว” ธัชพูดในที่สุด
ไปป์รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“มันจะมีอะไรมาก มึงก็แค่หวงมีนเท่านั้นนั่นแหละ”
“มันก็...ใช่”
“สิ่งที่มึงควรรู้ไว้ก็คือไม่มีใครไม่มองมีนเว้ย ไม่ว่าคนๆ นั้นมันจะเคยเป็นกิ๊กมีนหรือไม่ มันเป็นดารานะเว้ย ใครๆ ก็ต้องให้ความสนใจ”
“...”
“กูว่ามึงควรกังวลเรื่องมีนมันอ่อยคนอื่นมากกว่าเรื่องที่คนอื่นมาอ่อยมันนะ”
ไอ้ไปป์เอามือทึ้งหัว “ก็เพราะมันเปลี่ยนไปเยอะมากนี่แหละ กูถึงเดาแม่งไม่ออกเลยว่ามันจะอ่อยเขามั้ย”
“ไม่หรอกไอ้เหี้ย” ผมพูดให้ไปป์รู้สึกดีขึ้น “คิดมากฉิบหายเลยมึงเนี่ย”
“นั่นดิ สมัยกูชอบมึงกูไม่เห็นจะคิดมากแบบนี้”
“อย่านับว่าชอบเลย เรียกว่าหลงเสน่ห์ชั่วครู่” ไอ้ธัชพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ความรู้สึกที่มีต่อมีนของมึงดูชัดกว่าตอนที่มึงมีความรู้สึกให้ไอ้เหี้ยอ้ายอีก ดีไม่ดีมันชัดมานานแล้วด้วยซ้ำ”
“กูควรทำยังไงดีครับอาจารย์ธัช กูจะทำใจเรื่องที่คนมองมัน แต่กูไม่อยากทำใจเรื่องที่มันเที่ยวอาทิตย์ละสามสี่วัน”
“บังคับดิ มึงอยู่หอสองไม่ใช่เหรอ ลากเข้าห้องแล้วล่ามโซ่เลย”
“ทำได้เหรอ”
“รุนแรงไปไอ้เหี้ย” ผมปราม “มีนอาจจะแค่แกล้งมึงเฉยๆ ก็ได้ กูว่ามึงกับมันไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่หรอก ใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยกัน”
“เรียกว่ามึงกับมีนอยู่ในช่วงปรับตัวเข้าหากัน”
“จูนกันติดปุ๊บก็คบกันต่อได้ยาวๆ”
“ถูกครับเพื่อนอ้าย”
ไอ้ไปป์ดูอารมณ์ดีมากขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น เพิ่งเห็นข้อความที่สงครามมันส่งมาบอกว่ามารับไม่ได้เพราะติดธุระด่วนเรื่องเจน
ถ้าเป็นคุณ คุณจะสงสัยเหมือนผมมั้ยครับ
“สงครามแม่งชวนไปดื่มว่ะเย็นนี้” ไปป์พึมพำ
ผมทำหน้างงก่อนจะเอ่ย “หา”
“นี่ไง มันเพิ่งส่งมาบอก มึงไปด้วยป่ะเนี่ยอ้าย”
“งงเลยกู” ผมพึมพำ “ไหนมันบอกว่ามันจะไปทำธุระเรื่องเจน”
ไปป์เบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนก ผมไม่คิดว่ามันจะมีรีแอ็กชั่นชัดเจนมากขนาดนี้ตอนที่มันได้ยินชื่อของเจน
“เจนมาเหรอ!” มันร้อง ผมพยักหน้าหงึกๆ “เหี้ยแล้ว งั้นกูไม่ไป”
“เดี๋ยวๆ เจนคือใครอะไรยังไงวะ สงครามแม่งไม่เล่าห่าอะไรให้กูฟังเลย”
“เหี้ยแล้ว เชี่ยสงครามแม่ง...” ไปป์ไม่ได้ฟังผมเลย “มันชวนมีนก่อนชวนกูเพราะมันกลัวกูไม่ไป”
“มีนตอบว่าไง” ธัชถาม
“มีนไป กูก็ต้องไปไง”
“เชี่ยไปป์” ผมต้องเรียกมันอีกครั้ง “เจนคือใครวะ”
ไปป์ถอนใจก่อนจะทำหน้าปลงๆ “เจนคือเพื่อนผู้หญิงที่สงครามมันสนิทด้วยมากที่สุดไง”
“มันยกเลิกนัดกูเพื่อไปหาเขา”
“เจนสำคัญสำหรับสงคราม”
“...”
“แต่ไม่สำคัญกับกูเท่าไหร่ เหี้ยเอ๊ย” ไปป์เอามือเกาหัว ส่วนธัชมันหันมามองผมเพราะรู้ว่าผมต้องกังวลเรื่องเจนแน่ๆ
ใช่ ผมกำลังกังวล
และผมจะไปดูให้เห็นกับตา ว่าทำไมสงครามมันถึงเลี่ยงไม่ยอมให้ผมเจอกับเจน
ร้านเหม่อมองฟ้า
ผมเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านหลังจากที่เลยเวลานัดของสงครามกับคนอื่นๆ มานานโขแล้ว ทันทีที่ผมไปถึงโต๊ะของสงคราม เจ้าตัวก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี
ข้างตัวมันมีสาวสวยหุ่นดีน่าปล้ำคนหนึ่งกำลังคลอเคลีย เป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่ ผมจึงอดรู้สึกขุ่นเคืองไม่ได้
แม่งสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“อ้ายมา” มีนสะกิดไปป์ ทั้งคู่มองไปทั่วหมายจะหาที่นั่งให้ผม เพราะผู้หญิงที่น่าจะชื่อเจนไม่ยอมขยับที่นั่งข้างๆ สงครามให้
ผมนั่งฝั่งตรงข้ามมันได้ ผมชิลๆ อยู่แล้ว
สงครามเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง มันพยายามแกะไม้แกะมือของเพื่อนมันออกไป แต่ไม่ทันแล้วล่ะ ผมมาเห็นตอนที่มันเกือบจะโดนผู้หญิงเขาสิงร่างพอดี ถ้าจะบอกว่าไม่หึงผมคงโกหก และถ้าจะบอกว่าผมไม่โกรธ ผมก็คงโกหกอีกนั่นแหละ
“อิเจน กูไม่เล่น” สงครามพูดกับผู้หญิงเหมือนที่พูดกับผู้ชายเด๊ะๆ
“นี่กูอกหักนะเว้ย ชนแก้วกับกูหน่อยดิ๊”
ผมอึ้งไปเล็กน้อย เจนเป็นคนสวยมากและดูสง่ามีราศี แต่คำพูดที่ออกมากลับสวนทางกับรูปลักษณ์ภายนอกแบบตรงข้ามกันสุดขั้วจนน่าประหลาดใจ
“กูเป็นเพื่อนมึงนะ”
“เสียงดังสัด”
“ทำไมมึงท่าทางแปลกๆ ไปวะ”
สายตาของเจนมองไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่ที่ผม เธอมองผมอย่างสำรวจตรวจตรา ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงสีหน้ายังไง
“มานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เธอดูเฟรนด์ลี่ในแบบเมาๆ “ชื่ออะไรเหรอ เพื่อนสงครามเหมือนกันเหรอ”
“ไม่ใช่เพื่อน” สงครามกระซิบ
“อ้าว งั้นมึงเป็นใครวะ มานั่งโต๊ะเพื่อนกูได้ไง”
“ไอ้เหี้ย” สงครามผลักหัวของเจนเบาๆ “อย่าไปยุ่งกับเขา”
“ทำไม”
“มันเป็นแฟนกูไงสัด” สงครามทำเหมือนต้องตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท่าทางของมันปวดหัวกับเจนมาก
เจนอ้าปากหวอ ดูประหลาดใจปนยินดี เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่ไม่ห่วงสวยเลย ไม่เลยครับ ดูเข้ากับผู้ชายได้ง่าย แต่ก็ดูน่ากลัวไปอีกแบบ
ผมเริ่มรู้สึกว่าความน่ากลัวนั้นกำลังจะลามมาถึงตัว
“เดี๋ยวขอย้ายไปนั่งข้างๆ” เจนพูดจบก็ย้ายที่มานั่งข้างผมทันที “แฟนสงครามตัวเป็นๆ รู้สึกอยากสำรวจใกล้ๆ”
“อิเจน เห็นตีนกูมั้ย” สงครามพยายามอดทน “อย่าทำอะไรแผลงๆ นะเว้ย”
“เปล่าสักหน่อย” ผมมองเจนอย่างตื่นๆ ในเสี้ยววินาทีนั้นเจนก็จับใบหน้าผมพร้อมกับขยับไปมาอย่างไม่เกรงใจ “ดูดีว่ะ นี่มึงไปขุดขึ้นมาจากเหมืองไหน เขาดูดีเกินกว่าที่จะเป็นแฟนของมึง”
ทั้งโต๊ะไม่มีใครกล้าพูดอะไร บางคนก็ขำ บางคนก็ทำหน้าสงสารผม
“เหี้ยเจน ปล่อยยย” สงครามตีมือเพื่อนมัน “อ้าย มึงมานั่งข้างๆ กูนี่”
ผมทำท่าจะลุกแต่เจนเกาะแขนผมเอาไว้ อีกทั้งยังเอียงตัวมาเบียดผมอีก ผมไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากเกร็ง แต่สงครามมันดูโกรธมากขึ้นจนใกล้จะควันออกหู
“ถ้าจะแกล้งกู กูไม่สนุกด้วยนะ คนนี้กูรักมากนะเว้ย”
“จริงง่ะ” เจนเอียงหน้ามาซบไหล่ผมพร้อมถูไถไปมา
เอาล่ะ นี่มันเกินไปแล้ว ผมพยายามแกะเจนให้ออกไปจากตัว แต่ทว่า...
ตึง!เท้าของสงครามที่วางลงบนโต๊ะอย่างแรงทำให้ผมต้องหยุดการกระทำทุกอย่าง ในขณะที่เจนยิ้มกริ่ม
“มันรักมากจริงด้วย” เจนปล่อยตัวผมในที่สุด “ขอโทษทีนะ ชื่ออะไรเหรอ ไม่กล้าพูดเหี้ยๆ ด้วยเลยอ่ะ ดูผู้ดีเว่อร์”
“อย่าไปตอบมัน อย่าไปคุยกับมัน มานั่งกับกูนี่” สงครามเอื้อมมือมาดึงแขนผม ผมจำเป็นต้องลุกไปนั่งข้างๆ มัน สีหน้ามันดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังทำท่าจะกระซิบข้างหูผมด้วย
เหี้ยแม่งไม่ได้กระซิบ...แต่มันหอมแก้มผมแบบเฉียดๆ
“ไอ้เหี้ย” เจนรำพึง “อิจฉาโว้ยยยยย”
สงครามทำหน้าเหนือกว่าใส่เจน ส่วนผมก็ได้แต่ปลง เอาเป็นว่าระดับความหึงของผมลดฮวบอย่างรวดเร็วเพราะสงครามแม่งคงไม่มีอะไรในกอไผ่กับเจน ถ้าจะมี...มันก็คงมีแต่ปัญหากับเจนนั่นแหละ
เพราะตลอดเวลาที่เหลือมีแต่มันกับเจนที่เถียงกัน
เจนจะขอชนแก้ว แต่สงครามบอกพอแล้วเพราะทุกคนยังต้องไปเรียนไม่ก็ทำโปรเจ็กต์ต่อ คิดว่าเจนจะสนใจมั้ยครับ เธอไม่สนเลยแม้แต่นิดเดียว
“เหี้ยสงคราม ทำไมชอบขัดกูจังเลย”
“ก็มึงมันไม่มีเหตุผลอ่ะ”
“กูอกหักมานะเว้ย”
“มึงจะอกหักหรืออกเล็กก็เรื่องของมึงอ่ะ ตอนนี้สิ่งที่มึงต้องทำไม่ใช่บังคับให้คนอื่นมาแดกเหล้ากับมึงเว้ย แต่มึงต้องไปทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น”
ผมเพิ่งจะเห็นว่าเจนหน้าเสียก็คราวนี้
“สัด!!!!” เจนร้อง ดูบ้าคลั่งขึ้นมากกว่าเดิมจนมีนต้องสะกิด
“กูเพิ่งอกหักมาสดๆ ร้อนๆ จะไม่ให้กูเฮิร์ตสักหน่อยเลยเหรอ กูคนนะเว้ย ไม่ใช่นางฟ้า อ๋อ กูเป็นนางฟ้าอยู่เพราะกูสวย แต่กูก็อยากมีเวลาเฮิร์ตบ้างไง มันต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนดิ มึงจะรีบลัดขั้นตอนไปไหนวะสงคราม”“เกรงใจคนอื่นบ้าง”
“มึงลากพวกนี้มาเอง กูนัดแค่มึงออกมา มึงคนเดียว”
“เสียงดัง รำคาญ”
“กูก็รำคาญมึงเหมือนกัน มึงไปขัดห้องน้ำโน่นไป”
“ทำไมกูต้องไป”
“เพราะกูรำคาญมึงไงไอ้เหี้ย”
เหมือนจะทะเลาะแต่ก็ไม่...ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไปป์มันถึงไม่อยากมาเจอเจนขนาดนั้น เจนไม่ได้เลวร้ายเลยครับ อีกทั้งยังติดจะตลกด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเจนเป็นผู้หญิงที่เสียงดังและชอบเรียกให้คนทั้งโต๊ะชนแก้ว
แม้แต่คนคอแข็งอย่างไปป์ยังเริ่มทำหน้ามึนๆ แล้ว มันบอกมีนว่าจะไปห้องน้ำ มีนขอตามไปด้วย ที่โต๊ะจึงเหลือแค่ผม สงครามและเจน
“อ้าย” ผมสะดุ้งเมื่อเจนเรียก
“ครับ”
“เชื่อเรานะ เลิกกับสงครามเหอะ อ้ายดีเกินไป”
“เหี้ยเจนมึง” ผมต้องเอามือไปแตะขาสงครามไว้เพราะกลัวมันใช้ขายาวๆ ของมันทำร้ายผู้หญิง
“เราอกหัก มันก็ต้องอกหักด้วย ทิ้งมันเถอะนะ ทิ้งมันเลย”
“ก็กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกัน” ผมพูดติดตลก สงครามหน้าบึ้งตึงก่อนจะผลักหัวผมเบาๆ
“ไม่ต้องไปเล่นกับมัน ไม่ต้องไปสนิทกับมัน เสียเวลาชีวิต”
“แต่มึงก็สนิทกับเขานะ”
“กูไม่อยากสนิทเลย” เสียงของสงครามจริงจังมาก “สถานการณ์บังคับทั้งนั้น เหี้ยเจนแม่งไม่มีใครคบไง เพื่อนมันก็มีแค่กูเนี่ย”
“สัด!” เจนด่าคำนี้ทีไร ผมสะดุ้งทุกที “เพื่อนกูมันไม่มีใครว่างเหมือนมึงไง มึงมันเป็นพวกไม่มีอะไรทำ”
“อิเจนมึง” วันนี้สงครามดูเหนื่อยมาก
“อ้ายดูดิ เลิกกับมันเหอะ มันไม่ดีหรอก เชื่อเรา”
“มึงน่ะสิไม่ดี อ้ายไม่เลิกกับกูหรอกเว้ย” สงครามหันมาถามอย่างไม่แน่ใจ “ใช่มั้ยวะ”
“สัด” ผมด่าไปหัวเราะไป “ไม่เลิกๆ”
“ทำไมต้องมารักกันต่อหน้าคนอกหักอย่างกูด้วย”
“มึงอยากมาเจอกูเอง กูอินเลิฟอยู่ ช่วยไม่ได้ที่มึงต้องมาเห็นอะไรแบบนี้” สงครามพาดมือมาที่หลังของผมเพื่อโอบ
“มีนกับไปป์หายไปเลย” ผมท้วง
เจนดื่มแล้วพูด “เมื่อกี้เหมือนจะทะเลาะกันนะ”
“หา”
“ปล่อยมัน” สงครามเอ่ย “มันสองคนคงมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กัน”
สงครามขับรถไปส่งเจนก่อนที่เราสองคนจะนั่งรถเพื่อกลับหอด้วยกัน
“เข้าใจหรือยังว่าทำไมกูถึงไม่อยากให้มึงเจอเจน”
ผมหัวเราะในลำคอ “เข้าใจแล้ว”
“มันเป็นผู้หญิงเหี้ยๆ อ่ะ เหี้ยมาตั้งแต่คบสมัยมัธยมแล้ว แต่ก็ไม่ใช่คนที่คบไม่ได้”
“อืม”
“โอมได้โทรมาบ้างมั้ย”
“ไม่แล้วล่ะ”
“ดี”
“...”
“กูชอบที่เราเปิดเผยต่อกันแบบนี้นะ”
ผมหันไปมองคนขับ “ตอนแรกกูตกใจฉิบหาย นึกว่ามึงจะมีอะไรกับเจน”
“อย่าพูดให้กูคลื่นไส้ตอนนี้เลย” ผมกับสงครามหัวเราะไปด้วยกัน “แล้วนี่จะไม่ถามความเป็นไปของไอ้ไปป์กับไอ้มีนกันหน่อยเหรอวะ พวกแม่งหายไปเลยนะ”
“มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากให้พวกมันเคลียร์กัน”
“งั้นก็...” มือของสงครามมาจับต้นขาผมไวมากจนผมรู้สึกขนลุกชูชัน “คืนนี้”
“เหี้ย ดึกแล้ว” เหนื่อยที่จะต้องแอบไปที่หอของผมหรือไม่ก็หอของไอ้สงคราม
“แป๊บเดียว รอบเดียว”
“ลูกหออาจจะไม่ว่าที่กูคบกับมึงนะเว้ย แต่กูก็เกรงใจ”
“ถ้างั้นก็บนรถนี่เลย” สงครามเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทาง
“มึง” ผมอดตกใจไม่ได้ “มือไวใจเร็วมากกกกก”
“นั่นมันกูเลยแหละ” สงครามยิ้มกริ่ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ
“โรงแรมก็มีมั้ยล่ะ” ตอนที่พูดผมก็รู้สึกเขินอายเหมือนกัน แต่อยู่กันสองคนคงไม่มีอะไรต้องอายหรอกมั้ง
ในเมื่อผมกับสงครามก็เคยๆ กันมาแล้วนี่...
“งั้นเลี้ยวเลยนะ”
ผมคว้าแขนมัน “เดี๋ยว ข้างหน้ามีเซเว่น”
“ทำไม หิวเหรอ”
“เปล่า”
“...”
“มีถุงยางหรือยัง”แฟนผมยิ้มมุมปาก “เออว่ะ” มันขยับตัวมาจูบที่แก้มของผมอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นก็ขับรถไปจอดที่เซเว่น
และก็นั่นแหละครับ...เราสองคนเลี้ยวเข้าโรงแรมTBC*