ตอนที่๑๖ ตอนเช้าผมโทรหาไอ้เพื่อนทั้งสองเพื่อบอกมันว่าผมจะกลับบ้าน ส่วนเรื่องเรียนไว้ค่อยเขียนใบลาพร้อมกับแนบใบรับรองแพทย์(ที่ซื้อมา)เอาทีหลังก็แล้วกัน ผมแอบย่องออกมาตอนเช้าตรู่ เขียนโน้ตบอกไอ้ปลาไว้ป้องกันอาการมโนเพ้อเจ้อของมัน
ส่วนผมก็โทรเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ถึงจะแพงไปหน่อยแต่ก็สะดวกที่สุดแล้ว ระหว่างทางผมก็คิดทบทวนอะไรไปเรื่อย ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องของไอ้สองคนนั่นหรอก เรื่องเพื่อนๆของมันสองคน ผมจะไม่พูดก็แล้วกัน ไอ้พวกนั้นก็โตๆกันแล้ว คงจะคิดได้ว่าหลังจากนี้ต้องทำอะไร เพราะผมเชื่อว่าเดี๋ยวไอ้ภูกับไอ้ตินต้องไปบ่นให้เพื่อนทั้งหลายแหล่ของพวกมันฟังแน่ๆ อันที่จริงแล้วเรื่องเพื่อนผมก็พอจะเข้าใจระดับหนึ่งเพราะที่ผ่านๆมาผมก็เคยเหลวไหลเพราะไอ้ชายกับไอ้เคนเหมือนกัน
“เฮ้อ…”คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ผมพิงหน้าต่างรถก่อนจะมองไปตามทาง ยิ่งน้าแท็กซี่เปิดเพลงลูกทุ่งคลอไปด้วยยิ่งเหมือนนั่งทำเอ็มวีชิบ ตลกจริงๆชีวิตไอ้ฟิกเนี่ย
“เป็นไรไอ้หนู สีหน้าไม่ค่อยดี”น้าแท็กซี่ชวนคุยหลังจากที่ขับออกมาได้สักพักแล้ว
“เปล่าครับ”ผมตอบเสียงแห้ง
“น้าเนี่ยอาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นสีหน้าหมองๆแบบนี้ ต้องเป็นเรื่องรักๆเลิกๆแน่นอน เห็นเอ็งจ้องโทรศัพท์อยู่ตั้งนาน เท่านี้ก็รู้แล้ว”น้าแท็กซี่พูดด้วยท่าทางรู้ดี อีแบบนี้น่าไปเป็นหมอดูนะเนี่ย
“น้าก็เดาไปเรื่อย ผมแค่เหนื่อย…”ผมก้มมองโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไปแล้วอีกรอบ เออ ก็จริงนะ ผมนี่ยังมาพะวงเรื่องนี้อีก ใจจริงก็ไม่อยากจะหนีมาเฉยๆหรอก ผมรู้ว่าพวกมันต้องห่วงแน่ๆ แต่ทำไงได้ ตอนนี้ผมยังไม่อยากเจอหน้ามันสองคน ยิ่งเห็นแล้วพาลหงุดหงิด เดี๋ยวจะเสียเรื่องเปล่าๆ
“บ้านเอ็งอยู่แถวไหนนะ น้าก็คนจังหวัดเดียวกับเอ็งเลย”คุยไปคุยมาก็เจอคนบ้านเดียวกัน เหมือนน้าแกเป็นคนคุยเก่งมากกว่า ผมไม่รำคาญหรอก เพราะอย่างน้อยๆก็ช่วยให้ผมไม่ฟุ้งซ่าน
“ลูกชายน้าก็เข้าช่วงวัยรุ่น กำลังเกเลย เหนื่อยกับมันเหมือนกัน คบเพื่อนแต่ล่ะคน…”เกในที่นี้หมายถึงดื้อตามประสาผู้ชาย แถมบังเอิ๊ญบังเอิญเคยเรียนอยู่โรงเรียนเก่าผมด้วย
“งั้นลูกน้าก็รุ่นน้องผม ผมเคยเรียนที่โรงเรียน…เหมือนกัน”
“เอ้าเหรอ ท่าทางแบบเอ็งนี่น่าจะเกเหมือนกันนะ”
“ก็ตามประสาวัยรุ่นแหละครับ สมัยน้าตอนวัยรุ่นก็คือๆกันล่ะมั้ง”ผมแซวเล่น
“เฮ้ย เอ็งนี่พูดจาเหมือนมันเลย”ผมหัวเราะแห้งๆ จะว่าไปก็ชักอยากจะรู้จักลูกชายน้าแกแล้วสิเนี่ย ผมรู้แค่ว่ามันชื่อไอ้เกมส์ เกมส์ชื่อนี้คุ้นๆนะ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากไหน ผมอาจจะคิดมากไปเองเพราะคนชื่อเกมส์ก็มีอยู่เยอะไปหมด หลังจากที่หมดเรื่องคุยภายในรถก็เงียบเหมือนเดิม ผมเลยถือโอกาสงีบหลับ จู่ๆก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ป่านนี้ไอ้ภูกับไอ้ตินกำลังทำอะไรอยู่
‘จะไปคิดถึงมันสองคนทำไมวะ ทีพวกมันทำอะไรยังไม่คิดถึงผมเลย’
ผมสะบัดความคิดไร้สาระออกไป เงียหูฟังน้าแท็กซี่คุยโทรศัพท์ดีกว่า
“อย่าบอกนะว่าไปสร้างเรื่องอะไรมาอีก เมื่อไหร่จะเลิกคบเพื่อนเลวๆสักที บอกให้เลิกคบได้แล้วไอ้พวกลูกผู้ใหญ่บ้านน่ะ ไอ้พวกนั้นมันเคยมาช่วยแกไหมเวลาที่มีเรื่องเดือดร้อน ยังจะมาเถียง เออ เดี๋ยวกูจะไปเอาเลือดหัวมึงออก มึงรออยู่นั่นนะ”
น้าแท็กซี่คงคิดว่าผมหลับไปแล้วแน่ๆ ถึงได้คุยออกรสขนาดนี้ ผมนั่งเกร็งไปตลอดทางเพราะแกล้งหลับ แถมยังรู้สึกว่าน้าแท็กซี่ขับรถไวมากด้วย สงสัยจะรีบไปเอาเลือดหัวลูกชายออก
ว่าแต่…ลูกผู้ใหญ่บ้านเหรอ ได้ยินแล้วแสลงใจเพราะเมื่อสองปีก่อนผมเกือบชะตาขาดก็เพราะไอ้ลูกผู้ใหญ่บ้านนี่ล่ะ ผมลืมตาขึ้นมาเมื่อรถเบรกกึก มองไปรอบๆก็พบว่าถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว น้าแท็กซี่ลดหน้าต่างลง สายตาจับจ้องไปยังวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่จับกลุ่มทำเท่ห์ทำเถื่อนกันอยู่ตรงศาลาริมทาง ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าตาไอ้พวกนั้น นั่นมันกลุ่มไอ้อั๋นลูกผู้ใหญ่บ้านที่เคยมีเรื่องกับผมนี่หว่า แล้วไอ้เกมส์ก็…คือหนึ่งในนั้น มันทำหน้าตกใจเมื่อเห็นพ่อตัวเอง คงไม่คิดว่าจะเจอที่นี่ ผมรีบหดคอลงเมื่อมันไล่สายตามองมาทางเบาะหลัง
เวรกรรม อย่าให้ผมต้องมายุ่งเกี่ยวกับพวกมันเลยเถอะ!
“เอ้าถึงแล้ว ไอ้หนู เป็นอะไรหน้าซีดๆ เมารถเหรอ”น้าแท็กซี่จอดลงที่หน้าบ้านของผม
“เปล่าครับ เห็นมิเตอร์แล้วจะเป็นลมเฉยๆ”ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ระหว่างที่กำลังหยิบเงินมาจ่าย ผมเห็นว่ามีรถkawasaki ที่แต่งสีฉูดฉาดขี่ตามาห่างๆ ไอ้เกมส์นั่นเอง น้าแท็กซี่เหลือบมองกระจกก่อนจะบ่นพึมพำอะไรสักอย่าง ผมจ่ายเงินเรียบร้อยก่อนจะลงจากรถ ไอ้เกมส์ผงะไปเมื่อเห็นหน้าผม เอาสิมึง กูอยู่กับพ่อมึงนะเว้ย ผมยักคิ้วให้มันก่อนจะรีบเข้าไปในบ้าน ให้พ่อลูกเคลียร์กันเอง
“แม่ ลูกชายหน้าตาดีกลับมาแล้วนะ”ผมตะโกนเรียกลั่นบ้าน แต่ไอ้ต้อหมาไซฯหน้ามึนกลับวิ่งกระโจนพร้อมหอนต้อนรับผมคนแรก ตามมาด้วยแม่ที่ออกมามองด้วยสีหน้าตื่นๆ
“มาถึงเร็วจัง ลมอะไรหอบมาเนี่ยน้องฟิก”แม่เข้ามากอดพร้อมกับจะหอมแก้ม แต่ผมเบี่ยงตัวออกก่อน
“โหยแม่ เลิกเรียกผมว่าน้องได้แล้ว ผมโตแล้วนะ”ผมผละออกมาจากอีกฝ่าย
“เอ๊ะ ก็แม่อยากเรียกเราแบบนี้นี่ ผอมลงรึเปล่าเนี่ย”แม่จัดการสำรวจไขมันบนร่างกายผมทันที
“งานเยอะน่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลากิน แต่แม่ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็กลับมาอ้วนเหมือนเดิมนั่นแหละครับ”ผมส่งยิ้มให้แม่
“เหรอ แล้วหนูภูกับตินสบายดีใช่ไหม”ผมพยายามไม่ทำสีหน้าแปลกๆออกมา
“สบายดีมากก แม่ไม่ต้องไปถามถึงหรอก”ผมเปลี่ยนไปถามไถ่สุขภาพของแม่บ้าง โชคดีที่แม่ไม่ได้ถามถึงพวกมันต่อ แล้วก็ไม่ได้ถามเรื่องที่ทำให้ผมกลับมาบ้านด้วย
“แม่ทำกับข้าวไว้ อยู่ในครัว”แม่บอกระหว่างที่จัดการกับไอ้ต้อที่กำลังวิ่งวนไปทั่ว
“ผมยังไม่ค่อยหิวอ่ะ ไว้ผมจะลงมากินทีหลังนะ”คราวนี้แม่ขมวดคิ้วมองหน้าผมก่อนจะหรี่ตามอง
“อกหักมารึเปล่าเนี่ยเรา”
“บ้าเหรอแม่”ผมทำหน้าไม่ถูก
“เอ้า เมื่อตอนม.สามก็มีท่าทางแบบนี้ ไม่ยอมกินข้าวกินปลาจนโรคกระเพาะถามหา”
“แม่ก็มั่ว แฟนเฟินยังไม่มีจะอกหักได้ไง”แม่เองก็ยังไม่รู้ว่าผมคบกับไอ้สองตัวนั่น ผมรีบหลบไปบนห้องเพราะกลัวแม่จะจับไต๋ได้เสียก่อน ผมเปิดโทรศัพท์เพื่อค้นเบอร์ไอ้โต้งเพื่อนเก่าที่เคยชักปืนขู่ไอ้พวกลูกผู้ใหญ่บ้าน ผมกลับมาคนเดียวกลัวจะมีเรื่องกับไอ้พวกนั้น ต้องหาพวกซะหน่อย และทันทีที่เปิดข้อความแจ้งเตือนต่างๆก็เด้งระนาว ทั้งจากเพื่อนไอ้ภูไอ้ติน และเพื่อนผม
เคน – ไอ้ภูกับไอ้ตินรู้แล้วนะ ว่ามึงไม่ได้มาเรียนผมถอนหายใจเฮ้อใหญ่ อีกไม่นาน ผมว่ามันต้องรู้แน่ๆว่าผมกลับบ้าน หวังว่าพวกมันจะไม่ตามมากวนใจผมอีกนะ
เคน – แต่กูบอกพวกมันไปแล้วว่าไม่ต้องตามหามึง คิดว่าพวกมันคงเข้าใจเหอะ อย่างพวกมันเนี่ยนะจะเข้าใจ ฟังภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ไอ้พวกนี้
หลังจากได้เบอร์ไอ้โต้งมาแล้ว ผมก็ยืมโรศัพท์แม่โทรไปหามันทันที รออยู่นานสองนานมันก็รับ
“ไอ้โต้ง นี่กูฟิกเองนะ”
[อ้าว ไอ้สัด กูนึกว่ามึงตายไปแล้ว]
“ยังเว้ยยัง ตอนนี้กูกลับมาบ้านว่ะ”
[จริงดิ ยังไม่ปิดเทอมไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาเร็วจังวะ]
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”
[เรื่องไรวะ] ผมนิ่งไปสักพัก ไอ้โต้งยังไม่รู้ว่าผมคบกับไอ้สองคนนั่น อันที่จริงเพื่อนเก่าที่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครรู้สักคน ยกเว้นไอ้ปิ่น (อดีตแฟนและเพื่อนเก่าของผม)
“ก็เรื่องไร้สาระ เดี๋ยวกูจะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกัน ตอนนี้มีเรื่องด่วนกว่านั้น”ผมเล่าเรื่องไอ้เกมส์กับพวกลูกผู้ใหญ่บ้านให้มันฟัง
[มึงมีเรื่องอะไรกับพวกมันกันแน่ บอกกูมาตรงๆ] ไอ้โต้งพูดเสียงจริงจัง
“เรื่องมันนานมาแล้ว คือเมื่อตอนปีหนึ่ง…”ผมเล่าให้มันฟังคร่าวๆ ไอ้โต้งเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที จนผมต้องรีบขัดมัน
“เรื่องเมื่อคราวนั้นกูเคลียร์ไปแล้ว แต่ตอนนี้กูกลัวพวกมันจะเอาคืนว่ะ”เพราะไอ้ภูกับไอ้ตินเล่นพวกนั้นไว้หนักเหมือนกัน
[กูก็ว่า…เดี๋ยวกูไปหา] ผมวางสายจากเพื่อนก่อนจะออกไปรอมันที่หน้าบ้าน ส่วนแม่กำลังห่อขนมอยู่ ใกล้สิ้นปีแล้วนี่นา เวลาผ่านไปไวจริงๆ ผมนั่งเหม่อมองต้นไม้ในกระถางที่ไอ้ตินเคยเอามาปลูกเมื่อตอนที่มันมาบ้านผมครั้งแรก ต้นไม้ก็โตไวเหมือนกัน ผมกระแอมกระไอเมื่อเห็นสายตาแม่มองมาด้วยท่าทางเหมือนคนมองออกว่าผมเป็นอะไร
“แม่…ตอนที่พ่อยังอยู่…”ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดอยู่สักพัก แม่ละมือจากงานตรงหน้า รอฟังผมเงียบๆ เป็นครั้งแรกที่ผมพูดถึงพ่อในรอบสองสามปีนี้เลย
“พ่อเคยทำให้แม่เสียใจมากๆไหม”จนตอนนี้ผมก็ยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอยู่เลย
“แปลกนะเนี่ยที่น้องฟิกถามขึ้นมา…”แม่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกมานั่งข้างๆผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ก็…ชีวิตคู่มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ถึงจะทะเลาะกัน แม่กับพ่อก็เข้าใจกัน ใส่ใจกันมากขึ้น น้องฟิกมีปัญหาอะไรเล่าให้แม่ฟังได้นะ”ผมถอนหายใจ ปกติผมไม่มานั่งคุยเรื่องแบบนี้กับแม่หรอก มันดูน่าอายเกินไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน
“คือผมแค่รู้สึกว่าเหนื่อย…คือผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเหนื่อยกับเรื่องไหน”เพราะเรื่องที่อัดแน่นอยู่ในอกมันก็เยอะเสียด้วย
“บางทีผมก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม…แม่รู้ใช่ไหมว่าฟิกเป็นคนยังไง ผมไม่ชอบให้ใครมากะเกณฑ์นู่นนี่นั่น แต่…ผมก็ยอมมาตลอด”คงไม่ต้องบอก ต้องพูดหรอกว่าเพราะอะไร
“แล้ว…ทีนี้ ไอ้คนที่คอยกะเกณฑ์ผมมาตลอดกับทำเหมือนไม่แคร์ความรู้สึกของผมเลยสักนิด มองว่าเป็นเรื่องขำๆโดยที่ไม่นึกถึงผมเลย ถ้าเป็นผมทำบ้างนะ เรื่องยาวเป็นหางว่าวแน่”ผมบ่นหน้าตึง แม่ตบบ่าผมเบาๆไม่ได้ถามด้วยว่าไอ้คนที่ผมบ่นอยู่มันเป็นใคร
“พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยกลับไปคุย แม่ไม่อยากให้เราใช้คำว่าทน คนรักกันเขาใช้คำว่าเข้าใจนะน้องฟิก”ผมเหลียวมองแม่ที่สวมบทจริงจังใส่ ก่อนจะหัวเราะแก้เก้อซะเอง นี่ผมเอาเรื่องอะไรมาปรึกษาแม่เนี่ย น่าอายจริงๆ
“ตายล่ะ ลูกชายแม่คบใครจริงจังเป็นแล้วเหรอเนี่ย”แม่รูแค่ว่าผมเปลี่ยนแฟนบ่อย ไม่อยากจะคิดเลยถ้าแม่รู้ว่าไอ้คนที่ผมบ่นไปนั่นเป็นใครแล้วจะทำหน้ายังไง
“แม่…ฟิกขอโทษนะ ที่เป็นแบบนี้อ่ะ คือ…”จู่ๆผมก็หนักใจขึ้นมา แม่ไม่เคยว่าผมก็จริง แต่ผมรู้ว่าแม่กดดันแค่ไหน คนรอบตัวก็เอาผมไปพูดนู่นนี่บ่อยๆ สังคมที่นี่ใช่ย่อยที่ไหน แต่แม่ผมก็แค่ทำเหมือนไม่ได้ยินเท่านั้น จะว่าไปแล้ว…ผมทำหน้าที่ลูกได้แย่สุดๆ นอกจากจะไม่ค่อยกลับบ้านแล้ว โทรหาก็ยังไม่ค่อยโทรอีก แทนที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้แม่ ผมกลับไม่เคยทำอะไรเลย เรียกว่าไม่เคยคิดอะไรเลยมากกว่า
“มาแปลกนะเราเนี่ย สงสัยแม่ต้องเตรียมของไปเซ่นคนที่ทำให้น้องฟิกเป็นผู้เป็นคนซะแล้วมั้ง”แม่ทำหน้าแปลกใจสุดๆก่อนจะหัวเราะ
“แม่เข้าใจเรานะ จะทำไงได้ล่ะ จะบังคับให้เรากลับไปจีบสาวก็ไม่ทันแล้ว แค่ฟิกไม่สร้างปัญหาให้แม่ก็พอแล้ว”คำพูดของแม่ทำให้ผมอุ่นในอกอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วก็อย่าลืมพามาเปิดตัวด้วยนะ แม่อยากเจอ”แม่ยิ้มกว้างก่อนจะลุกไปนั่งที่เดิม ผมว้าวุ่นขึ้นมาอีกรอบ ถ้าแม่รู้ว่าผมควบสอง…แม่จะรับได้ไหม แม่ยอมรับที่ผมเป็นแบบนี้ก็จริง แต่เรื่องแบบนี้มันก็นะ…
พอๆเลิกคิด!
“คบถึงหกปีเมื่อไหร่ ผมจะพามาเจอ”ผมตะโกนไล่หลัง หกปีเหรอ…จะถึงรึเปล่าก็ไม่รู้!
ปิ๊นๆ~
เสียงแตรรถดังอยู่ที่หน้าบ้าน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร ไอ้โต้งยังคงเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือสิวบนหน้าผาก
“มาช้าจังวะ”ผมบ่น
“ลูกกูดันมางอแงไง ไม่เจอกันตั้งนาน ทำไมมึงหน้าโทรมๆวะ”มันมองสำรวจผมพร้อมกับหัวเราะ
“ขำไร”
“กูว่า…โหงวเฮ้งแบบนี้ อกหักชัวร์”
“ระดับกูไม่เคยมีคำนี้เว้ย”ไม่ได้อกหัก แต่อารมณ์คล้ายๆกัน แปลกจริงๆ ไอ้โต้งทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมบอกลาแม่ก่อนจะออกไปซิ่งกับมัน พึ่งทำซึ้งไปแป๊ปๆ ผมก็ออกลายซ่าส์อีกแล้ว
“แล้วจะพากูไปไหนเนี่ย”ซ้อนท้ายมันมาตั้งนาน ผมก็เพิ่งมาถาม
“ไปริมน้ำ ปรับทุกข์กัน”มันตอบกลับมา ผมได้แต่นั่งเงียบไปตลอดทางจนมันมาจอดที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำสายหลัก ที่ๆมักจะมีพวกวัยรุ่นออกมานั่งจับกลุ่มกันเป็นคู่ๆ
“ว่าไง มึงเป็นอะไรวะ กูว่าสีหน้ามึงไม่ค่อนจะดีนะ”ผมหย่อนก้นนั่งได้ไม่กี่นาทีมันก็เริ่มยิงคำถามทันที ไหนๆก็ตกลงว่าจะเล่าให้มันฟังแล้ว ผมก็ไม่คิดจะปิดหรอก
“คือมึงก็รู้ใช่ไหมว่ากูน่ะ…”พูดไม่ทันจบประโยคดีมันก็โบกมือเหมือนรับรู้แล้ว
“เข้าเรื่องมาเลย มึงอกหักหรืออะไรก็ว่ามา”ผมจึงเล่าสาเหตุที่ทำให้ผมกลับมาที่บ้านให้มันฟัง
“ถ้าเป็นมึง มึงจะโกรธไหมล่ะ”ผมตบท้ายด้วยคำถามเคืองๆ ไอ้โต้งเหล่มองผม
“คนไหนวะ มึงมีรูปไหม กูอยากเห็น”ผมทำหน้ายุ่ง
“กูมาปรับทุกข์นะ ไม่ใช่ให้มึงมาซักกูเรื่องมัน”
“เออๆ ดุเป็นหมาเลย กูจะพูดตรงๆเลยนะ ง่ายๆ ถ้ามึงทนไม่ได้รึอะไรก็แล้วแต่ มึงก็เลิก แค่นั้นจบ”ไอ้โต้งทำท่าตัดชับๆ
“มันไม่ง่ายขนาดนั้น”ผมตอบเสียงเบา มันเหลียวมองผมอีกรอบ
“ทำไมวะ แค่บอกไปเลยตรงๆว่ามึงเบื่อ มึงทนไม่ไหวแล้ว ที่มึงบอกว่าไม่ง่ายเพราะมึงยังรักมันอยู่ใช่ไหม”
“ก็เออน่ะสิ”ถึงได้บ้าหนีมาพักใจแบบนี้ไง ไอ้โต้งตบมือเสียงดังแปะ
“ง่ายๆ หายเคืองมึงก็ไปเคลียร์กันให้รู้เรื่อง มึงไม่พอใจอะไร ก็บอกมันไปซะ ไม่ใช่มาเก็บไว้แล้วปล่อยให้ระเบิด แบบนั้นมันจะทำให้เรื่องแย่ไปใหญ่ คุยกันแบบเคลียร์ๆแล้วปรับตัวเข้าหากัน”
“เออ กูรู้ แม่กูก็พูดคล้ายๆมึงเลยว่ะ”มันทำหน้าประหลาดใจเหลือล้น
“มึงคุยกับแม่มึงเรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“เออ”ไม่น่าเป็นไปได้จริงๆ ทั้งปีทั้งชาติผมก็ไม่เคยพูดเรื่องตัวเองกับแม่เลย
“กูว่าไม่ธรรมดาซะแล้ว คบกันนานยัง”
“ก็ตั้งแต่ช่วงปีหนึ่ง เอาจริงๆกูไม่เคยคิดจะคบกับพวกมันเลยนะ ตอนพวกมันมาขอโอกาส กูแค่อยากลองดู จนอยู่ไปเรื่อยๆ กูก็เห็นว่าพวกมันปรับตัวเข้าหากู ตอนที่คบกันกูก็รู้สึกดีๆกับพวกมันนะ แต่ยังไม่ถึงคำว่ารัก กูถึงได้ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ไป พวกมันบอกว่าจะออกไปจากชีวิตกู แต่กูไม่อยาก แล้วที่ตลกกว่านั้นคือกูไปรั้งพวกมันกลับมา แล้วกูกับพวกมันก็คบกันได้ตลอดรอดฝั่งมาถึงทุกวันนี้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายด้วยนะ กูกับพวกมันก็ผ่านเรื่องบ้าๆมาเยอะแยะ…จนกูรู้ว่าความรู้สึกของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เหมือนเด็กหัดรักเลยว่ะ มึงว่าไหม”ผมสาธยายให้มันฟังตั้งนาน
“กูถึงได้บอกไง หายโกรธก็กลับไปเคลียร์ คนดีๆมันไม่ได้หาง่ายๆ”
“พวกมันไม่รอนานขนาดนั้นหรอก”ผมเชื่อว่าพวกมันต้องตามมาแน่
“พวกมัน?”ไอ้โต้งทำหน้างงๆ
“เออ พวกมัน”ผมหันไปยักคิ้วให้เพื่อน มันยังดูสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ผมปล่อยใจล่องลอยไปเรื่อย เริ่มผ่อนคลายกับบรรยากาศดีๆ
“ชีวิตคู่มันไม่ง่ายหรอกเพื่อน”ไอ้โต้งโพล่งขึ้นมา ไอ้นี่พูดเหมือนคนแก่เลย แต่ก็นะ มันเองก็มีเมียมีลูกแล้ว คงผ่านอะไรมาเยอะกว่าผมแน่นอน
“ทุกวันนี้กูทำทุกอย่างเพื่อลูก กูอยู่ก็เพราะลูก”
“พูดบ้าอะไรของมึงวะเนี่ย”ผมเริ่มจะเครียด มันพูดอย่างกับคนหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตเลย ไอ้โต้งถอนหายใจเฮือกใหญ่
“มีอะไรก็ระบายให้กูฟังได้นะเว้ย”ผมวางมือลงบนไหล่ของอีกคน
“เฮ้อ…ชีวิตกูน่ะมันผิดพลาดตั้งแต่แรกแล้วว่ะ กูมีหน้าที่ที่ต้องทำ”ผมไม่เข้าใจที่มันพูดเลย
“คอแห้งแล้วว่ะ เดี๋ยวกูมา”มันชี้ไปที่รถขายนำสีสันสดใสที่จอดขายอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม ผมมองตามไอ้โต้ง มองภายนอกมันก็ดูมีความสุขดี ไม่ยักรู้ว่ามันจะมีเรื่องทุกข์ในใจ ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอะไรของมัน แต่พอมาเจอแบบนี้แล้ว ปัญหาของผมดูขี้ปะติ๋วไปเลย
ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อย ผมก็ได้ยินเสียงรถมาจอดใกล้ๆ พอหันไปมองผมถึงกับใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เพราะไอ้คนที่กำลังเดินมาหาผมคือไอ้เกมส์ ผมเหลียวมองไอ้โต้ง มันหันมาทางผมเหมือนกัน แต่ก็ข้ามมาไม่ได้เพราะรถที่วิ่งสวนไปมาตรงหน้า
“เฮ้ย ผมมาดี”มันยกมือขึ้นเหมือนคนขอยอมแพ้ ผมหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ กับไอ้คนที่เคยคิดจะรุมทำเรื่องอุบาทว์กับตัวเอง ใครเชื่อง่ายๆก็บ้าแล้ว
“มึงต้องการอะไร”
“ผมแค่อยากคุยด้วยเฉยๆ สัญญาด้วยเกียรติของเด็กช่างเลยเอ้า”มันยกมือขึ้นมาอีกครั้ง ผมเหลือบมองไอ้โต้งมันวิ่งกลับมาหาผมแล้ว
“มึงมีอะไรกับเพื่อนกูหา”มันทำหน้าโหด ในมือถือแก้วน้ำสีเขียวๆ
“กูแค่อยากคุยเฉยๆ ไม่ได้มาหาเรื่อง”มันโต้กลับ
“คุยเหี้ยอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง กูมาคุยเรื่อง…”มันเงียบเสียงลง ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องไหน ไอ้โต้งส่งแก้วน้ำให้ผม ก่อนจะเข้าไปสำรวจว่ามันพกอาวุธมาบ้างรึเปล่า เมื่อไม่มีมันก็ถอยออกมา
“แล้วมึงเสือกมาคุยเอาป่านนี้เพื่อ เรื่องมันเกิดมากี่ปีแล้ว”
“ก็ไม่มีโอกาสคุยไง คราวก่อนที่เจอ ก็มาโชว์ปืนอวด ใครจะกล้าเข้าไปคุย กูก็กลัวสมองกระเด็นเหมือนกันนี่”ไอ้เกมส์หันมาทางผม
“ผมมาดีจริงๆ”ผมหันไปมองเพื่อนว่าจะเอาไงดี
“กูจะรออยู่แถวนี้ ถ้ามึงตุกติกนะ”ไอ้โต้งแตะไปที่เอวของตัวเองข่มขู่ อ้าว นี่มันพกปืนมาหรอกเหรอ
“ว่ามา”ผมพูดขึ้นเมื่อไอ้โต้งออกไปยืนรอที่โต๊ะหินอ่อนตัวถัดไป ไอ้เกมส์กระแอมกระไอเบาๆ
“ผมขอโทษ ที่ทำไปตอนนั้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ คึกคะนองไปหน่อย”มันพึมพำกลับมา ความจริงเรื่องนี้ผมก็เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่ได้ติดใจอะไรเลย เพราะตอนนั้นไอ้สองตัวนั่นมันก็จัดการให้ผมแล้ว
“อือ กูยกโทษให้ก็ได้”ผมตอบส่งๆ ไม่อยากจะมองหน้ามันนักหรอก
“แล้วถ้ามึงสำนึกผิดจริง ทำไมยังคบกับพวกไอ้ลูกผู้ใหญ่บ้านอยู่”ผมถามเมื่อนึกได้ ไอ้เกมส์มีสีหน้าลำบากใจ
“ก็มันเป็นเพื่อนผมนี่ ถึงจะเหี้ยยังไงมันก็เป็นเพื่อนผม ถึงมันจะเคยทำเรื่องแย่ๆแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เคยทำเรื่องดีๆ”ผมทำหน้าเอือม
“พอเหอะกูจะอ้วก”เหอะ ถ้าดีจริง ไอ้เหี้ยนั่นก็ต้องมาขอโทษผมสิ
“พูดเสร็จแล้วใช่ไหม จะไปไหนก็ไป”ผมโบกมือไล่
“ผมขอโทษจริงๆ”มันพูดซ้ำอีกรอบ
“เฮ้ยเดี๋ยว”ผมเรียกมันไว้เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ต้องพูด ไอ้เกมส์หันมามองพร้อมรอยยิ้มหวาดหวั่นอยู่ในที
“มึงคงรู้ใช่ไหมว่าพ่อมึงทำงานหนัก”ไอ้เกมส์ทำหน้าไม่ถูก
“ที่เขาทำเพราะมึงนะ มึงทำตัวแย่ๆแบบนี้ กูเห็นแล้วสงสาร”น้าแท็กซี่คนนั้นจะรู้ไหมว่ามันเคยทำเรื่องชั่วๆกับผม มันไม่ได้ตอบอะไรแต่เดินกลับไปที่รถด้วยสีหน้าจ๋อยๆ
“เพื่อนกูกลายเป็นคนหัวใจพ่อพระไปซะแล้ว”ไอ้โต้งกลับมายืนข้างๆ ดูดน้ำในแก้วด้วยสีหน้าล้อเลียน
“ใจกูหล่อ เหมือนหน้ากูนั่นล่ะนะ”ไอ้โต้งเบ้หน้าใส่
“ได้พูดออกมาแล้วสบายใจขึ้นใช่ไหมไอ้คนหัวใจหล่อ”
“เออ ขอบใจนะเว้ยที่ฟังกูพล่าม”
“เรื่องเล็กน้อย นานๆทีจะได้เจอมึง ฟังมึงพูดบ้างก็ดี เออแล้วมึงจะอยู่กี่วันวะ”
“ก็ถึงช่วงวันหยุดปีใหม่นู่นเลย”ไหนๆหยุดแล้ว
“เออดี กูว่าจะชวนไปทำเรื่องดีๆซะหน่อย”ผมเลิกคิ้วรอฟัง
“มึงเคยไปเขาพระเมินใช่ไหม นั่นล่ะ ไปช่วยทำป้ายนำทางกัน กูกะจะอยู่ทำบุญพระธาตุเลย มึงจะไปไหม”
“ไป”จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน
“ถ้าเริ่มงานเมื่อไหร่เดี๋ยวกูโทรหาก็แล้วกัน”
“โทรมาเบอร์แม่กูนะ กูปิดเครื่อง”ไอ้โต้งทำหน้าระอา พูดถึงเบอร์แม่แล้วผมก็คิดได้ว่า ป่านนี้ไอ้สองตัวนั่นมันจะโทรเช็คกับแม่ผมรึเปล่า ถ้าพวกมันโทรมาล่ะก็…พรุ่งนี้ผมได้เห็นหน้าพวกมันสองคนแน่ๆ ผมเป็นคนมองการณ์ไกล เพราะฉะนั้นจะอยู่เฉยไม่ได้
“กูว่ากูจะไปนอนค้างบ้านมึงว่ะ”ไอ้โต้งถึงกับทำหน้าเหวอ
“อะไรของมึงวะ”
“เออน่า มึงบอกว่าอยากเห็น
‘พวกมัน’ไม่ใช่เหรอ”
เชื่อเถอะว่า…พวกมันต้องเข้าหาทางแม่ผมแน่
……………………………………………………………………………
(มีต่อ)