Lv.14 ข้อตกลง
พวกผมที่ออกไปแห่ในเมืองกันเล่นๆ ในที่สุดก็หลบสายตาผู้คนจนกลับมาถึงห้องพักได้อย่างปลอดภัย โดยมีกลคอยบอกตำแหน่งจากช่องสื่อสารของปาร์ตี้
โรงแรมที่พวกเราพักไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย อยู่ในระดับธรรมดา หารตังกันออกตามความเห็นของทุกคน ตัวอาคารสร้างจากทรายสีขาวตามชายหาด ที่ไม่รู้ใช้วิธีอะไรในการคงตัวให้มันอยู่เป็นอาคารได้ ตกแต่งด้วยเปลือกหอยต่างๆ ภาพวาดสวยงาม ถือว่าใช้ได้ทีเดียว
“แล้ว...พวกเราแบ่งห้องกันยังไงล่ะ”
ผมมองหน้ากล พ่อหมาป่าหนุ่ม ยืนหล่อให้สาวมองน้ำลายหกอยู่หน้าเคาน์เตอร์ หางเป็นพวงส่ายไปมา สีหน้าเรียบนิ่งปกติ ก้าวเข้ามายืนข้างผมทันทีที่ผมย่างกรายเข้ามาภายในโรงแรม
“นอนรวมกันหมด มีสองเตียงใหญ่ แบ่งกันเตียงละสองคน” พวกเราพยักหน้าเข้าใจ ไม่ใช่ว่างบไม่พอ อย่างว่า ที่นี่เป็นเมืองท่าสำหรับการค่าขาย และจุดแวะพักของพวกนักเดินเรือ จะคนเยอะห้องเต็ม มีห้องใหญ่ให้นอนนับว่าโชคดีแล้ว
“ฉันนอนกับไวไวเอง พวกนายนอนด้วยกันไป ตอนนี้กินข้าวกันเถอะ จะได้ขึ้นไปพักผ่อน”
ลินออกความเห็นแกมบังคับทางสายตา ตอนเธอเป็นผู้หญิง ผมไม่รู้สึกกลัวสายตาของเธอเลยสักนิด ออกจะน่าขำซะด้วยซ้ำไป มีผู้หญิงมาถลึงตาใส่ แต่พออยู่ในมาดชายเต็มขั้น ดวงตาคมๆ คู่นั้น จ้องมาทีเล่นเอาขนลุกซู่ ขยับตัวหลบหลังกลแบบเนียนๆ
“เชิญตามสบาย ฉันไม่คิดแย่งเวลากอดตุ๊กตากระต่ายแคระของเธอ เอ๊ย นายหรอก”
“ใครเป็นตุ๊กตาฟะ อย่าให้กลับร่างเดิมได้นะเว้ย จะเอาคืนให้หงายเลย” กระต่ายแคระพ่นไฟใส่ผม ผมยักไหล่ไม่สนใจ เดินนำทีมไปหาโต๊ะนั่ง รับเมนูจากพนักงานร้านมาสั่งอาหาร
แม้ผมจะเป็นแวมไพร์เต็มตัว แต่ผมยังสามารถทานอาหารแบบคนปกติทั่วไปได้ ถึงมันให้พลังงานไม่เท่าเลือดก็ตาม ผมไม่อยากดื่มแต่เลือด เสียดายของกินดีๆ
“พวกนายสนใจฉันบ้างเซ่ ลิน ฉันนั่งเองได้ ทำไมต้องนั่งตักด้วย”
“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวตกลงไปเจ็บหรอก นั่งตักฉันแหละดีแล้ว ที่นี่ไม่มีเก้าอี้สำหรับเด็กนะ แบบนั้นนายจะกินข้าวยังไง”
ไวไวยังคงโวยวาย แต่ไม่ยักลงจากตักลิน ผมเมินเพื่อนตัวเองหันไปเลือกอาหารกับกลสบายใจ ผมว่าปกติมันขี้บ่นเหมือนผู้หญิงอยู่แล้วนะ พอมันกลับเป็นเด็ก ทำอะไรไม่ค่อยได้ดั่งใจ ยิ่งขี้บ่นมากขึ้นเป็นสิบเท่า ถ้าไม่ใช่ลินอุ้มไว้ตลอดเวลา แล้วมาอยู่ในมือผมหรือกล คงจะจับเตะโด่งชู้ตไปนอกโลกซะ เสียงแหลมเล็กแบบเด็กของนาย มันบาดหูพวกประสาทการรับฟังดีแบบพวกเรา
“เลิกบ่นมาก กินๆ เข้าไป เอ้าแครอท ไอ้กระต่ายแคระ”
พออาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ ผมใช้ส้อมจิ้มแครอทต้มในน้ำซุปยัดใส่ปากไวไว มันยิ่งร้องหนักเพราะร้อน ลินหันมาถลึงตาใส่ผมใหญ่ หยิบน้ำให้กระต่ายแคระดื่ม ยกผ้าเช็ดปากอย่างดี
เอาล่ะ เลิกสนใจเด็กเห่อตุ๊กตาตรงหน้า แล้วกินอาหารส่วนของตัวเองดีกว่า ไม่อยากนั่งเป็นเป้าสายตา ให้ตายสิ เกิดมาหล่อนี่มันเป็นบาปจริงๆ ขนาดพี่วินเกิดก่อน เอาความหล่อออกจากท้องแม่ไปเยอะแล้วนะ ยังจะหลงเหลือถึงผมอีกแหนะ เฮ้อ คนหล่อกลุ้ม
“วัต จวนได้เวลาแล้ว”
หมาป่าสารพัดประโยชน์ข้างตัวยื่นหน้ามากระซิบข้างหูในระยะประชิด จนผมรู้สึกถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดแถวหู สะดุ้งสิครับ ไม่รู้เป็นนิสัยน้องโฮ่งหรือยังไง ชอบมาคลอเคลีย ใช้จมูกพิสูจน์กลิ่นฟุดฟิดทุกครั้งที่เจอเป็นประจำ เหมือนหมาหวงเจ้าของ
อันที่จริงผมชอบหมานะ แต่พี่วินชอบแมว แถมได้นายท่านมา ผมเลยต้องกลายเป็นทาสของทาสแมวคอยดูแลนายท่านไปตามระเบียบ
“เวลา? อ่อ โอเค เดี๋ยวกินข้าวเสร็จพวกฉันขอเวลาอยู่ในห้องพักนึงนะ พวกนายไปเดินเล่นตลาดตอนค่ำกันก็ได้”
ไม่รู้สองคนนั้นเลิกคุยปนด่ากันตั้งแต่ตอนไหน มองผมกับกลตาแป๋ว น่าจิ้มตาบอด เจอผมจ้องเขม็งใส่เข้าไปค่อยรู้สึกตัวว่าต้องตอบ
“ได้สิ จะนานแค่ไหนก็ตามใจพวกนาย อย่าดึกจนพวกฉันไม่ได้นอนก็พอ เบาๆ หน่อย ที่นี่กำแพงบาง เกรงใจเพื่อนข้างห้อง”
ไวไวพูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยสุดๆ ลินยกยิ้มมุมปากไม่ต่าง ผมหันไปมองหน้ากลอย่างต้องการคำตอบ ว่าไอพวกนั้นมันกินแครอทจนเมาหรือยังไง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ กลดันทำหน้าหมางงใส่ผมอีก แจ่มจริงปาร์ตี้นี้ แล้วไอโต๊ะที่อยู่รอบๆ พวกเราจะตาโตอ้าปากค้างกันทำไม หรือว่าโรงแรมนี้จะใส่อะไรลงไปในอาหาร ผมชะงักส้อมที่กำลังจะจิ้มหมึกนึ่งมะนาวเข้าปากทันที
“เป็นอะไรไป รีบกิน จะได้รีบไปจัดการให้เสร็จๆ”
กลหมาน้อยแสนดีของผม จัดการจิ้มหมึกหอมน่ากินมาจ่อที่ปาก เจ้าตัวจมูกไว ไม่ทักท้วงอะไร แสดงว่าอาหารคงจะปลอดภัยสินะ โอเค ผมจะสรุปว่าคนพวกนี้อาการแปลกๆ เพราะโรคประจำตัวแล้วกัน
ผมอ้าปากงับหมึกแสนอร่อยมาเคี้ยวอย่างเป็นสุข พลางชี้กุ้งเผาเป็นสัญญาณให้หมาป่าข้างตัวบรรจงแกะกุ้ง จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดป้อนถึงปาก ระหว่างตัวเองกำลังตบตีกับปูในจาน ให้ตายสิ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่วินชอบทำตัวเป็นง่อยชี้นิ้วสั่งพี่ชินเป็นประจำ เพราะมันสบายแบบนี้นี่เอง บ้าชะมัด ทำไมผมถึงค้นพบวิชานี้ช้านัก!
“พวกนายนี่มัน...อยู่ในที่สาธารณะ ไม่ได้มีแค่พวกเราเหมือนที่ผ่านมานะเฮ้ย”
ผมหันขวับไปทางไวไว เจ้ามารผจญ คนกำลังสบายได้ทำตัวเยี่ยงราชา อย่ามาขัดความสุขค้างคาว
“นายเองก็ไม่ต่างกันหรอกหน่า” เจอผมสวนกลับอ้าปากพะงาบๆ ไวไวถูกลินช่วยดูแลทุกอย่างเหมือนกัน มองเผินๆ เหมือนหนุ่มหล่อมาดคุณชายผมทองกำลังปรนเปรอเด็กชายกระต่ายที่คิดจะเลี้ยงไว้กินเลย ผมนึกเอะใจอะไรบางอย่าง ออกจากเกมงวดหน้า คงมีรายการโทรหาพี่วินสักหน่อยแล้ว เผื่อในเกมจะมีตำรวจแบบโลกภายนอก จะได้แก้ตัวถูกว่าจริงๆ ไวไวมันแก่ผิดรูปร่าง ไม่งั้นลินคงโดนข้อหาพรากผู้เฒ่าในคราบผู้เยาว์
ผมหัวเราะในใจ คิดไร้สาระไปคนเดียว หลังพวกเราทานอาหารเสร็จเก็บตัง ลินกับไวไวแยกไปเดินตลาดระหว่างรอพวกเราจัดการภารกิจส่วนตัว ส่วนผมกับกลกลับขึ้นห้องมาก่อน
“ที่จริงแล้วไม่ต้องทุกวันก็ได้มั้ง ฉันเริ่มคุมตัวเองได้บ้าง ไม่อยากให้นายลำบาก”
ประตูถูกปิดล็อคเรียบร้อย กลนั่งลงบนเตียงเพื่อสะดวกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ห้องทั้งห้องมืดสนิท ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเลยสักนิด ในเมื่อพวกเราทั้งคู่มองเห็นในที่มืดได้สบายๆ
“กันได้ดีกว่าแก้ ถ้าเกิดปัญหามามันจะยุ่งยาก”
ผมเกาแก้มถอนหายใจ แล้วขึ้นเตียงตาม แทรกตัวอยู่ตรงหว่างขาของกลที่ยกขาข้างหนึ่งชันเข่าอยู่ คราวนี้ต่างไปจากปกตินิดหน่อย ผมต้องเป็นคนแหวกเสือของกลเอง ทั้งที่ปกติเจ้าตัวจะเป็นคนจัดการให้ สงสัยวันนี้ขี้เกียจ ผมเลยยื่นมือขาวซีดไปดึงปมเชือกตรงอกกลออก แล้วแหวกเสื้อคอขนสัตว์ออกจนเห็นลำคอแกร่ง
มือขาวซีดของผม ยามวางบนบ่ากลแล้ว สีผิวเข้มของกลตัดกันผมแบบสุดๆ เขี้ยวงอกยาวขึ้นในความมืด ผมใช้ลิ้นแตะเลียเบาๆ เป็นเชิงขอปนบอกเตือน ก่อนจะกดคมเขี้ยวลงไปบนผิวเนื้อ ของเหลวอุ่นไหลทะลักออกมาทันที ดวงตาของผมตอนนี้คงกลายเป็นสีแดงไปเรียบร้อย
ของเหลวร้อนไหลลงสู่ลำคอ หอมหวานจนเผลอไผล ขยับตัวแนบชิดอย่างลืมตัว แนบริมฝีปากกับลำคอมากขึ้นเพื่อดื่มด่ำได้มากกว่านี้ กลไม่ผลักไสผมสักนิด หางของเขาส่ายไปมาเบาๆ เหมือนกำลังสบายอารมณ์ทั้งที่กำลังถูกสูบเลือดอยู่
มือร้อนลูบแผ่นหลังผม ก่อนเลื่อนขึ้นมาคลึงแถวท้ายทอย เป็นเชิงบอกว่าให้ผมหยุดได้แล้ว ผมยังไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ จึงดื้อดึงดื่มกินเลือดอุ่นต่อ วงแขนของคนตรงหน้า เลยเปลี่ยนมาโอบเอวผมแนบเข้าหาตัว ใบหน้าโน้มลงมาชิดริมหู
“พอแล้ว”
สติผมมันดูเลือนราง เหมือนได้ยินเสียงทุ้มเรียกจากที่ไกลๆ จนรู้สึกถึงความนุ่มชื้นตรงริมหู แถมคมเขี้ยวหมาป่างับหูแหลมของผมเบาๆ สติผมบินกลับเข้าร่างทันที ถอนเขี้ยวผละออกมายกมือกุมหูตัวเองหน้าแดงก่ำ
“หัดใช้วิธีเหมือนคนทั่วไปหยุดฉันหน่อยจะได้ไหม”
ผมโวยเสียงรอดไรฟันใส่คนที่กำลังหัวเราะในลำคอตรงหน้า กลนั่งอยู่บนเตียงมีผมอยู่ตรงหว่างขา แขนข้างหนึ่งวางเท้าด้านหลังเพื่อพยุงตัวเอง ส่วนมืออีกข้างมาลูบแก้มผมเล่น ผมปัดมือนั่นออก ดวงตาสีแดง มองไปยังลำคออีกฝ่าย ที่มีรอยเขี้ยวชัดเจน แถมเลือดยังไม่หยุดไหล
“ฉันไม่อยากทำร้ายนาย เลยใช้วิธีนุ่มนวลในการหยุดนายดีกว่า วัต...ช่วยหน่อย”
คนมาดนิ่งทำเสียงเหมือนจะอ้อนแบบที่ถ้ามีคนอื่นอยู่เจ้าตัวจะไม่แสดงออกมาเด็ดขาด ผมถอนหายใจหมดปอด ยอมขยับตัวเข้าไปหา แล้วใช้ลิ้นเลียรอยเขี้ยวเพื่อหยุดเลือด น้ำลายผมไม่ได้มีผลการรักษาแบบกล สามารถจัดการได้แค่แผลที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่า ถ้าผมไม่ได้เป็นคนห้ามเลือดเอง ต่อให้ใช้น้ำลายเจ้าตัวเป็นถัง หรือยารักษาเป็นโหลก็ห้ามเลือดไม่ได้ เว้นแต่ว่า จะใช้น้ำมนต์ หรือยาถอนพิษจากเขี้ยวของแวมไพร์เท่านั้น จึงจะมีสรรพคุณห้ามเลือดได้
แน่นอน ระดับอย่างกล สมุนไพรห้ามเลือดจากเขี้ยวแวมไพร์ เจ้าตัวซื้อมาเก็บตั้งแต่ผมกลายเป็นแวมไพร์เต็มตัววันแรกแล้ว เพียงแค่เจ้าตัวไม่คิดใช้ ให้ผมจัดการให้ อย่างว่า ไอ้สมุนไพรนั่นราคาแพงระยับ คงกะเอาไว้ใช้เฉพาะตอนผมไม่สามารถจัดการห้ามเลือดได้มากกว่า
“ถ้าจะกรุณา วันหลังใช้วิธีอื่นเถอะ แบบนี้รู้สึกเปลืองตัวชะมัด”
“จนป่านี้แล้ว นายน่าจะรู้แล้วนะ ว่าฉันคิดอะไร” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองผมนิ่ง สื่อความรู้สึกหลากหลายจนผมต้องเป็นฝ่ายหลับตาหนี พอลืมตาอีกที ดวงตากลับเป็นสีเทาแบบเดิม จ้องกลับแบบเอาเรื่อง
“ไอรู้ก็รู้อยู่ ขอเวลาหน่อย หลังๆ นายเริ่มรุกฉันมากจนจะไปไม่เป็นอยู่แล้ว สักวันไวไวกับลินจะเป็นตากุ้งยิงเพราะนาย”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ” เสียงนิ่งเรียบตอบกลับมาทั้งที่ดวงตาพราวระยับ ผมไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย ล้วงเอาขวดยาเพิ่มเลือดจากกระเป๋า ยัดใส่ปากอีกฝ่ายซะ
กลแสดงชัดเจนขนาดนี้ ใครไม่รู้คงโง่เต็มทน หลังๆหนักข้อจนผมแกล้งบื้อต่อไปไม่ไหว อย่างเมื่อกี้ เชื่อเลยว่าไอสิ่งที่บอกว่าต้องการ คงไม่พ้นการทำให้ผมไปไม่เป็นแน่
“ถ้าเป็นไปได้ ช่วยป้อนด้วยก็ดีนะ”
ดู เพิ่งพูดไปตะกี้ว่าอย่ารุกให้มากนัก ไม่ต้องมาเอียงคอทำหน้าหมาน้อยขอความเห็นใจเลย ผมบ่นด่าในใจไปร้อยแปด มองหมาป่าลีลาเยอะ อ้อยอิ่งจิบขวดยาทีละหยดอย่างกับจิบไวน์ นึกหมั่นไส้ คว้าขวดยามาไว้ในมือ กระดกเข้าปากอึกๆ แล้วจับหน้าอีกฝ่ายให้เงยขึ้น ผมคุกเข่าบนเตียงเลยได้อยู่มุมสูงกว่า
ประกบปากกรอกยาจนหมด พอผละออกถึงได้เห็นชัดๆ กลนิ่งอึ้งอยู่กับที่ มองผมเหมือนไม่อยากเชื่อ หูตั้ง หางชี้ ใบหน้านิ่งๆ เหมือนสติไม่กลับเข้าร่าง แถมอีกสักหน่อย มือขาว ยื่นนิ้วโป้งเกลี่ยยาเพิ่มเลือดที่เลอะตรงมุมปากคนตรงหน้า ก่อนแลบลิ้นเลียนิ้วที่เลอะยาของตัวเอง เหมือนได้เห็นหมาป่ากลอึ้งยกกำลังสอง หางฟูเลยคราวนี้
“ดื่มยา เป็นเด็กดี พักผ่อนซะนะกล ฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอกหน่อย”
ขยิบตาให้แถมท้าย กว่ากลจะสติกลับผมก็เปิดหน้าต่าง บินลัลล้าท่องอยู่บนผืนนภาในยามราตรีแล้ว วะฮ่าๆๆ สะใจเป็นบ้า
“วัต ตัวแสบ....!”
เหมือนได้ยินเสียงหมาป่าไล่หลัง ผมหัวเราะหนักกว่าเดิม แทบบินไม่อยู่ รู้จักผมน้อยไปซะแล้ว ในเกมนี้ คำสาปแรกเริ่มที่ทุกคนได้รับ มันเป็นการสุ่มจากลักษณะนิสัย หรือรูปร่างของคนๆ นั้น ยกตัวอย่างเช่น ไวไวมันเป็นนักกีฬา ถนัดเรื่องการออกแรงช่วงขามากที่สุด เลยถูกเลือกให้เป็นกระต่าย
คิดดูเอาแล้วกัน ผมถูกเลือกให้เป็นแวมไพร์ มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่ผมจะใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แบบนี้แหละ ปกติของมนุษย์ แรกเริ่มเจอกัน ไม่มีใครงัดเอานิสัยแท้จริงออกมาหรอก อยู่กันไปนานๆ ถึงจะได้เห็น เพราะงี้ไง เขาถึงบอก ไม่ควรตัดสินคนตั้งแต่ครั้งภายนอก ต้องลองทำความรู้จักไปสักระยะ ถึงจะรู้ว่าเขาคนนั้นนิสัยเป็นยังไง หลังจากนี้กลคงจะเริ่มรู้แล้วล่ะว่า ผมนิสัยแบบไหน
ผมปล่อยให้สายลมเย็นในตอนกลางคืนพัดผ่านร่างกายไป ขณะโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ไม่ได้ออกมาร่อนคนเดียวนานมากแล้ว กลิ่นอายของทะเล ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ผมฟังเสียงคลื่นอย่างเพลิดเพลิน ฉับพลัน ดวงตาสังเกตเห็นเงาวูบไหวร่างหนึ่งแถวชายหาดเขตของโรงแรม
ด้วยนิสัยขี้สงสัยส่วนตัว อดไม่ได้ที่จะร่อนลงไปดู ลอบตามเงาร่างนั้นไป ฝีเท้าของแวมไพร์นั่นไร้เสียง แฝงกายอยู่ภายในเงามืด ยิ่งเป็นเวลากลางคืน ไร้แสงไฟนอกจากแสงจากดวงจันทร์แบบนี้ ไม่มีใครหาผมเจอง่ายๆ ถ้าเป็นระดับสูงกว่ามากๆ ก็อีกเรื่อง
เงานั้นหยุดลง ยืนอยู่ตรงพื้นโล่งที่มีต้นไม้ล้อมรอบตามธรรมชาติ ผมหยุดตาม หลบอยู่ในเงาไม้ มองด้วยความสนใจ จู่ๆ ร่างนั้นพลันหายไป พริบตาเดียว ร่างกายผมถูกรวบกอดทั้งตัว ยกจนเท้าลอยเหนือพื้น ผมตกใจ รีบเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาว พอจะบินหนี ถูกตาข่ายครอบดักไว้เหมือนรู้ว่าผมจะบินไปทางทิศไหน
ผลสุดท้าย ผมเลยกลายเป็นค้างคาวร้องเสียงแหลมอยู่ในตาข่าย เยื่องไปทางด้านขวา ปรากฏเงาร่างของคนอีกหนึ่งคน เดินมารวบตาข่ายที่จับผมไว้ยกขึ้นดู
“ไม่คิดเลยว่าระหว่างเดินเล่น จะจับค้างคาวได้หนึ่งตัวแบบนี้”
“ไม่เอาหน่า อย่าแกล้งเด็ก ปล่อยเขาออกมา”
ฟังจากเสียง บ่งบอกว่าสองคนนี้เป็นผู้ชายทั้งคู่ ผมขยับตัวมองดีๆ ถึงได้เห็น ชายหนึ่งคนสูงโปร่งยื่นตาข่ายให้ชายอีกคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำแบบที่ไวไวเทียบไม่ติด เขาแกะผมออกจากตาข่ายอย่างเบามือจนน่าสงสัย ผมไม่อยากอยู่ในเงื่อมมืออีกฝ่ายนาน แม้ร่างค้างคาวจะดี แต่ไม่สามารถต่อสู้อะไรได้ เลยเลือกกลับร่างเดิมดีกว่า
“พวกคุณต้องการอะไร”
ดูจากท่าทางต้องการกักตัวผมเต็มที่ ไอคำที่บอกว่าเดินเล่นแล้วบังเอิญจับผมได้คงโกหกแน่ เป้าหมายของคนพวกนี้อยู่ที่ผมตั้งแต่แรก ก่อนอื่น ต้องติดต่อหาคนอื่นในปาร์ตี้
“ทั้งที่ถาม แต่กลับไม่รอคำตอบ ติดต่อเพื่อนหรือ ดีเหมือนกัน แบบนี้ง่ายขึ้นเยอะ เรียกเจ้านั่นมา”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในคอของชายร่างกำยำ ดูขบขันกับท่าทางผมเต็มที่
“เจ้านั่น เจ้าไหน?” ผมขมวดคิ้ว กลุ่มปาร์ตี้ผมมีตั้งสามคน แบบไม่นับรวมผม แล้วมันคนไหนล่ะ
“ดูเหมือนจะไม่ต้องติดต่อแล้ว”
สายลมพัดวูบเหมือนมีใครวิ่งผ่านมายังจุดที่พวกเราอยู่ ก่อนสายลมนั้นจะหยุดอยู่ตรงหน้าผม ขนหมาป่าสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ เรือนผมสั้นระคอพลิ้วไปตามกระแสลมในตอนกลางคืน แขนข้างหนึ่งกางออกกันผมไว้ด้านหลังอย่างปกป้องแกมหวง
“ทำไมไม่ติดต่อฉันมาโดยตรง” หมาป่าหนุ่มพูดในลำคอเจือเสียงขู่ ชายร่างโปร่งผมแอบสะดุ้ง ส่วนคนตัวใหญ่ไม่มีทีท่าอะไรเลยสักนิด
“กล้าพูดนะนิลกาฬ ฉันติดต่อไปร้อยรอบแล้ว นายไม่ตอบกลับมาเลยถึงต้องถ่อสังขารมาจากทวีปกลาง ดักรอพวกนายที่เมืองนี้ไง”
ผมอยู่ด้านหลังไม่เห็นสีหน้ากล เห็นแค่ว่าเขายกมือเรียกหน้าต่างจดหมายออกมาดู นิ้วเลื่อนลงไปเรื่อยๆ ผมชะโงกหน้ามองข้ามไหล่ จดหมายเรียงยาว เปลี่ยนไปหน้าสองหน้าสามยังมี ทุกฉบับไม่เคยถูกเปิดอ่าน พอถึงหน้าสี่ กลกดเลือกจดหมายทั้งหมด แล้วลบทิ้งต่อหน้าต่อตาทุกคน
“เฮ้ย! ไม่คิดจะเปิดอ่านหน่อยเลยเรอะ” ชายท่าทางขี้เล่นเจ้าของตาข่าย อดไม่ได้ที่จะโวย ในจำนวนพวกนั้นมีจดหมายที่พวกเขาส่งไปด้วยนี่หว่า
“ไม่จำเป็น มีอะไร พูดมา” สั้นง่ายได้ใจความ ท่านหมาป่ายังคงนิ่งได้นิ่งดีเหมือนเคย
“คุยตรงนี้คงไม่เหมาะ ฉันขอเชิญนายไปที่เรือของฉันแล้วกันนิลกาฬ”
กว่าผมจะรู้สึกตัว ร่างก็ถูกยกขึ้นพาดบ่าพร้อมปีกนกแข็งแรงถูกกางออกกว้าง ขยับเพียงวูบเดียวตัวผมกับเจ้าชายตัวโตลอยขึ้นเหนือพื้นไปหลายเมตร เสียงกลกัดฟันกรอดอยู่ด้านล่างเพราะไม่อาจบินตามขึ้นมาได้ เขาไม่กล้าซัดอาวุธอะไรใส่คนที่แบกผมอยู่ ผมเข้าใจ ถ้าหมอนี้ร่วงไป ผมร่วงตามแน่ เพราะตอนนี้ผมถูกมัดด้วยโซ่เงินกางปีกไม่ได้
“อินทรี!!”
หมาป่าบางตัวคำรามเหมือนจะคลั่ง รู้ทั้งรู้ว่าถูกหยอก แต่พอโดนโฉบเอาของสำคัญไปต่อหน้าต่อตา ไม่พอ ของสำคัญที่ว่าอยู่ใกล้ตัวชนิดขยับมือก็จับได้ เผลอลดกาดแค่ชั่ววูบ ชวนให้เจ็บใจแบบสุดๆ
ผมมองกลที่วิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว มองดูเหมือนแมวหมาป่ากำลังหยอกเล่นกับอินทรียักษ์ยังไงชอบกล ที่น่าเห็นใจสุดคงไม่ใช่ผมที่โดนเอามาเป็นเหยื่อล่อหมาป่า เป็นชายผู้ถูกทอดทิ้งยืนอึ้งเพียงลำพัง รู้สึกว่าจะเป็นพวกเดียวกับคนที่แบกผมอยู่ ตอนนี้เลยมีสองคนทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อวิ่งไล่กวดตามมา
อินทรียักษ์กระพือปีกอีกวูบ บินมาทางทะเล ทิ้งห่างสองคนแบบไม่เห็นฝุ่น อารมณ์นี้ผมอยากโบกมือให้สองคนที่กำลังพายเรือตามอยู่ด้านล่างใจจะขาด ติดแต่แขนถูกมัดเป็นดักแด้เลยได้แต่หัวเราะเป็นเพื่อนคนที่แบกผมอยู่
เขาบินจนมาถึงเรือขนาดกลางลำหนึ่ง พอเท้าแตะพื้นก็ปล่อยผมลง ปลดโซ่ให้เรียบร้อย แถมยังเชิญผมไปนั่งเล่นรอสองคนนั้นพายเรือแจวในห้องกัปตันเรืออีก
“ดูเธอไม่กลัวฉันเลยนะ” อินทรีหนุ่มมองผมด้วยรอยยิ้มมุมปาก ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ รับนมอุ่นจากลูกเรือมาดื่มสบายใจ
“คุณไม่มีเจตนาร้ายกับผม ทำไมผมจะต้องกลัวด้วย” ถ้าเขาคิดจะทำร้ายจริง ผมคงตายไปตั้งแต่ถูกคว้าตัวได้รอบแรกแล้ว ไม่รอดจนมานั่งจิบนมเบิกบานอยู่อย่างนี้หรอก
“งั้นหรือ เฮ้อ...เธอคล้ายกับคนนั้นจริงๆ ทำไมฉันต้องช้ากว่าคนอื่นอยู่เรื่อย ทั้งที่เป็นถึงจ้าวแห่งท้องนภาแท้ๆ”
ผมวางแก้วเปล่าลง มองชายที่นั่งทอดถอนใจตรงหน้า นึกสงสัย ผมคล้ายใครหว่า เอ๊ะหรือผมจะหน้าโหล ไม่จริงหน่า ผมชักกังวลซะแล้ว
ปัง!
ประตูไม้ถูกกระแทกเปิดอย่างแรงจนเกิดเสียงดังลั่นเรือ สองร่างที่เพิ่งมาถึงเรือจ้ำพรวดๆ เข้ามา คนหนึ่งไปโวยอินทรีหนุ่ม ส่วนอีกคนเดินมาจับผมลุกขึ้นหมุนสำรวจทั้งตัว พอเห็นว่าไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ถึงถอนหายใจโล่งอก พลางกอดผมแน่น หางส่ายไปมาอย่างเกรี้ยวกราด
“เล่นแบบนี้ไม่ขำ”
กลดูจะหงุดหงิดเอาเรื่อง คนถูกจ้องไม่สะทกสะท้าน ยักไหล่ใช้เท้ายันเอาคนที่โวยวายอยู่ข้างตัวไปไกลๆ
“เรื่องของนาย แต่ฉันสนุก มาแนะนำตัวกันดีกว่า ฉัน ‘อินทรี’ เรียกพี่อินก็ได้ เป็นเจ้าของเรือลำนี้ ส่วนเจ้านั่น ‘เจตน์’ คู่หูฉันเอง”
ผมพยักหน้ารับ แล้วแนะนำตัวบ้าง
“วัตครับ ว่าแต่ ทำไมพี่อินถึงเรียกกลว่านิลกาฬล่ะ” ไอคำว่านิลกาฬผมก็พอจะเข้าใจว่ามันมาจากสีผมสีตาของเจ้าตัว แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ชื่อในเกมเป็นหมาป่าสุดหล่อ ชื่อจริงคือกลวัชร แล้วทำไมถึงมีนิลกาฬโผล่มาได้ สองคนนี้ต้องรู้จักกันนอกเกมแหงๆ
“อ้าว กลไม่ได้บอกเหรอว่า....”
“ฉายาฉันเอง ไม่สำคัญอะไร บอกมา มาปั่นหัวฉันแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่อินทรี”
ผมขมวดคิ้ว ดูก็รู้ กลจงใจตัดบทไม่ให้พี่อินพูดเรื่องของตัวเองออกมา เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากบอก ผมไม่คิดเซ้าซี้ ไว้สักวัน กลอยากเล่าเดี๋ยวคงเล่าออกมาเอง ระหว่างสองหมาป่าอินทรีกำลังตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผมหลบฉากมาช่วยพยุงบุคคลผู้น่าสงสาร เท้าสัตว์กินเนื้ออย่างอินทรีคงจะหนักไม่น้อย
“ขอบใจน้องชาย นายนี้หน้าคล้ายคนๆ นั้นชะมัด ติดแค่ทางนั้นจะดูเข้มกว่า มิน่าอินมันถึง เดี๋ยวกอด เดี๋ยวแบก”
ปึก! ปึก!!
มีดสั้นสองเล่ม ถูกปาเฉี่ยวหน้าคนพูดมากไปปักแน่นบนแผ่นไม้ ไม่รู้สองคนที่ทำสงครามสายตากันจนถึงเมื่อครู่ หูผึ่งฟังบทสนทนาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“โอเคๆ ไม่พูดอะไรแล้ว ลูกศิษย์อาจารย์คู่นี้ ภายนอกนิสัยต่างกัน ที่เหมือนคงมีแต่ความมือไวเท่านั้นแหละ ว๊ากกก”
ผมถอยฉากอีกรอบ ไม่คิดช่วยคนที่กำลังกระโดดหลบมีดสั้นรัวๆ นึกไว้อาลัยในใจ ละความสนใจไปหาสิ่งที่น่าสนใจกว่า ถ้าเมื่อกี้ผมได้ยินไม่ผิด
“ลูกศิษย์กับอาจารย์?” ผมส่งเสียงสูงด้วยความสงสัย สองคนนั้น คนหนึ่งทำหน้านิ่ง อีกคนยิ้มมุมปาก ไม่มีใครตอบคำถามผมสักคน ให้มันได้แบบนี้สิ
“เข้าเรื่องกันสักทีดีกว่า ฉันติดต่อนายไปเพื่อให้มาช่วยทำภารกิจหนึ่ง”
พี่อินผายมือเชิญให้พวกเรานั่งที่ ผมเลือกเก้าอี้ตรงข้ามกับพี่อิน ข้างๆ กล เพราะเจ้าตัวไม่ยอมให้ผมไปนั่งไกล อย่างกับกลัวว่าพี่อินจะลุกขึ้นมาเล่นอะไรตุกติกอีกอย่างนั้นแหละ ทางพี่เจตน์ ผมขอเรียกแบบนี้เลยแล้วกัน เจ้าตัวก้มหน้าก้มตาเก็บมีดสั้นไป บ่นอุบไป นำมาส่งคืนให้เจ้าของทั้งสองคน ก่อนนั่งเยื่องผมไปหน่อย
“อย่าเพิ่งปฏิเสธ รอเจ้าของภารกิจมาคุย แล้วนายค่อยตัดสินใจ ฉันเชื่อว่านายต้องยอมตกลงช่วยแน่ๆ นิลกาฬ”
เจ้าของเรือกดนู่นจิ้มนี้บนหน้าตาที่โชว์ขึ้นมาสักพัก หน้าต่างก็ขยายออกกว้างให้พวกเราเห็นกันทุกคน คนที่อยู่บนจอทำให้ผมตาโต
“ติดต่อมามีอะไร ถ้าไม่มีธุระสำคัญ ศพไม่สวยแน่”
“ใจเย็นก่อน ฉันมาคุยเรื่องภารกิจของนายนั้นแหละ ตอนนี้หาคนช่วยได้แล้ว”
น้ำเสียงที่พี่อินใช้พูดกับคนในจอแตกต่างจากที่พูดกับพวกเราชัดเจน ต่อให้เด็กสามขวบมาก็ฟังออก ชายคนนี้มีความรู้สึกพิเศษกับชายที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน
เจ้าของดวงตาสีเทาเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสี่คู่ที่กำลังประสานสายตามองมาที่ตน เขากวาดตามองเร็วๆ รอบหนึ่ง สะดุดเข้ากับผู้มีดวงตาสีเดียวกัน คิ้วขมวดคลายออกเป็นรอยยิ้มที่มีให้กับน้องชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ไงเจ้าวัต ถูกลากตัวมาด้วยรึนี้ ดีเหมือนกัน กำลังคิดอยู่ว่าจะชวนมาทำภารกิจด้วย”
บทสนทนากลายเป็นของสองพี่น้อง ที่เหลือในห้องถูกลดตำแหน่งเป็นตัวประกอบฉากชั่วคราว ผมย้ายตำแหน่งมานั่งใกล้จอมากขึ้น จะได้คุยสะดวกๆ
“พี่วินอู้ทำงานมาเล่นเกมเหรอพี่” ผมเอ่ยแซวหัวเราะขำ โดนพี่ชายแยกเขี้ยวใส่ไปหนึ่งที
“พี่ก็คนจะเฮ้ย จะให้ทำงานแบบไม่พักสมองเลยได้ไง ยังไงงานส่วนของพี่ก็เคลียเสร็จหมดแล้ว รอแปบ เดี๋ยวจะล็อกอินเข้าเกม จะได้คุยกันต่อหน้าเลย”
พูดจบหน้าจอหายไป กลดูขรึมลงกว่าเดิม คล้ายกับกำลังคิดแผนการรับมือสิ่งที่ร้ายกาจอะไรบางอย่าง พี่อินฮัมเพลงดูอารมณ์ดีเหลือเกิน พี่เจตน์คงธรรมดาสุด หันมาคุยเล่นกับผมระหว่างรอคนมาอธิบายภารกิจ พอมีช่วงพักหายใจ ผมถึงค่อยสังเกตพี่ชายทั้งสองชัดๆ
พี่อินเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่เหมือนพวกตำรวจทหาร ใส่เสื้อแบบพวกกัปตันเรือโจรสลัด เรือนผมสีเปลือกไม้ตัดสั้นทั้งหัว มีแค่ช่วงท้ายทอยที่ยาวจนถึงกลางหลัง มัดรวบด้วยเชือก หูข้างหนึ่งเจาะใส่ต่างหูขนนกสีน้ำตาลสองสามเส้น คิดว่าคงเป็นขนปีกเจ้าตัว ใบหน้าเข้มแบบคนอายุยี่สิบกลางๆ ดวงตาสีอำพันคมเหมือนอินทรี จมูกโด่ง มุมปากมักจะยกยิ้มตลอดเวลา ข้างเอวมีดาบยาวหนึ่งเล่ม กับสารพัดมีด ดาบสั้นของมีคมที่เห็นแวบๆ ยามขยับตัว
ถัดมาพี่เจตน์ ทางนี้ดูไม่ไปทางเดียวกับพี่อินสักนิด เจ้าตัวใส่ชุดรัดกุมเน้นการเคลื่อนไหวแบบพวกนินจา ที่ไม่มีผ้าปิดหน้า ดูเผินๆเหมือนเดินตัวปลิวสบาย แต่ผมเชื่อว่ามันต้องซ่อนสารพัดอาวุธไว้แน่ๆ เส้นผมสีครีมยาวมัดรวบครึ่งหัว คลอเคลียใบหน้าหล่อพราวเสน่ห์ นับรวมกับไฝตรงใต้หางตาซ้าย บ่งบอกยี่ห้อเป็นพวกแพรวพราวเจ้าชู้ตัวพ่อ
ผู้เข้าประกวดหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสอง ใครชอบใครกดเลือกกดหมายเลขส่งมาที่เบอร์ด้านล่างจอนี้... ห๊ะ อะไรนะ จะเอากลเข้ามาอยู่ในตัวเลือกด้วย ไม่ได้หรอกครับ คนๆ นี้ของผม เชิญเลือกผมแทนแล้วกัน เบอร์สามครับเบอร์สาม
“น้องชาย เป็นบ้าตามไออินมันไปแล้วเหรอ นั่งทำหน้าพิลึกอยู่คนเดียว” พี่เจตน์ทักผมด้วยสีหน้าหวาดๆ ผมไม่ตอบ ลุกขึ้นหลบมายืนริมหน้าต่าง มองภาพพี่เจตน์ถูกพี่อินไล่ซัด ไม่เข็ดจริงๆ ให้ตายเถอะ
สักพัก เสียงกระพือปีกของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ดังอยู่บนดาดฟ้าเรือ พวกเรามองหน้ากัน พุ่งตัววิ่งตามพี่อินไปดาดฟ้าเรือทันที สิ่งที่เห็นทำให้ผมอ้าปากค้าง ผู้เข้าประกวดหมายเลขสี่มาแล้ว!
ร่างสูงโปร่งในชุดสีดำล้วนเหมือนท่านปีศาจมากจากไหน เขาสีดำโง้งไปทางด้านหลังปานท่านซาตาน ตัดกับเรือนผมสีทองสว่างระคอ ใบหน้าหล่อเหล่าปานเทพบุตร และปีกสีขาวบริสุทธิ์หุบเก็บตรงแผ่นหลัง ก่อนจะถูกทำให้หายไปหลังการใช้งาน
ผมยืนลูบคางมองพี่ชายตัวเองเดินเข้ามารวมกลุ่มกับพวกเรา นี้เป็นครั้งแรกที่ผมเจอพี่ชายในเกม ดูเหมือน ไม่ใช่ร่างอวตารของ GM เป็นเพียงตัวละครสำหรับเล่นธรรมดาเหมือนผม เจ้าตัวไม่ปิดสถานะพื้นฐานแม้แต่อย่างเดียว
ชื่อ : อาชวิน
Lv : 109
เลือด : 125,000
อาวุธ : ไม่มี
คำสาป : เทพบุตรซาตาน
ชื่อคำสาป ทั้งที่มันควรจะแปลก แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันโคตรเหมาะกับพี่วินให้ตายสิ นี่มันเป็นการรวมตัวของเทพกับปีศาจชัดๆ แม้ว่าจะเอนๆ ไปฝั่งปีศาจมากกว่าก็ตาม
“เสียเวลาไปหน่อย ครั้งล่าสุดที่เล่นดันออฟไลน์ซะไกล มัวมองอะไรกันอยู่ เข้าไปคุยรายละเอียดของภารกิจกันได้แล้ว”