ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๖
อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก
เดือนกลับเข้าบ้านมาอีกทีตอนเย็น ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าภายในบ้านเงียบสนิท แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ร่างสูงเดินถือถุงกับข้าวที่ซื้อมาจากตลาดสดไปส่งให้ป้าชื่นและแม่ครัวคนอื่นๆในครัวให้เตรียมไว้ทำมื้อเย็น “วันนี้คุณแม่มะลิอยากกินแกงส้มน่ะครับ จริงๆคุณแม่อยากกลับมาทำเองแต่ท่านติดงานก็เลยฝากให้พวกป้าชื่นทำให้ รบกวนด้วยนะครับ”
“โอ๊ย รบกวนอะไรกันล่ะคะ ดีใจเสียอีกที่คุณมะลิเธอให้พวกป้าทำงานได้เสียที อยู่กันมาหลายปี จะเกรงใจอะไรกันเยอะแยะไม่รู้ รับเงินเดือนก็รับของเขา ยังจะมาให้พวกป้านั่งๆนอนๆเฉยๆได้ยังไงกันคะ” ป้าชื่น แม่บ้านอาวุโสพูดพลางส่งถุงของสดต่อไปให้เด็กในครัว “แล้วนี่คุณหนูทานอะไรมาหรือยังคะ ให้ป้าทำอะไรง่ายๆให้ทานรองท้องก่อนไหม”
เดือนส่ายศีรษะ “ไม่ล่ะครับผมรอกินข้าวเย็นเลยดีกว่า แล้วนี่ดินอยู่ไหนครับ”
“คุณหนูเล็กเธออยู่บนห้องค่ะ ป้าขึ้นไปดูเห็นเธอหลับอยู่ คงจะปวดแผลเธอเลยทานยาแล้วก็หลับไป”
เดือนพยักหน้ารับ กล่าวขอบคุณป้าชื่นอีกครั้งแล้วเดินออกจากครัวมุ่งไปชั้นบน ตอนแรกที่มาอยู่ที่นี่เขายอมรับว่าไม่ชินกับสรรพนามเรียกแบบนี้อย่างมาก มันดูเหมือนเขาเป็นลูกชายเจ้าพ่อมาเฟียอะไรแบบนั้น แต่เมื่อความพยายามในการบอกป้าชื่นให้เปลี่ยนสรรพนามเรียกไม่เป็นผล เดือนจึงปล่อยเลยตามเลย หลังๆก็ชักชินแล้วเหมือนกัน
เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศลอดออกมาจากช่องใต้ประตูห้องนอนของคุณหนูคนเล็กของบ้าน ชายหนุ่มค่อยๆเปิดประตู พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุดด้วยไม่อยากรบกวนคนในห้อง
ภายในมืดสนิท เขามองเห็นร่างเล็กขดตัวอยู่กลางกองผ้าห่ม เดือนเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เกลี่ยเส้นผมสีดำออกจากใบหน้าดินอย่างแผ่วเบา คนตัวเล็กที่ถูกกวนขมวดคิ้ว ครางอืออาก่อนจะปรือตาขึ้นเพื่อมองคนรบกวนการนอน แต่เพราะดวงตาไม่ชินกับความมืดและเพราะถอดแว่นไปแล้วทำให้ดินต้องหยีตา ระลึกอยู่ครู่หนึ่งว่าใครมันมานั่งจ้องเขาอยู่ข้างเตียงแบบนี้
“พี่เดือน?”
“ครับ ทำให้ตื่นเหรอ ขอโทษนะ”
คนตัวเล็กส่ายหน้า ก่อนจะลูบหน้าลูบตาแบบมึนๆ “ดินหลับไปเหรอเนี่ย นี่กี่โมงแล้ว”
“หกโมงเย็น”
“หา!? นี่ดินนอนไปตั้งสี่ชั่วโมงเลยเหรอ แย่แล้วแฮะ”
หนุ่มลูกครึ่งกดตัวน้องชายต่างสายเลือดที่ทำท่าจะพุ่งลงจากเตียงให้นอนต่อ ดุแบบไม่ค่อยจริงจังนัก “พักบ้างก็ได้ ดินทำงานหนักไปแล้วนะ อีกอย่างร่างกายกำลังฟื้นตัว เราควรจะพักผ่อนเยอะๆน่ะถูกแล้ว”
“แต่สี่ชั่วโมงเลยนะ มิน่าล่ะ ตื่นมามันถึงได้เบลอมึนไปหมด” ว่าพลางสะบัดศีรษะอีกทีให้หายมึน ดินช้อนตามองคนตัวโตที่ตอนนี้ขยับขึ้นมานั่งพิงพนักเตียงอยู่ข้างๆเขาแล้ว เดือนดึงคนที่นอนอยู่ข้างๆให้ลงมาซบอกตัวเอง ซึ่งดินก็ทำตามแต่โดยดี จมูกโด่งกดลงข้างขมับ ละเรื่อยมาจนถึงแก้มนิ่มๆ ปิดท้ายที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ดินหัวเราะคิกคักเมื่อเดือนลากไปจมูกไปบริเวณลำคอ
“ฮื้อ ไม่เอา...ตรงนั้น..คิก...พี่เดือน ฮ่าๆ จั๊กจี้ ฮ่าๆๆ แกล้งคนป่วยบาปนะครับ” ดินรีบปรามเมื่อคนตัวโตชักลามปาม ฉวยโอกาสตอนเขาเผลอเพ่งสมาธิไปที่คอ ใช้ฝ่ามือใหญ่ซุกซนลูบไล้ไปที่หน้าท้อง เรื่อยไปจนถึงเอวคอด ริมฝีปากบางได้รูปพรมจูบจากคอละเรื่อยลงมาจนคนเป็นน้องต้องใช้มือข้างที่ขยับได้พยายามดันหัวอีกฝ่ายให้เงยขึ้น
“พี่เดือน ไม่เอา”
“ก็ไม่ได้เอาไง จูบเฉยๆ”
ปัดโธ่!
“พี่เดือน อย่า...มัน... อ๊ะ” ดินสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนเป็นพี่เลิกเสื้อยืดของเขาขึ้น เปิดร่นไปจนถึงแผ่นอก เปิดเผยหน้าท้องขาวเนียนที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยสมส่วน เพราะเจ้าตัวออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ “เฮ้ เดี๋ยว นี่มันไม่...” ร่างบางออกปากห้ามแต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องแอ่นกายขึ้นมาเมื่อฟันคมขบเม้มลงบนหน้าท้องขาวเนียนอย่างหมั่นเขี้ยว เดือนเลียริมฝีปาก มองร่องรอยสีแดงที่เห็นเด่นชัดบนผิวขาวราวหิมะของอีกฝ่าย
“น่ากินเป็นบ้า”
“หยุดเลยนะครับ!”
แต่เดือนก็คือเดือน เรื่องหูทวนลมนี่นายรวีกานต์ขอยึดตำแหน่งแชมป์ คนตัวโตเลียริมฝีปาก ตอนแรกเขาแค่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายเฉยๆ ใครใช้น่าฟัดน่าหยิกไปทั้งตัวกันล่ะ แต่พอแกล้งแล้ว...
มันก็อยากแกล้งหนักกว่าเดิม
ถ้าไอ้รันอยู่ตรงนี้มันต้องด่าเขาว่าโรคจิตติดน้องแหง
เดือนพรมจูบทั่วหน้าท้องขาวของดิน ฝ่ามือสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดของอีกฝ่าย พยายามไม่ให้ลูบไปโดนรอยช้ำทั้งหลาย
“พี่เดือน...อ๊า”
เดือนชะงัก เงยหน้ามองน้องชายที่นอนหอบหายใจอยู่ใต้ร่าง ใบหน้าหวานไร้แว่นตามาเกะกะขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีน้ำใสปริ่มขอบตา มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองแน่น ดินซุกหน้าลงกับหมอน ทำเหมือนอยากจะมุดลงไปซ่อนตัวในฟูกนอน
เดือนเลียริมฝีปากแห้งผาก กระแอมเบาๆก่อนจะพูดว่า “อ่า ขอโทษที เมื่อกี้มือมันเผลอไปโดน”
ดินหันมาถลึงตาใส่ เดือนยิ้มแหยให้น้องชาย แบบ...มือเผลอไปสะกิดโดนยอดอกนิดเดียวเอง อย่าทำหน้าเหมือนจะลุกมาฆ่าพี่เดือนแบบนั้นสิครับที่รัก
“ลงไปเลยไอ้พี่เดือน” คนผมดำพูดเสียงเขียว แต่เดือนยังคงคร่อมทับอีกฝ่ายไม่ขยับ ก็แหม...ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พอเห็นหน้าดินเมื่อกี้แล้ว มันก็เลย ‘รู้สึก’ ขึ้นมา
ดินเองก็คงจะรู้สึกได้เพราะชายหนุ่มเบิกตาโต จิกหัวเขาให้เงยหน้าขึ้นมา พูดลอดไรฟัน “ลงไปเดี๋ยวนี้เลย!”
“โธ่ น้องดิน...”
“ไปห้องน้ำเลยไป!”
เดือนครางหงิง มองหน้าคน(ที่ตัวเอง)รักแบบขอความเห็นใจสุดขีด “ช่วยหน่อยนะ” คนตัวเล็กหน้าแดงก่ำ ทั้งเขินทั้งอายจนแทบจะลุกขึ้นมากระโดดถีบยอดหน้าอีกคนแก้เขิน
“หื่นมาจากไหนครับ! แล้วนี่อะไร ปลุกดินมาทำเรื่องอย่างว่าหรือไง ดินป่วยอยู่นะ”
“งั้นถ้าหายแล้วก็ทำได้?”
“กับผีน่ะสิ!”
เดือนหัวเราะเบาๆ ยอมลงจากตัวอีกฝ่าย ดึงน้องชายให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆพร้อมกับจัดเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง ดินพยายามเบือนหน้าหนีตอนที่อีกฝ่ายจะดึงเขาไปจูบแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เผยอริมฝีปากให้อีกฝ่ายสอดปลายลิ้นเข้ามาแต่โดยดี มือเรียวสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีอ่อน ขณะที่เดือนเอียงหน้าเมื่อมอบจูบที่ลึกซึ้งกว่าเดิมให้ ตอนที่ถอนริมฝีปากออกมา ชายหนุ่มก็จูบซับน้ำสีใสที่มุมปากเด็กน้อยของเขาให้ ขณะที่ดินบ่นอุบ
“ไปหื่นมาจากไหน เป็นอะไรหรือเปล่าครับวันนี้” ถ้าดินไม่ได้ตาฝาดไปเขาเห็นเดือนชะงัก แววความสับสนบางอย่างพาดผ่านดวงตาแต่ดินก็คิดว่าเขาอาจจะตาฝาดเพราะเพียงอีกฝ่ายกระพริบตา แววเหล่านั้นก็หายไป
“หื่นอะไร เรื่องปกติ”
“ไม่ใช่แล้วมั้ง”
“ทำไมล่ะ...หรือว่าไม่อยากให้ทำแบบนั้นเหรอ” คนตัวโตทำหน้าหงอย ดินกลอกตา นับหนึ่งถึงสิบ บอกตัวเองว่าอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด หาได้รู้ไม่ว่าในใจไอ้พี่ชายหมาป่าคนนี้กำลังวางแผนการณ์หลอกกินลูกแกะเสียดิบดี
เอาน่า ก็ยอมรับล่ะว่ามันก็ต้องมีจินตนาการอะไรนอกเหนือจากที่เป็นอยู่กันไปบ้าง...
ชายหนุ่มผู้ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จยังคงแสดงต่อไปด้วยการลุกขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เดินตุบตับไปทางห้องน้ำส่งผลให้ดินที่รู้อยู่เต็มอกว่าหลุมกับดักของแท้แต่ก็ยังยินยอมพร้อมใจจะเดินลงไป คนตัวเล็กออกแรงรั้งเสื้อเดือนเอาไว้ และเมื่อชายหนุ่มหันมาดินก็เขย่งเท้ากดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเร็วๆหนึ่งที หน้าตาแดงก่ำไปหมดขณะที่เอ่ยประโยคที่แทบจะใช้ความกล้าของเขาไปจนหมด
“ก็...ไม่ใช่ว่า...ไม่อยาก...แต่ว่า...”
“ต้องให้แม่มาขอก่อนนะ”พูดจบก็พยายามกระชากลากถูเขาไปที่ห้องน้ำด้วยแรงที่มากที่สุดเท่าที่คนเจ็บจะทำได้ จนเดือนต้องรีบประคองเพราะอีกฝ่ายไม่ได้หยิบไม้ค้ำมา พอเดินมาถึงหน้าห้องน้ำดินก็ผลักอีกฝ่ายเข้าไปทันที “จัดการตัวเองให้เรียบร้อยล่ะ” พูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินกลับแต่ยังไม่ทันไปไหนเดือนก็คว้าแขนดินเอาไว้ คนตัวสูงยิ้มเจ้าเล่ห์
“น้องดินครับ ดูเหมือนว่าเราก็ต้องจัดการอะไรๆให้เรียบร้อยเหมือนกันนะ” ลากสายตาลงต่ำให้คนตัวเล็กหน้าแดงหนักกว่าเดิม ดินดึงแขนตัวเองออก “ผมจัดการเองได้น่า”
แต่เดือนก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายปฏิเสธ แรงคนเจ็บหรือจะสู้แรงคนธรรมดา แขนแข็งแรงเกี่ยวเอวของคนผมดำเข้ามาใกล้ เดือนปิดประตูห้องน้ำ ตัดโอกาสหนีอีกฝ่ายเสียสิ้น กระซิบข้างหูดินแล้วจูบปากปิดกั้นคำประท้วง
“ก็ช่วยกัน จะได้เสร็จเร็วๆไง”
อาหารเย็นวันนี้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายเช่นทุกวัน หลังจากที่ทุกคนอิ่มกันแล้วคุณมะลิก็เปิดประเด็นขึ้นมา “ดินจ๊ะ เดี๋ยวอีกสองอาทิตย์ตลาดของเราจะจัดงานเลี้ยงนะจ๊ะ ลูกจะช่วยดูเรื่องการจัดงานให้ได้ไหม” ดินวางส้องแล้วพยักหน้า “ได้สิครับ”
เดือนเอียงคอ งานเลี้ยงเหรอ?
“งานเลี้ยงเหรอ” ชายหนุ่มหันไปหาดิน “ใช่ครับ อันที่จริงก็เหมือนงานประจำปีของตลาดนั่นแหละครับ มีประกวดนางงามตลาดสด มีการแสดง งานเลี้ยงกลางคืน วันนั้นพวกพ่อค้าแม่ค้าจะเอาของกินมาแจกครับ ก็สนุกดี ถือเป็นการให้ทุกคนพักผ่อนหลังทำงานหนักมาทั้งปีน่ะครับ”
“ว้าว สวัสดิการดีจังนะครับคุณแม่” เดือนแซวแม่ตัวเอง หญิงสาวร่างเล็กขยิบตาให้ลูกชาย “ใช่ไหมล่ะ ดูแลดีขนาดนี้ใครๆเลยอยากมาเช่าแผงขายของในตลาดเราไง แม่ว่าเดี๋ยวประมาณปลายปีจะต้องขยายตลาดแล้วล่ะ ถ้าเพิ่มพวกโซนเสื้อผ้าลงไปอีกหน่อยน่าจะดี” พูดไปก่อนจะทำหน้านึกขึ้นได้ คุณมะลิทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือตัวเองเบาๆ “จริงสิ เดือนก็ไปช่วยดินดูแลการเตรียมงานด้วยนะลูก เรื่องการแสดงไม่น่าเป็นห่วงหรอก คนในตลาดก็ช่วยๆกันนั่นแหละ มีเรื่องประกาศการประกวดนางงามตลาดสดด้วย เดือนช่วยน้องทีได้ไหมลูก ดินยังเจ็บ แม่กลัวน้องป่วยหนักกว่าเดิม”
“ไม่มีปัญหาครับ”
“อ้อ ไอ้เสือ ห้องนอนแกจะทำเป็นห้องไว้สำหรับรับรองแขกเลยไหม เผื่อมีเพื่อนมาค้างด้วย” จู่ๆพ่อของเขาก็พูดขึ้นทำให้เดือนถึงกับงุนงง
“เอ๋ ทำไมล่ะครับ?”
คุณอัลเฟรดเลิกคิ้ว ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ดินถึงกับสำลักน้ำออกมา
“ก็แกดูเหมือนจะไม่อยากกลับไปนอนห้องนั้นแล้วนี่ แอร์ก็ซ่อมเสร็จมาเป็นอาทิตย์แล้วแต่ก็ยังนอนห้องน้องอยู่ไม่ใช่เหรอ”
เดือนยิ้มขำ แถไปเนียนๆ “ก็เตียงห้องน้องดินมันนอนสบายดีนี่ครับ”
“เอาเถอะ แอร์ซ่อมเสร็จแล้วก็กลับมานอนห้องตัวเอง ตัวใหญ่อย่างกับตึกยังจะนอนเบียดน้องอีก ดึกๆมีกลิ้งไปทับแผลน้องบ้างไหมเนี่ย”
ได้ยินดังนั้นเดือนก็เบ้ปาก โอดครวญเบาๆ หันไปส่งสายตาของความช่วยเหลือให้ดินที่แกล้งทำเป็นจ้องมองจานข้าวตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย คงจะเขินล่ะมั้ง ใบหูขาวๆนั่นมันขึ้นสีแดงซะขนาดนั้น
“ทีดินยังไม่มีปัญหาเลย”
“เรอะ น้องไม่กล้าบอกแกหรือเปล่า ดินเขาเป็นเด็กดี ไม่กล้าพูดทำร้ายน้ำใจแกหรอก”
มุมปากคนตัวสูงกระตุกกึก อยากจะย้อนเวลาไปอัดเสียงทุกคำด่าตั้งแต่แรกเจอกันมาให้คุณพ่อฟังจริงๆ ไม่ทำร้ายน้ำใจกัน...น้อยไปน่ะสิ ถ้าหัวใจไอ้เดือนมันมีแผลเป็นจริงๆได้ ป่านนี้มันคงพรุนเพราะคำพูดน้องดินไปแล้ว ชายหนุ่มแสร้งถอนใจแล้วพูดออกมา
“โห เข้าข้างกันจังเลยนะครับคุณพ่อ ใช่สิ ดินเขาลูกชายคนโปรดคุณพ่อนี่นา”
ฝ่ามือบางหันมาฟาดเพี๊ยะทำให้เดือนหันไปมอง ใบหน้าหวานไม่ได้ฉายแววล้อเล่นอย่างที่ควรจะเป็น ดินบุ้ยปากไปทางคุณพ่อคุณแม่ คุณอัลเฟรดมีสีหน้าสงบ ไม่ได้มีรอยยิ้มหยอกล้อเช่นเดิม ส่วนคุณแม่มะลิเองก็ก้มหน้าลง สักพักร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าครอบครัวก็ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป แต่ก่อนไปคนเป็นพ่อก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้าแกอยากจะนอนห้องน้องก็นอนไปเถอะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” สักพักคุณแม่ก็เดินมาโน้มตัวจูบแก้มเขากับดินเบาๆแล้วเร่งฝีเท้าตามคุณพ่อไป เหลือเพียงเดือนกับดินที่นั่งอยู่ ชายหนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วอย่างสงสัย
เมื่อกี้...เขาพูดอะไรขัดหูคุณพ่อหรือเปล่านะ
“นี่ดิน ถ้าคุณพ่อไม่พอใจจริงๆ พี่ย้ายกลับไปนอนห้องก็ได้นะ คุณพ่อโกรธจริงจังหรือเปล่าน่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาของอดีตนายแบบปรากฏความว้าวุ่นใจ “เดี๋ยวพี่จะไปขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” มือเรียวรั้งแขนเขาไว้ “ขึ้นห้องกันเถอะ เดี๋ยวดินจะเล่าให้ฟัง” ได้ยินดังนั้นเดือนจึงยินยอมประคองร่างเล็กมาจนถึงในห้อง เมื่อนั่งลงที่เตียงเรียบร้อยแล้วเดือนก็ยิงคำถามทันที
“เมื่อกี้คุณพ่อโกรธอะไรพี่เหรอ”
“เปล่าครับ คุณพ่อไม่โกรธหรอก”
“แต่...”
“พี่เดือนคงไปพูดจี้ใจดำท่านเข้าล่ะมั้งครับ”
เดือนชะงัก เขาไปพูดจี้ใจดำพ่อตอนไหนกัน เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเขาดินจึงเฉลยให้ “ก็ตอนที่พี่เดือนบอกว่าผมเป็นลูกคนโปรดไง” ดวงตาคมปรากฏแววของความตกใจ รีบละล่ำละลักพูดออกมา “แต่พี่ไม่ได้จะพูดจาแขวะหรืออะไรนะ เมื่อกี้พี่ล้อเล่น”
“ผมรู้ครับ คุณแม่คุณพ่อท่านก็ทราบแต่...ท่านคงกังวล” ดินถอนหายใจเบาๆ “ท่านกังวลมาตลอดเลยนะครับว่าการที่พี่กลับมาอยู่นี่จะทำให้พี่อึดอัดใจ...ยิ่งมีดินอยู่...พวกท่านกลัวว่าพี่จะรู้สึกว่าไม่มีความสำคัญ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ พวกท่านรักพี่มากนะครับ”
เดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้มาตลอดว่าส่วนลึกในใจตัวเองมีความรู้สึกนั้น ความรู้สึกอิจฉาดิน ตอนแรกที่รู้ว่าพ่อกับแม่รับเด็กมาอยู่ด้วย เด็กชายเดือนก็ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธเด็กคนนั้น ตอนที่จะกลับมาค้างบ้านก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับเด็กคนนี้ต้องไม่ดีแน่ๆ
แต่ว่านะ...ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กชายเดือนที่ใจแคบแบบนั้นอีกแล้ว
ความรู้สึกน้อยใจพวกนั้น เขาเลิกใส่ใจมันมานานแล้ว...เดือนแค่รู้สึกว่าช่างมันเถอะ เขาไม่อยากจะมานึกน้อยใจให้เหนื่อย ทุกวันนี้แค่ปัญหาที่มีก็ปวดหัวจะแย่แล้ว
สำหรับเขา กำแพงระหว่างพ่อกับแม่มันสูง...สูงมากจนมันอาจจะต้องใช้เวลาในการทลายกำแพงลง
กำแพงของกาลเวลาสิบกว่าปีที่หายไประหว่างพวกเขา
“พี่เดือน...หรือว่า...พี่อึดอัดใจเพราะคิดว่าพ่อกับแม่รักดินมากกว่า” เดือนหลุดออกจากภวังค์เมื่อน้องดินถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สีหน้ากับน้ำเสียงน้องดูแย่จริงๆจนเดือนต้องคว้าร่างนั้นมากอดปลอบ
“ไม่ใช่หรอก เด็กขี้แย พี่จะอึดอัดใจเพราะเราได้ยังไง ก็บอกอยู่เนี่ยว่ารักดิน จะไปอึดอัดทำไม”
“แต่...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขายิ้มให้อีกฝ่าย บีบกระชับมือบอบบางให้คนเบื้องหน้าเข้าใจ “พี่ไม่เป็นไรจริงๆ”
ความรู้สึกของการได้สัมผัสคำว่าครอบครัวที่แท้จริง สำหรับเดือน...มันหล่นหายไปนานเกินกว่าจะตามหาเจอแล้ว ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้ คือการประกอบมันขึ้นมาใหม่ ทีละเล็ก ทีละน้อย...
วันต่อมาดินก็เริ่มการประกาศงานเลี้ยงของตลาด ชายหนุ่มทำโปสเตอร์มาแค่แผ่นเดียวแล้วเอาไปติดที่บอร์ดประกาศข่าว พอเดือนถามว่าทำไมไม่เดินแจกดินก็ตอบกลับมาเรียบๆว่า “เดินแจกไปเดี๋ยวมันก็โดนทิ้งไว้ที่พื้น เป็นขยะ สิ้นเปลือง ลำบากแม่บ้าน แผ่นเดียวที่แหละครับแล้วก็ติดประกาศเอา แล้วเดี๋ยวไปให้คุณป้าที่ทำหน้าที่เป็นคนโฆษกประจำตลาดประกาศอีกที” ว่าพลางติดกระดาษเข้าที่บอร์ดก่อนจะเดินนำเดือนไปที่อาคารหลังเล็กข้างตลาด
ภายในอาคารเปิดหน้าต่างกว้าง มีจอขนาดใหญ่ที่รับภาพมาจากกล้องวงจรปิดในตลาด หญิงร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติก เมื่อเห็นดินกับเดือนเดินเข้ามาก็รีบกระวีกระวาดมาต้อนรับ ดินยิ้มให้หล่อนแล้วบอกข่าวสารการประกาศ หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งหญิงร่างอ้วนคนนั้นมองมาที่เดือนแล้วยิ้มหวาน พูดขึ้นว่า
“แหม น้องเดือนเป็นดาราสินะคะเนี่ย หน้าตาแบบนี้หล่อแซ่บจริงๆค่ะ” เดือนยิ้มเจื่อน “อันที่จริงผมเป็นนายแบบครับ”
“น้องเดือนร้องเพลงได้หรือเปล่าคะ”
“ก็พอได้ครับ”
เขาเคยเรียนร้องเพลงมาบ้าง ก็ไม่ได้ร้องแย่แต่ก็ไม่ถึงกับเพราะมาก เอาเป็นว่าหากต้องขึ้นแสดงก็ไม่ร้องผิดคีย์จนทำตัวเองขายหน้า
เมื่อได้ยินว่าเขาร้องเพลงได้ ดวงตาเล็กยิบหยีของคุณผู้หญิงร่างท้วมก็เป็นประกายขึ้นมา “งั้นในวันงานน้องเดือนก็ขึ้นไปร้องเพลงโชว์สักสองสามเพลงสิคะ”
“เออ ผมว่าไม่ดีมั้งครับ”
“โอ๊ย ต้องดีสิคะ พี่ว่าใครๆก็อยากเห็นแหละค่ะ หนุ่มหล่อขนาดนี้ขึ้นไปร้องเพลง เอาจริงๆต่อให้น้องร้องเพี้ยนจนนกตกลงมาตายแต่พี่ว่าใครๆก็ต้องกล้ำกลืนแล้วบอกว่าน้องร้องเพราะชัวร์ค่ะ ไม่ต้องอายหรอก”
คือ...กูไม่ได้อายครับ แล้วไอ้ร้องเพี้ยนจนนกตกมาตายคืออะไรครับ ด่ากูเรอะ
เดือนคิ้วกระตุก หญิงร่างอ้วนหันไปหาดิน “น้องดินลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณแม่สิคะ”
“ผมว่าเรื่องนี้ต้องแล้วแต่พี่เดือนแหละครับ ตามความสมัครใจพี่เขาเลย”
“แหม น้องดินไม่อยากฟังพี่ชายร้องเพลงเหรอคะ”
คนตัวเล็กยิ้มมุมปาก ดวงตาสีน้ำตาลหลังเลนส์ใสเบนมามองเดือนด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า ‘อ๋อ ไอ้หมอนี่หรือครับ ผมกลัวมันร้องเพี้ยนน่ะ ไม่อยากฟังหรอก’ โดนดูถูกเหยียดหยามขนาดนี้พี่เดือนจะทนได้อย่างไร!
“ก็อยากนะครับแต่ผมกลัวพี่เขาร้องเพี้ยน...ไม่ฟังดีกว่า” นั่นไง ผิดจากที่คิดไหม เดือนจ้องหน้าคนตัวเล็กอย่างคาดโทษก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้สาวใหญ่ใจละลาย “โดนเขาท้ามาขนาดนี้...คงอยู่เฉยไม่ได้แล้วล่ะครับ”
ตอนที่พวกเขาออกมาจาห้องทำงานนั้นดินก็หยิกหมับเข้าที่เอวเดือนหนึ่งทีจนคนตัวโตร้องจ๊าก “ทำอะไรเนี่ยน้องดิน!”
“หมั่นไส้”
“หมั่นไส้พี่เรื่องอะไร คนโดนน่ะน่าจะเป็นเรานะ มาว่าพี่ร้องเพลงเพี้ยนแบบนี้”
“หรือไม่จริงล่ะ”
นี่ใครครับ นายรวีกานต์ผู้มาดแมนแอนด์แคนดูเอฟวรี่ติงจิงเกอร์เบลล์นะครับ กับอีแค่เรื่องร้องเพลง ขี้เล็บมดมากๆ
“หึ เดี๋ยววันงานก็รู้ครับ แล้วนี่เป็นอะไร มาหน้าบึ้งใส่พี่ทำไม”
ดินร้องชิ ปัดปลายนิ้วที่ยื่นมาจิ้มๆตรงหน้าผากเขาอย่างหงุดหงิด หันมาทำตาเขียวให้เดือน
“แล้วพี่ล่ะจะยิ้มอะไรนักหนา ยิ้มเรี่ยราดไปเรื่อยอ่ะ”
เดือนชะงัก เดี๋ยวนะ ยิ้มเรี่ยราดไปเรื่อย? คืออะไร เขาไปยิ้มให้ใครตอนไหน ที่ยิ้มหวานแบบสุดขีดก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้หลุดกวนตีนคุณป้าเมื่อครู่ หรือว่าดินหึงที่เขายิ้มให้ป้านั่น
“ดิน นั่นคนแก่นะครับ น้องจะหึงทำไม”
“ดินเปล่าหึง”
“ก็ที่หงุดหงิดแง่งๆใส่พี่นี่คือไม่ได้หึง?”
“ชิ ก็หมั่นไส้ ชอบยิ้มไปทั่ว”
เดือนยกแขนพาดคออีกคน เมื่อสำรวจรอบๆแล้วว่าบริเวณนี้ไม่มีใครคนตัวโตโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูดิน
“ยิ้มแบบนั้นน่ะเขาเรียกประจบ แต่ถ้ายิ้มแบบจริงใจน่ะ พี่ยิ้มให้น้องคนเดียวแหละครับ”
ครับ อ่อยหนุ่มแบบพี่เดือนสไตล์ ตอดนิดตอดหน่อย หยอดคำหวานวันละน้อย...หวานเลยครับ
เอิ๊กกก
ครืด ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋าทำให้ดินผละออกจากเดือน พอมองเบอร์โทรเข้าก็พบว่าเป็นเบอร์ไม่คุ้น ตอนแรกเขาลังเลที่จะรับสาย เพราะหากเป็นกัณฐพันธ์โทรมาคงยุ่ง แต่เดือนที่เห็นดินจดจ้องอยู่นานก็เอ่ยถาม “ไม่รับเหรอครับ” ดินที่สะดุ้งสุดตัวจำใจกดรับสายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
[ยอมรับสายเสียทีนะ]
น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นหูที่ฟังแล้วแสดงความโล่งอกออกมาทำให้ดินได้แต่เม้มริมฝีปาก กัณฐพันธ์จริงๆด้วย ชายหนุ่มขยับปากบอกเดือนว่าสายนี้เป็นธุระด่วนโทรมา ขอแยกไปคุยอีกทาง เดือนพยักหน้า ดินจึงเดินเลี่ยงไปยืนห่างจนแน่ใจว่าอยู่ในระยะที่เดือนไม่ได้ยินแล้แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังใช้มือป้องปากกระซิบลงไป
“โทรมาทำไม”
[เดี๋ยวนี้จะโทรหาต้องมีเหตุผลด้วยเหรอครับ]
“สำหรับคนที่ทิ้งผมไปไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะรู้เบอร์โทรศัพท์ผมด้วยซ้ำครับ”
[แต่ก็ยังรับนี่]
“ไม่รู้ว่าเป็นคุณ”
ปลายสายนิ่งไปอึดใจก่อนจะกรอกเสียงตั้งคำถามกลับมา
[ดินอยู่ไหน อยู่ตลาดหรือเปล่า]
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
[งั้นเหรอ งั้นพี่เข้าไปรอที่บ้านนะ]
คนตัวเล็กกำโทรศัพท์แน่น ควบคุมตัวเองไม่ให้ตะคอกออกไป ให้คนคนนั้นเข้าไปบ้านไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเกิดดินกลับบ้านพร้อมเดือน กัณฐ์ก็ต้องเจอกับเดือนแน่ๆ สิ่งสุดท้ายที่ตอนนี้ดินอยากให้เกิดคือให้กัณฐ์พันธ์กับรวีกานต์มาเจอกัน
“ไม่ต้อง! โอเค ผมอยู่ตลาด คุณอยู่ที่ไหนครับ”
[อยู่ตลอดเหรอ ได้ รอที่ตรงลานจอดรถด้านหลังนะ พี่กำลังไป]
พูดจบก็ตัดสายไป ไม่รอฟังคำทัดทานจากเขา ให้ตายเถอะ ทำไมผู้ชายแต่ละคนรอบเขาถึงได้เป็นพวกไม่ชอบฟังความคิดคนอื่นนักนะ
ดินกัดริมฝีปาก กดดันจนเหงื่อกาฬหลั่งเต็มฝ่ามือ เขารีบสงบติแล้วปั้นยิ้มส่งให้เดือน “พี่เดือน พอดีผมนัดเพื่อนไว้ที่ลานจอดรถด้านหลังน่ะ มันจะเอาของมาให้ พี่ไปรอที่รถก่อนเลยได้หรือเปล่า”
“หืม ของเหรอ ให้พี่ไปช่วยถือไหม”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวดินไป แป็ปเดียว พี่เดือนไปรอในรถเถอะ”
“เอางั้นก็ได้”
หลังจากมองส่งเดือนไปดินก็ใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองไปที่ลายจอดรถด้านหลังตลาด บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบและปลอดคนทำเอาชายหนุ่มใจหายวูบ นึกเสียใจที่ไม่พาเดือนมาด้วย แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่อยากให้ไอ้พี่กัณฐ์มันพูดอะไรแย่ๆออกมา ในตอนนี้ดินไม่อยากให้เดือนมองเขาไม่ดี
ไม่นานนักรถบีเอ็มคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด ร่างสูงโปร่งก้าวลงจากรถ เดินตรงมาทางเขา ดินขบริมฝีปากแน่น อีกฝ่ายยังเหมือนเดิม ตัวสูง ดูมั่นใจในตัวเองทุกย่างก้าว ดินเคยหลงรักผู้ชายคนนี้จนสุดหัวใจ
‘น้องดินรู้ไหม กัณฐพันธ์แปลว่าอะไร’
‘ไม่รู้ครับ’
‘มันแปลว่าเชือกผูกรอบคอช้าง’ คนตัวสูงยิ้มจนตาหยี เอามือยีหัวเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเหวอส่งมาให้
‘แบบนี้แปลว่าดินเป็นช้างเหรอ’
‘ก็ทำนองนั้นมั้ง’ นิ้วก้อยของงคนตัวโตเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นรอบข้างของดินก็กลายเป็นสีเทา แต่เขาไม่ได้รู้สึกทุกข์ทรมานเพราะการมองเห็นด้ายแดงอีกแล้ว มันอาจจะเป็นเพราะมีคนคนนี้อยู่ด้วย คนที่มองเห็นโลกในแบบที่ดินเห็น
เส้นด้ายสีแดงของพวกเขาสองคนเชื่อมกันเป็นเส้นเดียว
ด้ายแดงที่ผูกเนื้อคู่และรักแท้ให้มาเจอกัน...
‘ดูเหมือนว่าช้างน้อยตัวนี้จะต้องอยู่กับพี่กัณฐ์ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ’มีต่อด้านล่างค่ะ