“ไม่เจ็บตรงไหนแน่นะ?” อดที่จะถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ซานส่ายหน้าหวือแล้วถอดเสื้อเปียกๆ ออก กล้ามเนื้อดูพอดีกำลังสวยภายใต้ผ้านั้นชวนให้อิจฉาไม่น้อย เห็นแล้วก็อดกลับมามองตัวเองไม่ได้
เรื่องออกกำลังกายสำหรับเขาน่ะห่างหายมานานแล้ว ส่วนมากที่ทำอยู่ก็แค่งานบ้านไปวันๆ เท่านั้น ไอ้ที่เคยมีมันก็เลยจะยุบเอา แต่ก็ยังขึ้นรูปอยู่บางๆ
“จ้องแบบนั้นผมก็เขินเป็นนะครับ” ดูท่าจะอายจริงๆ เพราะเจ้าตัวทำท่าว่าจะหยิบเสื้อเปียกๆ ขึ้นมาคลุมตัวเองอีกรอบ
“อย่างเรานี่เขินเป็นด้วยเหรอ? ปกติก็ถอดเสื้อให้สาวดูบ่อยๆ นี่” คาดเดาไปตามเนื้อผ้า ซานหัวเราะแห้งๆ แล้วก็สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเขาถือวิสาสะใช้นิ้วแตะลงไปบนกล้ามท้องของอีกฝ่าย
“สาวมองกับพี่มองมันต่างกันนี่” เบี่ยงตัวหลบแล้วส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้
เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ เอี้ยวกายไปคว้าผ้าขนหนูยื่นให้ ช่วงหัวค่ำนู่นแน่ะกว่าเวย์จะเข้าร้าน ก็คงต้องปล่อยเรื่องอุบัติเหตุให้เพื่อนสนิทจัดการไป เขาสันทัดงานแบบนั้นเสียที่ไหนล่ะ
“หุ่นดีนะ” อดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้ คนที่มีโครงร่างดูดีแบบนี้มันน่าอิจฉาน้อยเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็ผู้ชาย ไม่แปลกที่อยากจะดูดีแบบนี้บ้าง ถึงอายุจะเหยียบเลขสามแล้วก็เถอะนะ...
“ว่ายน้ำน่ะครับ แล้วก็เข้าฟิตเนส” เจ้าตัวว่า
วันสุขพยักหน้าอือออไปตามประสา ก่อนจะไล่อีกฝ่ายให้เข้าห้องน้ำไปสักที แอบเห็นพวกพนักงานด้านนอกทำเสียงเสียดายแล้วมันก็อดขำไม่ได้ คนในห้องน้ำจะรู้หรือเปล่าว่า ตั้งแต่ยืนคุยกับเขาอยู่นี่ ตัวเองโดนสาวๆ ในร้านแอบมองจ้องกันซะน่ากลัว
“หาเสื้อสินะ หาเสื้อ” คิดขึ้นได้ก็ตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานชั้นบน แล้วก็เริ่มลงมือค้นหาเสื้อผ้าสำรองที่เวย์ชอบเอามาทิ้งไว้ ผลปรากฏว่าเป้าหมายเจ้ากรรมดันอยู่ในกล่องหลังตู้ใส่ของซึ่งสูงขนาดที่เขาเอื้อมแขนไม่ถึงเสียนี่
“ฮึบ” เขย่งขา เหยียดมือสุดแขน หูแว่ววานเสียงเรียกชื่อตัวเองมาจากที่ไกลๆ ปลายนิ้วแตะเข้าที่กล่องได้แล้วพยายามจะเขี่ยให้มันตกลงมา
“พี่วันครับ แล้วเสื้อผ้า...”
โครม!
รอบที่สองของวันที่ต้องลงไปนอนนับดาวอย่างช่วยไม่ได้ รอบนี้ไม่มีเบาะรองเนื้ออุ่นๆ อีกแล้ว มีแต่พื้นพรมแข็ง และกล่องกระดาษที่ตกลงมาใส่ศีรษะเต็มๆ
หูแว่ววานเสียงหัวเราะขำของคนมาใหม่ สติยังคงมึนงง ข้อแขนถูกคว้าด้วยมือเย็นเฉียบ ดึงพรวดเดียวก็ลอยหวือจนหลังไปชนกับแผ่นอกชื้นน้ำ
“ซุ่มซ่ามจังนะครับ” ลมหายใจร้อนกระซิบอยู่ริมหู วันสุขหัวเราะเบาๆ แล้วเดินออกมาเพื่อเว้นระยะห่าง ลงมือควานหาเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนพลางส่งให้คนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว
“เดินไปเดินมาแบบนี้ไม่กลัวโดนพนักงานลวนลามเหรอครับ” ถามอย่างสงสัย เมื่อคนอายุน้อยกว่าจับกางเกงขึ้นสวมกันต่อหน้า ผู้ชายเหมือนกันก็ไม่รู้ว่าจะอายกันไปทำไม แต่พนักงานหญิงร้านนี้เยอะพอสมควร แต่ละคนก็น่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่
“ผมสำรวจทางดีแล้ว ไม่เจอใครหรอก” ซานว่าแล้วยกเสื้อยืดขนาดกำลังพอดีขึ้นสวม ก็อย่างที่คิดไว้ คนตรงหน้าตัวพอๆ กับเวย์เลยทีเดียว เด็กสมัยนี้นี่ตัวโตกันดีจริงๆ ถ้าในสมัยเขานั้นหาคนตัวสูงยากเต็มทน เหมือนเป็นของแปลกที่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เด่นขึ้นมาแล้ว
“เสื้อผ้าเราพี่เอาไปซักกับอบแห้งอยู่ เดินเล่นรอในร้านสักพักก่อนแล้วกันครับ พี่ขอไปจัดการตัวเองก่อน” เอ่ยขอตัวแล้วก็หลบออกมาเงียบๆ ซานไม่ได้ว่าอะไร แต่ดูท่าจะสนใจห้องทำงานของเวย์จริงๆ
เรื่องนี้เขาจะเก็บเงียบเอาไว้แล้วกัน เวย์ไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในพื้นที่ตัวเองเท่าไหร่ ขนาดเรียกพบพนักงานยังชอบเรียกไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างเลย
ความคิดวนเวียนไปเรื่อยขณะปลดเสื้อเชิ้ตออกจากร่าง อดที่จะจ้องมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ไม่ได้... เขาชอบใช้เวลาให้ห้องน้ำนานกว่าปกติเสมอ เหมือนเป็นช่วงที่ได้ผ่อนคลาย ได้จมอยู่กับตัวเอง แต่ก็รู้สึกแย่แบบแปลกๆ ไปในเวลาเดียวกัน
ส่งยิ้มให้กับตัวเองในกระจก พักนี้นายวันสุขดูจะมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อน ยกมือตีแก้มตัวเองเบาๆ หันหลังให้กับกระจก เอี้ยวตัวมองสำรวจตัวเองแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ถึงจะสูง แต่โครงร่างก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย บางครั้งก็นึกอิจฉาคุณอาเหมือนกัน เขาเองก็อยากได้ยีนดีๆ แบบนั้นมาบ้าง แต่สุดท้ายที่ทำได้ก็คือการดูแลตัวเองมากกว่าปกติ
“กินมากไปหรือเปล่านะเรา...”
พักนี้ดูจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากกว่าปกติ มือตีแปะลงไปบนหน้าท้องที่ขึ้นกล้ามเนื้อจางๆ อดจะยกยิ้มอย่างหลงตัวเองไม่ได้ว่า นายวันสุขนี่... จริงๆ ถึงจะเลยช่วงวัยรุ่นมาแล้วก็ยังเซ็กซี่เหมือนเดิมนะเนี่ย
“ฮะๆ ...บ้าบอดีจริงๆ ” แอบขำกับตัวเองไม่ได้ จริงๆ แล้วช่วงเวลาในห้องน้ำของเขาก็มักจะหมดไปกับเรื่องพรรค์นี้นี่แหละ... ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่หน้ากระจก หัวเราะอยู่คนเดียวให้เสียงมันก้องสะท้อนไปประหนึ่งว่ามีคนมาร่วมหัวเราะด้วยกัน... ฟังน่าอนาถใจใช่ไหม? มันก็น่าอนาถจริงๆ นั่นแหละ
กว่าจะอาบเสร็จก็ใช้เวลาไปมากโข พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นใครบางคนที่มานอนหลับสบายอยู่ตรงโซฟาด้านหน้า
ร่างนั่นนอนคว่ำหน้าซุกหมอนอิง ปล่อยแขนข้างหนึ่งตกลงกับพื้น เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปพลิกตัวให้นอนหงาย คลี่ผ้าแพรแถวนั้นมาห่มให้ เพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศหลังร้านใช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไหร่
“อือ” ซานครางงึมงำแล้วก็ซุกตัวเข้ามาหา เอวเขาถูกกอดแน่น ท่าทางแบบนี้ก็ชวนให้เอ็นดูอยู่หลายส่วน
วันสุขคลี่ยิ้ม ยกมือจุ๊ปากกับฝาแฝดซึ่งโผล่หน้าเข้ามาดูคนที่ยึดโซฟาประจำไป เด็กๆ ดูจะสนใจเป็นพิเศษว่าซานคือใคร
“อย่าเสียงดังนะครับ ปล่อยเขานอนไปนี่แหละ พี่ขอออกไปรับโทรศัพท์ก่อน” พูดเบาๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นครืดคราดติดมือไปด้วย แต่พอเห็นชื่อคนโทรเข้าเป็นต้องเลิกคิ้ว รีบกดรับสาย คุยกันไปสักพักก็ได้ความว่าปรัชญ์จะขอเข้ามาดูที่ร้านของเขาก่อน
เหลือบมองนาฬิกา ก่อนจะบอกให้ปรัชญ์เข้ามาหาได้เลย เพราะไหนๆ ตอนนี้ก็ว่างกันทั้งสองฝ่าย คุยกันแต่เนิ่นๆ อะไรๆ มันจะได้ง่ายขึ้น และพอตกลงกันเสร็จสรรพ อีกฝ่ายก็บอกว่าจะมาถึงในอีกประมาณสี่สิบนาที
“สวัสดีครับ พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ขอโทษที่ต้องออกมาต้อนรับในสภาพแบบนี้นะ”
ยิ้มบางๆ ไปให้ผู้มาใหม่ วันสุขเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าไปหา เอื้อมมือไปคว้าข้อแขนของคนตัวสูงลากให้เข้ามาในร้าน พนักงานตาวาวกันใหญ่ ทำปากล้อเลียน บางคนก็เคาะแก้วเคาะช้อนแซวเขา
“พี่วันใส่เสื้อแบบนี้แล้วเหมือนคนรุ่นเดียวกับผมเลย” ปรัชญ์เอ่ยชม ขณะที่กวาดตามองเขาในเสื้อยืดสกรีนกราฟฟิกและกางเกงลายทหารสี่ส่วน
“น้อมรับคำชมครับ” ว่าเสียงนุ่มแล้วกดบ่ากว้างนั่นให้นั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ แอบชะโงกหน้าเข้าไปดูคนหลับที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ก่อนจะกลับมาถามหนุ่มร้านต้นไม้ว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม
“ให้พี่วันมาเลี้ยงแบบนี้ ผมเกรงใจนะครับ แค่นี้ก็ไม่รู้ว่ารบกวนเวลาพี่หรือเปล่า” ปรัชญ์ว่าอย่างเกรงใจ ทำเอาเขาอดเอ็นดูไม่ได้
เด็กคนนี้อ่อนน้อมน่ารัก ท่าทางขี้อาย ดูไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่สุภาพมากๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงดรอปเรียนได้นะ? ท่าทางก็ไม่ได้เกเรอะไร อาจจะมีปัญหาทางการเงิน... เขาก็ได้แต่เดาสุ่มไปเรื่อย
“เลี้ยงในฐานะลูกศิษย์คุณอา เป็นรางวัลที่ทำคะแนนเก็บได้ที่หนึ่ง ช็อกโกแลตเย็นไหมครับ? ท่าทางเราดูจะไม่ค่อยชอบกาแฟ” จ้องนิ่งๆ แล้วเอียงคอถาม ปรัชญ์พยักหน้าเบาๆ พึมพำว่าขอวิปครีมด้วย...บนแก้มสีออกแทนเพราะโดนแดดนั่นยังแต้มรอยฝาดไว้เบาบาง ดูน่ารักดีเหมือนกัน
“คนชอบคิดว่าผมชอบกาแฟ แต่พี่วันเก่งนะครับ... ไม่นึกว่าจะดูออกด้วย”
“พี่ก็เดาไปตามเรื่อง เดี๋ยวจะบีบวิปครีมให้หมดกระปุกเลย” หันไปจัดการชงให้อย่างอารมณ์ดี ช็อกโกแลตเย็นสูตรวันสุขน่ะ ใครกินเป็นต้องติดใจ จับอะไรก็อร่อยไปเสียหมด ความสามารถพิเศษของเขาล่ะ...
ระหว่างนั้นก็ชวนปรัชญ์คุยไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะวางแก้วทรงกลมที่บีบวิปครีมจนล้นให้อีกฝ่าย แอบเห็นอยู่หรอกนะว่าดวงตาสีเข้มนั่นเป็นประกายอย่างกับเด็กที่ได้กินของโปรด
“เอ้า มาเข้าเรื่องงานกันเลยดีกว่า” ว่าอย่างอารมณ์ดีแล้วเท้าคางกับเคาน์เตอร์ ปรัชญ์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแฟ้มออกมาจากกระเป๋า เป็นข้อมูลราคากับรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับของสำหรับจัดแต่งสวน ราคาต้นไม้ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่งปุ๋ยสำหรับบำรุง
วันสุขเปิดดูผ่านๆ พลางบอกของที่อยากได้ไปตามเรื่อง ไหนๆ เจ้าตัวก็มาถึงที่แล้ว ก็เลยเรียกผู้จัดการร้านมาคุยด้วยอีกคน รายละเอียดจริงๆ สำหรับการแต่งคงต้องสักวันศุกร์ ตอนนี้ก็ทำได้แค่แนะนำสถานที่จริงไปพลางๆ
“จริงๆ แล้วยังมีเจ้าของร้านอีกคน พี่จะถามเขาอีกทีว่าจะมาดูด้วยไหม วันนี้เขาไม่ว่าง วันเสาร์ถ้าเขาว่าง พี่จะพาเขาเข้าไปที่ร้านด้วย” เรื่องนี้ต้องคุยกันให้ดี ถึงแม้ว่าเวย์จะให้สิทธิ์ในการตกแต่งร้านกับเขาเต็มที่ ทว่าอย่างน้อยก็ต้องปรึกษากันเสียก่อน อย่างไรเสียก็เป็นร้านของพวกเขาสองคน ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง อีกอย่างรายนั้นก็ดูเรื่องการเงินด้วย งานหลักที่เจ้าตัวทำอยู่ก็วุ่นแล้ว งานรองยังวุ่นกว่าเสียอีก
“สวนที่ร้านก็สวยดีนะครับ ดูยังไม่เก่าเท่าไหร่ด้วย”
“ฮืม... คนสวนเขาดูแลดีนะ จริงๆ ที่ร้านก็มีนโยบายเปลี่ยนสวนทุกปีครับ เราพยายามทำให้มันออกมาดีมากที่สุด ถ้าช่วงไหนงบเหลือก็จะเอามาปรับแต่งร้านใหม่ด้วย” เพราะร้านมีแค่สาขาเดียว อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร อยากจะแต่งก็แต่ง อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง จนร้านมันโตมาได้จนถึงทุกวันนี้
“ที่อยากให้เปลี่ยนก็แค่โซนหน้าติดถนนน่ะครับ ส่วนสวนด้านในคิดว่าจะไปหาพวกของตกแต่งมาลงน่าจะสะดวกกว่า” เขาชี้มือชี้ไม้ ขณะที่ผู้จัดการร้านขอตัวไปทำงานต่อ ปรัชญ์เองก็จัดการช็อกโกแลตเย็นจนหมดแก้ว
“สนใจเดินดูรอบๆ ไหมล่ะครับ?” เอ่ยถามแล้วถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้กับราวข้างเคาน์เตอร์ กะว่าเดินดูร้านเสร็จก็จะตรงดิ่งไปจัดการงานที่มหาวิทยาลัยเลย
“พี่วัน... อยู่ไหน?”
พลันเสียงเรียกเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังร้าน วันสุขเอียงคอแล้วกวักมือเรียกใครอีกคนให้ตามเข้ามาด้านหลัง
ซานเพิ่งตื่น งัวเงียได้ที่ ท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากจะลุกขึ้นมาเท่าไหร่เพราะอีกมือกอดผ้าห่มไว้แน่น โทรศัพท์ราคาแพงวางไว้ข้างตัว ท่าทางเหมือนจะตื่นเพราะถูกโทรมาปลุกเสียมากกว่า
“พี่จะพาปรัชญ์ไปดูรอบๆ ร้าน จะไปด้วยกันไหม?”
“ไม่เอา... ขอนอนอีกสักพัก” พูดพลางหาวหวอด ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบแล้วกดปิดโทรศัพท์มือถือเสียอย่างนั้น
“เดี๋ยวพี่มาปลุกแล้วกัน” วันสุขว่าแล้วก็อดมองสภาพอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างกับคนอดนอน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา
เขาพาแขกเดินทะลุออกมาหลังร้าน อธิบายนู่นนี่ไปเรื่อยตามประสา ปรัชญ์ดูเป็นงานกว่าที่คิด บอกชื่อต้นไม้ได้หมด ทั้งยังบอกวิธีดูแลรักษาเพิ่มเติมให้เสียอีก เจ้าตัวดูจะถูกใจสวนน้ำพุเล็กๆ ที่มุมร้านมาก มีการขออนุญาตถ่ายรูปแล้วก็รัวชัตเตอร์ไปหลายแชะ
“พี่วันดูสนิทกับซานดีนะครับ”
“สนิทเหรอ? เพิ่งได้คุยกันแค่ไม่กี่วันเองครับ” เอียงคอแล้วหัวเราะ เด็ดดอกมะลิมาหมุนเล่นอย่างอารมณ์ดี จะว่าแปลกก็แปลก ถึงเขาจะดูเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้เข้ากับใครง่ายขนาดนั้น แต่ซานคงเป็นกรณีพิเศษ...
“แต่ผมว่าพี่ดูสนิทกับทุกคนเลยมากกว่า” ปรัชญ์ว่า สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเอาดอกไม้สีขาวเสียบลงไปในกระเป๋าเสื้อของเจ้าตัว
“คำว่า ‘สนิท’ กับ ‘คุยง่าย’ มันต่างกันนะ” วันสุขอธิบายแล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา ปรัชญ์เองก็จับท่าทีเขาได้ หนุ่มร้านต้นไม้ทำหน้าเสียดายเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงเบา
“แล้วกับซานล่ะครับ... แบบไหน?” พอได้ฟังคำถามเป็นอันต้องคลี่ยิ้มบาง วันสุขทำท่านึก หักกิ่งมะลิมาไกวเล่นอย่างเพลิดเพลิน
“เดาเอาสิ...”
หลังจากแยกย้ายกับปรัชญ์ที่ร้าน เขาก็เข้าไปปลุกซานที่ดูจะตื่นยากตื่นเย็น สุดท้ายก็อดถามไปไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ดูเพลียขนาดนั้น แต่เด็กนั่นกลับไม่ยอมตอบคำถามเสียนี่ และก็ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า บางครั้งท่าทางของซานเองก็เหมือนจะดูมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็นชอบกล
...ไม่ได้เป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ...
คงเป็นเพราะความรู้สึกแบบนั้น เลยทำให้เขารู้สึกเข้ากับเด็กนี่ได้ดีกว่านักศึกษาคนอื่นๆ อาจเพราะท่าทีของซานด้วยส่วนหนึ่ง
เด็กนั่นทำอะไรไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่ นึกอยากจะเข้ามาใกล้ก็พุ่งพรวดเข้ามา ดูจะไม่สนใจพื้นที่หรือกำแพงที่เขาอุตส่าห์กางไว้สักนิด ต่างจากปรัชญ์ลิบลับ รายนั้นน่ะความรู้สึกไว นิดๆ หน่อยๆ ก็ถอยกรูดไปซะไกลเชียวล่ะ...
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย ทั้งเด็กสองคนนั่น แต่เรื่องที่ดูจะติดใจเขามากที่สุดคงไม่พ้นโคมไฟในร้านกับซองจดหมายปริศนานั่น ทั้งที่เขาคิดว่าจะลืมๆ ไปได้แท้ๆ แต่พอได้เข้ามานั่งตรวจงานในห้องเงียบๆ สารพันเรื่องมันก็ผุดขึ้นมา
ทำงานไปก็มีแต่เรื่องเทือกนี้วนเวียนอยู่ในหัวสมอง สมาธิแทบจะไม่มี พอคิดวกวนมากเข้า อาการปวดหัวก็เลยตามต่อมา วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งปากกาลงกับโต๊ะ เหลือบไปมองแผงยาในตะกร้าเล็กๆ แล้วเลือกที่จะปล่อยมันไว้แบบนั้น
เขาไม่ชอบกินยาพร่ำเพื่อเท่าไหร่ ถ้าไม่เป็นหนักจริง ส่วนมากก็เลือกที่จะนอนพัก ครั้งนี้ก็เช่นกัน งานเสร็จเกือบหมดแล้ว เหลือแค่กรอกคะแนนลงในใบแล้วเอาไปให้คุณอาเท่านั้น...
พักสักหน่อยจะเป็นไร?
งีบสักเดี๋ยวเดียว พอตื่นขึ้นมาค่อยกลับไปทำกับข้าวให้คุณอาอย่างทุกวัน... คิดพลางเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาหน้าห้อง ไม่นานก็ผล็อยหลับ...
รอบตัวโอบล้อมด้วยสีดำสนิท...
แผ่นหลังชื้นนาบกับผนังเย็นเฉียบ ห้องแคบจนต้องหดขาเข้าหาตัว กอดเข่าแน่น ซุกหน้าอย่างหวาดผวา... อาศัยเพียงแสงสว่างซึ่งลอดมาจากใต้ประตูที่ลงกลอนไว้ กลัวจนน้ำตาไหล ไหล่สั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม
ความฝัน... น่ากลัว และสมจริง เมื่อฝันนั้นยืนหยัดอยู่บนพื้นของสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นในอดีต... เขาหวาดกลัว ร้องไห้อย่างช่วยอะไรไม่ได้ เงาวูบไหวด้านนอกชวนให้อกสั่นขวัญหาย เสียงด่าทอ เสียงตะโกน เสียงทุบตีข้าวของ... ไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
ปิดตา อุดหู ห่อตัวเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม หอบหายใจลึก หัวใจเต้นระรัวกระหน่ำ ความมืดโรยตัวอยู่รอบด้าน ประตูที่กั้นเขาเอาไว้กับแสงด้านนอกถูกฟาดกระหน่ำด้วยของแข็ง
ปึงปัง... ปึงปัง... ปึงปัง... ครั้งแล้วครั้งเล่า
ผวาตกใจเมื่อเสียโครมสนั่นดังขึ้นอีกครั้ง เสียงด่าทอห่างออกไปไกลทุกที ค่อยๆ เงียบลง เงียบลงจนหายไปในที่สุด
มือเล็กๆ ของเขาเองพยายามตะกุยตะกายเพื่อหยัดยืนขึ้นมา ทุกอย่างจบลงแล้ว... ผ่านพ้นอีกคืน และมันจะเป็นเช่นนี้ซ้ำๆ วกไปวนมาจวบจนกว่าเขาจะตายไปในที่สุด…
ฝันร้ายชวนให้เศร้าสลดอย่างประหลาด จิตใจหดหู่ราวกับกำลังดิ่งลงไปในหลุมดำสนิท อดีตสีสดใสถูกทาบทับด้วยสีเข้มและสีสด แทบจะในทันทีที่มันเริ่มขีดเขียนลงบนผืนผ้าใบที่เรียกว่า ‘ชีวิต’
เรื่องพวกนี้เขาเคยคิดว่าจะลืมมันไปได้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังฝังอยู่ข้างใน หลบซ่อนอยู่ใต้ตะกอนสีดำที่ก้นบึ้ง รอเวลายามเผลอไผล คลื่นรุนแรงก็จะซาดซัดมันขึ้นมา...
เรื่องร้ายๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละเรื่องสองเรื่องยากจะหยุด ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คล้ายกับหัวใจจะยิ่งทำงานหนัก... ห้ามความคิดตัวเองไม่เคยจะได้สักที และก็ไม่รู้เหตุผลว่าจะไปหยุดมันได้อย่างไร...
“พี่วัน!”
ดวงตาเปิดพรึบก่อนจะหรี่ลงเมื่อแสงจ้าจากโคมไฟสาดใส่เข้าให้จนแสบพร่า ยกมือขึ้นขยี้ตาตามนิสัย ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามันเปียกชื้นไปหมด... ฝันร้ายทีไรก็เผลอร้องไห้ทุกที
สูดหายใจตั้งสติ ค่อยๆ เหลือบไปมองผู้มาใหม่ ชันกายลุกขึ้นนั่ง กระแอมไอแก้เก้อไปอย่างนั้น ฟ้าด้านนอกมืดสนิทเห็นเพียงแสงโคมไฟจางๆ จำได้ว่าตอนงีบหลับแค่บ่ายสามกว่าๆ ทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปเร็วนัก
“ผมเห็นไฟในห้องพี่เปิดอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังไม่หยุด เลยเข้ามาดู โชคดีจริงๆ ...ผมนึกว่าพี่จะเป็นอะไร นอนร้องไห้ไม่ยอมหยุดเลย” ซานพูดรัวเร็วเหมือนคนที่ยังไม่หายตกใจ ทิชชู่แผ่นบางถูกยื่นมาให้ วันสุขรับมาอย่างงงๆ
“พี่เหมือนเด็กเลย เวลาฝันร้ายใช่หรือเปล่าถึงร้องไห้แบบนั้น สมัยตอนเล็กๆ ผมก็เป็น” ได้ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้วใส่
“นี่กำลังว่าพี่อยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
“เปล่านะครับ แล้วดีขึ้นหรือยัง?” เจ้าตัวถามอย่างเป็นห่วง สายตาก็มองกวาดไปกวาดมา ไม่รู้ว่ามองสภาพหลุดลุ่ยของเขาหรือมองหาอะไรกันแน่ เสียงโทรศัพท์แผดลั่นอีกครั้งแล้วก็ต้องรีบรับสาย ตอนนี้เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว คุณอาก็เลยโทรมาตามอย่างเป็นห่วง โดนเอ็ดไปยกใหญ่เลยทีเดียว
“พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ฝันร้ายนิดหน่อย ขอบคุณที่เข้ามาดูนะครับ” เคลียร์กับคุณอาเสร็จก็หันมาขอบคุณเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้ ก่อนจะสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่างที่ดูจะแปลกตาไปสักนิด
“ไปโดนใครเขาตบมาล่ะนั่น?” ถามอย่างนึกแปลกใจ มือเองก็เผลอยกไปแตะรอยนิ้วจางๆ บนแก้มนั่นแล้ว พอจะชักกลับ คนเด็กกว่าก็ซุกหน้าเข้าหาเสียอย่างนั้น
ปลายจมูกโด่งแตะอยู่ที่อุ้งมือ เอียงหน้าซบอย่างออดอ้อน ฟันเรียงสวยก็งับเบาๆ เข้าที่ข้อนิ้วอย่างเอาใจแล้วก็ไล่มาที่ข้อแขน... ออดอ้อนหยอกล้อเสียจนนึกถึงสัตว์บางอย่าง...
“คนหรือแมวเนี่ย หือ?” เอยแซวไปตามประสา รู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายมาทำประหลาดใส่ เพราะเขาจำไม่เคยได้ว่าสนิทกับซานขนาดจะมาเล่นหยอกกันได้แบบนี้...
“เมี้ยว” ใครอีกคนก็เลียนแบบเสียงแมวแล้วก็ทำตาพราวใส่ แลบลิ้นเลียนิ้วเขาไปทีหนึ่ง แล้วก็หัวเราะร่าเมื่อเห็นเขาชักมือกลับแทบจะในทันที
“ไปหักอกสาวมาล่ะสิถึงโดนขนาดนี้”
วันสุขจับคางของคนตรงหน้าหมุนซ้ายขวาเผื่อจะเจอรอยอย่างอื่น ซานทำหน้าครุ่นคิด เลียนแบบท่าเอียงคอของเขาแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“หักอกที่ไหนกัน ยังไม่ได้คบ ยังไม่ได้เริ่มแล้วมันจะไปหักอกได้ยังไงล่ะครับ?”
“อ๋อเหรอ? แล้วไปทำอีท่าไหน น้องซานถึงโดนสาวเขาตบมาล่ะครับ” ดึงแก้มแมวแรงๆ อย่างมันเขี้ยว
ซานส่งเสียงประท้วงงึมงำแล้วถอยตัวออกห่างจากรัศมีของเขา คนตรงหน้ายกยิ้มมุมปากอย่างเคยนิสัย ท่าทางแบบนั้นขับให้เจ้าตัวดูร้ายกาจอย่างบอกไม่ถูก
“แค่พูดไม่เข้าหูเอง นิดๆ หน่อยๆ ก็โวยวาย... ผู้หญิงน่ะน่ารำคาญจริงๆ พี่วันว่าไหม?”
To be continued...
เขาหยอกกันไป.. เขาหยอกกันมา..
ส่วนใครกลัวดราม่า ขอให้วางใจ มันเบาบางเหมือนน้ำล้างจานเลยล่ะ