บัวหลงจันทร์ ๑๙
หลังจากเดินทางมาทั้งวัน จักหยุดพักก็เพียงเสวยกายาหาร เพลานี้อาทิตย์ใกล้ลับฟ้าเต็มทีแล้ว ขบวนเสด็จจึงเร่งควบม้าให้ไวขึ้นเพื่อให้ถึงที่ตั้งกระโจมที่เหล่าข้าหลวงล่วงหน้าไปจัดเตรียมให้ก่อนฟ้าจักมืด ราตรีจักมาเยือน
“ขออภัยหนาเจ้าน้อย”ตรัสพลางรวบเอวน้อยให้แนบพระวรกายก่อนจักควบม้าให้ไวขึ้น
“อ๊ะ”เจ้าแสงที่ยังมิหายตกใจ เมื่ออาชาทะยานเร็วขึ้นหัตถ์เล็กก็ผวาจับฉลองพระองค์ตรงพระอุระขององค์รัชทายาท เบียดกายเข้าหา ซบพักตร์กับอุระอุ่นอย่างหวาดกลัว
กุบกับๆ
.
.
.
“...ถึงกระโจมที่พักแล้วเจ้าน้อย”แม้อาชาจักหยุดนิ่งแล้ว เจ้าแสงก็ยังคงมิรู้ตัว พักตร์งามซุกซบอุระอุ่นมิห่าง
“....”
“..เจ้าน้อย”
“พะ..พระเจ้าค่ะ”
“...ถึงกระโจมที่พักแล้วเจ้า”กระซิบบอกอีกคราเจ้าแสงจึงได้เอาพักตร์ออกจากอุระกว้าง กวาดพระเนตรไปรอบๆ เห็นกระโจมหลายหลัง มีทหารยามเดินถือคบเพลิงตรวจตราหลายนาย
“..ขะ ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ”
“มิเป็นไร...”ตรัสก่อนจักเหวี่ยงพระวรกายลงจากหลังอาชา เมื่อพระบาทยืนมั่นคงแล้วจึงจับเข้าที่เอวบางออกแรงยกน้องน้อยลงจากหลังม้า
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”พนมมือไหว้
“...เจ้าน้อย”
“เจ้าน้อยพระเจ้าค่ะ”ยี่สุ่น แลชงโคที่เห็นนายตนก็รีบวิ่งจากเกวียนเสบียงมาประกบขนาบข้างเจ้าแสงทันที
“เจ้าสองคนพาเจ้าน้อยไปสรงน้ำก่อนเถิด ประเดี๋ยวค่ำมืดแล้วอากาศจักเย็น”
“พระเจ้าค่ะ”หมอบกราบองค์รัชทายาทต่างแคว้น ก่อนจักประคองร่างแน่งน้อยของนายตนเข้ากระโจม ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยกระโจมของฝ่าบาททั้งสามพระองค์
เมื่อยี่สุ่น แลชงโคพานายตนเข้ามาในกระโจมที่พักแล้ว ก็ประคองเจ้าน้อยไปประทับที่ตั่งไม้ แลทรุดลงนั่งขนาบข้าง บ่าวทั้งสองออกแรงบีบนวดปลีน่องเล็กคนละข้างให้เจ้าน้อยคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทาง
“เป็นเยี่ยงไรบ้างพระเจ้าค่ะ มิเคยนั่งอาชามาก่อน ทรงรู้สึกอย่างไรพระเจ้าค่ะ”ยี่สุ่นทูลถามอย่างใคร่รู้ แม้จะอยู่ในเกวียนขนเสบียงแต่ก็พยายามชะเง้อคอดูนายตน ถึงจักเห็นเพียงพระขนองขององค์ภุชงค์ก็เถิดหนา
“..ก็...สนุกดีหนา..ข้ามิเคยนั่งมาก่อน หาได้น่ากลัวอย่างที่คิดไม่”เจ้าแสงตรัสตอบอ้อมแอ้ม
“สนุกหรือพระเจ้าค่ะ มิน่ากลัวสักน้อยเลยหรือพระเจ้าค่ะ”
“ก็...น่ากลัวบ้างตอนที่อาชาวิ่งเร็วๆ”
“.....”
“.....”
“..แต่องค์รัชทายาทท่านก็ค่อยตรัสปลอบว่ามิต้องกลัว...ก็...มิได้น่ากลัวนัก”พระสุรเสียงแผ่วจนแทบมิได้ความ หากแต่บ่าวทั้งสองที่เอียงหูฟังกลับได้ยินชัดเจน
“ทรงตรัสปลอบเจ้าน้อยมาตลอดทางเลยหรือพระเจ้าค่ะ”
“..อะ..อืม”
“งื้อออ”
“งื้อออ”
“..ปะ..เป็นกระไรกัน..ยี่สุ่น..ชงโค”เจ้าแสงสะดุ้งน้อยๆเมื่อคนสนิททั้งสองพากันกัดปากตนเองเปล่งเสียงประหลาดออกมาให้ได้ยิน
“หามิได้พระเจ้าค่ะ”
“หม่อมฉันสองคนเพียงเขินอายแทนเจ้าน้อยก็เท่านั้น”ชงโคว่า
“..ขะ เขินอายแทนข้าหรือ...พวกเจ้านี่ก็หนา”พระปรางแดงก่ำ มือน้อยตีเปาะแปะที่แขนคนสนิททั้งสองไปคนละที
“คิก..หม่อมฉันว่าสรงน้ำก่อนดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวมืดแล้วอากาศจักเย็นเอา แลจักประชวรเอาได้”ยี่สุ่นว่า
“อื้ม”
หนึ่งนาย สองบ่าวผลัดผ้านุ่งเอาผ้าคลุมไหล่พันกายมิดชิด ก่อนจักพากันไปที่ลำธารด้านหลังกระโจม ยี่สุ่น แลชงโคถือตะเกียงคนละดวงขนาบข้างเจ้าแสงไปตามทาง
“อากาศเย็นนัก รีบสรงเถิดพระเจ้าค่ะ นี่ก็เริ่มมืดแล้วด้วย”บ่าวทั้งสองคนช่วยกันขึงผ้ากับต้นไม้บดบังนายตนจากสายตาผู้อื่น
“อื้ม”เจ้าแสงปลดผ้าคลุมไหล่ออกเผยให้เห็นลาดไหล่เนียน บ่าวทั้งสองก็เช่นกัน ทั้งสามพากันลงน้ำ ยี่สุ่น แลชงโคช่วยกันถูล้างคราบไคลตามพระวรกายขาว อีกทั้งยังใช้ผลมะกรูดสางพระเกศาให้สะอาดหมดจด
“พวกเจ้าก็อาบเถิด ประเดี๋ยวจักป่วยไข้เอา”
“เจ้าน้อยจักขึ้นก่อนหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“ยังดีกว่า หากขึ้นจากน้ำคงหนาวเป็นแน่ ข้าแช่น้ำรอจักดีกว่า”
“พระเจ้าค่ะ”มิใช่เป็นเพียงนายบ่าว หากแต่เป็นสหายที่เห็นกันมาตั้งแต่จำความได้จึงได้สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก
“เจ้าขันธ์”พระสุรเสียงทุ้มตรัสเรียกองครักษ์คนสนิทที่คุกเข่าก้มหน้ารอรับพระบัญชา
“พะย่ะค่ะ”
“เจ้าออกไปก่อน แลอย่าให้ใครเข้ามาบริเวณลำธารเด็ดขาด”
“พะย่ะค่ะ”
องค์ภุชงค์ทอดพระเนตรเงาน้องน้อยผ่านผ้าที่ขึงกั้น ก่อนจักประทับยืนเฝ้ามิให้ใครผ่านไปทางลำธาร จนกระทั่ง นาย บ่าวทั้งสามขึ้นจากลำธาร ยี่สุ่น ชงโคช่วยกันเก็บผ้าที่ขึง ก่อนจักรีบประกบนายตนกลับกระโจม
“อ๊ะ”ทั้งสามสะดุ้ง เมื่อเห็นองค์รัชทายาทภุมริกาทรงประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเงามืด อีกทั้งยังเปลือยท่อนบน นุ่งเพียงโจงกระเบนสีดำเขม่าเท่านั้น
“เอ่อ...สรงน้ำแล้วแล้วหรือเจ้าน้อย”
“พะ..พระเจ้าค่ะ..ทรง..มาประทับยืนกระไรตรงนี้พระเจ้าค่ะ”
“อะ อ่อ..ข้า...ข้ามา..มา...มาเดินเล่น มิมีกระไรดอก รีบเข้ากระโจมเถิด เพิ่งขึ้นจากน้ำโดนลมมากๆจักประชวรได้”
“...พระเจ้าค่ะ”เจ้าน้อยแสงแรกก้มพักตร์ลง ทรุดตัวลงหมายจักหมอบกราบ
“มิต้องดอก...รีบเข้ากระโจมเถิด”ประคองต้นแขนนุ่มไว้
“...พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าขันธ์ๆ”ลับหลังเจ้าน้อยแสงแรก แลบ่าว องค์ภุชงค์ก็ร้องเรียกหาองครักษ์คนสนิท
“พะย่ะค่ะองค์ภุชงค์...มีกระไรให้หม่อมฉันรับใช้หรือพะย่ะค่ะ”วิ่งหน้าตั้งมาคุกเข่าพนมมือรับพระบัญชา
“ไปหาดอกแก้วมาให้ข้า”
“หา..ในป่านี่หรือพะย่ะค่ะ”
“เออ..ไปหาดอกแก้วมาให้ข้า”
“เอ่อ..พะย่ะค่ะ”
หลังจากเจ้าขันธ์ตามหาดอกแก้วแทบจักพลิกผืนป่า องครักษ์หนุ่มก็กลับมาพร้อมดอกแก้วสีขาวนวล ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเต็มตะกร้าหวายขนาดย่อม เจ้าขันธ์เอาผ้าชุบน้ำรองก้นตะกร้าก่อนจักเอาดอกไม้บอบบางวางจนเต็มพื้นที่ แลใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดคลุม
“ได้มาแล้วพะย่ะค่ะ”นำตะกร้าหวายถวายนายเหนือหัว
“ขอบใจ”
“มิได้พะย่ะค่ะ”
“...ไอ้ขันธ์”
“พะย่ะค่ะ”
“นี่เอ็งประชดข้าฤา”ตรัสถามเมื่อทอดพระเนตรดอกแก้วในตะกร้าหวาย
“มิได้ มิพะย่ะค่ะ”
“เอ็งเก็บมาเพียงนี้หมดป่าแล้วกระมัง”
“...เจ้าน้อยแสงแรกจักได้ทราบอย่างไรเล่าพะย่ะค่ะว่าพระองค์ทรงเอ็นดูเจ้าน้อยมากเพียงใด”
“.....”
“.....”
“เอ็งพูดดี...รอดไปก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ”
.
.
.
“เจ้าน้อย...”
“.....”
“เจ้าน้อยแสงแรก”
“พระสุรเสียงองค์ภุชงค์นี่พระเจ้าค่ะ”ชงโคที่ถวายงานบีบนวดปลีน่องเล็กทูลความ
“นั่นสิพระเจ้าค่ะ”ยี่สุ่นที่กำลังจัดที่นอนหมอนมุ้งเอ่ยสำทับ
“เจ้าไปรับหน้าพระองค์ที่เถิดชงโค”เจ้าแสงตรัส
“..ถวายพระพรพระเจ้าค่ะองค์รัชทายาท”ชงโคออกไปหน้ากระโจมหมอบกราบชายสูงศักดิ์
“เจ้าน้อยเล่า..เจ้า..”
“ชงโคพระเจ้าค่ะ..ทูลองค์รัชทายาท เจ้าน้อยประทับอยู่ข้างในพระเจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นข้าขอเข้าไปพบหน่อยหนาชงโค”ตรัสจบก็ดำเนินเข้ากระโจมทันทีมิรอให้ชงโคได้ทันห้ามปราม
“อ๊ะ..องค์รัชทายาท”ชงโครีบรุดลุกขึ้นตามหลังไปติด
“อ๊ะ”เจ้าแสงที่เห็นองค์รัชทายาทเข้ามาในกระโจมตนก็ตกพระทัย ลนลานคว้าผ้าคลุมไหล่สีหวานขึ้นคลุมอังสะบาง ปกปิดความขาวนวลเนียนให้พ้นจากสายพระเนตร
“..ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท”
“มะ มิได้พระเจ้าค่ะ..ทรงเข้ามาหาหม่อมฉันถึงกระโจมมีอันใดหรือพระเจ้าค่ะ”
“ข้าจักมาบอกว่าข้าหลวงเตรียมสำรับแล้วแล้ว ออกไปกินเถิด เดินทางมาเหนื่อย อีกทั้งเมื่อกลางวัน เจ้ายังกินไปเพียงเล็กน้อยเยี่ยงแมวดม คงจักหิวแล้วกระมัง”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ หากแต่ให้ข้าหลวงมาตามก็ได้พระเจ้าค่ะ มิต้องลำบากมาด้วยพระองค์เองดอก”
“ลำบากที่ใดกันเจ้า ไปเถิด ข้าจักพาไป ข้างนอกมืดแล้ว”ยื่นพระหัตถ์ให้น้องน้อย
“.....”เจ้าแสงลอบทอดพระเนตรบ่าวทั้งสองของตน ก็เห็นว่าทั้งคู่หมอบกราบก้มหน้าหลบตาเป็นพัลวัน
“.....”
“..ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”วางหัตถ์ตนลงบนพระหัตถ์ใหญ่
อยู่กลางป่าเช่นนี้ องค์ภุมรินจึงมีรับสั่งให้ตั้งสำรับรอบกองไฟ เจ้านายทั้งสี่พระองค์ประทับบนเสื่อที่ปูรอบกองไฟ มีสำรับตั้งให้ ส่วนเหล่าข้าหลวงต่างก็หมอบพับเพียบรอรับพระบัญชาอยู่มิห่าง
“มาแล้วหรือเจ้าน้อย”องค์ภุมรินตรัสขึ้นเมื่อทอดพระเนตรเห็นสุณิสาที่เข้ามาพร้อมโอรสองค์โต
“ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันชักช้าพระเจ้าค่ะ”หมอบกราบอ้อนช้อย
“มิเป็นไรๆ..มาแล้วก็ลงมือเสวยเถิด”เมื่อตรัสเช่นนั้น องค์จันทร์ แลเจ้าภุชงค์จึงลงมือจัดการสำรับของตน เจ้าแสงลอบมองพระองค์นั้น พระองค์นี้คนละที
“...เป็นกระไรไปเจ้า”องค์ภุชงค์ที่ประทับข้างๆ เอียงพักตร์มากระซิบถาม
“มิได้พระเจ้าค่ะ”เจ้าปฏิเสธก่อนจักลงมือเสวยสำรับของตน
“กินเยอะๆหนาเจ้า ประเดี๋ยวกลับถึงภุมริกาแล้ว ข้าจักให้แม่ครัวห้องเครื่องทำสำรับอาหารพื้นเมืองของภุมริกาให้”องค์ภุชงค์ตรัสพลางแย้มพระโอษฐ์อบอุ่นให้
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”พนมมือไหว้
“...ประเดี๋ยวรับของคาวแล้ว กินผลไม้ล้างปากเสียหน่อยหนา ข้าให้เจ้าขันธ์ไปเก็บผลไม้ป่ามา รสหวานหอมนัก”
“พระเจ้าค่ะ”
ในขณะที่เจ้าภุชงค์ แลเจ้าแสงพูดคุยกันเบาๆสร้างโลกส่วนตัวกันสองพระองค์ องค์ภุมริน องค์จันทร์ แลเจ้าเหมที่ต้องห่างอกเมียรักได้แต่มองด้วยความอิจฉาตาร้อน กอดผ้าแถบผ้านุ่งที่พกมาแนบอกแน่น
“...ลูกกูมันมิเห็นใจพ่อมันเลย”องค์ภุมรินตรัสพึมพำ
“.....”ในขณะที่องค์จันทร์รีบเสวยสำรับของตน รีบเข้ากระโจมบรรทม จักได้ถึงเช้าไวๆ
“หากเสวยแล้วแล้วไปเดินชมจันทร์กันดีหรือไม่เจ้าน้อย จักได้มิอึดอัดท้อง”องค์ภุชงค์ว่าพลางใช้พระองคุลีเกลี่ยเม็ดข้าวที่ติดปรางขาวออกให้
“อ๊ะ..ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”เจ้าแสงก้มพักตร์หลบ น่าอายนัก
“หึหึหึ...มิเป็นไรดอก น่าเอ็นดูนัก”
“.....”เจ้าแสงปรางแดงก่ำ
“แลว่าอย่างไร หากอิ่มแล้วจักไปเดินชมจันทร์กับข้าหรือไม่”
“...พระเจ้าค่ะ”
.
.
.
“ราตรีนี้ จันทร์ดวงโตนัก ว่าหรือไม่เจ้าน้อย”
“พระเจ้าค่ะ...ราตรีนี้จันทร์ดวงโต แลสว่างนัก”
“เจ้าขันธ์”ทรงตรัสเรียกองครักษ์คนสนิทที่คอนรับใช้อยู่ห่างๆ
“พะย่ะค่ะ”หมอบคลานนำตะกร้าดอกแก้วถวาย
“ดอกแก้วตะกร้านี้ ข้าให้เจ้าขันธ์ไปเก็บมาตั้งแต่เย็นแล้ว....ข้าให้เจ้าน้อย”
“...ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”ประนมหัตถ์ไหว้คนพี่
“มิเป็นไรดอก”ยื่นพระหัตถ์เข้ารับไหว้หัตถ์เล็ก
“.....”เจ้าแสงค่อยๆ ดึงหัตถ์ตน ออกจากพระหัตถ์อุ่น ดวงหน้างามแดงระเรื่อ รับตะกร้าดอกแก้วหอมกรุ่นมาคล้องพระกรเรียวเล็กของตน
.
.
.
เพลานี้ที่ตำหนักในที่ประทับของพระชายาบัวงามเงียบกริบ แม้จักมีข้าหลวงอยู่ถวายงานหลายคนก็มิมีเสียงใดเล็ดลอดออกจากปาก ด้วยพระชายาคนงามนั้นต้องห่างพระภัสดาหลายวัน หลายคืนไหนจักอาการแพ้ท้องที่ดูเหมือนลูกจักงอแงเหลือเกินที่พ่อมิอยู่ จึงได้พระพักตร์บึ้งตึง มีเพียงสายหยุดคนสนิทเท่านั้นที่เข้าพระพักตร์ติด
“ทูนหัวของสายหยุด อย่าโกรธกริ้วไปเลยหนาพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเจ้าน้อยในพระครรภ์จักกริ้วตามหนาพระเจ้าค่ะ”
“ใช่ว่าข้าใคร่โกรธกริ้วเช่นนี้ไม่ พี่สายหยุด..หากแต่มันเป็นไปเอง”เจ้าบัวกึ่งนั่งกึ่งนอนเท้าหมอนขิด หัตถ์อีกข้างถือพัดจีนสะบัดไปมา
“เยี่ยงนั้นทรงรับผลหมากรากไม้สักหน่อยดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ จักได้รู้สึกดีขึ้น”บีบนวดแขนเล็กอย่างเอาพระทัย
“ก็ดีจ้ะ”เมื่อรับสั่งเช่นนั้น สายหยุดจึงได้พยักหน้าให้ข้าหลวงสาวเร่งไปห้องเครื่องนำผลหมากรากไม้ถวาย พร้อมน้ำขิงร้อนๆ
.
.
.
“เจ้าบัว.....”เจ้าชมนาดที่กำลังปักผ้าอยู่เงยพักตร์ขึ้นแย้มโอษฐ์ เมื่อเห็นโอรสองค์เล็กเข้ามาในคลองจักษุ
“ถวายพระพรเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ”
“จ้ะ...เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้า”
“...บัวรู้สึกมิค่อยจักดีพระเจ้าค่ะ จึงมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่”
“เป็นกระไรไปเจ้าบัว ตามหมอหลวงหรือไม่ลูก เจ็บเคืองตรงไหนบอกแม่เถิด”เจ้าชมนาดวางผ้าที่ปักลงบนพานก่อนจักผุดลุกเข้าไปหาลูก
“มิได้พระเจ้าค่ะ..ลูกรู้สึกมิใคร่จักดี..ลูกเบื่อหน่าย แลมองกระไรก็ขัดหู ขัดตาไปหมดเลยพระเจ้าค่ะ”
“อ๋อ...หลานยายคงจักเกเรกระมังเยี่ยงนี้”
“...พระเจ้าค่ะ”
“หาใช่เรื่องแปลกไม่..ตอนแม่ท้องเจ้าหรือก็เป็น กำลังท้องกำลังไส้ พอห่างผัวมันก็กังวลเช่นนี้แล”
“.....”
“ตอนแม่ท้องเจ้าสองคนพี่น้อง ก็ต้องห่างพ่อเจ้าเช่นกัน...เจ้าหรือยังดีกว่าแม่นัก”
“อย่างไรหรือพระเจ้าค่ะ”
“มา แม่จักเล่าให้ฟัง...หากแต่เรื่องมันยาวนัก”
“...”
“อุ่น...”
“เพคะ”
“ให้ข้าหลวงนำน้ำขิง แลขนมหวานมาให้ข้าที”
“เพคะ”
“เอาละ..ตอนที่แม่ท้องเจ้าทั้งสองคนนั้น.....”
.
.
.
“...คุณพระช่วย มีเรื่องเยี่ยงนี้เกิดขึ้นในวังหลวงด้วยหรือพระเจ้าค่ะ”
“หึหึหึ...”
“...ทูลพระชายาชมนาด แลพระชายาบัวงาม ขบวนเสด็จขององค์ภุมรินกลับมาถึงหน้าวังหลวงแล้วเพ....”ยังมิทันที่ข้าหลวงสาวจักได้ทูลความจนหมด เจ้าบัวงามก็วิ่งออกจากตำหนักหลวงเสียแล้ว
“เจ้าบัว!! หยุดประเดี๋ยวนี้หนาลูก...ตายแล้ว วิ่งเยี่ยงนี้ได้เยี่ยงไร ประเดี๋ยวหลานข้าก็หลุดออกมาพอดี สายหยุด อิ่มตามไปหยุดเจ้าบัวประเดี๋ยวนี้”เจ้าชมนาดลมแทบจับเมื่อโอรสองค์เล็กวิ่งฉิวออกไป
“พระเจ้าค่ะ”
“เพคะ”
.
.
.
“พระชายาอย่าวิ่งหนาพระเจ้าค่ะ”สายหยุดวิ่งฉิวมาประคองคนเป็นนาย
“อ๊ะ...”เจ้าบัวชะงักราวกับเพิ่งรู้องค์เองว่าตั้งครรภ์อยู่ หัตถ์เล็กกอดอุทรตนไว้
“ทรงวิ่งมิได้หนาพระเจ้าค่ะ”
“ขะ ข้าลืมตัว”
“ค่อยๆดำเนินพระเจ้าค่ะ”
“อะ อื้ม”ครานี้ค่อยๆย่างก้าว โดยมีคนสนิทประคองมิห่าง หัตถ์เล็กก็ลูบครรภ์ตนปลอบลูกน้อย
ขบวนเสด็จหยุดลงที่หน้าตำหนักหลวง องค์ภุมริน แลองค์จันทร์รีบลงจากหลังอาชาดำเนินเข้าหาเมียรักที่ยืนรอด้วยความคิดถึง
“เจ้าชมนาด”คว้าเจ้าชมนาดเข้ากอดแนบพระอุระ
“เสด็จพี่...เป็นเยี่ยงไรบ้างพระเจ้าค่ะ”เจ้าชมนาดประคองพักตร์พระภัสดาขึ้น
“คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
“หม่อมฉันก็คิดถึงพระองค์พระเจ้าค่ะ...ทรงหิวหรือไม่พระเจ้าค่ะ มาเหนื่อยๆ หม่อมฉันจักให้ข้าหลวงเตรียมสำรับให้หนาพระเจ้าค่ะ”
“จ้ะ....”
“เยี่ยงนั้นไปสรงน้ำก่อนดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“ก็ได้จ้ะ...หากแต่น้องต้องสรงให้พี่หนา”
“พระเจ้าค่ะ...”
“เสด็จแม่ ถวายพระพรพะย่ะค่ะ”เจ้าภุชงค์ที่ทอดพระเนตรบิดามารดาพูดคุยกับแล้วแล้วจึงเข้าหมอบกราบเจ้าชมนาด
“เจ้าภุชงค์ เป็นเยี่ยงไรบ้างลูก”เข้ากอดโอรสองค์โต ลูบเศียร ลูบพักตร์
“ลูกสบายดีพระเจ้าค่ะ มิเจ็บมิไข้”
“ดีแล้วลูก เอ๊ะ แลนั่นใครกัน”นัยน์ตากวางเหลือบไปเห็นร่างบางที่หมอบกราบอยู่หลังโอรสองค์โตจึงตรัสถามขึ้น
“ถะ ถวายพระพรพระชายาภุมริกาพระเจ้าค่ะ”
“.....”เจ้าชมนาดพยักพักตร์ หากแต่ก็ยังสงสัยใคร่รู้
“เสด็จแม่...นี่เจ้าน้อยแสงแรก เจ้าน้อยแคว้นการเวกพะย่ะค่ะ”
“เจ้าน้อยแคว้นการเวกหรือ...”
“พะย่ะค่ะ...หากเรื่องเป็นมาเยี่ยงไรลูกขอทูลความคราหลังพะย่ะค่ะ”
“ก็ได้ลูก...เอาไว้ก่อน เจ้าไปพักก่อนเถิด แลค่ำนี้ค่อยมาร่วมเสวยกับพ่อ แลแม่ที่ตำหนักหลวงหนา”
“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ”หมอบกราบมารดา เจ้าแสงเมื่อทอดเนตรเห็นดังนั้นจึงหมอบกราบตาม
“เจ้าบัวงามมาให้พ่อกอดให้คลายคิดถึงหน่อยเถิดลูก”องค์ภุมรินตรัส ตั้งแต่มาถึงตำหนักหลวงเจ้าบัวงามของพ่อก็ถลาเข้ากอดเจ้าหลวงศศิมณฑล จนป่านนี้ยังซุกอยู่ในอุระกว้างมิห่าง ให้องค์จันทร์กอดหอมคลอเคลีย
“พระเจ้าค่ะ”ผละออกจากพระภัสดา เข้าหมอบกราบบิดา
“เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้า”กอดลูกน้อยแนบพระอุระ
“ลูกสบายดีพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อเป็นเยี่ยงไรบ้างพระเจ้าค่ะ เหนื่อยหรือไม่”
“ได้เห็นหน้าแม่เจ้าพ่อก็หายเหนื่อยแล้ว”
“คิกๆ พระเจ้าค่ะ”
“แยกย้ายกันไปสรงน้ำท่าก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวค่ำนี้สำรับแล้วแล้วแม่จักให้ข้าหลวงไปตามที่ตำหนัก”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่พะย่ะค่ะ”
.
.
.
จ๋อม
เจ้าบัวงามกวักน้ำรดลงบนพระอังสะกว้างของภัสดา บีบนวดเอาพระทัย หัตถ์นุ่มลูบกล้ามพระมังสาไปมา
ฟอด
ฟอด
“อื้อ..ฝ่าบาท”เจ้าบัวพักตร์แดงระเรื่อเมื่อองค์จันทร์กดพระนาสิกสูดกลิ่นหอมจากปรางขาว
“พี่คิดถึงเจ้าจักแย่”
“หม่อมฉัน แลพเยียก็คิดถึงพระองค์พระเจ้าค่ะ”เอนกายซบพระอุระ
“หึหึหึ ช่างออดช่างอ้อนนัก”พระดัชนีม้วนปลายเกศายาวระสะโพกมน พระโอษฐ์ประทับจูบที่ขมับน้อง
“...ฝ่าบาท”
“หืม...”
“ใยเจ้าน้อยการเวกจึงได้กลับมาภุมริกาด้วยหรือพระเจ้าค่ะ”ช้อนนัยน์ตากวางถาม
“รอฟังพร้อมเสด็จแม่ชมนาดท่านเถิด”
“...เจ้าน้อยมิได้ตามพระองค์กลับมาใช่หรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“ว่ากระไรเยี่ยงนั้น เจ้าบัว”จับปลายคางแหลมเขย่าไปมาอย่างเอ็นดู
“ก็หม่อมฉันกังวล เจ้าน้อยใช่ว่าจักรูปมิงาม...”
“รู้ไว้เถิดมิมีใครงามเกินเจ้าในสายตาพี่อีกแล้ว ‘เจ้าบัวงาม’ ”ตรัสนามเมียรักชัดถ้อยชัดคำ
“คิกๆ...”กรเรียวเสลาโอบกอดรอบพระกฤษฎีสอบแน่น ออดอ้อนออเซาะ
.
.
.
“อื้อ...พี่เหม พอก่อนหนาจ๊ะ”สายหยุดว่าพลางดันอกคู่หมายหนุ่มออก ริมฝีปากอิ่มบวมช้ำ
“พี่คิดถึงสายหยุด”
“สายหยุดก็คิดถึงพี่เหมจ้ะ”
“กลับศศิมณฑลเมื่อใด พี่จักให้พ่อแห่ขันหมากไปขอสายหยุดให้ไวที่สุด”
“พี่เหม....”แก้มขาวแดงระเรื่อ
“หากแต่งช้ากว่านี้ พี่คงจักต้องลงแดงเป็นแน่”
“คนบ้าว่ากระไรเยี่ยงนั้นเล่า”
“พี่พูดจริงหนาสายหยุดคนดี”
“อื้อ...พูดแต่ปากมิได้หรือพี่เหม...ใยต้อง...ใยต้องหน้าอกสายหยุดด้วย”
“พี่คิดถึง”
“ใจคอจักพูดอยู่คำเดียวนี่หรือจ๊ะ”
ฟอด
ฟอด
“อื้อ...พี่เหม”ปากว่า หากแต่กลับยื่นดวงหน้ามนให้เข้าสูดหอม
จุ๊บ
“อื้อ”เงยหน้ารับริมฝีปากพ่อเหมที่แทะเล็ม แลกดจูบเท่านั้นมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปาก
“...จักจุกอกตายอยู่แล้วเจ้า”
“...อาบน้ำ..อะ อาบท่าก่อนเถิดจ้ะ ประเดี๋ยวสายหยุดจักไปห้องเครื่องทำกับข้าวให้พี่เหมหนาจ๊ะ”
“มิต้องเหนื่อยทำดอกเจ้า มีกระไรพี่ก็กินได้...มาช่วยพี่อาบน้ำจักดีกว่าหนา”
“.....”
“หนาสายหยุด”
“...ก็ได้จ้ะ”
“เยี่ยงนั้นไปกันเถิด พี่เหนียวตัวจักแย่”
“จ้ะ”
“สายหยุดช่วยพี่แก้ผ้าโจงทีสิเจ้า”
“...พี่เหม”
“หนาจ๊ะ...แก้ให้พี่ที”
“.....จ้ะ”