มาอ่านต่อค่ะ
..............................
.
.
ซอรีนน์ตื่นขึ้นในตอนเช้าและพบว่าตัวเองมานอนอยู่ข้างบ่อพักน้ำตามเคย ที่น่าอายก็คือมีบางสิ่งเกรอะกรังอยู่ในกางเกงจนรู้สึกได้ถึงความเหนียวเหนอะเมื่อขยับตัว
“ผีทะลึ่งนี่!”
ลากสังขารระโหยโรยแรงขึ้นมาถึงห้องนอนก็พบว่าน้องชายลูกท่านอายังคงซุกตัวสงบนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม ไม่มีวี่แววจะรับรู้อะไรด้วยสักนิด ก่อนจะมองไปที่ผนังด้านในที่แขวนภาพของเพื่อนเล่นในฝันไว้ก็เห็นดวงตาสี้ฟ้าเข้มจัดนั้นยังมองตรงมาราวกับมีชีวิต
ซอรีนน์รู้สึกใบหน้าร้อนวาบราวกับเหตุการณ์ในฝันนั้นเกิดขึ้นจริง แล้วก็ต้องสะบัดศีรษะแรงๆไล่ความรู้สึกแปลกๆออกไป ก่อนจะเข้าห้องน้ำจัดการทำความสะอาดร่างกายตัวเองตามปกติ ส่องกระจกบานใหญ่ดูก็ไม่พบร่องรอยใดๆที่ควรจะเกิดขึ้นบนร่างกายหากเรื่องในฝันที่ตนเองถูกคนในภาพทั้งดูดดุนทั้งขบกัดจนทั่วในร่มผ้าเป็นความจริงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
‘เรานี่ท่าจะบ้า....สงสัยฟังเรื่องผีปีศาจจากอาลินมากไปหน่อย....ถ้าฝันคราวหน้าต้องปฏิเสธบ้างแล้วมั้งเรา’
‘ซาลิม.....ซาลิม....’
‘หืม.....’
‘ลุกสิ.....ตามเรามาทางนี้’
‘ไม่เอาหรอก หนาวออกนะ.....อีกอย่างเราชื่อซอรีนน์ ไม่ใช่ซาลิมของท่าน’
‘เด็กดื้อ ลุกขึ้น!’
‘ไม่.....อ๊ะ!!! จะทำอะไร?!’
ซอรีนน์รู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าของอีกต่อไป ทั้งๆที่ใจสั่งว่าไม่ แต่ขณะนี้เขาก็กลับมายืนอยู่ตรงบ่อพักน้ำที่เดียวกับที่เคยตื่นขึ้นมาทุกเช้าอีกแล้ว
และนั่นไง จู่ๆร่างโปร่งของเด็กหนุ่มที่น่าจะอายุมากกว่าไม่เกินห้าปีที่เดินนำมาตลอดก็หายไป ทิ้งไว้แต่ช่องทางลับหลังกำแพงหินที่อยู่ข้างบ่อพักน้ำซึ่งถูกเปิดออกด้วยมือของเด็กชายที่เคลื่อนไหวไปตามอำนาจเหนือธรรมชาตินี่เอง
เมื่อซอรีนน์ลองขยับแขนขาดูก็พบว่าขณะนี้ร่างกายกลับมาเป็นของตนอีกครั้ง เด็กชายหมุนตัวจะกลับขึ้นไปนอนซุกตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ให้สบาย แต่ช่องทางลับที่เพิ่งได้พบซึ่งมีคบไฟส่องสว่างจนเห็นว่าคงจะลึกลงไปไม่น้อยก็ยั่วตายั่วใจที่มีธรรมชาติอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดาของเด็กวัยนี้จนห้ามตัวเองไม่ให้ก้าวล่วงเข้าไปไม่ไหว
เด็กน้อยเงยหน้ามองด้านบนของประตูหินเพื่อความแน่ใจว่าระหว่างที่ก้าวผ่านจะไม่มีการหล่นลงมาทับจนขาดใจตายอยู่ตรงนี้แน่ แล้วจึงตัดสินใจก้าวเข้าไปหาแสงสว่างด้านใน และเพียงพ้นส่วนโถงและหย่อนเท้าลงวางบนบันไดขั้นแรกเท่านั้น เสียงครืดเบาๆก็ดังขึ้น
เมื่อซอรีนน์หันกลับไปดูประตูหินหนาหนักก็กำลังเคลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กจ้อยของเด็กชายถีบเท้ากระโจนไปทางช่องเปิดที่ยังพอจะรอดตัวผ่านเพื่อกลับไปได้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เด็กชายเอื้อมมือสั่นเทาทุบแรงๆไปบนแผ่นหิน พยายามออกแรงดันแต่แม้จะโถมแรงจนสุดตัวก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดใดเกิดขึ้นเลย
ความหวั่นกลัวครอบงำจิตใจจนสั่นไปทั้งร่าง ซอรีนน์รู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองเย็นเฉียบเมื่อยกมือมาป้ายน้ำตาแห่งความกลัวที่ไหลพรากออกมาไม่ยอมหยุด เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปรอบตัวก็เจอแต่ความว่างเปล่า บันไดวนที่ทอดลึกลงต่ำกว่าระดับผิวดินลงไปเรื่อยๆไม่รู้จะพาไปถึงจุดสิ้นสุดตรงไหน แต่กระนั้นนี่ก็ดูจะเป็นทางเดียวที่เด็กชายเหลืออยู่
ซอรีนน์ตัดสินใจก้าวเดินอีกครั้งทั้งน้ำตา ค่อยๆก้าวไปทางบันไดที่มีแสงสว่างจากไต้ส่องให้เห็นทางอยู่เป็นระยะอีกครั้ง เสียงฝีเท้าของตัวเองสะท้อนก้องกับผนังหินยิ่งทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว
‘มาเถิด.....เด็กน้อย จงมาสู่ข้าตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้.....’น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่เคยสัมผัสด้วยจิตมาบัดนี้ซอรีนน์รู้สึกเหมือนผู้พูดจะมายืนกระซิบอยู่ข้างๆจนรับรู้แม้กระทั่งกระแสลมแผ่วๆที่กระทบใบหูจนเผลอหันหน้าไปมองหาพร้อมทั้งยกมือขึ้นแตะใบหูของตัวเอง
แต่แม้จะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่มันแปลกพิสดารแค่ไหน เด็กชายก็ยังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด อาการหวาดกลัวเมื่อคิดได้ว่าตนเองอาจจะต้องตายอยู่ในอุโมงค์ลับใต้ดินเริ่มถูกความกระหายใคร่รู้ซ้อนทับ ซอรีนน์อยากรู้นักว่าบันไดเวียนนี่จะพาเขาไปโผล่ที่ไหน
เดินมายังไม่ทันเหนื่อยขั้นบันไดก็เริ่มไม่สม่ำเสมอ จนในที่สุดพื้นก็เปลี่ยนเป็นทางลาดปูหิน ผนังที่เคยเรียบกลับกลายเป็นผนังหินธรรมชาติตะปุ่มตะป่ำ มีหินงอกหินย้อยซึ่งบางจุดก็มีหยดน้ำสะท้อนจับกับแสงไฟจนทำให้ตาพร่าเมื่อเผลอตัวมองนาน
เด็กชายสังเกตว่าคบไฟที่ตามไว้ตามผนังเริ่มห่างขึ้น และในที่สุดเมื่อก้าวพ้นหลืบหินที่มีลักษณะเหมือนฉากกั้นห้องธรรมชาติ ห้องโถงกว้างขนาดใหญ่กว่าห้องนอนที่เขาใช้ร่วมกับบุตรชายของท่านอาโยเนลก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
แท่นหินความสูงระดับอกของเด็กชายตั้งโดดเด่นอยู่กลางห้อง เป็นส่วนประกอบเดียวที่ทำให้ห้องหินนี้ดูแตกต่างจากห้องนอนด้านบนเพราะริมผนังที่แสงไต้ส่องไปถึงมีทั้งโต๊ะ ตู้ หรือแม้แต่กระจกบานยาวรูปวงรีที่ฝังอย่างลงตัวอยู่ในเนื้อหินริมผนังด้านขวาของห้อง
ซอรีนน์ตัดสินใจก้าวเข้าไปหาแท่นหินลักษณะคล้ายเตียงสีดำสนิทนั้นช้าๆ เข้าไปจนใกล้จนได้ระยะเอื้อมมือถึง บนพื้นหินสีดำสนิทปรากฏรูปดาวห้าแฉกขีดเป็นรอยลึกตรงกึ่งกลาง มือขาวอมชมพูค่อยเอื้อมไปแตะไล้ตามรอยขีดรูปดาวอย่างเผลอไผล แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีฝ่ามือแข็งแกร่งหากเย็นเฉียบดุจเดียวกับเนื้อหินคว้าหมับตรงข้อมือข้างนั้น
“อื๊ออออออ!!!”ซอรีนน์อุทานไม่เป็นภาษาเมื่อหันหน้ากลับมาแล้วได้เผชิญกับใบหน้าคุ้นเคย ใบหน้าของเพื่อนเล่นในความฝันและเป็นใบหน้าเดียวกับเด็กหนุ่มในภาพวาด หากที่ต่างออกไปคือดวงตา......ดวงตาสีแดงเข้มไม่ต่างจากสีของเลือดสด และอุณหภูมิเย็นชืดที่ข้อมือไม่ต่างจากแท่นหินที่นั่งซ้อนกันอยู่ตอนนี้สักนิด
เด็กชายสะบัดมือสุดแรงแล้ววิ่งไม่คิดชีวิตไปทางออกใกล้ที่สุดที่เหลือบตาไปเห็น เสียงหัวเราะเยียบเย็นที่ดังไล่หลังราวกับปีศาจร้ายยิ่งกระตุ้นให้การเคลื่อนไหวของซอรีนน์เร็วขึ้นอีก หากแต่ยิ่งออกห่างจากห้องโถงใหญ่นั้นแสงจากคบไฟก็เริ่มน้อยลง
‘ตึกตึก.....ตึกตึก.......ตึก ตึก ตึก ตึกตึก ตึก ตึก ตึกตึกตึก’
มิฮาอิล กราฟ์คนสุดท้ายแห่งบราโซฟในรูปลักษณ์ที่แทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อแปดสิบสามปีก่อนเลยยังคงนั่งอยู่บนแท่นหินสีดำนั้น เอียงคอน้อยๆพลางเงี่ยหูฟัง
‘เสียงเต้นของหัวใจ ใกล้แค่เอื้อมมือคว้า.......
หึๆ เด็กน้อยเอย......คิดหรือว่า เพียงแต่วิ่งจนสุดฝีเท้า ทุ่มเททุกพลังแรงกายลงไปแล้วจะช่วยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือนี้ได้
วิ่งเข้าเถิด......จงออกแรงให้เต็มที่ ให้พลังงานที่เหลืออยู่เพียงนิดนั้นเหือดหาย
แล้วเมื่อใดที่เธอหมดแรงเฮือกสุดท้าย.......เธอจะได้กลับสู่อ้อมอกของเรา........อีกครั้ง’ในที่สุดทางที่ซอรีนน์วิ่งมาก็ไม่มีคบไฟตามไว้อีกต่อไป ซอรีนน์พยายามเพ่งมองในความมืด หากในความมืดสนิทนั้น แม้แต่จะมองเห็นฝ่ามือตัวเองยังแทบเป็นไปไม่ได้ เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วค่อยออกเดินต่อโดยคลำไปตามฝาผนัง หนทางคดเคี้ยววกวน และยังความมืดยิ่งกว่ามืด ทำให้ความหวังของค่อยเหือดลงทีละน้อย
เด็กชายไม่รู้ว่าตัวเองติดอยู่ในทางที่คดเคี้ยวราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กระเพาะเริ่มครวญครางประท้วงว่าร่างกายที่กำลังเจริญเติบโตต้องการอาหาร พร้อมๆกับที่เรี่ยวแรงที่มีอยู่หมดลงจนต้องทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าซุกตัวแนบผนังหินเย็นชืดแล้วปล่อยน้ำตาแห่งความสิ้นหวังให้รินไหล
แต่ยังไม่ทันจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาตามที่เคย ซอรีนน์ก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวและเสียงราวกับเนื้อผ้าเสียดสีเบาๆดังขึ้นใกล้ๆห่างไปไม่ถึงช่วงแขน และฝ่ามือเรียวขาวหากเย็นชืดก็ยื่นมาดึงร่างของเด็กชายเข้าไปกอดรัดจนแนบแน่นแล้วในความมืดนั้นเองที่ซอรีนน์รู้สึกถึงสัมผัสเบาๆที่ออกแรงดันให้เงยหน้าขึ้นก่อนจะมีบางสิ่งที่แม้จะเย็นชืดหากนุ่มละมุนสัมผัสเพียงแผ่วหวิวที่เปลือกตาทีละข้าง
“ซอรีนน์....เด็กดี อย่าหนีอีกเลย.....มาอยู่กับเราเถิดนะ เรารอเธอมานานเหลือเกินแล้ว”
“มิ....มิฮาอิล.....”
“เด็กดี.....จำได้แล้วสินะ”
อ้อมแขนแข็งแกร่งยกตัวเด็กชายขึ้นอุ้มเข้าเอวราวกับอุ้มเด็กที่ไร้น้ำหนักก่อนจะก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาราวลอยละล่องอยู่เหนือพื้น
“ครั้งนั้นเธอผิดสัญญา.....หลอกเรามาขังไว้ในอุโมงค์นี้ แล้วยังออกคำสั่งให้รักษาชีวิตไว้รอเธอ.....”
ซอรีนน์ซบหน้าเข้ากับซอกคอที่ขยับไปมาพร้อมๆกับจังหวะการพูดของเจ้าของร่างเย็นชืดราวแผ่นหินไร้ชีวิต พร้อมกับเปลือกตาที่หรี่ปรือลงด้วยฤทธิ์ของความเหนื่อยอ่อน การเคลื่อนไหวแผ่วเบาหากว่องไวของผู้ที่โอบอุ้มเป็นดั่งการไกวเปลกล่อมให้เข้าสู้ภวังค์แห่งความหลับกระนั้น
..........................................................................
ความโกลาหลเกิดขึ้นตั้งแต่บ่ายวันหนึ่งในฤดูหนาวที่อีกเพียงสามสัปดาห์เท่านั้นมิฮาอิลก็จะมีอายุครบสิบเจ็ดปี ข่าวจากข้างในส่งมาว่ากองทัพของจักรวรรดิทางตอนใต้กำลังรุกเข้ามาจนใกล้จะถึงผืนแผ่นดินแห่งขุนเขาอันเป็นถิ่นพำนักที่เคยสงบร่มเย็นมาตลอดนี้เสียแล้ว
เด็กและผู้หญิงถูกสั่งให้ซ่อนตัวในหลุมหลบภัย หรือห้องลับตามปราสาทและบ้านเรือน ในขณะที่ชายฉกรรจ์ถูกเกณฑ์ให้ถืออาวุธคอยต้านทานศัตรู
ความเอาแต่ใจของนายน้อยแห่งปราสาทไม่สามารถยึดยื้อซาลิมไว้กับตัวได้อีกต่อไป และเมื่อมิฮาอิลแสดงเจตจำนงจะออกไปถือโล่ถือดาบด้วยก็ไม่มีใครยินยอม
เสบียงและเครื่องใช้จำเป็นที่พอจะขนย้ายได้ในเวลาจำกัดถูกถ่ายโอนเก็บตุนในช่องทางลับใต้ปราสาทอย่างรวดเร็ว สิบเอ็ดชีวิตในห้องลับใต้ดินของปราสาทบราโซฟรอคอยสัญญาณที่นัดกันไว้อย่างกระวนกระวาย
คนอื่นอาจจะสวดมนต์ หรือเรียกร้องหาพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเวลาล่วงผ่าน หากสิ่งเดียวที่หนุ่มน้อยมิฮาอิลใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคือคำสัญญาจากเจ้าทาสผิวดำที่ไม่เคยแยกจากกันเกินวัน นับตั้งแต่พบกันครั้งแรกเมื่อมิฮาอิลอายุเพียงสิบแปดเดือน
‘อยู่ที่นี่ รอซาลิมนะขอรับคุณหนู’
‘สัญญาว่าจะปลอดภัยกลับมาสิ......ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะนานแค่ไหน จะกลับมาหาเรา’
‘ขอรับ.....ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ทาสคนนี้จะกลับมาหาคุณหนูให้จงได้ คุณหนูต้องรักษาชีวิตไว้รอซาลิมนะขอรับ’
ประตูหินหนาหนักถูกเปิดขึ้นหลังเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน อาหารที่กักตุนไว้หมดไปตั้งแต่สองวันก่อนพร้อมกับความหวังที่จะได้พบคนที่ถูกทิ้งให้ทำหน้าที่ต่อสู้อยู่ข้างนอกหมดลง
เสียงร่ำไห้ของมันดิซาผู้เป็นพี่สาวของซาลิมเทียบไม่ได้กับเสียงกู่คำรามราวหัวใจกำลังแตกสลายของมิฮาอิล เมื่อเพียงออกมาจากประตูหิน ร่างไร้ชีวิตของซาลิมเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็น
มิฮาอิลหมดความสนใจกับสิ่งอื่นอีกต่อไป หมดเรี่ยวแรงและพลังใจ นายน้อยแห่งบราโซฟไม่รับรู้แม้ร่างไร้วิญญาณของซาลิมจะถูกคนอื่นๆเคลื่อนย้ายไปกองรวมกับร่างอื่นๆแล้วจุดไฟเผาเนื่องจากเป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
กองทัพจากไปนานแล้ว และสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่ร่องรอยของการทำลายล้าง คนที่เหลือประชุมกันแล้วตัดสินใจเดินทางซอกซอนเข้าป่าเพื่อไปสมทบกับชาวบ้านที่เมืองใกล้ๆ ความเศร้าโศกของท่านหญิงมารดาที่มีต่ออาการราวขังตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัวของมิฮาอิลไม่สามารถกระทบกับเนื้อใจของบุตรชายอันเป็นที่รักได้ และเมื่อทั้งหมดออกเดินทาง มิฮาอิลก็หลบหนีออกจากคณะย้อนกลับไปซ่อนตัวอยู่หลังประตูหินหนาหนัก ทางลับใต้ปราสาทอีกครั้ง
.................................................................................
ซอรีนน์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงหินสีดำที่เย็บเฉียบ เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นก็เห็นว่าดวงตาสีแดงจัดคู่เดิมที่บรรจุประกายแห่งความปรารถนาจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว“มิฮาอิล.....คุณหนู”
“หึๆๆ ไม่ต้องเรียกเราว่าคุณหนูหรอก เจ้าคือซอรีนน์มิใช่หรือ?”
ความหวาดกลัวปลาสนาการไปหมดแล้ว เด็กชายยื่นมือที่สั่นน้อยๆขึ้นแตะต้องใบหน้างามเกินบุรุษนั้นเพียงแผ่วเบา ก่อนจะไล้ข้อนิ้วไปตามกรอบโครงหน้าที่เย็นชืดขาวซีดนั้นช้าๆ ดวงตาสีแดงหรี่ปรือลงอย่างเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสที่ไร้เดียงสาและความอบอุ่นที่ใฝ่หามาแสนนาน
กลิ่นหอมของชีวิตและเสียงตุบ...ตุบ จากแอ่งชีพจรที่ข้อมือน้อยกระตุ้นให้ความกระหายอยากในบางสิ่งตื่นตัวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ดวงตาสีแดงจัดกระตุกลืมขึ้นพร้อมกับที่มิฮาอิลเคลื่อนไหวอยากรวดเร็วจนมองไม่ทันไปยืนอยู่ในมุมมืดของซอกหินไกลออกไปในทันที เสียงขบกรามอย่างรุนแรงดังมาจากมุมนั้นจนแม้แต่ร่างน้อยที่อยู่ห่างออกมาไม่ต่ำกว่าสิบก้าวยังได้ยิน
“มิฮาอิล......” ซอรีนน์ยันตัวลุกขึ้นแล้วเริ่มก้าวเข้าไปหาร่างสูงในมุมมืด
“อย่าเพิ่ง...เข้ามา เรา....ไม่อยากทำร้ายเธอ”
เสียงห้ามตะกุกตะกักทำให้เด็กชายรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามห้ามใจตัวเองแค่ไหน หากเด็กชายไม่ยอมหยุด
“มิฮาอิล......อยากอยู่กับเราไม่ใช่หรือ....เรายินดีถ้าจะต้องถูกกิน เป็นเราเองที่ปล่อยให้ท่านรอนานขนาดนี้.....อย่าห้ามตัวเองอีกต่อไปเลยนะ”
“เธอรู้หรือว่าเรา....อึก...ในตอนนี้เป็นอะไร? มันไม่สนุกหรอกนะซอรีนน์ มันทั้งโดดเดี่ยว เงียบเหงา....การพรากชีวิตอื่นแม้จะเป็นแค่สัตว์ตัวเล็กๆ....อึก...มันเจ็บปวด......”
มือเล็กที่ปลายเล็บเป็นสีชมพูอ่อนของเด็กชายยื่นออกไปกุมมือขาวซีดไร้สีเลือดที่สั่นเทาของชายหนุ่มที่ยกปิดปากปิดจมูกราวกับไม่ต้องการให้กลิ่นใดๆเล็ดลอดเข้าไปได้ ออกแรงเพียงนิดดึงมากุมไว้ก่อนจะแนบเข้ากับผิวแก้มนุ่มนิ่มของตนเอง
“แล้วไม่ต้องการจะอยู่กับเราแล้วหรือ? มิฮาอิล.....คนดี....ลืมไปแล้วหรือว่าหากมีซอรีนน์อยู่ด้วยท่านจะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป หากท่านดูดกินจากสัตว์เล็กๆก็เพียงพอจะอยู่ได้ แล้วถ้าเป็นจากซอรีนน์.....ท่านจะต้องดื่มกินจนพรากชีวิตเราเชียวหรือ?”
“แต่เธอจะต้องตัดขาดจากคนอื่น ญาติของเธอ.....อึก....พี่น้องของเธอ......เราเพียงต้องการให้เธอ...อึก....มาอยู่กับเราในตอนกลางคืน เมื่อปราศจาก...อึก....สายตารู้เห็นของคนอื่น....เราไม่..ต้องการจะทำลายชีวิตของเธอเลย....ถ้าเธอกลายเป็นแบบเรา เป็นปีศาจ.....ร่างกายของเธอจะเปลี่ยนไป เธอจะหยุดการเติบโต....อึก....ไม่นาน เมื่อพี่น้องของเธอโตขึ้นตามวัย....ทุกคน...จะรู้....”
ซอรีนน์จูงข้อมือใหญ่หนาให้ก้าวตามมาถึงแท่นหินสีดำอีกครั้งแล้วดันให้ชายหนุ่มนั่งลง ก่อนจะนั่งซ้อนลงบนตักโดยหันหน้าเข้าหาแล้วกดใบหน้าที่เริ่มมีเขี้ยวแหลมคมยื่นออกมาตามระดับความกระหายอยากที่พุ่งขึ้นสูงให้ซบลงกับซอกคอ
“เมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยคิดกันอีกทีเถิดนะมิฮาอิล.....สำหรับตอนนี้..กินเถิดนะ ดื่มกินจากซอรีนน์....ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน....ทั้งชีวิตและหัวใจของทาสคนนี้จะเป็นของท่านเสมอ.....อึ่ก....ซื้ดดดดดด....อืม...ดีแล้วมิฮาอิล....เด็กดี...กินซะนะ”เสียงของเหลวข้นหนืดที่ไหลลงคออย่างต่อเนื่องหยุดชะงักลงเมื่ออดีตกราฟ์แห่งบราโซฟรับรู้ว่าร่างเล็กของเด็กชายอ่อนปวกเปียกจนทรงตัวไม่ไหว ปลายลิ้นที่ยังคงอาบชุ่มด้วยสีแดงแห่งโลหิตแลบเลียริมฝีปากตนเองก่อนจะประคองให้ร่างบนตักเอนลงนอนบนเตียงหิน
“ซอรีนน์.....หวานเหลือเกิน.....”
มิฮาอิลโน้มตัวคร่อมร่างของเด็กชายไว้ โลมลิ้นไล้เลียหยดเลือดที่ยังซึมออกมาจากรอยแผลที่เส้นเลือดตรงซอกคอของซอรีนน์ราวจะกวาดทุกหยาดหยดไม่ให้เสียเปล่า
เปลือกตาที่หลับสนิทของผู้ตกเป็นเหยื่อโดยเต็มใจค่อยหรี่ปรือขึ้น รอยยิ้มหวานละมุนแต่งแต้มทั้งริมฝีปากสีชมพูระเรื่อและดวงตาสีเขียวเข้มที่เลื่อนลอยราวหลุดไปอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
“ซอรีนน์.....ซอรีนน์ของข้า......”
แขนเรียวขาวที่วางทิ้งอยู่ข้างตัวถูกยกขึ้นโอบที่รอบคอของคนด้านบน แล้วรั้งให้ลงมาหาก่อนจะมอบจุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปากบางจัดที่เริ่มมีสีชมพูไม่ต่างกันเมื่อได้รับความอบอุ่นจากร่างที่ทอดกายอยู่เบื้องล่าง ผละออกประสานสายตา ก่อนที่ปลายลิ้นสีชมพูสดจะยื่นออกแตะกับริมฝีปากของแวมไพร์หนุ่มผู้กำลังจะคลั่งกับความยั่วยวนของร่างน้อยตรงหน้า
ซอรีนน์แตะปลายลิ้นเข้ากับริมฝีปากที่เผยอน้อยๆราวจะลิ้มชิมรสของขนมหวานที่วางล่อ จะกินเสียให้หมดในคำเดียวก็เสียดาย จึงต้องค่อยละเลียดชิมให้รสหวานกำซาบสู่ปลายลิ้นทีละนิด
มิฮาอิลปล่อยให้เด็กน้อยขี้เล่นทำทุกอย่างตามใจชอบ ในขณะที่ตนเองลงมือปลดอาภรณ์ที่สวมติดตัวอยู่ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแก้เชือกที่รัดอยู่ตรงขอบกางเกงนอนของซอรีนน์ออกอย่างเบามือ แล้วล้วงมือเย็นๆเข้าไปรุกเร้าที่บางสิ่งที่เริ่มแข็งขืนขึ้นช้าๆ
เสียงครางแผ่วเครือของซอรีนน์ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ผสมปนเปกับเสียงคำรามในลำคอจากมิฮาอิล ยามที่ห้วงอารมณ์ไต่ระดับขึ้นจนถึงจุดสูงสุด หลักฐานแห่งบทรักที่เพิ่งจบลงถูกแวมไพร์หนุ่มไล้เลียดูดกินจนไม่มีเหลือ
เมื่อเลื่อนตัวขึ้นมาหวังจะมอบจูบให้กับเด็กดีที่ยอมตามใจทุกอย่างอีกครั้งมิฮาอิลก็พบว่าซอรีนน์หลับสนิทไปเสียแล้ว.........
แวมไพร์หนุ่มเอนตัวลงนอนหงายเคียงข้างร่างน้อยที่หลับใหลไม่ได้สติด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะดึงรั้งให้ซอรีนน์เข้ามาซบหน้าหนุนอยู่บนอก กระซิบเบาๆที่ข้างหูอีกครั้งก่อนจะปิดเปลือกตาลงเป็นครั้งแรกในรอบแปดสิบสามปี
“หลับเสียนะ....เด็กดี ต่อไปนี้ เราจะไม่พรากจากกันอีก......”..........................................................
......................จบตอนค่ะ......................
ปล.ขอโทษที่มาสายนะคะ กอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ปล.อีกที ที่จริงอยากได้ภาพที่น้องทาสเด็กน้อยกว่านี้แต่หามิได้ ขอบคุณท่านเจ้าของภาพและพี่ๆน้องๆที่ช่วยกันหานะคะ จุ๊บุๆ