คาบเรียนที่สามสิบสาม
สถานที่ที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงมั้ย
หากมันมีอยู่จริง มันจะคุ้มค่าที่เราจะยอมแลกทุกอย่างที่มีเพื่อไปให้ถึงที่แห่งนั้นมั้ยนะ
เผลอแป๊บๆ ทริปการท่องเที่ยวของพวกผมก็เดินทางมาถึงวันที่สี่แล้วอย่างรวดเร็ว
“นันท์ครับ ตื่นได้แล้ว เพื่อนๆ รออยู่นะครับ”
เสียงของแบงค์ปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ในยามเช้า ผมลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ในขณะที่สมองดูเหมือนจะยังไม่ได้ตื่นตามขึ้นมาด้วย จึงเกิดอาการเบลอเล็กน้อย
“อือ...ขออีกนิดบ่ได้เหรอวะ”
“ไม่ได้ครับ ตื่นเดี๋ยวนี้เลย อะไรกัน อุตส่าห์ได้มาเที่ยวทะเลทั้งที ยังจะมานอนตื่นสายอีก”
“ก็มันเหนื่อยนี่หว่า...”
ผมบ่นอุบอิบๆ เล็กน้อยพร้อมกับดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ แล้วจึงขยี้ตาเบาๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่พร้อมแล้ว ซึ่งสวนทางกับผมที่ยังคงสะลืมสะลืองัวเงียอยู่พอสมควรและเมื่อหันไปมองตัวเองในกระจกข้างฝาก็พบว่าสภาพตัวเองในตอนนี้ช่างดูอนาถจิตยิ่งนัก
เปลือกตาที่ยังลืมได้ไม่เต็มที่ ขอบตาที่ดำและบวมแถมยังมีขี้ตาเล็กน้อยอีก ทรงผมที่ฟูไม่เป็นทรง ยังดีที่ไม่มีคราบน้ำลายติดเลอะที่มุมปาก ทำเอาผมถึงกับสงสัยว่าพวกนางเอกละครหลังข่าวแม่งมันทำยังไงวะ ถึงได้ตื่นขึ้นมาแล้วสวยพริ้งยิ่งกว่าใช้กล้องฟรุ๊งฟริ๊งได้เนี่ย
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมกับแบงค์ก็ลงไปหาคนอื่นๆ ที่เหลือยังบริเวณร้านอาหารของรีสอร์ตเพื่อหาอะไรรองท้องกัน
“แล้วนี่วันนี้เราจะไปไหนกันวะ”
ผมหันไปถามไอ้เต้ย แกนนำหลักของการเที่ยวในครั้งนี้ที่กำลังใช้ช้อนตัดไข่ดาวในจานข้าวของมันเข้าปาก
“เอ้า ไอ้นี่ ถามแปลกๆ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงไง มึงจำบ่ได้เหรอวะ”
“ทำไมวะ พระจันทร์เต็มดวงแล้วมันเกี่ยวเหี้ยอะหยังกับสถานที่ที่จะไปเที่ยววันนี้นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะพากูไปเหยียบดวงจันทร์แบบเซอร์ไอแซกนิวตัน รึไงวะ”
ไอ้เต้ยถอนหายใจทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
“นั่นมัน นีล อาร์มสตรองครับคุณเพื่อนนันท์ ส่วนเซอร์ไอแซกนิวตัน มันทฤษฎีแรงโน้มถ่วงครับ”
ไอ้โอ๊ตเอ่ยแทรกขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือโดยไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมแม้แต่น้อยผมขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อยในขณะที่คนอื่นในกลุ่มหัวเราะกันลั่นกับสิ่งที่ผมพูดออกไป
คนเหยียบดวงจันทร์คนแรกคือนีลอาร์มสตรองหรอกเหรอ ไม่ใช่ เซอร์ไอแซกนิวตัวเหรอวะ
“เออๆ สรุปวันนี้จะไปเที่ยวไหนกันแน่วะ”
ผมเอ่ยถามอีกรอบโดยเก็บความความสงสัยเรื่องเซอร์ไอแซกนิวตันนั้นเอาไว้ไม่คิดจะถามหรือเถียงอะไรต่อทั้งสิ้น เพราะคิดว่าถ้าถามออกไป คงได้โดนหัวเราะเยาะต่ออีกเป็นแน่แท้ ไอ้เต้ยเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับถอนหายใจอีกรอบ
“ก็หาดริ้นไงล่ะวะ เพราะคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ที่นั่นเขาเลยจัดฟูลมูนปาร์ตี้”
เอออออออออออ จริงด้วย ลืมไปได้ยังไงวะ นี่มันจุดประสงค์หลักของการมาเที่ยวเกาะพะงันเลยนี่หว่ามิน่าล่ะ ดูไอ้ยีสต์จะระริกระรี้เป็นพิเศษ ต่างจากไอ้เต้ยที่ดูจะออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะถามออกไปส่วนไอ้โอ๊ตดูจะเฉยๆ สังเกตได้จากสายตาที่ไม่ละออกจากหน้าจอมือถือเลยแม้แต่น้อย ซึ่งบางทีผมก็สงสัยนะว่ามันรู้สึกสนุกกับการมาเที่ยวครั้งนี้จริงหรือเปล่าวะ
ในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็ดูจะให้ความสนใจเกมที่ไอ้โอ๊ตมันเล่นอยู่พอสมควร ถึงขั้นโหลดมาเล่นตามเลยทีเดียวซึ่งไอ้โอ๊ตเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแถมยังให้คำแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ
หลังจากที่กินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปยังหาดริ้นในทันทีด้วยรถจักรยานยนต์ที่เช่ามาในราคามิตรภาพด้วยอานิสงส์ญาติของไอเต้ย ส่วนสาเหตุที่พวกเราเลือกที่จะเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์แทนที่จะเป็นรถยนต์คันเดียวนั้นมันก็มาจากความเรื่องมากของไอ้ยีสต์นี่ล่ะครับ
ด้วยสภาพพื้นที่ของเกาะพะงันนั้นมีลักษณะเป็นของภูเขาเสียมากถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าภูเขาที่เชียงใหม่แต่ก็นับว่ามีมากพอสมควร ถนนจึงคดเคี้ยวและมีความลาดชันซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นของแสลงสำหรับไอ้ยีสต์เพราะมันเป็นพวกเมารถเมาเรือง่าย ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกันจากตอนที่ไปเที่ยวสันป่าเกี๊ยะน่ะครับ ก็เลยคิดว่าการขี่จักรยานยนต์กันไปน่าจะโอเคกว่าสำหรับไอ้ยีสต์ แต่ถึงกระนั้นดูเจ้าตัวก็จะยังคงกลัวๆ เส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันของเกาะพะงันอยู่พอสมควรสังเกตได้จากการที่มันกอดเอวไอ้เต้ยเอาไว้แน่นตลอดเส้นทางเลย ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้ไอ้เต้ยหัวเราะขึ้นมาได้บ้างกับท่าทีที่ดูตลกของอีกฝ่าย
หลังจากที่ทรหดกับเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชัน ในที่สุดพวกเราก็มาถึงหาดริ้นเสียที
หากจะพูดถึงเกาะพะงันแล้วนั้น หาดริ้นก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อติดอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวมุ่งหมายจะมาถึงให้ได้ ซึ่งหาดริ้นนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งนั่นก็คือหาดริ้นในและหาดริ้นนอก โดยบริเวณที่ผมพวกกำลังยืนอยู่นั้นคือหาดริ้นนอกซึ่งเป็นสถานที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้นั่นเอง เสน่ห์ของที่นี่คือหาดทรายสีขาวเนื้อเนียนละเอียดที่ทอดยาวกว่าสองกิโลเมตร ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้แล้วด้วย แสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบกับน้ำทะเลที่ใสสะอาดก็ยิ่งทำให้บรรยากาศดูสวยงามมากๆ
ทันทีที่มาถึงไอ้ยีสต์ก็ดูกระปรี้กระเปร่าผิดจากเมื่อกี้อย่างลิบลับนั่นก็เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะพบนักท่องเที่ยวหญิงชาวต่างชาติในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเต็มไปทั่วชายหาด จึงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่เจริญตาเจริญใจสำหรับไอ้ยีสต์อยู่พอสมควรในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็ดูจะชอบอกชอบใจจนวิ่งลงทะเลไปอย่างรวดเร็วราวกับเด็กอนุบาลเจอของเล่นถูกใจโดยไม่รอใครทั้งสิ้น
ส่วนไอ้โอ๊ตน่ะเหรอครับ ก็ดูมีทีท่าจะสนใจกับบรรยากาศความงดงามของชายหาดแห่งนี้ขึ้นมาบ้างอยู่เหมือนกันนะ สังเกตได้จากการที่ยอมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วไปเดินลงไปริมหาดเอาเท้าไปแตะน้ำทะเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินกลับมาหลบอยู่ในที่ร่มแล้วหยิบมือถือออกมาเล่นต่อ
อืม ก็ถือว่านานสุดเท่าที่ไอ้โอ๊ตมันจะทำได้แล้วล่ะ
“อ้าว คุณเพื่อนเต้ย ไม่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณเพื่อนยีสต์เหรอครับ”
ไอ้โอ๊ตเงยหน้าขึ้นถามไอ้เต้ยที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังทำสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ซึ่งคนถูกถามก็หันไปมองไอ้ยีสต์ที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะหันกลับมา
“ปล่อยมันไปเหอะ โตๆ แล้ว ดูแลตัวเองได้ละ มันอยากไปไหน อยากทำอะหยัง ก็เรื่องของมัน บ่ะเกี่ยวกับกู”
ไอ้เต้ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะสดชื่นเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับทอดสายตามองออกไปยังทะเลอย่างเลื่อนลอย
“นี่มึงสองคนทะเลาะอะหยังกันอยู่รึเปล่าวะ”
ไอ้เต้ยหันมาเบิกตาโพลงมองผมอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากผม
“บ่ กูเนี่ยนะ จะไปทะเลาะเหี้ยอะหยังกับมัน ไร้สาระ”
“เอ้า ก็วันนี้ดูมึงบ่ค่อยจะสดชื่นเลยนี่หว่า แถมคำพูดแปลกๆ เมื่อกี้อีก กูก็นึกว่าพวกมึงสองคนทะเลาะกันอยู่ กูเลยอดเป็นห่วงบ่ได้ไง”
ทันทีที่ผมพูดจบไอ้เต้ยก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเอียงคอเล็กน้อย ก่อนที่จะกลั้วหัวเราะแห้งๆ กลับมา
“น่าแปลกนะ ปกติมึงจะดูเอ๋อๆ บ่ค่อยรู้เรื่องอะหยังกับเขา แต่มึงกลับสังเกตเห็นเรื่องนี้”
“เอ้า นี่กูเป็นห่วง คือกูผิดเหรอวะ”
ผมถามกลับพร้อมกับพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา
“กูบ่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เออ ช่างเถอะ ยังไงก็ขอบใจมึงเว้ยที่เป็นห่วง แต่กูแค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ มึงเหอะ ถ้ามัวชักช้าจะตามไอ้แบงค์ไปบ่ทันนะเว้ย”
ไอ้เต้ยพูดพร้อมกับยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะชี้ไปยังด้านหลังของผม ผมจึงหันหลังไปมองและภาพที่เห็นก็คือแบงค์ที่กำลังสนุกสนานกับการถ่ายรูปจนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แล้ว ผมเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามออกไปทันทีโดยทิ้งไอ้เต้ยกับไอ้โอ๊ตเอาไว้ข้างหลัง
“พอเจอวิวทิวทัศน์สวยๆ เข้าหน่อย ก็บ่รอกันเลยนะมึง”
ผมเอ่ยเหน็บเล็กๆ ออกไป แบงค์เองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ผละสายตาออกจากกล้องหันมามองผม พร้อมกับยิ้มกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะก้มหน้าถ่ายรูปต่อไป ซึ่งเอาเข้าจริงผมเองก็ไม่ได้งอนอะไรหรอกที่อีกฝ่ายจะให้ความสนใจกับการถ่ายรูปในตอนนี้จนดูเหมือนจะลืมผมไป
กลับกัน ผมกลับรู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำที่ได้เห็นแบงค์ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ช่วงเวลาที่เจ้าตัวให้ความสำคัญกับการค้นหามุมมองและใส่ใจในการลั่นชัตเตอร์แต่ละครั้ง นั่นล่ะคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของอีกฝ่ายในสายตาผม ผมจึงเลือกที่จะเดินตามแบงค์ที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปไปอย่างเงียบๆ โดยไม่คิดที่จะกวนสมาธิแต่อย่างใด
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลากลางวันอยู่ซึ่งยังไม่ถึงช่วงเวลาของฟูลมูนปาร์ตี้ก็ตามที แต่นักท่องเที่ยวก็เริ่มหลั่งไหลกันมามั่งแล้วสมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ ส่วนร้านรวงต่างๆ รวมไปถึงตามผับ บาร์ที่ตั้งอยู่ริมหาดเริ่มมีการนำเสื่อและโต๊ะญี่ปุ่นมาตั้งตามหน้าร้านของตัวเอง ในขณะที่บางร้านก็มีการนำเครื่องเสียงขนาดใหญ่มาวางกันแล้ว ดูๆ ไปก็เริ่มชักจะสนุกขึ้นมาเสียแล้วสิ
“เหนื่อยรึยังครับ”
แบงค์หันมาเอ่ยถาม ผมยิ้มพร้อมกับส่ายหัวกลับไปเป็นคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ แล้วจึงเดินไปหาที่นั่งใต้ต้นหูกวางริมหาดเพื่อหลบแดด
“นั่งรอนี่นะ เดี๋ยวผมมา ไปซื้อน้ำแป๊บนึงครับ”
แบงค์บอกกับผมก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปซื้อน้ำที่แผงขายซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรานั่งมากนัก
“อ่ะ นี่ครับน้ำ แก้คอแห้ง เดี๋ยวจะเป็นลมแดดเอา”
แบงค์ยื่นขวดน้ำให้กับผมก่อนที่จะลงนั่งข้างๆ
“ครึกครื้นดีนะ หาดริ้นเนี่ย”
“นั่นสิครับ”
“เทอมหน้าพวกเราก็ม.หกกันแล้วนะ”
“ใช่ครับ”
“คงต้องพบเจออะหยังอีกมากเลยนะ”
“นั่นสินะครับ”
แบงค์ตอบรับกลับมาสั้นๆ ผมเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเบาๆ
“ยังไง กูก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับมึงอีกปีนึงด้วยนะเว้ย”
“ขอปฏิเสธครับ!”
ผมรู้สึกเหวอทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธอย่างรวดเร็วของแบงค์
“ท่ะ...ทำไมวะ”
ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยพร้อมหันไปมองแบงค์ที่ตอนนี้กำลังมองออกไปยังขอบฟ้าอย่างเงียบๆ ไม่ยอมพูดจาอะไร ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไหร่นักก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้ามองมายังผมด้วยสายตาที่ดูจริงจัง
“นันท์บอกว่าขอฝากเนื้อฝากตัวกับผมอีกปีนึงใช่มั้ยล่ะครับ”
“เออดิวะ”
“......”
“......”
“แต่ผมอยากให้นันท์ฝากเนื้อฝากตัวกับผมไปตลอดทั้งชีวิตเลยมากกว่านะครับ”
“......”
“......”
“มึง”
“ครับ”
“มุกแป๊กว่ะ”
“อ้าวไหงงั้นล่ะครับ ผมกำลังหยอดคำหวานชวนซึ้งอยู่นะครับเนี่ย ไม่ได้มุกอะไรเลยสักนิด”
“นั่นล่ะ ยิ่งแป๊กเข้าไปใหญ่ว่ะ”
ถึงแม้ปากของผมมันจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วในใจลึกๆ ของผมมันกลับรู้สึกอบอุ่นมีความสุขมากๆ ที่ได้ยินคำพูดนั้นจากอีกฝ่าย ผมค่อยๆ เอนหัวไปพิงบนไหล่ของแบงค์พร้อมกับหลับตาลงอย่างช้าๆ สายลมเย็นที่พัดจากทะเลเข้าหาฝั่ง แสงแดดอุ่น ที่สาดส่องลงมา เสียงคลื่นกระทบเข้าหาฝั่งอย่างเป็นจังหวะ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นานๆ เหลือเกิน
“มึง”
“ครับ”
“น้าของมึงเป็นตากล้องของหนังสือท่องเที่ยวต่างประเทศใช่มั้ย”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”
แบงค์ถามกลับด้วยความสงสัย ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
“งั้นก็คงจะเห็นสถานทีที่สวยงามมามากมายเลยล่ะสิ”
“อืม... ก็น่าจะประมาณนั้นนะครับ”
“แล้วพอจะรู้ปะว่าที่ไหนสวยงามมากที่สุด”
ผมดันหัวตัวเองกลับขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองคนถูกถามด้วยความสนใจใคร่รู้ในคำตอบ เจ้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวกลับมาเป็นคำตอบ
“ไม่รู้เหมือนกันสิครับ ความชอบของแต่ละคนมันต่างกัน คนนึงว่าที่นั่น แต่อีกคนอาจจะว่าที่นี่ นานาจิตตังน่ะครับ”
“แล้วสำหรับมึงมึงคิดว่าที่ไหนสวยงามมากที่สุดวะ”
ผมถามกลับไปอีกครั้ง แบงค์เลิกคิ้วสูงก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมครุ่นคิดอีกรอบ
“นั่นสิครับ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันแฮะ ก็ชอบหมดทุกที่ๆ ไปนะครับ มันสวยกันไปคนละแบบ”
แบงค์ตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบเท่าไหร่นัก ผมจึงได้แต่พยักหน้ากลับไปให้กับคำตอบนั้น
“ว่าแต่ไม่ลงไปเล่นน้ำทะเลหน่อยเหรอครับ”
คราวนี้แบงค์หันมาเป็นฝ่ายเอ่ยถามผมบ้าง
“โหย ตั้งแต่มาถึงนี่ก็เล่นมันทุกวันแล้วนะเว้ยมึงดูสิเนี่ย ผิวกูดำหมดแล้วว่ะ”
ผมบ่นพร้อมกับถกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นถึงสีผิวที่ตัดกันเพราะโดนแดด แบงค์กลั้วหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็แทบจะไม่ได้พักกันเลยวันแรกที่มาถึง ไอ้เต้ยก็พาพวกเราไปพายเรือคายัคกันทันทีขอบอกว่าเมื่อยแขนมาก พายเรือคายัคข้ามไปยังเกาะม้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาพะงันมากนัก ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ยอมรับว่าสนุกมากครับ ทะเลสวย น้ำใสจนมองเห็นพื้นทรายข้างล่างเลยล่ะ ใสจนชนิดที่ไอ้โอ๊ตถึงขั้นต้องลงไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่อะไรหรอกครับ พอดีไอ้โอ๊ตมันพายเรือแบบเก้ๆ กังๆ น่ะครับ ก็เลยตกทะเลไป ซึ่งก็นับว่าโชคดีอย่างหนึ่งที่แว่นของมันไม่หล่นหายลงไปในทะเล สุดท้ายความซวยก็ต้องมาตกที่ไอ้น้องไนท์คู่พายเรือ ที่ต้องรับหน้าที่พายเรือคนเดียวไปในที่สุด ฮ่าฮ่าฮ่า
วันที่สอง ไอ้เต้ยก็ยังไม่ยอมให้พวกเราได้หยุดพัก พาไปเดินป่าขึ้นเขากันที่อุทยานแห่งชาติธารเสด็จขอบอกว่า เหนื่อยยิ่งกว่าพายเรือคาพัคอีก แดดร้อนสุดๆ แถมยังต้องเดินขึ้นเขาที่เส้นทางก็โคตรจะสมบุกสมบันเอามากๆ แต่เมื่อไปถึงจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นท้องทะเลที่กว้างไกลได้จากด้านบน ก็ยอมรับว่าคุ้มค่าที่เดินขึ้นมาถึงจริงๆ
ส่วนวันที่สาม วันนี้ดีหน่อยที่เป็นวันแห่งการกิน กินแม่งทั้งวันจริงๆ ครับ กินจนแทบจะอ๊วกออกมากันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า
“จะว่าไป มึงนี่ก็ชอบถ่ายรูปจริงๆ นะ เพราะอะหยังวะ”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย แบงค์นิ่งเงียบพร้อมกับมองกล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยยิ้มเล็กๆ ออกมา
“เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลงลืมง่ายยังไงล่ะครับ ภาพถ่ายจึงเปรียบเสมือนตัวแทนความทรงจำของเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ ว่าเรารู้สึกยังไงกับมัน”
“เหมือนรูปนี้เหรอวะ”
ผมเอ่ยถามพร้อมกับชี้ไปยังรูปที่กำลังโชว์อยู่ที่หน้าจอแสดงผลของกล้อง มันเป็นรูปรองเท้าแตะของผมกับแบงค์ที่วางเคียงข้างกันอยู่บนชายหาด
“แล้วคิดว่ายังไงล่ะครับ”
แบงค์ตอบกลับมาด้วยคำถาม ผมเพ่งมองดูรูปนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
“เหมือนมึงกับกูในตอนนี้ยังไงล่ะ ที่ได้อยู่ข้างๆ กัน ถือเป็นความทรงจำที่ดีมากๆ เลยล่ะ”
แบงค์กลั้วหัวเราะในลำคอพร้อมยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ว่าแต่มึงบ่ไปถ่ายรูปต่อเหรอวะ”
“ก็อยากถ่ายต่อนะ แต่กลัวจะโดนด่าหาว่าไม่สนใจแฟนของตัวเองเอาน่ะครับ”
“เลอะเทอะกูบ่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น มึงอยากถ่ายก็ถ่ายไปเหอะ นานๆ จะได้มาที่สวยๆ แบบนี้ ก็ต้องถ่ายให้คุ้มสิ ไปเหอะ เดี๋ยวกูจะรอแถวนี้ละกัน”
ผมตอบกลับไปพร้อมกับยกน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อแก้กระหายเล็กน้อย
“อ้าว ไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”
“บ่เอาดีกว่ากูไปด้วย เดี๋ยวจะเกะกะมึงเปล่าๆ แล้วจะพาลทำให้มึงถ่ายรูปบ่สนุก บ่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวกูจะไปรวมกลุ่มกับพวกไอ้เต้ยเอาน่ะ”
“อ่า ครับ งั้นก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ มีอะไรก็โทรหาผมนะครับ”
แบงค์พูดพร้อมกับลุกขึ้นปัดทรายที่กางเกงเล็กน้อย ผมพยักหน้ายิ้มตกลงกลับไปพร้อมกับยกมือโบกลาให้อีกฝ่าย ก่อนที่จะนั่งมองทะเลอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นถือรองเท้าแตะเอาไว้ในมือพร้อมกับเดินลงไปยังริมหาดเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้มากเลยทีเดียว
ผมชอบช่วงจังหวะที่คลื่นตีกระทบฝั่งเข้ามาแล้วไหลย้อนกลับลงไป พาเอาเหล่าเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ลู่ตามลงไปด้วย มันทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ใต้ฝ่าเท้าจนอดไม่ได้ที่จะต้องอมยิ้มหัวเราะคิกคักเบาๆ เหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว
สถานที่ที่สวยงามเอ๋ย
นี่คือความจริง หรือ ความฝันกันนะ
หากแม้นมันคือความจริง ก็ขอให้ความจริงนี้อยู่กับผมตลอดไป
แต่หากแม้นมันคือความฝัน ก็ขอจงปล่อยให้ผมอยู่ในความฝันนี้ไปตลอดกาล...ด้วยเทอญ
“......”
ไงล่ะๆ สำบัดสำนวนของผมเจ๋งป่ะล่า ฮะฮ่าฮ่าฮ่าเอาล่ะ เพ้อมากเกินไปละ กลับไปหาพวกเพื่อนเหี้ยดีกว่า
แต่เมื่อผมเดินกลับมา สิ่งที่พบก็มีแต่เพียงความว่างเปล่า อืม...ว่างเปล่าในที่นี้ ก็คือพวกเพื่อนๆ ผมน่ะครับ ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลยสักคนหันไปมองในทะเล ก็ไม่เห็นไอ้น้องไนท์แล้วด้วย ผมพยายามสอดส่ายสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย แต่ก็ไม่พบเหล่าเพื่อนๆ ทั้งหลายของผม
เหี้ย เอาไงดีล่ะทีนี้ ถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเสียแล้วสิแล้วเมื่อกี้ก็ดันไปปากดีทำตัวเป็นพ่อพระผู้ใจบุญกับแบงค์ไปแล้วด้วย จะโทรไปตอนนี้มีหวังได้อับอายแน่ๆ
เอาวะ เดินเที่ยวคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ดูท้าทายน่าตื่นเต้นดีออก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น การออกผจญภัยในโลกกว้างก็ได้เริ่มต้นขึ้น วะฮะฮ่าฮ่าฮ่า
ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงท่าเรือที่หาดริ้นในซึ่งอยู่ตรงข้ามกันกับฝั่งหาดริ้นนอกโดยที่ฝั่งนี้จะเอาไว้ขนส่งสิ่งของและผู้โดยสารมาจากเกาะสมุย ส่วนใหญ่ฝั่งนี้จะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึกทั่วไป และบริการต่างๆ ทั้งโรงแรม อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ นวดแผนโบราณ ทัวร์ ธนาคาร ฯลฯ ซึ่งจะต่างจากฝั่งหาดริ้นนอกที่จะเน้นไปทางด้านความบันเทิง เช่นพวกผับบาร์ต่างๆ เสียมากกว่า
ผมเดินมาหยุดยังร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านขายของต่างๆ ที่ทำมาจากหินสวยงามหลากหลายรูปแบบและสีสัน ซึ่งผมก็เดินดูของในร้านไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งมาหยุดตรงที่เหล่าบรรดาสร้อยข้อมือต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่ ผมดูมันไปเรื่อยๆ ทีละอัน โดยไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก
แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดตาตรงสร้อยข้อมือสองเส้น ที่ดูภายนอกอาจจะธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก แต่จริงๆ แล้วมันมีความพิเศษนิดหน่อยนั่นคือเส้นหนึ่งจะสลักตัวอักษร Iเอาไว้ แล้วถัดลงมาจะเป็นหินรูปหัวใจครึ่งซีกซ้าย ในขณะที่อีกเส้นจะเป็นรูปหัวใจครึ่งซีกขวา แล้วถัดลงมาเป็นตัวสลักคำว่า You ซึ่งถ้าเอาทั้งสองเส้นมาประกบกันก็จะได้คำว่าไอเลิฟยู อืม... คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นนะ ก็มันเป็นรูปหัวใจนี่นา จะว่าไปก็ดูโรแมนติกดีแฮะ ถ้าผมกับแบงค์ใส่กันคนละอันเนี่ย ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ
จะซื้อดีมั้ยวะ แต่รู้สึกเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“......”
ในขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะซื้อมันดีหรือไม่นั้น
“......”
สายตาของผมก็พลันไปเห็นราคาที่แปะติดอยู่ตรงสร้อยเข้าพอดี ผมจึงตัดสินใจวางมันลงคืนที่เดิมทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายนัก
ไอ้สัส แพงฉิบหาย ราคานี้ปล้นกูเลยเหอะ
“พี่นันท์อยากได้เหรอครับ”
เสียงกระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูนั้นทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนที่จะหันกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น
“ไอ้สัสไนท์มึงเข้ามามะใดเนี่ย”
“ก็เห็นพี่เดินเข้ามาในร้านนี้อะครับ ผมก็เลยเดินตามเข้ามา เพราะคนอื่นบ่รู้หายไปไหนกันหมด”
ไอ้น้องไนท์ตอบกลับมาพร้อมกับหันมองออกไปนอกร้าน ก่อนที่จะหันกลับมายิ้มกว้างให้ผม
“ว่าไง พี่อยากได้สร้อยเส้นนี้เหรอครับ”
“กูก็แค่มองๆ ไปแค่นั้นล่ะ”
ผมตอบปัดกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินออกจากร้านอย่างช้าๆ เพื่อรักษาท่าทีไม่ให้ดูน่ารังเกียจ แล้วเดินเข้าเซเว่นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากนักเพื่อหาอะไรรองท้องเล็กน้อย และเมื่อผมเดินออกมาจากเซเว่นก็เห็นไอ้น้องไนท์ที่กำลังยืนเงอะๆ งะๆ อยู่หน้าร้านขายของที่ระลึก
“พี่นันท์อยู่นี่นี่เอง”
ไอ้น้องไนท์เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าโล่งใจทันที่เห็นผม
“ว่าแต่มึงจะอยู่ในชุดเปียกๆ แบบนี้ไปตลอดเรอะ บ่กลัวเหม็นกลิ่นเกลือรึไงวะ”
ผมเอ่ยถามกลับไปพลางกัดแซนวิชในมือไปด้วย
“แดดแรงๆ แบบนี้ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็แห้งครับ อีกอย่าง ผมไปล้างตัวที่ห้องน้ำแถวนี้มาแล้วด้วยน่ะ บ่เหม็นกลิ่นเกลือแน่นอน”
ไอ้น้องไนท์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูมั่นใจในคำพูดตัวเองสุดๆ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ทันทีที่เห็นท่าทีนั้น
“แล้วพี่แบงค์ไปไหนล่ะครับ ถึงได้ทิ้งให้พี่นันท์มาเดินเที่ยวคนเดียวเนี่ย”
“ทิ้งเหี้ยอะหยัง กูเป็นคนบอกเขาเองล่ะว่าให้ไปถ่ายรูปตามที่ต้องการ กูบ่อยากรบกวน เลยมาเดินเล่น กะว่าจะมารวมกลุ่มกับพวกไอ้เต้ย แต่ก็กลายเป็นว่าบ่เจอใครสักคนเลยเนี่ย”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเซ็งนิดๆ ก่อนที่จะหันไปมองรอบๆ ด้วยหวังว่าจะเจอใครสักคน แต่ก็ต้องผิดหวัง
“งั้นตอนนี้ก็ทางสะดวกสำหรับผมสินะครับ”
“หมายความว่าไงวะ”
ผมหันไปขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ไอ้น้องไนท์ก็เอาแต่ยิ้มกว้างไม่ตอบอะไรกลับมา ผมรู้สึกรำคาญเล็กน้อยกับท่าทีนั้นจึงพยายามที่จะเดินปลีกตัวออกมาเพื่อหาเพื่อนๆ ต่อ
“เฮ้ย!”
แต่ก็โดนไอ้น้องไนท์คว้าข้อมือเอาไว้ ผมหันกลับไปหมายจะเอ็ดใส่นิดหน่อย ทว่าก็ต้องชะงักทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน
“ผมให้พี่ รักษามันเอาไว้ดีๆ นะครับ”
ไอ้น้องไนท์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับพยายามที่จะยื่นสิ่งนั้นใส่เอาไว้ในมือของผม
“นี่มัน...”
ผมเอ่ยออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มมองสร้อยข้อมือซึ่งสลักคำว่า I Love You ที่ผมเพิ่งหยิบขึ้นมาดูในร้านขายของที่ระลึกเมื่อครู่นี้
“พี่นันท์เก็บไว้ให้ดีนะครับ มันคือของแทนใจจากผมให้พี่”
น้องไนท์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจัง
จบคาบเรียนที่สามสิบสาม
มุมแคปชั่นไร้สาระPower Bank ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
นันทการ และ Bour Rai ได้ถูกใจสิ่งนี้