เช้าวันถัดมา ภัทรมาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่เพราะตั้งใจว่าจะเคลียร์งานให้ได้มากที่สุด พอถึงตอนเย็นจะได้ขอกลับเร็วหน่อยเพื่อไปซื้อของขวัญให้หลานสาวก่อนจะไปกินข้าวเย็นด้วย และอาจเพราะช่วงนี้หลายแผนกต่างก็งานยุ่งเหมือนกัน ทำให้มีคนมาถึงบริษัทแต่เช้าเหมือนกับเขาหลายคน
สำหรับวันนี้ ภัทรได้รับภารกิจพิเศษจากป๋วยให้รับผิดชอบคนเดียวไปเลยทั้งวัน ก็คือการปรินท์และจัดเตรียมเอกสารสำหรับแจกลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยร่วมออกงานในปีก่อนๆ โดยทางบริษัทของเขาได้เชิญลูกค้าเหล่านี้ให้มาเข้าร่วมประชุมที่บริษัทเพื่อจะได้แจกแจงรายละเอียดและตอบคำถามพร้อมกันทีเดียวในวันรุ่งขึ้น ภัทรจึงง่วนอยู่กับการเตรียมเอกสารเหล่านั้นและส่งอีเมล์หาลูกค้าเพื่อย้ำเรื่องการเข้าประชุมตั้งแต่เช้า
พอถึงเวลาเที่ยง แม่บ้านก็ปิดไฟในบริษัทตามนโยบายประหยัดไฟ เสียงถอนหายใจจึงดังขึ้นจากมุมนั้นมุมนี้ขณะที่บางคนก็ลุกไปเข้าห้องน้ำหรือออกไปรอลิฟต์ แต่แทนที่จะเดินออกไปพร้อมคนอื่นๆ ภัทรกลับกดสั่งพิมพ์เอกสารแล้วเดินไปที่เครื่องปรินเตอร์ซึ่งวางอยู่ในห้องเล็กๆ ตรงมุมด้านในใกล้กับห้องของเหล่าผู้จัดการ ความจริงตามที่นั่งแต่ละแถวของพนักงานจะมีเครื่องปรินเตอร์ขาวดำที่ถูกเชื่อมต่อให้ใช้การอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีเอกสารบางส่วนที่เขาจำเป็นต้องปรินท์สี ซึ่งเครื่องเดียวที่พนักงานทั่วไปสามารถใช้ปรินท์สีได้ก็คือเครื่องปรินเตอร์ใหญ่ที่ถูกตั้งไว้ในห้องนี้
ชายหนุ่มเลื่อนประตูห้องที่เป็นบานกระจกติดฟิล์มสีเข้มออก จากนั้นก็ตรงเข้าไปที่เครื่องปรินเตอร์สีซึ่งตั้งอยู่ติดผนัง เนื่องจากเขาสั่งปรินท์เอกสารไปหลายชุด ชุดหนึ่งก็มีหลายสิบหน้า ทำให้ต้องยืนรอระหว่างที่เครื่องยังปรินท์ไม่เสร็จ ครู่หนึ่งเครื่องก็ส่งเสียงสัญญาณดังติ๊ดๆๆ ว่ากระดาษหมด ภัทรจึงหันไปฉีกกระดาษรีมใหม่มาและก้มลงเรียงใส่ถาดปรินท์เพิ่ม เมื่อยืดตัวขึ้นอีกครั้งก็เห็นท้องฟ้าภายนอกผ่านกระจกหน้าต่างเนื่องจากบริษัทของเขาอยู่ถึงชั้นสามสิบสอง
แดดแรงชะมัด...เดี๋ยวโทรฝากพี่ป๋วยซื้ออะไรขึ้นมาให้ดีกว่าจะได้ไม่ต้องลงไป
ภัทรหยีตามองแสงแดดที่แรงชวนแสบตาทั้งที่มองผ่านกระจกติดฟิล์ม ความที่มัวแต่เหม่อมองวิวด้านนอก เขาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าใครบางคนเพิ่งจะเปิดประตูออกจากห้องประจำตำแหน่งและมองเข้ามาเห็นเขาอยู่ในห้องปรินเตอร์คนเดียว จึงเดินตามเข้ามาแล้วเลื่อนปิดประตูตามหลัง จากนั้นก็มายืนซ้อนอยู่ข้างหลังอย่างเงียบเชียบ
“ไม่ไปกินข้าวเที่ยงหรือไง? ภัทรกร”
“หวา!”
ลมอุ่นๆ ที่เป่ากระทบใบหู บวกกับชื่อเต็มยศที่ไม่ได้ยินมานานทำเอาภัทรรีบยกมือหนึ่งขึ้นปิดหูแล้วถอยห่างอย่างตกใจ แต่คุณผู้จัดการดันใช้มืออีกข้างยันเครื่องปรินเตอร์กันไว้ก่อนแล้วจนเขาถอยไม่ได้มากนัก ภัทรจึงหันไปมองอีกฝ่ายตาขุ่นที่มาแกล้งเขาอีกแล้ว แต่เชษฐ์ก็เพียงยิ้มตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา
เห็นเขาไม่เคยโต้กลับเลยได้ใจ แกล้งได้แกล้งเอาเลยนะ...
“พอดีผมยังมีเอกสารที่อยากปรินท์ให้เสร็จก่อนน่ะครับ จะได้จัดเข้าไฟล์ไว้เตรียมแจกลูกค้าตอนประชุมวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย”
น้ำเสียงท้ายประโยคของคนพูดสะบัดนิดหน่อย ก็...มันอดไม่ได้นี่นา แต่คุณผู้จัดการก็แค่พยักหน้ารับรู้พลางหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นอ่าน “อืม...พวกลูกค้าใหม่สินะ”
ร่างสูงใหญ่ถอยหลังให้นิดหนึ่งขณะไล่สายตาตามรายละเอียดบนแผ่นกระดาษ ประกายเฉียบคมเข้าแทนที่ความขี้เล่นเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานของบริษัท ภัทรจึงถือโอกาสนั้นถอยห่างคนตัวใหญ่อีกนิด แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นว่าข้างเท้าของคุณผู้จัดการมีกระเป๋าเอกสารทรงสี่เหลี่ยมวางอยู่
“กำลังจะออกไปประชุมข้างนอกเหรอครับ?”
เชษฐ์มองตามสายตาเขาแล้วก็พยักหน้า “อืม พอดีตอนบ่ายมีประชุมกับลูกค้าใหญ่น่ะ แล้วตอนเย็นก็ต้องไปงานเลี้ยงครบรอบของสมาคมที่เป็นพันธมิตรกับบริษัทเราด้วย พอดีท่านประธานสั่งไว้ว่าอยากให้ผู้จัดการโปรเจ็กต์ไปร่วมงานทุกคน เพราะสมาคมนี้ก็ทำงานร่วมกับบริษัทเรามาหลายปี ควรจะไปให้เกียรติกันแบบพร้อมหน้าหน่อย”
ภัทรฟังแล้วก็รู้สึกใจหายไปนิดหนึ่ง เพราะถ้าหากอีกฝ่ายต้องไปร่วมงานเลี้ยงตามคำสั่งของท่านประธาน ก็หมายความว่าเย็นนี้คงไม่สะดวกจะมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหลานเขาน่ะสิ...
เชษฐ์มองเห็นแววตาของภัทรก็เข้าใจผิดไปอีกทาง นัยน์ตาคมเข้มฉายประกายอ่อนโยนลงพลางยกมือหนึ่งขึ้นเสยผมให้เบาๆ
“ขอโทษนะที่วันนี้คงกลับมากินข้าวเย็นด้วยไม่ได้ ไว้วันหลังฉันจะชดเชยให้ก็แล้วกัน”
ภัทรรีบส่ายหน้า “ก็ครั้งนี้มันจำเป็นนี่ครับ อีกอย่างเย็นนี้ผมก็มีนัดกินข้าวกับพี่แพนอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกครับ”
คราวนี้ผู้สูงวัยกว่ามุ่นหัวคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง “นัดกับพี่สาวเอาไว้แล้ว? เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรหรือเปล่า?”
นี่เห็นเขาเป็นพวกไม่พบปะพี่น้องถ้าหากไม่มีโอกาสพิเศษหรือไงกัน แต่ก็นั่นแหละ คราวนี้คุณเชษฐ์ดันเดาถูกเสียด้วย ความที่ไม่อยากโกหก ภัทรจึงตอบเสียงอ่อยๆ
“...พอดีมีงานเลี้ยงวันเกิดล่วงหน้าให้หลานผมน่ะครับ เพราะว่าพ่อแกต้องไปญี่ปุ่นเดือนนึงตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลยอยู่ฉลองตอนวันเกิดจริงๆ ของแกไม่ได้”
คำตอบที่ได้ทำให้คนฟังขมวดคิ้วมากขึ้นอีก “แล้วนี่ตั้งใจจะไม่ชวนฉันไปด้วยเลยเหรอ?”
น้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่จับอารมณ์ไม่ถูกทำให้ภัทรเหลือบตาขึ้นอีกครั้ง พอเห็นคิ้วที่ขมวดหน่อยๆ ของคนถาม เขาก็ใจหายวูบ
“ไม่ใช่นะครับ! พี่แพนก็เพิ่งจะโทรบอกผมเมื่อคืนนี้เอง แต่มันดึกแล้วผมเลยไม่ได้โทรไปบอกคุณเชษฐ์ แล้ววันนี้ก็เพิ่งจะได้คุยกัน ยิ่งได้ยินว่าคุณเชษฐ์มีงานเลี้ยงต้องไปอยู่แล้ว ผมก็ไม่อยาก...”
ภัทรพูดไม่จบ เพราะยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนกำลังปัดความผิด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะถูกทักขึ้นมาว่าทำไมถึงจะไปเจอพี่สาวตอนเย็น เขาก็คงเกรงใจที่คืนนี้อีกฝ่ายมีงานเลี้ยงสำคัญต้องไปร่วมจนไม่คิดจะบอกเรื่องนี้แน่ๆ
เชษฐ์ยกมือขึ้นกอดอกพลางมองภัทรนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง “จริงๆ ไอ้งานเลี้ยงเย็นนี้น่ะ ในเมื่อผู้จัดการคนอื่นก็ไปกันหมดแล้ว ฉันไม่ต้องไปสักคนงานก็คงไม่ล่มหรอก เดี๋ยวฉันบอกคุณปรีชาว่าเย็นนี้ฉันไม่ว่างแล้วก็ได้”
ภัทรทำหน้าตื่น “ไม่ต้องหรอกครับคุณเชษฐ์ ถ้าเกิดท่านประธานให้ผู้จัดการไปกันทุกคนก็แปลว่าอาจจะมีเรื่องสำคัญต้องคุย อีกอย่างวันนี้ก็ไม่ใช่วันเกิดจริงๆ ของหลานผม ไว้วันหลังที่เราว่างตรงกันค่อยไปเจอกันใหม่ก็ได้ครับ”
ผู้สูงวัยกว่ายังทำหน้านิ่งอยู่ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ข้างหนึ่งดันแว่นขึ้นแล้วถาม “ร้านที่เธอจะไปกินเลี้ยงกับพี่สาวคืนนี้อยู่แถวไหน?”
ภัทรกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะตอบ เชษฐ์จึงทำท่าคิด “ไกลจากโรงแรมที่ฉันต้องไปงานเลี้ยงอยู่เหมือนกัน เอาเป็นว่าฉันจะพยายามตามไป เธอก็บอกพี่เธอด้วยล่ะว่าจะมีแขกเพิ่มอีกคน”
“คุณเชษฐ์ครับ ถ้าเกิดว่าคุณเชษฐ์ไม่สะดวก…”
“ฉันนึกว่าเราผ่านขั้นที่จะมัวแต่เกรงใจกันไปแล้วซะอีกนะ”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกคุณผู้จัดการขัดจังหวะ คราวนี้ภัทรเลยได้แต่อ้ำอึ้ง มันก็จริงหรอกที่ทั้งคู่น่าจะข้ามผ่านขั้นของความสัมพันธ์ที่มัวแต่เกรงใจกันได้แล้ว แต่นิสัยของเขามันไม่ใช่สิ่งที่จะแก้กันง่ายๆ แบบนั้นี่
ร่างสูงใหญ่มองคนตัวเล็กกว่าที่หลุบตาหนีตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจสั้นๆ ทีหนึ่งก่อนจะก้มลงหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาถือ แต่ที่ทำเอาภัทรสะดุ้งโหยงคือการที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ก้มลงมาหอมแก้มเขาหน้าตาเฉย!
“คุณเชษฐ์!!”
ใบหน้าคมเข้มยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นภัทรรีบยกมือขึ้นปิดแก้มข้างที่โดนฉวยโอกาส “แบบนี้ค่อยน่าดูกว่าหน้าตาตอนหงอยๆ หน่อย แล้วก็อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมกินข้าวซะด้วยล่ะ เย็นนี้เจอกันที่ร้าน อาจจะดึกหน่อยแต่ฉันจะตามไป”
เชษฐ์ทิ้งท้ายก่อนจะเลื่อนประตูกระจกที่ติดฟิล์มสีเข้มออก ภัทรถึงได้รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้กล้าทำอุกอาจเมื่อครู่ เพราะนอกจากจะปิดประตูห้องปรินเตอร์ไว้ ด้านนอกยังไม่มีใครอยู่อีกต่างหากเพราะว่าลงไปพักเที่ยงกันหมด ภัทรมองตามแผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ที่เดินตัวตรงออกไปทางด้านหน้าของบริษัท ตรงแก้มที่เพิ่งโดนสัมผัสยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่องรอยของริมฝีปาก เขาเลยได้แต่ถูแก้มตัวเองแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ
อย่างน้อย...คืนนี้เขาก็จะได้แนะนำคุณเชษฐ์กับครอบครัวเสียทีละนะ...
+---tbc---+