กอร์ดอนหน้าเหวอกว่าใครเพื่อน เขาเพิ่งถูกลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกพาดไหล่แล้วพาวิ่งตัดสนามอย่างกับแบกถุงทะเล ลอร์ดหนุ่มอีกสองคนวิ่งไล่ตามมา
“อย่าให้จอห์นนี่ได้แต้มนะ เราต้องสกัดไว้”
“ได้เลย!”
กอร์ดอนคิดว่าเขาต้องตายแน่ๆ เขาเห็นลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์และลอร์ดจอร์จ เฟลตันวิ่งไล่ตามมาติดๆ จากนั้นทั้งคู่ก็กระโดดเข้าใส่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่แบกเขาอยู่
สี่หนุ่มกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นหญ้านุ่มๆ ก่อนจะหยุดสนิทในที่สุด ลอร์ดจอร์จ เฟลตันตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาเป็นคนแรก “โอ๊ย นี่มันบ้าจริงๆ” เขาพูด แล้วหัวเราะชอบใจ ขณะที่ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ยันตัวนั่ง “ให้ตาย นี่มันบ้าที่สุดเลย”
กอร์ดอนตะเกียกตะกายลุกขึ้นเป็นคนที่สาม เพราะนอนทับตัวลอร์ดโทรว์บริดจ์อยู่ เขานึกโล่งใจที่ไม่บาดเจ็บอะไร คงเพราะลอร์ดโทรว์บริดจ์กอดเขาเอาไว้ตอนล้มกลิ้งกันลงมา
“ท่านลอร์ด...”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่ลุกขึ้นตามมารีบยกมือห้าม “เรียกผมว่าจอห์น ขอร้องล่ะ”
“ใช่” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันรีบขยับมาสมทบ “อย่าเรียกพวกเราว่าลอร์ดเด็ดขาด นายไม่เห็นสภาพพวกเราหรือไง”
กอร์ดอนมองลอร์ดหนุ่มทั้งสามคนที่เสื้อผ้าเลอะเทอะไปด้วยเศษหญ้า แล้วหัวเราะออกมา “ครับ”
“ห้ามครับด้วย” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เอ็ด กอร์ดอนพยักหน้า “ขอโทษครับผมลืม”
ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ทำหน้าปลงตก ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะออกมา “วางทรัยได้ห้าคะแนน”
“ไม่ นายทำผิดกติกา” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันแย้งทันที ก่อนที่ทั้งหมดจะต้องรีบลุก เพราะถูกคนดูแลสวนวิ่งเข้ามาเอ็ด
สี่หนุ่มคว้าหมวกที่หล่นอยู่ไม่ห่างไปนักมาปัดเศษหญ้าออก แล้วเดินหลบออกมา ระหว่างนั้นลอร์ดจอร์จ เฟลตันถามอย่างนึกขึ้นได้ “แมกซ์ ตะกร้าล่ะ?”
ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ทำหน้าตกใจ จากนั้นก็วิ่งย้อนกลับไปทางที่เข้ามา สักพักเขาก็หิ้วตะกร้าใบหนึ่งกลับมา “เกือบลืม ฉันวางเอาไว้ตอนวิ่งไล่จอห์นนี่มา”
“ท่าทางหิ้วตะกร้าของนายนี่ดูไม่จืดเลย” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันตั้งข้อสังเกต ก่อนจะพูดต่อ “ด้านในเป็นไงบ้างเนี่ย เละแล้วยังก็ไม่รู้”
“เราไปหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วค่อยเปิดดูดีกว่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า เพราะเห็นคนดูแลสวนยังวนเวียนคอยจับตาดูพวกเขาอยู่
ทั้งหมดเดินผ่านสนามหญ้ามายังริมแม่น้ำ หลังจากเลือกที่เหมาะๆ ได้แล้ว ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ก็หยิบผ้าออกมาจากตะกร้า เพื่อปูรองนั่ง กอร์ดอนเห็นท่าปูผ้าของเขาแล้วทนไม่ไหว จึงขอมาปูเอง
“เราคิดถูกแล้วที่พากอร์ดอนมาด้วย” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันว่า ก่อนจะนั่งลงเป็นคนแรก และคว้าตะกร้าใส่แซนวิชมาเปิดดู
“ฉันว่าเราคงต้องไปลงเอยที่ภัตตาคาร” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดอย่างปลงๆ เพราะนึกไม่ออกว่าแซนวิชจะรอดชีวิตมาได้อย่างไร หลังจากที่พวกเขาทั้งวิ่งทั้งล้มมาตลอดทาง
“ว้าว! มันยังดีอยู่เลย” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันร้อง และหยิบแซนวิชที่ห่อกระดาษไว้อย่างเรียบร้อยขึ้นมา ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้า “ฉันบอกแล้วว่ามาทิลดาเป็นแม่บ้านที่ดีที่สุด”
แซนวิชทั้งสี่ชิ้นรอดชีวิตมาได้อย่างเหลือเชื่อเพราะการห่ออย่างดีของแม่บ้านประจำคฤหาสน์ของมาร์ควิสแห่งวิสตัน ประกอบกับลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์มีสติพอที่จะวางตะกร้าก่อนจะกระโดดตะครุบลอร์ดโทรว์บริดจ์ มันเลยไม่ได้กลิ้งขลุกๆ ตามทั้งสี่หนุ่มลงมา แถมกระติกน้ำชาและแก้วที่ใส่มาด้วยยังทำจากเหล็กทั้งหมด ลอร์ดจอร์จ เฟลตันนึกดีใจที่เขาปากหนักไม่บอกแม่บ้านว่าอยากได้เป็นถ้วยกระเบื้องเคลือบ
กอร์ดอนอาสาเป็นคนรินน้ำชาแจก ขณะที่ลอร์ดจอร์จ เฟลตันเป็นคนส่งแซนวิช ทั้งสี่หนุ่มนั่งกินมื้อค่ำเป็นแซนวิชและน้ำชา ท่ามกลางแสงแดดยามเย็นที่สาดส่องแม่น้ำเทมส์ซึ่งไหลพาดผ่านกรุงลอนดอน
“บอกตรงๆ นะ ฉันไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะได้มานั่งกินแซนวิชแบบนี้” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดขึ้นหลังจากกินแซนวิชจนหมด “ตอนแรกฉันคิดว่ามันต้องดูไม่จืดแน่ที่พวกเราจะหิ้วตะกร้ามาปิกนิกที่นี่”
ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์หัวเราะเสียงดังแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนัก “แต่มันก็โอเคใช่มั้ยล่ะ? อย่างน้อยๆ ก็ยังดูดีกว่าตอนที่พวกเราล้มกลิ้งกันลงมาล่ะ”
ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหัวเราะชอบใจ เขาหันมาหากอร์ดอน “นายรู้สึกยังไงที่ได้มานั่งกินแซนวิชกับพวกเรา? คิดว่ามันบ้ามั้ย?”
กอร์ดอนหัวเราะแหะๆ “หลังจากคุณปู่เสียไป ก็มีพวกคุณนี่แหละครับที่ชวนผมออกมาปิกนิก มันไม่บ้าหรอก แต่... เอ่อ... ผมก็รู้สึกแปลกใจมากเหมือนกันที่พวกคุณเป็นคนชวน”
“ที่จริงแล้วจอห์นนี่เป็นคนเสนอแผนน่ะ อุ้บ!” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันรีบหยุดพูดเพราะถูกลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ใช้แขนกระทุ้งสีข้าง ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบพูดกลบเกลื่อนทันที “จอร์จเมาน้ำชาน่ะ”
กอร์ดอนมองหน้าเขา จากนั้นก็ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเป็นคนเล่าเรื่องแซนวิชกับคุณปู่ให้คุณฟังเอง”
“....” ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดงขึ้นมา เขาเอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยน้ำชา กอร์ดอนเลยพลอยหน้าแดงตามไปด้วย สุดท้ายต่างคนต่างก็เอาแต่มองถ้วยชาในมือตัวเองโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก ลอร์ดจอร์จ เฟลตันเห็นสถานการณ์เป็นดังนั้น เลยสะกิดลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ สองหนุ่มค่อยๆ ผุดลุกขึ้น แล้วปลีกตัวไปเดินเล่นอีกด้านหนึ่ง
“เอ่อ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จนใจว่าไม่รู้จะเริ่มยังไงดี “ชาอร่อยนะ”
“ครับ” กอร์ดอนได้แต่พยักหน้า ไม่รู้ว่าควรจะตอบฝ่ายนั้นยังไงเหมือนกัน ลอร์ดโทรว์บริดจ์ละสายตาจากถ้วยน้ำชาขึ้นมองคนตรงหน้า จากนั้นก็ถอนหายใจ
“คุณสวยมาก”
กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายนั้น แล้วถอนใจบ้าง “ผมไม่ใช่ผู้หญิง”
“ผมรู้” ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบพูดต่อ “คือผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น... คุณเป็นผู้ชาย ยังไงคุณก็ไม่สวยเหมือนผู้หญิงหรอก”
“.....”
ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ผิดแต่คราวนี้ต่างคนต่างจ้องหน้ากัน สุดท้ายเป็นลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่ถอนหายใจออกมาก่อน “ผมขอโทษที่ไม่ได้ไปหาคุณวันเสาร์”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” กอร์ดอนตอบ ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “ที่จริงผมก็โล่งใจเหมือนกันที่คุณไม่มา”
“ทำไมล่ะ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามด้วยความสงสัยระคนตกใจ อีกฝ่ายมองเขาแล้วตอบ “ถ้าคุณมาวันนั้น ผมคงไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง”
“.....”
“คืนนั้นผมเมา...”
“อืม...” ลอร์ดหนุ่มส่งเสียงในคอ รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ แต่จนแล้วจนรอดกอร์ดอนก็ไม่ยอมพูดอะไรเสียที เขาจึงต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง
“โชคดีนะที่คุณเมา ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้”
ช่างตัดเสื้อหน้าแดงจนถึงใบหู เขารีบก้มหน้ามองถ้วยชาของตัวเอง “ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร” เอิร์ลหนุ่มระบายยิ้ม แล้วขยับตัวเข้ามานั่งใกล้อีก “แค่นั้นผมก็ดีใจแล้ว แค่ได้รู้ว่าคุณกับผมคิดตรงกัน”
กอร์ดอนเงยหน้ามองเขา “แต่ผมไม่ใช่ผู้หญิง ท่านลอร์ด...”
ริมฝีปากของเขาถูกลอร์ดโทรว์บริดจ์ใช้นิ้วมือแตะเอาไว้ “เรียกผมว่าจอห์น ผมบอกคุณไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
“....”
“เรียกสิ”
หลังจากอึกอักอยู่พัก กอร์ดอนก็ยอมเรียกฝ่ายนั้นในที่สุด “จอห์น”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์คลี่ยิ้มกว้าง “ดี กอร์ดอน ผมไม่เคยคิดว่าคุณเหมือนผู้หญิงเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ผมรู้แต่แรกว่าคุณเป็นผู้ชาย”
“แต่...”
“คุณเองก็รู้แต่แรกแล้วเหมือนกันว่าผมเป็นผู้ชาย”
ช่างตัดเสื้อหนุ่มพยักหน้า ในที่สุดก็พูดตอบบ้าง “แต่มันผิด... นี่มันผิด ผมกับคุณ ระหว่างเรามันไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
“ผมก็ไม่ได้หวังให้มันเป็นไปได้แต่แรกอยู่แล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนใจแล้วคลี่ยิ้มอีก “ผมแค่อยากให้พวกเรามีช่วงเวลาดีๆ ให้กันเท่าที่จะทำได้”
“แต่มันผิดต่อพระเจ้า!” กอร์ดอนโพล่งออกมา ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบใช้มือแตะปากเขาเอาไว้
“คุณอ่านไบเบิลบ้างมั้ย?”
อีกฝ่ายพยักหน้า “ผมอ่านมาตลอดทั้งสัปดาห์เลย”
“ดี” เอิร์ลหนุ่มว่า “มีบทไหนบ้างที่พระเจ้าบอกว่าไม่ให้เรารัก”
“.....” กอร์ดอนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แต่ไม่วายแย้งต่อ “แต่พระเจ้าห้ามผู้ชายกับผู้ชาย...”
“ไม่ให้มีอะไรกัน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เสริมให้ “ผมเองก็ไปเปิดอ่านมาแล้ว พระเจ้าไม่ได้ห้ามพวกเรารักกัน แค่ห้ามไม่ให้เรามีความสัมพันธ์ทางกายกันเฉยๆ”
“แต่...”
“คุณนี่ ‘แต่’ เยอะจริงๆ” ลอร์ดหนุ่มว่า “หรือคุณอยากมีอะไรกับผม”
“ไม่มีทาง!” กอร์ดอนรีบปฏิเสธ “ผมแค่...”
“แค่ไม่อยากให้ผมจูบคนอื่น ใช่มั้ย?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะพูดต่อเองเสร็จ “ไม่เป็นไร ยังไงตั้งแต่เจอคุณผมก็ไม่คิดจะจูบคนอื่นอยู่แล้ว” เขาชูมือขึ้นข้างหนึ่ง
“กอร์ดอน ผมขอสาบานด้วยเกียรติทั้งหมดที่มี ในเมื่อพระเจ้าห้ามไม่ให้เราแตะต้องกันมากกว่าที่ควรจะเป็น ผมก็จะไม่แตะต้องใครเหมือนกัน”
“อย่า!” กอร์ดอนรีบฉวยมือฝ่ายนั้นลง “คุณสาบานแบบนั้นไม่ได้ อนาคตคุณยังมีอีกไกล คุณยังต้องแต่งงาน ยังต้องสืบทอดตำแหน่ง”
“แล้วคุณล่ะ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามกลับ กอร์ดอนนิ่งไปอึดใจ “ผม...”
“เอ่อ... ฉันไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะพวกนายหรอกนะ” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดแทรกขึ้น ไม่รู้ว่าเขาเดินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ “แต่สวนใกล้จะปิดแล้ว พวกนายไปคุยกันต่อที่ร้านกอร์ดอนดีกว่า”
------------------------------------------
ในที่สุดทั้งสี่คนก็กลับมาที่ร้านของกอร์ดอนอีกครั้ง ลอร์ดจอร์จ เฟลตันกับลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ขอตัวกลับก่อน สุดท้ายจึงเหลือแค่เขาและลอร์ดโทรว์บริดจ์สองคน
“ให้ผมเข้าไปคุยต่อได้มั้ย?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามหลังจากรถม้าแล่นออกไปแล้ว กอร์ดอนพยักหน้า ก่อนจะเดินนำเขาเข้าไปในร้าน
“เดวิด ฉันมีธุระสำคัญต้องคุยกับท่านเอิร์ล เธอช่วยดูแลข้างล่างให้หน่อยนะ ถ้ามีใครมาติดต่อให้บอกว่าฉันกำลังคุยธุระอยู่”
“ครับ”
หลังสั่งความเด็กรับใช้เสร็จ กอร์ดอนก็เดินนำลอร์ดโทรว์บริดจ์ขึ้นไปชั้นบน
“ที่จริงพวกเราคุยกันที่ห้องลองเสื้อก็ได้” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดหลังจากที่กอร์ดอนปิดประตูห้องแล้ว อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “ไม่ได้หรอกครับ ห้องนั้นไม่ได้เก็บเสียง”
เขาตอบ แล้วลากเก้าอี้มาให้ลอร์ดหนุ่มนั่ง ส่วนตัวเองเดินไปนั่งบนเตียงนอน จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งคู่อีกครั้ง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ลากเก้าอี้ไปใกล้กับเตียงอีก แล้วจึงพูดขึ้น “ตอบคำถามผมได้หรือยัง?”
“ครับ?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้างง เอิร์ลหนุ่มจึงต้องรื้อฟื้นสิ่งที่พูดไปแล้ว “คุณห้ามไม่ให้ผมสาบาน บอกว่าผมต้องแต่งงาน แล้วคุณล่ะ? วางแผนแต่งงานกับแอนนาเบลหรือ?”
กอร์ดอนมองหน้าเขาอยู่อึดใจ จากนั้นก็สั่นศีรษะ “ไม่ครับ... ผมไม่อยากทำร้ายเธอ...”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะผมไม่ได้รักเธอ...” กอร์ดอนตอบ ใบหูกลายเป็นสีแดงเรื่อ ลอร์ดโทรว์บริดจ์สูดหายใจลึก เขาขยับมาจับมือของช่างตัดเสื้อเอาไว้ “แต่รักฉันใช่มั้ย?”
กอร์ดอนนิ่งไปอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า จากนั้นน้ำตาก็ร่วงผล็อยลงมา “ผมรักคุณ จอห์น... ผมรู้สึกกับคุณมากกว่าที่รู้สึกกับแอนนาเบล ผม...”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบขยับตัวลงนั่งข้างฝ่ายนั้น แล้วรวบตัวเขาเข้ามากอด “ผมก็รักคุณ กอร์ดอน ผมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น รักคุณทั้งที่รู้ว่าคุณเป็นผู้ชาย”
หยดน้ำใสๆ พร่างพรูออกมาจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้น กอร์ดอนพูดเสียงพร่า “ทำไม... ทำไมถึงต้องเป็นคุณกับผม ทำไมถึงต้องเป็นพวกเรา...”
เขาซบหน้าลงกับไหล่ของลอร์ดโทรว์บริดจ์ เอิร์ลหนุ่มกอดเขาแน่นกว่าเดิม น้ำใสๆ ไหลซึมออกมาจากหัวตา ทั้งคู่ต่างปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ามันจะช่วยชะล้างตะกอนบาปที่เกิดขึ้นในจิตใจออกไปได้บ้าง
“พระเจ้าคงกำลังทดสอบเราอยู่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดขึ้น เขาจูบลงบนศีรษะของกอร์ดอนที่ซบอยู่ “ความรักของพวกเรามันถึงได้ยากลำบากขนาดนี้”
กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นมองเขา และเห็นว่ามีน้ำตาไหลอาบแก้มของอีกฝ่าย น้ำตาเขายิ่งพร่างพรูมากกว่าเดิม ลอร์ดโทรว์บริดจ์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้ฝ่ายนั้น
“ผมจะไม่เปลี่ยนคำสาบาน” เขาพูด และจูบหน้าผากกอร์ดอนอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้น “ด้วยเกียรติทั้งหมดที่ผมมี ขอให้พระเจ้าเป็นพยาน ไม่ว่าพระองค์จะทรงทดสอบอะไรอยู่ ผมจะไม่มีวันนอกใจคุณ นอกจากคุณแล้วผมจะไม่รักใคร ไม่จูบหรือมีอะไรกับใครเด็ดขาด ผม จอห์น แมตธิว เฮนรี่ คาเวดิช สาบานว่าจะรักกอร์ดอน โอเดนเบิร์กไปจนวันตาย”
กอร์ดอนเอาแต่สั่นศีรษะ “ไม่... อย่า จอห์น... คุณสาบานแบบนี้ไม่ได้”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือลูบผมสีทองของอีกฝ่ายอย่างเบามือ “ทำไมล่ะ? ไม่มีใครห้ามหัวใจผมได้หรอก ถึงตาคุณแล้ว จะยอมสาบานรักร่วมกับผมรึเปล่า?”
กอร์ดอนร้องไห้ออกมาอย่างห้ามความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่ เขาสะอื้นจนตัวโยน ก่อนจะยกมือขึ้น “ผม... กอร์ดอน วิลเลี่ยม โอเดินเบิร์ก สาบานจะรักจอห์น คาเวดิชไปจนวันตาย... จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“ขอพระเจ้าอวยพรให้เราด้วย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด ก่อนจะรั้งตัวกอร์ดอนมากอดเอาไว้แน่น
-------------------------------------
(จบตอน)
** ในที่สุดเรื่องก็เดินทางมาถึงตอน8ล่ะค่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ดิฉันมีโอกาสได้เขียนฉากสารภาพรักที่สองคนเอาแต่เขินกันไปเขินกันมา (ปกติต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหน้าด้านหน้าทน ฮ่าๆๆ) แต่ว่าฉากสารภาพรักเคล้าน้ำตานี่ถือเป็นครั้งที่สอง (เอิ๊ก)
.
มาถึงบทนี้แล้วทุกท่านก็อย่าเพิ่งหนีดิฉันไปไหนนะคะ ดิฉันเคี่ยวมาม่าอร่อยมาก ขอโปรดอยู่กินกันจนอิ่มก่อน ค่อยไปยังไม่สาย ฮ่าๆ น้ำเพิ่งเดือดอย่าเพิ่งปายยยย
.
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ