26
I Hurt You Hurt
[1/2]
ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องพักเดี่ยวของโรงพยาบาล ใช้ชื่อปลอมที่พวกพยาบาลแอบขำ- แสงโสม โชคดีที่ไม่เป็นอะไรร้ายแรง แค่ถูกเย็บสี่เข็ม ถูกพันแขนสองข้างตั้งแต่ข้อศอกลงไป กับเท้าอีกหนึ่งข้าง จริงๆ หมอให้กลับบ้านได้ แต่เบย์ขอให้ผมค้างสักคืนเพื่อความสบายใจ
ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง เหมือนที่รู้ว่าอีกเหตุผลแฝงคือกลัวผมหนี
เบย์บอกว่าไปหาโจรอู๋ที่ห้องเพราะมันอยากเอาของ (ที่ขโมย) ไปขาย แต่แหล่งรับซื้ออยู่ไกลเลยจ้างให้เบย์มารับไปขายแทน แล้วจะแบ่งค่าเหนื่อยให้ เบย์เลยแวะไปยืมกุญแจจากเคฟ ไม่งั้นผมคงไม่หลุดพ้นจากไอ้โจรทมิฬแน่ๆ
“เราขอบคุณนายมาก แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ชวดเงิน” ผมบอกเขาที่นั่งข้างๆ
แต่เบย์ก็ยังพูดติดตลกทั้งที่หน้าเศร้า “ชวดที่ไหน นายนี่แหละสมบัติราคาแพงที่สุดของเฮียเค้า เนี่ย...โอนค่ารักษามาให้ตั้งหลายหมื่น เยอะกว่าค่าจ้างเราอีก”
“...”
“ไม่ชอบเหรอ โอเค เราจะไม่พูดแล้ว”
“เปล่า แค่สะเทือนใจ”
“โอ๋...ที่รัก”
เบย์กอดไหล่ผมด้วยแขนสองข้างแล้วเอาหัวพิงกับหัวผม เป็นการปลอบใจที่น่ารักมากๆ เหมือนหมีกอดกัน
“เราไม่อาจพูดได้ว่าเข้าใจนาย เพราะสิ่งที่นายเจอคงจะหนักกว่าเราเยอะ แต่เราจะอยู่ข้างนาย คอยช่วยนายเท่าที่จะทำได้ มีอะไรก็บอกเรานะ ไม่ต้องเกรงใจ”
คำพูดนี้ทำให้ผมเห็นว่าเบย์อ่อนโยนแค่ไหน เขาเป็นโจรแค่ในนามเท่านั้นแหละ
“นายก็รู้เราต้องการอะไร”
“...หนี นายชอบหนี”
ผมพยักหน้า “ใช่”
เบย์หน้าหมองลงสองระดับ “เราคงไม่มีสิทธิ์ห้ามนาย แต่อยากจะขอร้องได้มั้ย อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่นายช่วยรออีกนิดเถอะนะ ให้พวกเราทำภารกิจสำเร็จ แล้วนายค่อยไป ถ้านายไปตอนนี้...ทุกอย่างที่พวกเราทำมาตลอดครึ่งปีคงสูญเปล่า”
ผมไม่ได้เป็นห่วงชะตากรรมของแก๊งโจรเลยสักนิด ใครจะปิดบัญชีเสร็จไม่เสร็จไม่สน โดนจับหรือไม่โดนก็ช่าง แต่สงสารเพื่อนคนนี้มากกว่า เขาพยายามช่วยผมตั้งหลายครั้ง และครั้งนี้ก็ทำสำเร็จ ผมไม่กล้าเนรคุณเขาหรอก
“ตกลงเบย์ เราจะไม่ไป จนกว่านายจะทำสำเร็จ แค่นายคนเดียวนะ คนอื่นไม่เกี่ยว”
“จริงดิ!” ตาละห้อยเหมือนหมาหงอยกลายเป็นแวววาวทันที
“อือ ตอบแทนที่นายช่วยเรา”
“น่ารักจริงๆ คนดี” เขาเอาหัวถูกับผมอย่างดีใจ “เอางี้ ถ้าออกจากโรงบาลแล้วนายไปอยู่กับเรา เจ๊เจ้านายเราน่ะใจดี คงให้นายอยู่ฟรีถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนเรา”
“อืม”
โทรศัพท์เบย์มีสายเข้า เป็นลูกพี่ของเขา เบย์มองหน้าจอสลับกับหน้าผมเหมือนลังเลใจ แล้วก็ตัดสายทิ้ง
“เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก” ผมบอก
“ไว้คุยทีหลังก็ได้ เราไม่อยากให้นายลำบากใจ”
อะไรจะน่ารักขนาดนี้ดูเหมือนว่าตราบใดที่ยังอยู่ในแก๊ง ผมก็คงหนีโจรอู๋ไม่พ้น มันคงจะโทรถามเบย์เรื่องผมตลอดเวลา แล้วผมก็จะถูกจับตามองไม่ต่างกับตอนอยู่กับมัน ฉะนั้นผมไม่ควรหนี ผมควรเผชิญหน้ากับความจริง ต่อให้โหดร้ายแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยจะได้ไม่ค้างคาใจ
“เบย์” ผมเอ่ย “นายรู้จักเส้นสายของโจรอู๋ใช่มั้ย”
เขาคลายกอด มองหน้าผมอย่างฉงนฉงาย
“ไหนบอกสะเทือนใจไง”
“เหอะน่า พูดมาเถอะ”
เบย์ดูลังเล แต่ก็ยอมเปิดปากพูด
“เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่ได้ช่วยเราทุกคน ช่วยแค่พี่อู๋คนเดียว พี่อู๋ก็บอกเราเหมือนที่บอกนาย ว่าเป็นแค่เพื่อน”
“เพื่อนนอนน่ะสิ” ผมพูดแล้วรู้สึกร้อนขอบตาผะผ่าว
เบย์ก้มหน้าพูดด้วยใบหน้าเศร้าลงอีก “ที่จริงมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่นายจะเข้ามาด้วยซ้ำ”
“ว่าไงนะ?”
“เราไม่อยากให้นายเสียใจ”
“ยิ่งไม่รู้จะยิ่งแย่กว่า บอกมาเถอะ เรารับได้”
ที่จริงไม่ได้หรอก แต่อยากรู้ เจ็บให้มันจบๆ ไปซะวันนี้
“เราคิดว่าพี่อู๋กับเพื่อนของเขา น่าจะมีความสัมพันธ์เชิงนั้นมานาน ตั้งแต่ที่พี่อู๋เริ่มเป็นโจรแล้วล่ะ”
“.........” หัวใจของผมหล่นวูบ
นี่แปลว่าไม่ใช่ฝ่ายนั้นที่เป็นชู้...
แต่ผมต่างหากที่เป็น“จะให้เล่าต่อมั้ย” เบย์ถามอย่างระมัดระวัง คงเห็นว่าผมช็อกมาก แต่ผมก็พยักหน้าให้เขาเล่า
“เราเคยเห็นรอยแบบนั้นบนตัวพี่อู๋ประมาณสี่ครั้งมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ครั้งแรกนึกว่าลิปสติก แต่ไม่กล้าถามตรงๆ เลยถามไอ้เคฟ มันบอกพี่อู๋ไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ จะให้ชะนีที่ไหนจูบ เราเลยรู้ตอนนั้นว่าพี่อู๋เป็นเกย์ ถามต่อว่าพี่อู๋มีแฟนเหรอ แต่มันไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่บอก”
เบย์พักหายใจ เหลือบมองหน้าผมว่าโอเคไหม ผมพยักหน้าน้อยๆ เขาเลยเล่าต่อ
“จากนั้นเราก็ไม่ได้สนใจ กระทั่งคราวต่อๆ มา สังเกตว่าก่อนพี่อู๋กลับมาในสภาพนั้น มักจะโทรคุยกับใครเป็นภาษาจีน แล้วก็ออกจากรังตอนดึกๆ ทุกทีเลย”
เหมือนเมื่อคืนเป๊ะ“เราว่าพวกเขาน่าจะเกี่ยวข้องกันเพราะผลประโยชน์มากกว่านะ เพราะเท่าที่สังเกต เราไม่เคยเห็นพี่อู๋มีความสุขเลย จนกระทั่งได้พบนาย”
“......”
“เราไม่เคยเห็นเขาแคร์ใครเท่านายมาก่อน ไม่มีหรอกที่จะยิ้มให้คนไหน ไม่มีหรอกที่จะแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของแบบที่ทำกับนาย... แม้กระทั่งตอนที่ขโมยได้เงินสิบๆ ล้าน ก็ไม่เคยเห็นเขาดีใจเท่าขโมยนายได้เลย แสงเทียน”
“.......”
เกิดความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านตรงตำแหน่งหัวใจของผม บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกดีหรือแย่ บางทีมันอาจจะเป็นสองอย่างรวมกัน... คำพูดของเบย์ทำให้ผมอยากร้องไห้อีกครั้ง ผมอยากบอกให้เขาหยุด ก่อนที่เขื่อนน้ำตาผมจะทำงาน แต่ก้อนบางอย่างแล่นมาจุกคอ เบย์จึงพูดต่อไป
“นายอาจคิดว่าเราแก้ตัวแทนพี่อู๋ แต่เราไม่อยากให้นายโกรธเกลียดเขาทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง บางทีเขาอาจมีเหตุผลเบื้องหลังก็ได้ อย่างน้อยถ้าเขามาง้อ มาอธิบาย เราก็อยากให้นายฟังเขาซักนิดนึงนะ”
“ไม่ใช่ตอนนี้....เรายังไม่พร้อม”
“โอเค แต่ระหว่างนี้เราก็อยากให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้นาย ถ้ามันไม่มากพอ ค่อยตัดสินใจเลิกกับเขาก็ได้ ถ้านายอยากไปจริงๆ เราคิดว่าเขาคงเข้าใจ”
“.........”
“อีกเรื่อง เล็กน้อยแต่สำคัญ เผื่อนายยังไม่รู้” เบย์พูดพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ “เขาตั้งรูปนายเป็นวอลเปเปอร์มือถือด้วยล่ะ แถมยังมีรูปแอบถ่ายตอนเผลออีกเพียบ อย่างกับคนเห่อแฟนแน่ะ พวกเราสามคนยังเคยแซวเลย”
น่าดีใจ แต่มันสายไปแล้วล่ะ
ผมหลับตา เอนตัวลงนอน เบย์รับรู้โดยอัตโนมัติว่าผมคงเหนื่อยเกินจะรับรู้อะไรได้อีก เลยลุกจากเตียงไปปิดผ้าม่าน บีบและลูบมือผมราวกับส่งต่อพลัง
“คืนนี้เราคงลางานไม่ได้ แต่จะให้ไอ้เล็กมานอนเป็นเพื่อนนายแทนนะ”
“ไม่เป็นไร อย่าเลย”
ผมบอกอย่างเกรงใจ แล้วก็แปลกใจ นี่เขาทำงานกลางคืนหรือนี่ งานแบบไหนกันนะ
เบย์ขยิบตาน่ารักแล้วหายวับไปก่อนที่ผมจะทันทักท้วง
ด้านอเล็กซ์
ทุกวันหลังเลิกเรียน อเล็กซ์จะได้ยินเสียงเรียก ‘พี่ชายยยย’ ดังมาก่อนตัวคนพูดเสมอ เด็กชายอายุสิบสี่ลูกเศรษฐีร้านเพชรกลายเป็นแขกประจำของร้านไปแล้วเรียบร้อย
ตั้งแต่รู้ว่าอเล็กซ์ทำงานที่นี่ เด็กก็ยกสิทธิ์ที่โรงเรียนสอนพิเศษกับโรงเรียนดนตรีให้เพื่อนร่วมชั้นที่ฐานะด้อยกว่าไปเรียนแทน โดยบอกครูว่ามีที่เรียนใหม่แล้ว ดังนั้นพ่อของเด็กจึงไม่รู้ว่าแท้จริงลูกกำลังติดหนุ่มรุ่นพี่
“พี่ชาย ผมมีอะไรจะอวด วันนี้ผมลองตอบโต้พวกที่มันหาเรื่องผม พวกมันเหวอไปเลยล่ะ”
เด็กเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่อเล็กซ์ก็ไม่ได้ตื่นเต้นตามคนเล่าแม้แต่น้อย เขาจัดเรียงหนังสือโดยไม่ได้หันไปมองเด็กด้วยซ้ำ
“โกหกม้าง... อย่างนายน่ะเหรอ ยังไม่ทันได้ฝึกต่อสู้เลย จะเอาอะไรไปตอบโต้พวกมัน”
“ไม่ได้ลงไม้ลงมือหรอกฮะ ผมแค่ลองด่าพวกมันกลับเฉยๆ พวกมันอึ้งเลย หลังจากนั้น...”
“นายก็ถูกพวกมันอัด”
“...แหะๆ”
พอจัดหนังสือเรียบร้อยแล้วอเล็กซ์ก็หมุนตัวไปประจันหน้ากับเด็กชาย การคาดเดาของเขาแม่นยำจริงๆ เพราะที่มุมปากของเพชรมีรอยช้ำแดงอยู่หนึ่งจุด ทั้งที่ของเก่ายังไม่หายดี
“ได้แผลกลับบ้านทุกวัน พ่อนายไม่สงสัยบ้างรึไง”
“สงสัยสิ แต่เรื่องอะไรผมจะบอกความจริงล่ะ”
“บอกบ้างก็ได้ ให้พ่อนายไปจัดการเด็กเวรนั่น เรื่องจะได้จบ นายจะได้ไม่ต้องมา...เอ่อ ไม่ต้องถูกรังแกอีก”
อเล็กซ์เกือบจะหลุดพูดประโยคที่ทำร้ายจิตใจเด็ก เขารู้สึกว่าช่วงนี้เด็กติดเขามากไป แต่ถ้าพูดตรงๆ เด็กคงเสียใจ
“ป๊าผมสู้พ่อของพวกมันไม่ได้หรอก” เพชรว่า “ถึงจะรวย แต่ยังไงก็แพ้นักมวยอยู่ดี”
“....อ๋อ”
“พี่ชายจะสอนการต่อสู้แบบไหนให้ผมอ่ะ ขอเจ๋งๆ กว่ามวยนะ”
“อืม พี่ว่านายไม่น่าจะเหมาะกับการต่อสู้ที่ใช้พลังเยอะๆ เอาเป็นแบบที่ใช้ความคล่องตัว พลิ้วไหว อะไรแบบนั้นน่าจะดีกว่า”
“ว้าว ตื่นเต้นจัง อยากซ้อมไวๆ”
“ใจเย็นไอ้น้อง อีกนานกว่าจะพี่เลิกงาน นั่งทำการบ้านรอไป”
“ครับผม!”
มุมประจำของเพชรคือโซนหนังสือเรียน มันไม่ค่อยมีคนเข้าไปเหมือนโซนการ์ตูนหรือนิยาย เขาจึงสามารถนั่งทำการบ้านได้อย่างมีสมาธิ ทำเสร็จแล้วก็หาหนังสือที่สนใจอ่านต่อ ได้ความรู้พอๆ กับที่เรียนพิเศษ
“นายเพชร พี่ขอถามอะไรอย่างนึงสิ” อเล็กซ์ยืนพิงชั้นหนังสือ ก้มหน้ามองเพชรที่นั่งติดพื้น
“ครับ” เด็กพูดโดยไม่ละสายตาจากหนังสือเรียนในมือ
“นายไม่กลัวพี่บ้างเหรอ”
“กลัวทำไม”
“ก็พี่เป็น...” อเล็กซ์เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ
“ผมรู้ว่าพี่เป็นคนดี ไม่งั้นพี่คงไม่ช่วยผมจากอันธพาล” เด็กเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาสบตาอเล็กซ์ “ผมเข้าใจว่าคนเรามีเหตุผลในทุกการกระทำ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี แต่เราจะไปตัดสินคนอื่นไม่ได้เพราะเราไม่ใช่เขา...แล้วก็นะ ถึงพี่จะเคยเป็น แต่ตอนนี้พี่เปลี่ยนอาชีพแล้วนี่นา จะกลัวทำไม”
พูดจบก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
อเล็กซ์ถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกผิดเล็กๆ ที่ประเมินเด็กคนนี้ต่ำไป คิดว่าเป็นแค่เด็กอ่อนแอคนหนึ่ง... แต่ที่จริงเด็กนี่จิตใจดี ฉลาด แถมยังมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อย่างคาดไม่ถึงด้วย
เข็มนาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน ทั้งอเล็กซ์และเพชรก็เตรียมตัวซ้อมต่อสู้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวอร์มในร้านหนังสือ แล้วออกจากร้านไปพร้อมกัน
“เอ้า วอร์มอัพเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้ต้องเร็วกว่าเดิม ไม่งั้นก็ไม่ได้เข้าเนื้อหาสักที” อเล็กซ์สั่งเมื่อเข้ามาถึงสนามกีฬา
“โอย...ขอลดนิดนึงได้ไหมฮะ”
“อยากแข็งแกร่งต้องไม่มีข้อแม้ ไป!”
“คร้าบบบ!” เพชรออกเท้าวิ่งเมื่ออเล็กซ์ชูกำปั้นขู่ด้วยท่าทางโหด ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ดูใจดีอย่างสิ้นเชิง
เด็กชายวิ่งปะปนไปกับผู้คนหลายช่วงวัย แอบมีหยุดพักบ้าง แต่ก็ถือว่าทำเวลาได้ดีกว่าวันก่อน พอวิ่งครบสามรอบแล้วอเล็กซ์ก็ให้วิดพื้น ซิทอัพ ดึงข้อ อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดพัก เพชรกัดฟันทำจนครบแล้วก็นอนหงายหายใจพะงาบๆ บนพื้นหญ้าอย่างหมดสภาพ
“ทำเวลาได้ดีมาก คราวนี้มาเริ่มจริงๆ กันเถอะ” อเล็กซ์ฉุดเพชรขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจอาการเหนื่อยหอบของเด็ก
“ขอพักแป๊บนึงสิครับ ผมหายใจไม่ทันแล้ว”
“อย่ามาสำออย ไอ้เด็กน้อยนี่”
“ผมไม่ใช่เด็กน้อยนะ!” เพชรชักสีหน้าโมโห จ้องอเล็กซ์เขม็ง แต่มันกลับดูตลกเหมือนแมวโกรธ
“นายยังเป็นเด็กชายอยู่นี่หว่า” อเล็กซ์ยิ้มเยาะเย้ย เอื้อมมือไปลูบหัวเพชรที่อยู่แค่ระดับคางของตัวเอง สำหรับเพชรแล้วมันเป็นการหยามเรื่องความสูงที่ไม่น่าให้อภัย
“ย๊ากกกกกก!!!!” เพชรพยายามจะชกอเล็กซ์ แต่อเล็กซ์เอามือดันหัวเพชรไว้ ความยาวแขนที่ต่างกันทำให้เพชรชกได้แต่อากาศ
“ฮ่าๆๆ แน่จริงชกให้โดนสิ”
“อย่ามาล้อนะ!!” คราวนี้เพชรยกเท้าขึ้นมาถีบอากาศด้วย ยิ่งแสดงอาการว่าโกรธ มันยิ่งน่าขำสำหรับอเล็กซ์
พอเห็นว่าความพยายามไร้ผล เพชรเลยหยุดชก อเล็กซ์ก็ปล่อยมือจากหัวของเพชร (แต่ก็ยีจนมันยุ่งเหยิง) เพชรทำแก้มป่อง เบ้ปาก ทั้งน่ารักและน่าสงสารในคราวเดียว
“ผมโป้งพี่แล้ว!” เด็กชายกอดอก หันหลังให้ “ง้อด้วยล่ะ!”
ตกลงไอ้เด็กนี่มันเป็นคนยังไงกันแน่วะเนี่ย
จู่ๆ มือถือของอเล็กซ์ก็ดัง เป็นเบอร์แปลกๆ เขาตัดสินใจไม่รับจนกระทั่งมันดับไปเอง จากนั้นเข้าเว็บค้นหาเบอร์นั้น ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของโรงพยาบาล... ใครโทรมา
มือถือดังขึ้นอีก เบอร์เดิม คราวนี้อเล็กซ์ตัดสินใจกดรับ แต่ไม่พูด
[ฮัลโหลอเล็กซ์ กูเบย์]
“อ้าว มึงเองเหรอ”
[เออ กว่าจะรับนะ ไอ้คนรอบคอบ]
“กูจะไว้ใจได้ไงว่าไม่ใช่คนโทรมาล้วงข้อมูลหรือแบล็กเมล์”
[พูดอย่างกับมึงให้เบอร์ใครนอกจากพวกกูสามคน]
“เอ้า ก็มึงใช้เบอร์แปลกโทรมามั้ยล่ะ”
[มือถือกูแบตหมด]
“เออ แล้วไปทำไรโรงบาล”
[ไอ้เชี่ย เสิร์ชไวชิบหาย... กูอยากให้มึงมานอนเฝ้าแสงเทียนหน่อย กูทำงานมาไม่ได้]
“เฮ้ย เขาเป็นไร”
[เรื่องยาว เดี๋ยวมึงเดินทางแล้วโทรหากู จะเล่าให้ฟัง ตอนนี้กูไม่สะดวก]
“ให้กูไปตอนนี้เลยเหรอ”
[เออ อาคารสาม ห้อง204 หาไม่เจอโทรถามกู]
“...เคๆ”
เบย์วางสายไปแล้ว อเล็กซ์ขมวดคิ้วน้อยๆ หันกลับไปมองเพชรที่ยังคงทำหน้าบึ้ง ยืนท่าเดิม คงจะรอให้ง้อจริงๆ
“นายเพชร”
“....” เด็กชายเชิดหน้าทำมุมสี่สิบห้าองศา
“วันนี้คงซ้อมไม่ได้แล้วล่ะ พี่มีธุระด่วน”
“อ้าว” เด็กถึงกับเก๊กแตก ทำหน้าหงอย “ธุระไรอ่ะ แย่จังเลย อุตส่าห์วอร์มอัพแทบตายแล้วแท้ๆ...”
“เพื่อนพี่ป่วยเข้าโรง’บาล พี่ต้องไปดูแล นายเข้าใจนะ” อเล็กซ์ลูบหัวเด็กอีกครั้ง แต่คราวนี้เพชรไม่โกรธ ปล่อยให้ลูบอย่างนั้น
“ผมเข้าใจ” เพชรพูด แต่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
อเล็กซ์คุกเข่าลงตรงหน้า เงยหน้ามองเพชร แล้วก็พูดพร้อมกับยิ้ม
“ยังไงนายกับพี่ก็เจอกันทุกวันอยู่แล้ว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยฝึก โอเค้?”
“...ฮะ” พยักหน้าหงอยๆ
“เดี๋ยวพี่ไปส่งบ้าน” อเล็กซ์ลุกขึ้น เพชรเดินนำก้มหน้าคอตกตลอดทาง หนุ่มรุ่นพี่เห็นท่าทางหงอยของเด็กก็อดสงสารไม่ได้
หมับ
อเล็กซ์โอบคอเพชรเดินไปด้วยกัน เพชรตกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร พลันสีหน้าหงอยๆ ก็ค่อยมีรอยยิ้มผุดขึ้นแทน
“พี่อเล็กซ์ครับ”
“อะไร”
“พี่ชอบคนแบบไหนอ่ะ”
“หืม? หมายถึงสเปกงี้เหรอ”
“ฮะ...” เพชรหลบสายตา ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นพิรุธ “พี่ชอบผู้หญิงแบบไหน”
“ทำไมคิดว่าพี่ชอบผู้หญิงล่ะ”
“.......”
“พี่ไม่มีสเปกตายตัวหรอก แค่อยู่กับใครแล้วสบายใจก็พอ”
เพชรแก้มแดง ร้อนผ่าว
“ถามไปทำไม เป็นเด็กเป็นเล็ก”
“โถ่ ผมก็แค่สงสัยว่าพี่อายุปูนนี้แล้วทำไมยังไม่มีแฟนแค่นั้นเอง” เพชรทำหน้ากวนๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเขิน ถูกเขกหัวหนึ่งที
“แก่บ้าไร เพิ่งยี่สิบเอ็ดเหอะ”
“...เจ็บนะ”
ถึงจะบ่น แต่เพชรก็ยิ้มตลอดทางที่เดินไปกับอเล็กซ์
แบบนี้... เขาก็ยังมีความหวังสินะ!อีกด้านหนึ่ง
เคฟถูกพี่ชายโทรเรียกให้ไปหาที่คอนโด ฟังจากเสียงก็รู้ว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ และน่าจะกำลังเมาด้วย
ทางที่เคฟใช้ไปคอนโดของโจรอู๋ต้องผ่านร้านเพชรของพัชรพอดี ดังนั้นเขาเลยแวะที่ร้านก่อน แต่วันนี้ร้านไม่เปิด ทั้งยังมีป้ายแขวนหน้าร้านไว้ด้วยว่า ‘ปิดปรับปรุง’ เคฟไม่สงสัยว่าเพราะอะไร
ถึงร้านจะปิด แต่เขาก็ยังชะโงกหน้ามองหา เผื่อเจ้าของบ้านเห็น จะได้ชวนเข้าไปข้างใน
เอาจริงนะ... เขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับพัชรหรอก แค่รู้สึกสนุกที่ได้เล่มเกมเศรษฐี พัชรเป็นคนรวยที่น่าสงสาร หัวอ่อน ขี้อาย เชื่อคนง่าย เป้าหมายของโจรโดยแท้ เคฟกะว่าจะปั่นหัวอีกฝ่ายให้หนำใจแล้วค่อยไปหาอย่างอื่นทำเมื่อหมดสนุก ส่วนเรื่องตกถังข้าวสารนั้น เขาไม่ได้หวัง ถ้าเกิดขึ้นจริงก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้
ซ่าาาา!“เฮ้ย!!!!”
ขณะที่ยืนชะเง้อเหม่อมอง ก็มีน้ำจากเบื้องบนหล่นลงมาใส่ตัวเคฟเต็มๆ แหงนหน้าขึ้นไปมอง เห็นเจ้าของบ้านอยู่หลังกระถางต้นไม้ที่ตั้งเรียงรายตรงระเบียง ในมือถือถังน้ำ
“น้ำเย็นดีนะครับ” คนข้างล่างร้องทัก
“อ้าว เฮ้ย เคฟ! นี่ผมสาดโดนคุณเหรอ ตายแล้ว ขอโทษ!”
เจ้าของบ้านร้องด้วยความตกใจ ปล่อยถังน้ำหล่นลงพื้น เคฟได้ยินเสียงเขาวิ่งตึงตังลงบันไดมาข้างล่าง ก่อนจะปารกฏตัวที่ประตูพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่
“เข้ามาข้างในก่อน เปียกหมดแล้ว”
เคฟพยักหน้ายิ้มๆ เป็นแผนที่ไม่ต้องใช้ความพยายามดีแฮะ
“คุณมาทำอะไร” เจ้าของบ้านถามระหว่างเดินนำแขกเข้าไปด้านใน
“แค่ผ่านมา เลยอยากแวะเยี่ยมครับ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ร้านคุณปิด”
“อืม... ผลจากการโดนโจรกรรมวันนั้น ผมต้องซื้อเพชรเข้าร้านใหม่ แล้วก็เพิ่มระบบความปลอดภัยให้มากขึ้นด้วย คงต้องปิดปรับปรุงสักพัก” พัชรเล่าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณขึ้นไปอาบน้ำข้างบนก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ครับ” เคฟรับคำอย่างว่าง่าย
เข้าทางกูอีกแล้วพัชรเดินนำขึ้นไปชั้นสอง เคฟสังเกตแทบทุกตารางนิ้ว ไม่คิดจะปล้นอะไรหรอก แต่จะได้รู้จักตัวตนของพัชรมากขึ้น เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการทำความสนิทสนม
ข้อมูลบอกเขาว่าสองพ่อลูกไม่ได้นอนที่นี่ แต่อาศัยที่คฤหาสน์บนถนนพระรามเก้า (นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาแนะนำให้พี่อู๋มาปล้น) จึงไม่แปลกที่ชั้นสองของร้านจะรกประหนึ่งป่าแอมะซอน ข้าวของวางกระจัดกระจายเหมือนโยนลงตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์ ถุงเท้าใช้แล้วขดเป็นก้อนๆ นอนอยู่ใต้ชั้นหนังสือ นาฬิกาคาเทียร์ก็วางอยู่คาลังเบียร์ ไม่ได้เกรงใจราคาเป็นล้านของมันเลย เคฟเชื่อว่าถ้าหายพัชรก็คงไม่รู้
“ถอดเสื้อมาสิ เดี๋ยวผมจะเอาไปซักให้” เจ้าของบ้านเอ่ย
“ผมไม่อยากรบกวนคุณเลย”
“แต่ผมทำให้คุณเปียก”
“ไม่ใช่ความผิดคุณหรอก ผมผิดเองที่ผมไปยืนตรงนั้น”
“ตกลงคุณจะถอดรึเปล่า”
ทั้งสองมองหน้ากัน เกิดความเงียบชั่วขณะ แล้วเคฟก็จับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแตะหน้าอกของตัวเอง แววตาคมกริบมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจจนพัชรเกือบหยุดหายใจ
“อยากถอดให้ผมไหมล่ะ...”
ในเวลานี้ มีเพียงเสียงหัวใจดังตึกตักๆ เท่านั้นที่ทั้งสองคนได้ยิน
“...อยาก”
มือขาวเนียนลูบไล้แผงอกกว้าง สัมผัสผิวกายผ่านเนื้อผ้าบางเฉียบที่เปียกจนเห็นข้างใน พลันก็เกิดกระแสบางอย่างแล่นจากปลายนิ้วลามไปทั่วร่างกาย... พวกเขารู้สึกเหมือนกัน และคิดว่าสถานการณ์จากนี้ไป ไม่ควรจะอยู่ที่หน้าห้องน้ำ
เจ้าของบ้านจูงมือแขกเข้าไปในห้องนอน ผลักเขาลงที่โซฟาใกล้ประตู แล้วขึ้นคร่อมด้านบน
“ช่วยต่อให้จากครั้งที่แล้วๆ มาให้จบด้วย...เคฟ”
“อะ...อืม”
ไม่ทันตอบกลับ ริมฝีปากของคนด้านบนก็ทาบทับลงมาเสียก่อน ร่างกายของพัชรร้อนผ่าว แต่จูบของเขาร้อนยิ่งกว่า... เคฟทึ่งจนเกือบทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายถูกรุก และไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ บางทีพัชรอาจเก็บงำความเร่าร้อนไว้ในใจมาตลอดสิบปี พอเจอคนที่มีแรงดึงดูดสูงอย่างเคฟอารมณ์ก็อาจปะทุได้เป็นธรรมดา
เพชรจัดการปลดกระดุมเสื้อของร่างใหญ่อย่างรวดเร็ว ตามด้วยถอดเข็มขัด ปลดตะขอ รูดซิป ดึงขอบกางเกงลง แล้วปลุกเร้าเจ้าโลกให้ตื่นด้วยสองมือกับหนึ่งปาก เคฟใจหายวาบ
บางทีอาจเป็นเขาเอง...ที่เป็นเหยื่อของป๋า!
แต่ขึ้นชื่อว่าเสือ มีหรือที่จะยอมให้ใครอยู่เหนือกว่า เขาพลิกตัวขึ้นมาแล้วจับให้อีกฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน
“นี่รึเปล่าเป็นสาเหตุที่คุณไม่หาเมียใหม่” เคฟพูดยิ้มๆ
“...คุณทำให้ผมรู้สึก” คิมพัชรแก้มแดงปลั่งดั่งอัญมณีทับทิม มือขาวเนียนลูบไล้ท่อนแขนล่ำแน่นด้วยกล้ามเนื้อของคนข้างบน “ผมอยากเป็นของคุณ...ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน”
ชายหนุ่มเลือดจีนแอบตกใจ นี่มันเกินกว่าที่เขาคาดคิดจริงๆ สงสัยจะประมาทเสน่ห์ตัวเองมากไปหน่อย เลยอ่อยซะเต็มที่เลยตอนนั้น
“มีเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนลูกผมจะกลับ... คุณทำได้ไหม” พัชรถามด้วยริมฝีปากสั่นๆ
“เหลือเฟือครับ” เคฟยิ้ม “แต่ผมขอห้านาทีไปเซเว่นก่อนนะ”
พัชรเข้าใจ เขาลุกขึ้นนั่งแล้วควานหาของในลิ้นชักที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบออกมาส่งให้เคฟ หนุ่มจีนถึงกับหลุดขำ
“นี่แสดงว่าผมไม่ใช่คนแรก”
“...ก็มีบ้าง แต่นานแล้วล่ะ” พัชรเกาหูอย่างอายๆ
“โทษฮะ มันเล็กกว่าไซส์ผมอ่ะ”
“...”
“แต่คงไม่เป็นไร”
จากนั้นฉากต้องห้ามสุดเร่าร้อนก็ดำเนินขึ้น เกิดเสียงครวญครางผสานกันดังไปทั่วทั้งห้อง คนข้างบนบดขยี้เป็นจังหวะถี่ๆ หนักๆ แรงบีบรัดของถุงยางขนาดเล็กกว่าจริงหนึ่งไซส์ไม่ทำให้เขาเจ็บเท่าการเข้าสู่ร่างกายของคนด้านล่าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำกับผู้ชาย จึงไม่รู้ว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ แต่พอทำๆ ไปก็รู้สึกดีจนความเจ็บกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนคนข้างล่างก็ดูจะเจ็บกับขนาดของแข็งใหญ่ที่รุกล้ำเข้ามาในตัวเช่นกัน แต่ถึงจะเจ็บเพียงใดก็แอ่นกายรับแรงกระแทกด้วยความเต็มกายเต็มใจ
แรงสั่นสะเทือนจากโซฟาลุกลามไปถึงใส่ชั้นวางของที่อยู่ข้างๆ และ...
เพล้ง!ทำให้กรอบรูปที่วางอยู่บนนั้นตกลงมาแตกกระจาย และไม่ใช่เพียงแค่กรอบรูป... แต่รวมถึงที่ใส่อัฐิกระดูกด้วย
“อ๊ะ...” เคฟหันไปมองด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไร... ช่างมัน... ต่อเร็ว” พัชรร้อง
ชายหนุ่มรู้สึกหนาววูบวาบ เสียวสันหลังแปลกๆ แต่อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่ความกลัว... เขาก้มลงไปจูบไซร้ซอกคอของเจ้าของบ้านต่อ
ฉึก!!
“โอ๊ย!” เคฟสะดุ้ง “อย่าจิกแรงสิครับ..”
เล็บของพัชรฝังลงบนแผ่นหลังกว้างของเคฟ ถึงเขาจะเตือนอย่างนั้น แต่เล็บกลับฝังลงลึกมากขึ้นๆ ชายหนุ่มเจ็บจนต้องตะโกนดังๆ
“คุณพัชร ผมบอกว่า...!”
“........เจ็บเหรอ...”
“อึก.......”
“เจ็บแค่นี้ไม่เท่าเจ็บของกู!! ไอ้ชู้ชั่ว!!!!!!“!!!!!!!!!!!!!”
ใบหน้าที่ควรจะเป็นพัชรกลับเป็นใบหน้าของหญิงสาวในรูปถ่ายสีขาวดำซึ่งตกแตกด้านล่าง เธอเบิกตากว้างจนลูกตาถลนเกือบออกจากเบ้า เลือดไหลย้อยท่วมใบหน้าดั่งน้ำตา ริมฝีปากซีด ผิวกายขาวสนิทเหมือนกระดูก ตัวเย็นเฉียบเหมือนเนื้อแช่แข็ง ไม่พอยังมีกลิ่นเน่าผสมน้ำยาอาบศพฉุนจมูกออกจากตัวอีกด้วย
เล็บแหลมยาวของผีฝังลึกบนแผ่นหลังของเขา จนเคฟได้กลิ่นเลือดของเขาเอง... อาวุธของเขาเย็นวาบ แทบจะหดสั้นเหลือสองนิ้ว
“เคฟ”“!!!” ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อถูกเรียกชื่อ กะพริบตามองอีกครั้ง ข้างล่างเขาก็ยังเป็นพัชร ไม่ใช่ผีแต่อย่างใด
“เป็นอะไรไป... หยุดทำไม”
“เปล่า...”
เคฟสะบัดหน้าไล่ภาพหลอน ก่อนจะเดินเครื่องต่อจนถึงจุดหมาย เคฟถอดถอนกายแล้วดึงสิ่งที่ครอบออกเพื่อปลดปล่อยลงบนหน้าท้องขาวเนียนตามคำขอ พลันก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายถึงขีดสุด คนข้างล่างส่งสายตาเว้าวอนเหมือนต้องการอีก ทว่าทุกอย่างต้องจบลงเพียงเท่านี้
“ป๊า!! ผมกลับมาแล้วนะคร้าบ!”
เสียงของลูกชายที่ชั้นล่างทำให้พ่อและแขกผู้มาเยือนสะดุ้งเฮือก ต่างแยกย้ายกันใส่เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเร็วไว
“คุณออกไปทางหน้าต่างนะ ระวังด้วย” พัชรบอก แววตาออกอาการเสียดาย เคฟพยักหน้า ใส่เสื้อผ้าเปียกๆ ตามเดิมแล้วก้าวขึ้นขอบหน้าต่าง แต่ก่อนไปเขาเดินกลับมาจูบพัชรอีกที
“คราวหน้า...”
“…?”
“เตรียมไซส์ 56 ไว้นะครับ”
“....”
แล้วก็ออกไป
“ป๊าฮะ อยู่รึเปล่าเนี่ย!” เพชรร้องตะโกนมาตามบันได
“อยู่สิลูก” พัชรออกจากห้องไปหาลูกชาย ปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ หวังว่าแก้มแดงปลั่งดั่งลูกท้อนี้จะดูเหมือนคนออกกำลังกายมากพอ...
“เรียกหลายครั้งไม่ตอบ” ลูกชายมองพ่อแล้วขมวดคิ้ว “ป๊าทำอะไรมา ตัวเปียกเหงื่อ หน้าก็แดง”
“ปะ..ป๊าออกกำลังกายน่ะลูก”
“ฮะ? อย่างป๊าเนี่ยนะออกกำลังกาย ไม่น่าเชื่อเลย”
“ก็ทำความสะอาดบ้านไงเล่า ว่าแต่ลูกเถอะ ทำไมวันนี้กลับเร็วกว่าปกติ” พ่อกลับเป็นฝ่ายซักไซ้ลูกชายบ้าง ก่อนที่ความจะแตก
“อ๋อ...คุณครูมีธุระด่วนน่ะครับ เลยกลับเร็ว” ลูกชายตอบพลางกลอกตามองขึ้นฟ้า
“เหรอ เอ...แล้วทำไมพักนี้หนูถึงตัวเปียกเหงื่อกลับบ้านทุกวันเลยล่ะ”
“ก็.....” เพชรอ้าปากลากเสียง มองไปรอบๆ ตัวเหมือนหาข้ออ้างไม่ถูก “ผมเดินกลับไงครับ! เหงื่อเลยออกเพียบเลย”
“อ้าว ทำไมถึงเดิน นึกว่านั่งแท็กซี่หรือรถไฟฟ้าเหมือนอย่างที่พูดซะอีก”
“ป๊าก็ บ้านเราเพิ่งโดนยกเค้า กว่าป๊าจะหาเงินก็ไม่ง่าย ผมเลยอยากช่วยป๊าประหยัดเงินไงครับ” เพชรพูดด้วยท่าทางจริงจังแล้วทำเป็นบิดเมื่อยขี้เกียจ “ไปอาบน้ำก่อนนะครับ!”
พอแยกกันแล้ว ต่างฝ่ายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เกือบไป”
v
v
v