คุกเข่า
“ชิน....ปล่อยนะ..”
“ฉันเจ็บ....ปล่อยเถอะนะ!”
แขนอันแข็งแกร่งกระชากข้อมือผมเข้ามาในบ้านด้วยความโมโหอย่างสุดขีด อย่างไม่ฟังเสียงคำร้องอ้อนวอนจากผมแม้แต่น้อย เขายังดึงดันทำต่อไป โดยที่ไม่สนใจเลยว่าผมจะเจ็บปวดหรือไม่ กี่ครั้งแล้วที่ผมต้องมารองรับอารมณ์เขาแบบนี้ กี่ครั้งแล้วที่ปล่อยให้เขาทำร้ายอย่างไม่ใยดี และต้องมาฟังคำขอโทษหลังจากที่เขาใจเย็นลง กี่ครั้งแล้ว...ที่ผมต้องมาเจ็บปวดทั้งกายใจ
ผมยอมรับว่าผมรักเขา รักเขามากจนยอมให้อภัยเขาทุกอย่าง
แต่การให้อภัย ผมเพิ่งรู้ว่าทำให้เขาเคยตัว
และทุกครั้งความรุนแรงมันยิ่งเพิ่มขึ้น
จนทำให้ผมสงสัยว่าในบางทีเขาน่ะรักผมจริงรึเปล่า ทำไมถึงทำร้ายกันง่ายดายขนาดนี้ หรือเป็นเพราะว่าผมยอม ยอมให้ จึงคิดว่าจะทำอะไรกับผมก็ได้ หรือเห็นผมเป็นของตาย ที่ไม่ว่ายังไงก็จะอยู่กับเขาตลอดไป
ชินมาผมมาหยุดอยู่หน้าประตูหนึ่ง เป็นสถานที่ซึ่งคุ้นตาแต่ผมไม่กล้าเข้าใกล้ แค่เพียงเห็นทำให้ผมสะท้านไปทั้งตัว
“ชะ ชิน”
ผมเรียกชื่อเขาอย่างกลัว กลัวในสิ่งที่เขากำลังคิด น้ำเสียงสั่นไปเองโดยอัตโนมัติ
“ผมจะลงโทษเด็กไม่ดี ให้หลาบจำ ไม่ให้ไปยิ้มอ่อยคนอื่นเขาอีก!”
น้ำเสียงซึ่งเอ่ยออกมาอย่างเย็นยะเยือก แววตาเย็นชาทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ ผมยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมากุมไว้ตรงอกที่ในขณะนี้มันเต้นผิดจังหวะแรงระรัว เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจ ส่งสายตาวิงวอนขอให้เขาหยุดความคิดเหล่านั้นพลางส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างทำร้ายกันอย่างนี้เลย
ประตูที่แง้มออก สุดท้ายคำวิงวอนถูกส่งไปไม่ถึง เพียงเสี้ยววินาทีเขาเหวี่ยงตัวผมให้เข้าไปข้างใน ความรุนแรงทำให้เสียหลักไปนั่งพับเพียบกองอยู่ที่พื้น ผมแหงนหน้ามองขอร้องเขาอีกครั้ง
ปัง!
เสียงพร้อมภาพประตูซึ่งถูกปิดไปเป็นสัญญาณบอกได้อย่างดีว่าสุดท้ายก็ไม่เป็นผลเช่นเคย ผมใช้มือทั้งสองปิดตานั่งอยู่กับที่พร้อมกับหยดน้ำกำลังรินไหล ไม่กล้าจะมาสำรวจรอบกาย ผมกลัว กลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลย กลิ่นเหม็นอับที่โชยออกมาเป็นระยะ เสียงเหมือนมีบางอย่างที่กำลังวิ่งไปมา ยิ่งทำให้ความรู้สึกทุกอย่างเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ทั้งที่รู้ว่าผมกลัว
เหตุใดยังกล้าทำแบบนี้
ทั้งที่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร
ทำไมยังทำร้ายผมได้ลงคอ
ห้องเก็บที่ตอนสมัยเด็กผมเคยถูกขังไว้
ทำไม...ทำไม....ทำไม....
หรือแท้ที่จริงแล้ว...เขาไม่เคยรักผม
ผมร้องไห้ ร้องไห้มากที่สุดในชีวิตร้องไห้มากกว่าครั้งก่อนที่ผมเคยถูกขัง ครั้งนั้นมันเป็นแค่อุบัติเหตุที่พ่อและแม่ไม่ตั้งใจ แต่ครั้งนี้มันมาจากความจงใจของคนที่ผมรัก คนที่ผมรัก..รักมากที่สุด ในอกมันกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เจ็บปวดจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ที่ผมเขาให้ไปยังไม่พออีกหรือ ทั้งชีวิต ทั้งหัวใจ มันยังไม่พอใช่ไหม
บอกผมสิ..ว่าคุณต้องการอะไร
หรือต้องเห็นผมตายไปใช่ไหมมันถึงจะพอใจคุณ.
ชิน....
ไหนเคยสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายกันไง สิ่งใดที่ทำให้คุณเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
ผมเริ่มขยับตัวเข้าไปยังทางออกเพียงหนึ่งเดียว ย้ายมือขวาออกจากดวงตาก่อนจะชูขึ้นมาเหนือหัว และทุบไปอย่างเต็มแรงที่บานประตู
ปึง ปึง ปึง
“เปิดเถอะนะ...อึก....ชิน”
ผมทุบระรัวพร้อมกับเสียงสะอื้น กลอนที่ต้องเปิดจากด้านนอกเท่านั้น
ปึง ปึง ปึง
“ฉันสำนึก.. อึก..ฮือ...ผิดแล้ว...เปิดให้...ฉัน..เถอะ..นะ”
ทั้งทุบ ทั้งร้องไห้ คำพูดเริ่มไม่เป็นคำ เจ็บนะ ยิ่งเพิ่มความแรงก็ยิ่งเจ็บ ทว่ามันเจ็บที่ใจมากกว่า ผมรู้ว่าเขายังอยู่แถวนั้น ผมรู้ว่าเขาได้ยินในสิ่งที่ผมพูด แต่เขา..เลือกที่จะเมินเฉย
ปึง ปึง ปึง
“ฉัน...กลัว..เปิด..เถอะ..นะ นะ นะ ขอร้อง”
ชินคนที่เคยอ่อนโยนหายไปไหน แล้วจะไปตามเขากลับมาได้อย่างไร และผมควรจะทำยังไงต่อจากนี้เวลาที่คบกันมาแปดปี คงจะทำให้เขาเบื่อผมแล้วสินะ อาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่อยู่ด้วยกันมันทำให้เขาไม่กล้าบอกเลิก จนทำร้ายผมแทน คงต้องการผมเป็นฝ่ายบอกเลิกเสียเอง
อยู่กับเขาก็เจ็บปวด จากก็เจ็บปวด
อยู่กับความเฉยชา และ อยู่กับความเหงาที่ไม่มีเขา
จากกันไปผมหวังว่าคงจะลืมเขาได้สักวัน
กลิ่นเลือดที่คละคลุ้ง ให้ห้องที่มืดมิดแทบไม่มีแสงสว่าง ต้นกลิ่นผมไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน ทว่ามามันใกล้ตัวผมมาก มากเสียจนให้คิดว่ามันออกมาจากตัวผมเอง ปล่อยให้เป็นเรื่องของเลือดไป ประตูที่ไม่มีวี่แววว่าจะเปิดออก ต่อพยายามไปก็เปล่าประโยชน์ขอความสงสารจากคนที่ไม่ใจยังไงก็คงไร้ผล ผมถอนตัวออกจากประตูให้มือขวาควานหาผนัง ก่อนจะใช้หลังอิงเข้าไปนั่งกอดเข่าฟุบหน้าลง
ระเบิดเสียงร้องอีกครั้ง และหวังครั้งที่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะร้องไห้ ให้กับเขา ไม่เอาอีกแล้ว เลิกกันไปอาจจะเป็นผลดีกับผมและเขามากกว่าจะฝืนอยู่กันไปอย่างนี้ ไม่ใช่ตัวผมที่ฝืนแต่เป็นเขา เป็นเขา เขาคนเดียว
ในใจที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ผม.....
ทำไม...
ทั้งที่ถูกทำร้ายขนาดนี้ ทำไมความรักมันถึงยังมีเท่าเดิม
ทำไมไม่ลดลง
ทำไมผมถึงไม่เกลียดเขา ทำไม...
สติเริ่มเลือนราง คงเป็นเพราะเพลียจากการร้องไห้มากเกินไป แต่ก็ดีมันทำให้ผมข่มตาหลับง่าย หลับเพื่อหนีจากความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่
ผมและชินเป็นญาติห่าง ๆ แม่พ่อรับเขามาเลี้ยงตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ในตอนนั้นผมสิบขวบ เริ่มแรกเขาไม่ค่อยคุยกับผมเท่าไหร่ ทว่าผมอยากมีน้องชายเป็นทุนเดิมจึงพยายามเข้าหา จนเขาเปิดใจให้กับผม ติดผมแจเลยล่ะ ทุกวันมักจะมีแต่ความสนุกเข้ามา ทำให้ผมมีความสุขมาก มากจนอยากจะเป็นเด็กตลอดไป
ความรักก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเองก็ไม่รู้ตัว แต่รู้อีกทีก็รักไปทั้งใจ
ผมไม่เคยคิดว่าเราจะรู้สึกเหมือนกัน ในวันที่เขาอายุสิบห้า และผมสิบแปด
เขามาสารภาพกับผม วันนั้นเป็นอะไรที่ผมจำแม่น ว่าตอนพูดในลักษณะอย่างไร สีหน้าและน้ำเสียงเป็นแบบไหน และในขณะที่ผมตอบตกลงเขาแสดงความรู้สึกออกมายังไง
เมื่อผมเรียนจบมหา’ลัย พ่อกับแม่อยากจะไปใช้ชีวิตอยู่กับยายที่ต่างจังหวัด จนกลายเป็นว่าได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน เมื่อผมได้ทำงาน ได้ส่งเขาเรียนแทนพ่อแม่ ท่านทั้งสองที่ไม่รู้เรื่องอะไรมักจะรบเร้าให้ผมแต่งงานอยู่เสมอ บางทีอาจจะไปสร้างบาดแผลให้เขาก็ได้โดยที่ผมไม่รู้ตัว
จนตอนนี้ผมยี่สิบหก และเขายี่สิบสาม นิสัยเขาเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
ไม่อ่อนโยน ผมพูดอะไรมักจะใส่อารมณ์กับผม บานปลายจนถึงขั้นทะเลาะ
แค่ยิ้มกับใครผมยังทำไม่ได้ แต่รอยยิ้มมันเป็นหลักสำคัญในการทำงานของผม
ฉะนั้นแค่เห็นยิ้มให้ใครมักจะโกรธเป็นฟืน เป็นไฟ
ผมเหนื่อย เหนื่อยกับสภาพแบบนี้เต็มทน..จนบางครั้งก็อยากจะหนี...หนีไปให้ไกล
แอ๊ดดดดดด..!
เสียงเปิดประตูที่ผมได้ยินลาง ๆ เสียงย่ำเท้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ เพียงชั่วครู่แขนกำยำยกตัวผมให้ลอยขึ้นจากพื้น
เสียงสะอื้นของใครบางคนซึ่งไม่ใช่ของผมกำลังย่างเท้าไปที่ไหนสักแห่ง ในที่สุดเหมือนจะมาถึงจุดหมาย เขาหยุดยืนนิ่งก่อนจะวางผมลงนอนบนที่นุ่ม คงจะเป็นเตียง ผ้าห่มที่ถูกคลุมถึงอก นิ้วมือซึ่งกำลังเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้า ถึงผมจะหลับแต่หาได้หลับสนิทไม่ ยังรับรู้ถึงทุกการกระทำ เกลี่ยได้สักพักเลือนมากุมที่มือขวา กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์และอาการแสบเกือบทำให้ผมลืมตาขึ้นมา เลือดที่ผมได้กลิ่นในตอนนั้นมาจากมือขวาของผมเองเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เคยรู้ตัว
เมื่อเช็ดแผลเรียบร้อย มืออันแสนอ่อนโยนที่ผมเคยสัมผัสกำลังใช้ผ้าพันแผลหมุนวนรอบฝ่ามืออย่างเบาแรงราวกับกลัวผมจะเจ็บ ขั้นสุดท้ายแปะสก็อตเทป เหมือนกับเขาว่าคนเดิมกำลังจะกลับ แต่กลับมาในขณะที่ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะยุติความสัมพันธ์นี้
เขาลุกออกจากเตียงคล้ายกับว่าจะเอากล่องพยาบาลไปเก็บเข้าที่ ผมหรี่ตามองก่อนจะดันตัวเองลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า บ้านเราเป็นบ้านสองชั้น ห้องนอนเราอยู่ชั้นสอง ห้องเก็บของห้องครัวอยู่ชั้นล่าง
ผมรีบตรงไปตู้เสื้อผ้าทันที
หยิบกระเป๋าเดินทางออกมา
ยัดเสื้อผ้าทั้งหมดใส่เข้าไปให้เร็วที่สุด
หนี ต้องหนีให้ได้หากว่าเขามาเห็นว่าผมทำแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับผมบ้าง
เอกสารสำคัญ กระเป๋าสตางค์ เก็บ เก็บออกไปให้หมด
ผมกอดของทุกอย่างเอาไว้แน่น เดินตรงไปที่ประตูห้อง
เปิดแง้มออกมองซ้ายขวา
เยี่ยม! ทางสะดวก
ผมค่อย ๆ ย่องลงมาจากบันไดผ่านห้องโถงใหญ่ อีกนิดเดียวก็ถึงประตูบ้าน
อีกนิดเดียว
“จะไปไหน!”
เสียงตะคอกที่ดังมาจากด้านหลังจากคนที่ผมก็รู้ว่าใคร ทำให้ผมชะงักไปในทันควัน คุณเคยเจอเรื่องแบบนี้ไหมว่าอะไรที่กำลังจะสำเร็จ มักจะมีอุปสรรคเข้าแทรก ผมกำลังเจอเลยนี่แหละครับ
“อะ เอ่อ”
ผมหันกลับไปมองหน้าเขาอย่างเลิ่กลั่ก คำพูดทุกอย่างจุกอยู่ในลำคอ แถมสมองยังประมวลผลอะไรไม่ทัน จนคิดอะไรแทบคิดอะไรไม่ออก นัยน์ตาที่ดูแดงก่ำของคนที่อยู่ตรงหน้า เขาสังเกตเห็นสิ่งของที่ผมกำลังกอดเอาไว้ มือซึ่งอยู่ข้างลำตัวเริ่มกำแน่น ทำเอาผมหวั่นในใจ
บรรยากาศเริ่มเงียบสงัด
ในจังหวะนี้ผมดึงสติกลับมา และสาวเก้าอีกครั้ง
“คุณจะทิ้งผมไปอย่างนั้นเหรอ!”
เสียงที่ฟังดูสั่นสะท้าน แรงกระชากข้อมือทำให้ของหล่นกระจัดกระจาย แรงดึงทำให้ผมหันไปประจันหน้ากับเขา และแรงบีบเหมือนกับกำลังคาดคั้นเริ่มทำให้ผมเจ็บ
“เจ็บนะ!”
ผมพยายามสะบัดมือออกอย่างเต็มแรงเท่าที่จะทำได้ แต่เหมือนยิ่งผมขัดขืนยิ่งบีบแน่นขึ้น
“จะทิ้งผมไปใช่ไหม!!!”
เสียงตวาดชักทำให้ผมกลัว
เพี๊ยะ!
จนเผลอทำอะไรไม่ทำยั้งคิด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมตบหน้าเขา ความตกใจทำให้ชินคลายมือออกอัตโนมัติ ผมหันกลับไปพลางหย่อยกายลงเก็บข้าวของทั้งหมด ผมไม่คิดจะให้คำตอบเขา เพราะดูจากการกระทำก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว
ตุบ! เสียงทิ้งดิ่งร่างกายที่ดังตามมาติด ๆ
สองอ้อมแขนที่กำลังโอบรัดผมจากด้านหลัง
“อึก...อย่าไปนะ”
เขากล่าวพร้อมกับกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับซบหน้าลงตรงบ่าจนผมแทบจะขยับตัวไม่ได้
“อย่าไป”
เขาย้ำคำพูดนั้นอีกครั้ง
“ชีวิตผมมีแค่คุณคนเดียว..อย่าไปเลยนะ”
ผมเลือกที่จะฟังอยู่นิ่ง ๆโดยที่ไม่ตอบสนองอันใด แต่ขืนไว้นานกว่านี้ไม่ได้ ผมต้องใจอ่อนแน่ เขาไม่เคยพูดอ้อนวอนผมขนาดนี้ มีแต่ผมนั่นแหละ คนที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตนอย่างชินทำแค่นี้ก็ถือว่าวิเศษมาก แต่ว่าจะไปมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ
ไม่มี มันไม่มีอีกแล้ว
เสียงสะอึกสะอื้นที่ผมได้ยิน ผมแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง สัมผัสอันเปียกแฉะตรงบ่าแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองสัมผัส
แต่ว่า...
“พอเถอะ....พอเถอะชิน..อย่าให้ฉันเกลียดนายไปมากกว่านี้เลย”
ผมเอ่ยเสียงนิ่ง อ้อมแขนซึ่งกำลังสั่นไหว
“ปล่อยเถอะ”
ผมไม่เปิดโอกาสได้พูดอะไร ทุกอย่างเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ คลายแขนตัวเองออกและชักกลับไป ผมเริ่มตั้งต้นเก็บของอีกครั้ง โดยไม่สนใจว่าจะชินจะรู้สึกเป็นตายร้ายดีหรือเขาจะทำอะไรผมไม่สนใจทั้งนั้น ก้มหน้าก้มตาเก็บต่อไป
จะว่าผมใจร้ายเหรอ ?
ใครกันแน่ที่ใจร้ายก่อน ทั้งที่ในห้องนั้นผมร้องแทบตาย เขายังไม่ใยดีผมเลย จะมาใจดีตอนที่ผมหมดแรงทำแผลให้ใช่ว่าผมจะซึ้งน้ำใจนะ แบบนี้มันจะไปต่างอะไรกับการตบหัวแล้วลูบหลังล่ะ
บางทีผมก็ทนมามากเกินพอแล้ว
ผมเบื่อที่จะต้องมารองรับอารมณ์ของเขาแล้ว
ตอนนี้ผมโกรธ ผมโกรธจนไม่สามารถมองเขาในแง่ดีได้
เก็บของเสร็จผมยันตัวลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปถึงไหนก็ต้องตกใจก็สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ของในมือเกือบจะหล่นลงไปอีกครั้ง
ผมไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้เห็น
ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้
ร่างตรงหน้าซึ่งกำลังนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า ตัวที่โน้มก้มลงไปยังมือที่กำลังพนมแนบอยู่กับพื้น
“อย่าไปเลยนะ”
“อย่าไป อึก...ฮือ”
“อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว..”
“อึก...”
“ชีวิตผมไม่อาจรักใครได้แล้วนอกจากคุณ”
ผมยืนแน่นิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก น้ำตาที่ผมตั้งใจจะร้องเป็นครั้งสุดท้ายกลับไหลออกมาอย่างง่ายดายโดยที่ไม่อาจห้ามได้ ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้มันเล็ดลอด พยายามไม่ให้เขารู้ว่าผมกำลังร้องไห้อยู่ คำพูดการกระทำศักดิ์ศรีที่เขาโยนทิ้งไปเพราะอยากจะรั้งผมไว้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าชินจะทำถึงขนาดนี้
แต่ไม่ได้ผมจะใจอ่อนไม่ได้
ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าหากผมเลือกที่จะให้อภัยแล้วทุกอย่างจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม และเรื่องในครั้งมันหนักเกินกว่าที่ผมจะให้อภัยได้
ผมย่ำเท้าเดินก้าวออกไปและผ่านตัวเขาช้าช้า เขายังคงพูดคำว่าอย่าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยเรื่อย เสียงร้องที่ฟังดูทรมานราวกับฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย ทำเอาผมเจ็บปวดตามไปด้วย
มือที่กำลังกำลูกบิด ผมหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง เขายังค้างอยู่ในท่านั้นอย่างไม่ขยับไปไหน ทำให้ผมสงสัยว่าเขาจะนั่งแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่
ทว่ายังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม
ผมเปิดประตูและสาวก้าวเดินออกไป
ปัง...!
เสียงปิดประตูที่ได้ยินยิ่งทำให้เขาปล่อยโฮออกมาอย่างไม่ต้องอายอะไร ไม่จำเป็นต้องวางท่าเท่ห์อะไรอีก ร้องออกมาอย่างหมดเปลือกดั่งคนที่กำลังเสียใจอย่างสุดเบื้องลึกของจิตใจหมดแล้ว หมดไปแล้วทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นชีวิต หัวใจ และแม้แต่ลมหายใจของเขาเอง ทิ้งแม้กระทั่งศักดิ์ศรีก็ยังรั้งเอาไว้ไม่ได้ ไม่จะทำยังไง ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ไม่รู้ว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องเดินไปทางไหน อนาคตซึ่งมองไปช่างดูมืดมัวเมื่อไม่มีคนที่รัก รักมากที่สุด รักยิ่งกว่าชีวิตตัวเองอยู่ข้างกาย
ชินยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น เสียงที่ยิ่งฟังก็ยิ่งเสียดแทงหัวใจเหมือนหนามยอกเข้ามาในอกหนึ่งสายตาที่มองอยู่ตลอดจนอดลนทนไม่ได้ วางของทั้งหมดลง ก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปทรุดตัวนั่ง อ้าแขนโอบโน้มตัวแนบหน้าลงบนแผ่นหลัง
“หยุดร้องเถอะนะ ไม่ต้องร้องแล้วฉันอยู่ตรงนี้แล้ว....ชิน...”
เพราะคำว่า ‘รัก’ คำเดียวที่ทำให้ผมให้อภัยเขาได้เสมอ
เพราะว่ารักคำเดียวจริง ๆ
-END-