Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 281591 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #930 เมื่อ28-03-2019 15:33:07 »

จบดีมากจริงๆค่ะ ชอบมากเลย
มีแอบปันใจให้คู่ ภูมิศิลป์กับพล

ในที่สุดอาจารย์ภูมิศิลป์
ก็ได้เจอความรักของตัวเองซักที

กฤตกับพลูในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน

พี่วินทร์นี่ตื่นมาก็จัดฮาร์ฟเลยเนอะ
แหมมมมมมมม


แอบอยากให้มีตอนพิเศษคู่ ภูมิศิลป์พล
พลต้องแอบรักภูมิศิลป์มานานแล้วแน่ๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #931 เมื่อ29-03-2019 11:00:50 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #932 เมื่อ29-03-2019 13:57:51 »

ชอบตอนที่คุยกันเรื่องงานศพพี่วินทร์ มันก้าวข้ามเกินกว่าแค่รักกันไปแล้ว

ขอบคุณมาก ๆ ที่มาเขียนภาคต่อ จบได้สวยงามมาก

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #933 เมื่อ30-03-2019 12:06:05 »

 :o8: :L3:โอ๊ยยยยยย...
ทำใจอยู่นานหลงไปกะข่าวบ้านเมือง=^^=
จริงๆต้องตั้งสติเพื่อกลับมาอ่าน.. กลัวใจเตลิดไปกะบทที่รอคอย.. 55555#พี่ไม่เคยทำน้องผิดหวัง....เป็นอีกคู่ในดวงใจจริงๆ..ให้เห็นถึงสติของการคบหากัน.ถึงพลังความเชื่อใจ.ช่วยเหลือ.ดูแล>>>>>>>>>เค้าอยากได้แบบนี้บ้างอ่ะ..โอ๊ย.คิดเข้าตัวแล้วเศร้าใจ.หวังว่าจะมีน้องๆเยียวยากันต่อไปเรื่อยๆนะคะ..จุ๊บๆม๊วฟๆ

ออฟไลน์ 15magnitude

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #934 เมื่อ08-04-2019 22:58:13 »

สนุกมาก ดีใจกับพี่วินทร์ด้วยนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่18 Together Foever (จบ)P.31[26/03/2562]
«ตอบ #935 เมื่อ06-05-2019 18:09:03 »

ภาคผนวก ข.

“เราเอาเสื้อกาวน์สมัยเป็นมาราดน้ำแดงแล้วเอาหูฟังมาพันคอไหม คอนเซปต์คือผีหมอที่ทำงานหนักจนตายคาห้องพักแพทย์แล้ววิญญาณก็ยังวนเวียนราวน์ตอนดึกๆ” จิงโจ้เสนอความคิดสำหรับธีมงานเลี้ยงโรงพยาบาลที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า

   “ชุดน่ะพอทำได้ แต่หน้าตานี่จะแต่งยังไงล่ะ มันไม่จบที่เอาสีมาทาๆ แล้วมันจะเหมือนผีนะ ฉันเองก็ไม่ได้มีหัวศิลป์ขนาดนั้น”

   “ไม่ต้องห่วงพี่วัฒน์ ผมไปจีบน้องจิ๊บไว้แล้วเดี๋ยวน้องจิ๊บแต่งให้”

อนุวัฒน์หนังตากระตุกเมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่สาม “ใครคือน้องจิ๊บ”

“ก็คุณพยาบาลที่อยู่ไอซียูไง”

“คนไหน”
   
“คนที่จบมาใหม่ ตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าหมวยๆ เวลายิ้มแล้วตาเป็นสระอิไง” จิงโจ้บรรยายเป็นฉากๆ ยังไม่รู้สึกสะกิดใจกับเงาดำที่แผ่ออกมารอบตัวคนข้างๆ

อนุวัฒน์พยักหน้า “ตัวเล็ก ขาว หมวย ยิ้มสวย”

“ใช่แล้วๆ พี่วัฒน์นึกออกแล้วใช่ปะ”
   
“นึกออก” อนุวัฒน์ว่า “แกชอบแบบนั้นเหรอ”
   
“ก็น้องเค้าน่ารักดี”

“น่ารักด้วย?”

“ช่ายยยย”

“เหรอออ”

   เพี๊ยะ!

“โอ๊ย อะไรเนี่ยพี่วัฒน์! มาดีดหูผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ” จิงโจ้ร้องเสียงหลง เจ็บจนน้ำตาเล็ด เขาเอามือกุมใบหูที่แดงเป็นปื้นแน่น

“ยังจะมาถามอีก!” อนุวัฒน์โวยกลับ “มีแฟนเป็นตัวเป็นอยู่แล้วยังจะไปจีบสาวที่ไหนอีก”

“ผมไม่ได้จีบนะ”

“แล้วเมื่อกี้หมาตัวไหนมันบอกว่าจีบ”

“แค่จีบมาช่วยแต่งหน้า ไม่ได้จีบแบบนั้นสักหน่อย พี่วัฒน์อย่าเข้าใจผิดสิ”

“แน่ใจ?”

“ก็ใช่น่ะสิ” จิงโจ้ว่า “ก็อยากจะจีบอยู่หรอกแต่ไม่กล้าน่ะ”

“ทำไมเหรอ” อนุวัฒน์เสียงอ่อนลงเล็กน้อย คิดว่าคำตอบจากคนที่กำลังทำเป็นเอียงอายนั้นคงจะทำให้ใจสั่นอยู่ไม่น้อย แต่ครั้นพอได้ฟังคำตอบก็สั่นจริงๆ เสียด้วย

“ผัวน้องเขาไม่อนุญาต”

...กำปั้นในมือนี่สั่นไปหมด...

“ผัวแกก็ไม่อนุญาตเหมือนกัน!”

“ผัวไหน?”

อนุวัฒน์กอดอก ทำหน้าตึงให้แทนคำตอบ

“เฮ้ย! ไม่ใช่... ผัวเผอที่ไหน”

“ก็คนที่เมื่อคืนแกกอดเสียแน่นแล้วบอกว่าเอาอีกๆ ไม่หยุดน่ะ คนนั้นแหละ”

“พอเลยพี่ พอเลย” จิงโจ้ยกมือปรามคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับตัดบท “ตกลงตามนี้นะ”

“ไม่ตกลง”

“อ้าว”

“ถ้าแกไปให้น้องจิ๊บอะไรนั่นแต่งหน้าให้ แกก็ไม่ต้องเสียเวลาแต่งตัวเพราะฉันจะทำให้สภาพแกเหมือนศพเอง”

คนตรงหน้าขึ้นเสียงแข็งยื่นคำขาด จิงโจ้รีบประสานมือทำสำนึกผิด “ผมผิดไปแล้วคร้าบบบ”

ประตูห้องเปิดออกช่วยชีวิตจิงโจ้ไว้ได้ทันเวลาพอดี ทั้งสองหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา หันมาอีกทีอนุวัฒน์ก็พบว่าคนข้างตัวดอดไปเกาะแขนร่างโปร่งแน่นเสียแล้ว

“พี่ฮาร์ฟครับ ผมโดนรังแก” จิงโจ้ฟ้อง

นรกรกะพริบตามองรุ่นน้องงงๆ เขาสบตาวินทร์ก่อนจะหันไปหาอนุวัฒน์ “มีอะไรกันเหรอ”

“เรื่องชุดที่จะใส่ไปงานอาทิตย์หน้าน่ะครับ” อนุวัฒน์ตอบ “น้องๆ ชวนว่าเรามาแต่งให้เหมือนกันดีกว่าดูเป็นทีมเดียวกันดี เผื่อจะได้รางวัลพิเศษติดมือมาบ้าง ทีนี้เจ้าโจ้มันเลยเสนอธีมผีหมอที่อยู่เวรหนักจนตายในหน้าที่มา”

“แล้วจะแต่งหน้าแต่งตัวยังไง” นรกรถามอย่างสนอกสนใจฟังดูไม่เกินความสามารถจะก้าวข้ามความอายของตัวเองเท่าไหร่

“เรื่องชุดพอไหว แต่เรื่องแต่งหน้าพี่วัฒน์ไม่รับข้อเสนอครับ” จิงโจ้รีบบอก

“ทำไมล่ะ” นรกรถามต่อ

“โจ้มันจะให้คุณพยาบาลที่ไปจีบไว้ช่วยแต่งให้” อนุวัฒน์ตอบ

“ก็บอกว่าไม่ได้จีบไง”

วินทร์หัวเราะ เดาสถานการณ์ออกอยู่เพราะวันก่อนเขาเห็นจิงโจ้ไปเกาะเคาน์เตอร์คุยกับคุณพยาบาลอยู่นานสองนานนี่ยังแอบถ่ายรูปไว้เลยว่าจะเอาไว้แบล็คเมล์กับอนุวัฒน์สักหน่อย เห็นทีจะไม่ได้ใช้เสียแล้ว “อย่าเลย เดี๋ยวจะมีปัญหาครอบครัว”

“แล้วจะแต่งหน้ายังไงให้เหมือนผีล่ะครับ” จิงโจ้โอดครวญ “ดูสิออกจะหล่อขนาดนี้ ผมไม่เหมือนพี่วินทร์นะที่แค่ขึ้นเวรติดๆ กัน ไม่อาบน้ำ ไม่โกนหนวดสักสามวันก็หน้าสดไปงานก็ได้แล้วน่ะ”

“ปากเสียนะแก” วินทร์เอื้อมมือไปเขกกบาลเจ้าคนพูดมากหนึ่งที

“เอ๊า! พูดจริงก็โกรธ ใช่ไหมครับพี่ฮาร์ฟ พี่วินทร์สภาพนั้นน่ะพอจับใส่ชุดหมีแล้วก็ผีหมีชัดๆ”

นรกรนึกภาพตามก่อนจะตอบจริงจัง “อือ… ก็เหมือนอยู่นะ”

“ใช่ไหมครับ” จิงโจ้รีบสำทับ “ได้ยินไหมครับพี่วินทร์ พี่ฮาร์ฟยังเห็นด้วยเลย”

“แต่พี่ว่าดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ แบบว่าดูน่ารัก… มากกว่า” ปลายเสียงของนรกรเบาลงเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป

วินทร์เชิดหน้าทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ในขณะที่
จิงโจ้กับอนุวัฒน์ย่นปากใส่ด้วยความหมั่นไส้

นรกรยิ้มเขินๆ ก่อนจะกะแอมคอให้โล่งแล้วพูดต่อ “แต่ถ้าจะหวังรางวัลจริงจังฉันว่าแบบนั้นมันง่ายไปไหม ไม่ใช่ว่าไม่สร้างสรรค์แต่พี่ว่าต้องมีคนอื่นคิดแบบนี้เหมือนกันเยอะแน่ๆ เพราะมันดูเข้ากับโรงพยาบาลที่สุดแล้วนี่นา ดังนั้นเราต้องคิดให้แตกต่างจากคนอื่น”

จิงโจ้หูผึ่งไม่คิดว่ารุ่นพี่ผู้เคร่งขรึมและเรียบร้อยที่สุดในภาควิชาจะสนใจเรื่องแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละอย่างที่รู้กันว่านรกรเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่องถ้าลองได้รับปากแล้วว่าจะทำก็ยอมทุ่มสุดตัวเหมือนกัน “แล้วพี่ฮาร์ฟมีความเห็นว่าไงครับ”

“พี่ลองเสิร์ชในอินเตอร์เน็ตดูก็มีหลายอย่างน่าสนใจนะ” นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปที่สืบค้นมาให้ดู “ก่อนอื่นเราต้องคิดก่อนว่าจะเอาผีสัญชาติไหนของไทยหรือต่างชาติ ถ้าไทยก็มีผีปอบ กระสือ กระหัง ของฝรั่งก็มนุษย์หมาป่า ซอมบี้ แดรกคูล่า หรือจะไปทางผีญี่ปุ่นก็มีจูออน คุณซาดาโกะ กับผีไร้หน้าจากเรื่องสปิริตอะเวย์ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้”

“นี่นายทำวิจัยหัวข้อการแต่งกายงานเลี้ยงปีใหม่ในธีมผีเหรอ” วินทร์แซวยิ้มๆ เห็นนั่งหลังขดหลังแข็งทำอะไรอยู่หลายวันที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง

“แล้วไม่ดีเหรอครับ”

“ดีสิ ฉันชอบทุกอันเลย ติดอยู่แค่นิดเดียว” วินทร์ว่าพร้อมกับเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งประกบกันตรงหน้าทำท่าประกอบ

“อะไรครับ”

“นายกล้าแต่งเหรอ”

จิงโจ้กับอนุวัฒน์หันควับมาจ้องเขม็ง นรกรเหลือบตามองซ้ายขวาก่อนจะหลุบตาลงต่ำ “ก็… ข้ามๆ พี่ไปก็ได้”

“ไม่ได้หรอกครับ เราเป็นทีมเดียวกันนี่นา” จิงโจ้รีบบอก

“แต่ถ้าทุกคนอยากได้รางวัลมันก็ต้อง...”

“ไม่ต้องคิดถึงรางวัลอะไรหรอกปวดหัวเปล่าๆ แค่ทุกคนสนุกก็พอแล้ว เรามาโหวตหาชุดที่ทุกคนอยากแต่งกันดีกว่า” วินทร์เสนอ “ยังไงพวกเรามันก็สายฮาอยู่แล้ว”

“แล้วพี่วินทร์มีความเห็นว่าไงครับ” อนุวัฒน์ถาม

“ฉันกำลังคิดว่าเวลาที่คนทั่วไปทั้งพี่น้องหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สายงานอื่นพูดถึงเราเขาคิดถึงอะไรน่ะ ฉันอยากจะดึงจุดเด่นตรงนั้นมาแต่งเวลาเดินเข้างานไปเห็นปั๊บ ร้องอ๋อปุ๊บว่า เฮ้ย! นี่มันไอ้พวกนิวโรศัลย์นี่หว่า... อะไรแบบนี้น่ะ มันจะต้องฮาสมเป็นเราแน่เลย”

“แบบนี้น่าสนครับ” จิงโจ้เห็นด้วย “เดี๋ยวผมลองถามไปในไลน์กลุ่มดูนะครับว่าคนอื่นๆ จะว่ายังไง”

หลังจากพิมพ์ส่งไปไม่นานก็ได้รับกระแสตอบรับมากมาย แต่ข้อความที่ดูจะโดดเด่น โดนใจหลายๆ คนมากที่สุดเห็นจะเป็น

...หมี...

“เขาว่าเราเป็นแก๊งลูกหมีครับ” จิงโจ้อ่านผล

“ตัวใหญ่ เสียงดัง ชอบตีกันและรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ  คติประจำแก๊งคือเซิ้งยันเช้าข้าไม่ว่า ขอแค่ท้องข้าต้องอิ่ม” อนุวัฒน์ช่วยสาธยายสรรพคุณ “เออ ตรงจริงๆ ด้วย... สรุปเราจะแต่งเป็นผีหมีกันเหรอครับ”

“ผมว่ามันจะดูน่ารักมากกว่ากลัวนะครับ” จิงโจ้ท้วง

“ไม่เห็นเป็นไรเลยตลกดีออก” วินทร์ว่า

...ไม่ได้ปิศาจแมวเอาหมีก็ยังดีวะ อย่างน้อยก็ยังมีหูเล็กปุยๆ ตะมุตะมิให้เขาดีดเล่น… ว่าแต่จะเอาหมีอะไรดีหนอ...

จินตการภาพในหัวไปเริ่มล่องลอยไปแสนไกล

…หมีขาว! ต้องสีขาวเท่านั้น ถึงจะน่ารักที่สุด...

“มันจะดีจริงๆ เหรอครับ” จิงโจ้ถามย้ำ

วินทร์ม้วนภาพฝันเก็บใส่กระเป๋าแล้วหันไปหานรกร
“แน่นอนอยู่แล้ว หรือนายว่าไงฮาร์ฟ”

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เอาสัตว์… แล้วพี่วินทร์ก็สัญญากับผมแล้วนะ” นรกรพูดเสียงเบา

แต่นั่นก็ทำให้ทั้งวงสนทนาเงียบกริบในพริบตา
สามพี่น้องต้นความคิดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“เอ่อ...” ขนาดวินทร์เองยังไปต่อไม่ถูก ไม่น่าเผลอไปตกปากรับคำเลยให้ตายสิ

“ผมบอกแล้วไงว่าข้ามๆ ผมไปก็ได้” นรกรพึมพำในลำคอด้วยความรู้สึกผิด

OOOOOO

ในที่สุดวันงานก็มาถึง หลังจากที่ผ่านการคัดสรร กลั่นกรองและถกเถียงกันมาอย่างรอบคอบแล้วชาวแก๊งลูกหมีนิวโรศัลย์จึงตัดสินใจแต่งตัวเป็นผีหมอตามความคิดแรกของจิงโจ้เพราะว่าหาชุดง่ายและสร้างความอึดอัดใจให้พี่ใหญ่ของพวกเขาน้อยที่สุดแล้ว

ถึงจะดูว่าลงทุนน้อยแต่ก็มากด้วยการเล่นใหญ่ของแต่ละคน บ้างก็ตัดเสื้อกาวน์ตัวเก่าให้แหว่งวิ่น หรือจุดไฟแช็คเผาจนเกรียมได้ที่ บวกกับอุปกรณ์ประกอบฉากที่ขนกันมาเองแบบจัดเต็ม อย่างจิงโจ้ก็เอาตุ๊กตาหมีตัวใหญ่จับแต่งตัวใส่ชุดคนไข้ขาดๆ แล้วผูกห้อยมาข้างหลังเหมือนมีผีอีกตัวขี่คออยู่เพราะติดใจในความหล่อของหมอสมัยยังมีชีวิต ส่วนอนุวัฒน์ก็อุ้มตุ๊กตาเด็กทารกที่ทำหน้าให้ดูเละเทะ เป็นผีหมอสูติที่โดนแม่เด็กเอากรรไกรฆ่าปาดคอเพราะทำคลอดลูกเขาตาย

ทางวินทร์นั้นถึงจะผิดหวังจากการจับนรกรแต่งเป็นปิศาจแมวตามที่จินตนาการไว้เพราะแอบไปสั่งชุดหนังกับหูแมวสีดำจากร้านในอินสตราแกรมมาเตรียมไว้แล้ว แต่การได้เห็นคนขี้อายยอมแต่งตัวบ้าๆ บอๆ ตามใจน้องๆ ก็มีความสุขไปอีกแบบ วันนี้นรกรอุตส่าห์ลงทุนใส่คอนแทคเลนส์แบบบิ๊กอายสีดำตั้งใจปรับลุคให้ดูน่ากลัวแต่เขากลับคิดว่ามันดูแบ๊วมากกว่า นึกแล้วก็เสียดาย นี่ถ้าหากได้หูแมวที่เขาซื้อไว้มาใส่เสริมเข้าไปอีกมันจะต้องแจ่ม เอ๊ย! ต้องยิ่งน่ากลัวมากขึ้นแน่ๆ

ไม่เป็นไร ชุดนั้นเขาก็เอาไปซุกๆ ซ่อนในลิ้นชักไว้ก่อน มันจะต้องมีสักวันละน่าที่ฝันจะเป็นจริง และถึงมันจะไม่เป็นจริง วันไหนเหงาๆ เขาก็เอาชุดขึ้นมาดูฝันกลางวันแก้ขัดไปก่อนก็ได้

และด้วยสตอรี่ที่สร้างมาประหนึ่งเมาตารางเวรที่อัดแน่นจนไม่มีอะไรจะเสีย ทีมของพวกเขาจึงได้รางวัล “ผีสิ้นคิด” มาครอบครอง

หลังจากที่วินทร์ขึ้นไปรับรางวัลเป็นซองสีแดงจากมือท่านผอ.บนเวที แล้วทุกคนก็ตั้งแถวชักภาพร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาก็มาล้อมวงกันที่โต๊ะซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้

“เอ้า! เอาไปคนละแก้ว” จิงโจ้บอกพลางส่งแก้วเครื่องดื่มให้ทุกคนเตรียมชนแก้วฉลอง

ตอนนี้เขาเลื่อนเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสูงที่สุดแล้วจึงยกหน้าที่ชงเหล้าให้เป็นน้องเล็กของสายไป แล้วผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการวงเหล้าเต็มตัว ชื่อตำแหน่งดูหรูหรา แต่จริงๆ ก็คือคอยเล็งว่าแก้วใครพร่องก็ส่งสัญญาณให้น้องคอยเติมให้เต็มอยู่ตลอด ดังนั้นเรื่องกลัวไม่เมานี่ลืมไปได้เลย เพราะจิงโจ้มอมทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว

อ้อ! ยกเว้นนรกรไว้คนหนึ่งเพราะตั้งแต่ที่เขาพานรกรไปเมาตอนงานฉลองเรียนจบเมื่อครั้งกระโน้น เขาก็โดนทั้งวินทร์และธีร์หมายหัวไปเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น การแจกเหล้าทุกแก้วมีความเสี่ยงเขาต้องคอยคัดแยกให้ดีว่าแก้วไหนเพียว แก้วไหนผสม แก้วไหนน้ำอัดลมก่อนหยิบยื่นให้ผู้นั่งดื่มร่วมโต๊ะ

“แก้วนี้ของพี่วินทร์ครับ”

“พี่ไม่กินพวกนายกินเลย” วินทร์โบกมือปฏิเสธ

“อะไรพี่ นิดหน่อยน่า มาๆ ชนแก้ว” จิงโจ้คะยั้นคะยอ แก้วนี้เขาบรรจงคำนวณส่วนผสมต่างๆ เป็นอย่างดี เป้าหมายคืนนี้คือล้มคนคอแข็งที่สุดให้ได้เป็นรายแรก ดังนั้นนี่คือสูตรล้มช้างแบบไม่รู้ตัวที่เขาสั่งสมประสบการณ์จากการเป็นคงชงเองและคนที่โดนลงโทษให้กินบ่อยๆ กลั่นกรองออกมาเป็นแก้วนี้ให้พี่วินทร์โดยเฉพาะ

“พี่ไม่กินจริงๆ” วินทร์ยืนยันคำเดิม

“พี่วินทร์เล่นมุกอะไรหรือเปล่าเนี่ย” แม้แต่อนุวัฒน์ยังสงสัยเพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่วินทร์จะต้องเป็นคนเมานำหน้าน้องๆ ไปก่อนเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ประวัติดีมาตลอดไม่เคยทำให้เสียการเสียงาน

“พูดจริง” วินทร์ย้ำ ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้ทั้งวง

“เดี๋ยวผมขับรถเอง” นรกรเอ่ยขึ้น “พี่วินทร์ดื่มได้เต็มที่เลยครับ พรุ่งนี้ก็หยุดด้วย”

“นั่นไงพี่ฮาร์ฟไฟเขียวแล้วพี่ เอาหน่อยน่า นะ นะ” จิงโจ้ตื๊อต่อ เขาไม่ยอมให้แผนล่มง่ายๆ หรอก

“เอ๊ะ! เอ๊ะ! หรือว่าแกล้งทำฟอร์มเป็นคนดีให้น้องๆ ดูอยู่” อนุวัฒน์แซว “อย่าเสียเวลาเลยพี่ น้องๆ พวกนี้มันรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว”

นรกรเหลือบมองซ้ายขวาคิดว่าวินทร์เกรงใจเขาเลยไม่กล้าดื่ม เขาจึงเตรียมจะลุกหลบฉากออกไปเงียบๆ แต่วินทร์กลับเอื้อมมือมาคว้าไว้ใต้โต๊ะ

“ไม่ได้ฟอร์ม พี่เอาจริง ตั้งใจว่าจะเลิกเด็ดขาดน่ะ ขอถือโอกาสนี้บอกพวกนายไว้เลยแล้วกัน เผื่อวันหลังชวนแล้วฉันปฏิเสธจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน”

“แต่พวกเราก็ไม่ได้กินทุกวันนี่ครับ ก็นานๆ ที”

“นานๆ ทีก็ไม่เอา”

“ทำไมล่ะพี่” จิงโจ้ถาม

“ฉันแค่อยากรักษาสุขภาพน่ะ”

“อ้อ! พี่เพิ่งหายป่วยมานี่นะ” จิงโจ้ะยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ

“อืม นั่นก็เหตุผลส่วนหนึ่งน่ะ”

“แต่แค่นิดๆ หน่อยๆ แก้วสองแก้วเอาสังคมกินบรรยากาศแบบนี้ไม่น่าเป็นอะไรมั้งครับ” จิงโจ้ยังไม่เลิกหว่านล้อม

“ฉันตัดสินใจแล้ว ถึงการทำแบบนี้มันจะทำให้อายุยืนขึ้นอีกแค่หนึ่งนาทีแต่สำหรับฉันมันก็โคตรคุ้มค่าแล้วล่ะ”
วินทร์ตอบน้องๆ ด้วยท่าทีสบายๆ แต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง

“พวกเราต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่ลำบากใจ” อนุวัฒน์บอก

“เฮ้ย! ขอโทษไร ไม่ต้อง ไม่ได้ลำบากใจอะไรเลย เอ้า! กินต่อๆ ถึงฉันจะกินน้ำเปล่าแต่เราก็สนุกกันได้นี่หว่า”

“งั้นผมขอคืนนะครับ... อ้าว...” จิงโจ้เอื้อมมือไปจะหยิบแก้วคืน ทว่า เหล้าแก้วนั้นกลับอันตธานหายไปเสียแล้ว
พวกเขาหันควับไป

นรกรกำลังยกแก้วน้ำขึ้นซดดับไอร้อนของพวงแก้มที่เห่อขึ้นมาเพราะคนข้างตัวนอกจากจะกำมือแน่นไม่ปล่อยแล้วยังเหลือบมามองแล้วอมยิ้มมุมปากให้ราวกับส่งสัญญาณบอกว่าทั้งหมดที่ทำไปนี้ก็เพื่อเขาเท่านั้น

...พี่วินทร์คนบ้า! ตัวเองไม่เขินแต่เขาเขินนะ… ว่าแต่… ทำไมเป๊บซี่แก้วนี้แทนที่ดื่มแล้วจะเย็น กลับกลายเป็นยิ่งดื่มยิ่งร้อนคอแปลกๆ นะ...

วินทร์หันไปสบตาจิงโจ้เป็นเชิงถามว่าผสมไปเท่าไหร่เพราะปกติจิงโจ้ก็ไม่เคยใส่ให้เขาน้อยๆ อยู่แล้ว พอได้รับคำตอบทางสายตากลับมาว่าเกินครึ่งก็รีบหันไปดึงแก้วออกจากมือนรกรทันที

แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อน้ำแก้วนั้นโดนซดหมดลงจนหยดสุดท้ายภายในครั้งเดียว

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ไหว… ไหม”

นรกรพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ทุกคนถึงหันมามองเป็นตาเดียวด้วยสายตาแปลกๆ “ไหวครับ”

วินทร์ถอนหายใจ อย่างน้อยนรกรก็ไม่คออ่อนจนเกินไปนัก แต่ยังไม่ทันจะผ่อนลมหายใจออกสุดคนข้างตัวก็ทิ้งน้ำหนักลงมาพิงบนหัวไหล่

“พี่ฮาร์ฟ!”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ท่าทางจะน๊อคไปแล้ว นั่นพี่โจ้ผสมอะไรให้พี่ฮาร์ฟกินน่ะ”

“พี่ฮาร์ฟจะปลอดภัยใช่ไหม”

น้องๆ พากันโวยวายด้วยความตกใจที่เห็นพี่ใหญ่ของตนแน่นิ่งไป

“พวกแก ใจเย็นๆ เว้ยมันก็แค่เหล้า ฉันไม่ได้ผสมยาพิษให้สักหน่อย” จิงโจ้รีบบอก

“แต่พี่ฮาร์ฟคออ่อนมากเลยนะ คราวที่แล้วแค่ค๊อกเทลไม่กี่แก้วก็ยืนแทบไม่ไหวแล้ว” อนุวัฒน์สำทับ

“พี่วัฒน์ไม่ต้องมาตอกย้ำความผิดในอดีตของผมได้ไหมเนี่ย! พี่วินทร์ผมขอ...”

“ชู่~” วินทร์ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากไม่ให้เสียงดังรบกวนคนหลับ “ขอโทษนะทุกคน ท่าทางฉันต้องกลับบ้านแล้วล่ะ” แล้วจึงหันไปกระซิบข้างหูคนที่ซวนซบอยู่บนไหล่ “กลับบ้านกันเถอะ”

พูดจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงตัวนรกรให้ลุกตามขึ้นมาก่อนจะใช้ลำแขนช้อนเข้าที่ใต้ข้อพับขาแล้วอุ้มออกไป

“ทำไงดีอะพี่วัฒน์ ผมต้องโดนพี่วินทร์สวดยับแน่เลย” จิงโจ้หันไปเขย่าแขนอนุวัฒน์ขอความช่วยเหลือ

“ฉันว่าไม่หรอก เผลอๆ นายอาจจะได้รางวัลด้วยนะ” อนุวัฒน์พูดยิ้มๆ รู้สึกหมั่นไส้วินทร์หน่อยๆ ถือว่าเปิดตัวแล้วจะทำอะไรก็ได้สินะ ครั้งก่อนโน้นแค่บอกจะพากลับยังเขม่นกับน้องชายเขาตาแทบถลน ตอนแบกกลับก็ทำเขิน ตอนนี้ละอุ้มท่าเจ้าหญิงหน้าตาเฉย

“ทำไมล่ะพี่วัฒน์”

“นายไม่เห็นสายตาพี่แกตอนอุ้มพี่ฮาร์ฟออกไปเหรอ ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้หยุดด้วย”

“แล้วมันยังไงเหรอ”

อนุวัฒน์พ่นลมออกจมูก นึกตลกหมอนี่จริงๆ ว่าบทจะเข้าใจอะไรยากก็ยากเสียจริงๆ “ไม่มีอะไรหรอก แกไม่เห็นก็แล้วไป เอาเป็นว่าแกทำใจให้สบายแล้วมากินเหล้าต่อดีกว่า”

“พี่ไม่คิดจะเลิกเหล้าเพื่อผม แบบพี่วินทร์อะไรงี้บ้างเหรอ”

“ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”

“เอ้า! ก็แบบว่า… มันดูเท่ดีอะ”

“ถ้าเหตุผลแค่นั้นก็ไม่ล่ะ” อนุวัฒน์ส่ายหน้า

“ทำไมล่ะ”

“ก็ตอนแกเมามันสุดยอดไปเลยนี่นา” อนุวัฒน์ว่าพร้อมกับชนแก้ว “กินสิ... คืนนี้ไม่เมา ฉันไม่ให้กลับหรอกนะ”

“ไม่เมาไม่กลับ!” จิงโจ้ร้องพร้อมกับชูแก้วขึ้นสูงก่อนจะยกแก้วซดอักๆ

ในขณะที่รุ่นพี่ซึ่งนั่งยิ้มหวานตาเป็นประกายอยู่ข้างๆ เพียงแค่จิบเบาๆ …คืนนี้สำหรับเขาสองคนมันยังอีกยาวไกลนัก และเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสทองนี้แน่ๆ เหมือนกัน

OOOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #936 เมื่อ06-05-2019 18:26:10 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ขอโทษนะครับ ผมทำให้พี่วินทร์หมดสนุกเลย” นรกรพูดลิ้นพันกัน

“หมดสนุกอะไรกัน” วินทร์ยิ้มขันในขณะที่กำลังถอดเสื้อกาวน์ที่ทำเป็นชุดผีออกโยนใส่ตะกร้าพลางมองดูคนเมาที่นอนแผ่อย่างหมดสภาพอยู่บนเตียง

“ก็พี่วินทร์ต้องมาดูแลผม จริงๆ พี่วินทร์ทิ้งผมไว้แบบนี้แล้วไปสนุกกับน้องๆ ต่อก็ได้ พี่วินทร์ต้องเข้าสังคมนะ จะมามัวแต่ขลุกอยู่กับคนแบบผมได้ไง”

“เมาแล้วพูดมากนะเราน่ะ” วินทร์เดินกลับมาที่เตียงแล้วก้มตัวลงเอาสองแขนคร่อมตัวคนเมาที่ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาที่แดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ไว้

“ไม่ได้พูดมาก ผมแค่พูดความจริง เพราะผมมันคนไม่เอาไหน กินเหล้าก็ไม่ได้ คุยก็ไม่เก่ง”

วินทร์หัวเราะในลำคอ “พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว นอนพักเถอะ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำล้างไอ้พวกเครื่องแต่งหน้าพวกนี้ออกก่อนแล้วจะมาเช็ดตัวให้นายนะ” พูดจบก็กดริมฝีปากลงข้างแก้มตรงที่มือปิดไม่มิด

“งือออ” นรกรส่งเสียงคราง ทั้งๆ ที่ตอนนี้รู้สึกหน้าตาร้อนไปหมด แต่ริมฝีปากที่จูบลงมานั้นกลับร้อนเสียยิ่งกว่า และมันเป็นความรู้สึกวูบวาบแปลกๆ ไม่ใช่แค่ตรงจุดที่โดนสัมผัสแต่มันร้อนรุ่มไปทั้งตัว

เขาพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างุ่นง่าน แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตัวเองใส่คอนแทคเลนส์ไปงานเลี้ยงจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกหัวหมุนเหมือนโดนจับเหวี่ยงไปรอบๆ ห้อง แต่เขาไม่อยากเป็นภาระวินทร์ไปมากกว่านี้ เขาจับหัวไว้ด้วยมือสองข้างไม่ให้โคลงแล้วโผเผไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะกระจก เงาสะท้อนบนกระจกแสดงให้เห็นว่าวินทร์เช็ดเครื่องสำอางบนหน้าเขาออกไปให้จนหมดแล้ว นรกรจ้องตากับเงาตัวเองและพยายามใช้โป้งกับนิ้วชี้แหกตาให้โตๆ เพื่อหยิบคอนแทคเลนส์ออก แต่ไม่ว่าจะลองสักกี่ครั้งมันก็หยิบไม่ติดแถมยังจิ้มโดนตาตัวเองจนแสบอีก

“ต้องเป็นเพราะผมหน้าม้ายาวแล้วแน่ๆ เลย บังตาจนมองไม่เห็นแล้วเนี่ย” นรกรสรุป เขาทำปากจู๋แล้วเป่าลมเสยขึ้น มันโดนผมหน้าปลิวขยับแค่เพียงเล็กน้อยก่อนจะลู่ลงมาตามเดิม เป็นเช่นนั้นเขาก็เริ่มมองหาอะไรที่จะช่วยปัดผมหน้าให้เสยขึ้นไปเป็นการชั่วคราวได้ จึงเริ่มรื้อค้นลิ้นชักและเทของข้างในออกมา แล้วเขาเจอ...

“ที่คาดผมอันนี้ หน้าตาประหลาดดีแฮะ มาอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย ของใครน่ะ พี่วินทร์? เออ ช่างเถอะขอยืมใช้ก่อนละกัน!”

เขาสวมที่คาดผมประดับหูแมวสีดำลงบนศีรษะแล้วก็เริ่มต้นปฏิบัติการถอดคอนแทคเลนส์ต่อ

วินทร์ที่ใส่กางเกงนอนตัวเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำแทบทำผ้าเช็ดตัวที่กำลังใช้ซับน้ำบนผมอยู่หลุดมือ เขาหยิกแก้มตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป “น... นาย...ทำอะไรน่ะ”

“ผม... พยายามจะ... ถอด... คอนแทคเลนส์... แต่มันเอา... ไม่ออก” นรกรตอบพลางสูดจมูกเช็ดน้ำที่ไหลเป็นทาง

ยิ่งนรกรหันหน้ามาเขาแทบจะตบหน้าตัวเองอีกรอบให้ตื่น อะไรจะฝันดีขนาดนี้ เจ้าหูแมวนั่นถึงจะมีสีดำแต่มันก็เข้ากันได้ดีกับเรือนผมสีน้ำตาล และช่วยขับผิวขาวๆ ให้ดูเด่นขึ้นไปอีกตามที่เขาจินตนาการไว้จริงๆ ด้วย แก้มแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้วตากลมๆ แบ๊วๆ นั่นพอโดนน้ำตาก็ยิ่งฉ่ำหวานเข้าไปอีก ที่ลงทุนหนีไปอาบน้ำเย็นมากลายเป็นโมฆะไปในพริบตา

หัวใจเต้นแรง แข้งขาสั่น อยากกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าแล้วกระโดดขย้ำคอให้หายมันเขี้ยวเสียจริงๆ

ตอนนี้มโนสำนึกของวินทร์กำลังประมวลผลอย่างหนักเพระต้องเลือกว่าจะช่วยนรกรถอดคอนแทคเลนส์ก่อนหรือจะรีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกก่อนดี

ในที่สุดสำนึกดีก็ชนะ วินทร์เม้มปากฮึบไว้ ทำเป็นตีหน้าขรึมแล้วเดินเข้าไปหา ตอนนี้ในฐานะคนรักเขาต้องทำเรื่องที่ถูกต้องก่อนเรื่องที่ถูกใจสิ

“ตาแดงหมดแล้ว หันหน้ามานี่เดี๋ยวฉันถอดให้เอง” เขาใช้สองมือประกบรอบกรอบหน้าให้เงยขึ้น แต่ดวงตาที่ผ่านสมรภูมิรบโดยเจ้าของมาพอสมควรนั้นเริ่มแดงแล้วก็มีน้ำตาไหลเต็มไปหมด จนเขาเองยังไม่กล้าจับด้วยกลัวว่าจะพลาดทำให้นรกรเจ็บมากขึ้นไปอีก

และชั่วขณะที่กำลังจ้องตากันอย่างเงียบๆ เพื่อคิดหาหนทางถอดคอนแทคเลนส์แบบนุ่มนวลที่สุดอยู่นั้น นรกรก็เริ่มต้นส่ายหน้าไปมาเพราะความเมื่อยที่โดนเขาจับล็อกเอาไว้นาน แล้วซุกหน้าลงมาพักบนหน้าอกเขาแทนพร้อมกับสอดแขนเข้ากอดรอบเอวแน่น

“พี่วินทร์ครับ”

“อะไรเจ้าขี้เมา” วินทร์จ้องหูแมวที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า พยายามห้ามใจไม่ให้ยกมือไปดีดขนปุยๆ นั่นเล่นโดยการประสานมือไว้รอบเอวสอบแทน

“พี่วินทร์พูดจริงเหรอ”

“เรื่องอะไร”

“ไม่ได้แกล้งพูดไปเท่ๆ หรือพูดให้ผมคิดไปเองใช่ไหม”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ที่บอกว่ายอมเลิกเหล้าเพราะอยากอยู่ไปนานๆ  แค่หนึ่งนาทีก็เอาน่ะ”

“พูดจริงสิ”

นรกรขยับยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา “เพราะอยากอยู่กับผมเหรอ”

“อยู่กับนายน่ะแหละ”

ริมฝีปากบางค่อยๆ คลี่ยิ้มหวานที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ “ขอบคุณครับ”

“ฮาร์ฟ... พอไม่ต้องทำตาเยิ้มเลย ฉันไม่อยากปล้ำคนเมา เดี๋ยว...”

คำพูดของวินทร์ถูกหยุดไว้แค่นั้นเมื่อคนในอ้อมแขนยกตัวขึ้นมาจูบปากเขาเบาๆ ก่อนจะกลับลงไปซุกบนหน้าอกเขาตามเดิม

“ผมก็อยากอยู่กับพี่วินทร์ไปนานๆ เหมือนกัน”

วินทร์บีบมือตัวเองแน่นแล้วตอนนี้ ถึงจะเป็นคนหื่นขนาดไหนและตั้งปณิธานแน่แน่วไว้แล้วว่าจะไม่ขออดทนทุกการอ่อยโดยไม่ตั้งใจ แต่เขามีอุดมการณ์มั่นคงเช่นกันว่าจะไม่รังแกคนเมาเด็ดขาด เขาอยากร่วมรักด้วยความยินยอมพร้อมใจและมีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม

วินทร์ตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เริ่มต้นนับหนึ่งถึงร้อยเพื่อข่มอารมณ์ แต่ยังไม่ทันจะนับสอง คนในอ้อมแขนก็เงยหน้าขึ้นมองเขาตาแป๊วแล้วถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อว่า…

“ไม่ทำเหรอครับ”

“ฮาร์ฟ! น... นั่นนายพูดอะไรน่ะ”

“ปกติถึงจังหวะนี้พี่วินทร์ต้องทำแล้วนี่นา ทำไมวันนี้ไม่ทำล่ะ”

“ก็... ก็นายเมาอยู่ฉันจะทำบะ... แบบนั้นได้ยังไงเล่า!”

แต่ดูท่าคนเมาจะไม่ยอมฟังคำพูดของเขาเลยสักนิด

นรกรยกต้นขาขึ้นถูกับหน้าขาของร่างสูงเบาๆ ครั้งหนึ่งเป็นการตรวจสภาพเบื้องต้น ก่อนจะเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยแล้วดึงขอบกางเกงนอนพร้อมกับก้มมองลงไป
“หรือว่าไม่ตั้ง อ้าว... ก็ปกติดีนี่นาแล้วทำไม...”

วินทร์ตีมือซนๆ นั่นแล้วรีบกุมเป้าหมุนตัวหนี “ก็บอกว่าไม่อยากปล้ำคนเมาไง!”

นรกรเกาหัวแกรก มองคนตัวโตที่จู่ๆ ก็ทำตัวเป็นสาวน้อยขึ้นมาซะอย่างนั้น “ถ้างั้นผมปล้ำเอง” พูดจบก็ผลักวินทร์หงายหลังล้มลงนอนแผ่หราบนเตียง

วินทร์นอนลืมตาโพลงไม่ใช่ว่าเขาสู้แรงไม่ได้ แต่เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูกต่างหาก ยิ่งตอนที่ร่างโปร่งถอดเสื้อกาวน์ออกโยนลงบนพื้นแล้วก้าวขึ้นคร่อมลงมาบนตัวเขา เจ้าลูกชายตัวดีที่อยู่ในกางเกงก็ลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วพร้อมสู้ศึกแล้ว

สีหน้าของนรกรเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาจัดการรั้งขอบกางเกงนอนของวินทร์ลง แล้วสิ่งที่พยายามจะดุนดันอยู่ข้างหลังผืนผ้านั่นก็ได้ออกมาสู่โลกกว้าง แต่ก็เพียงแค่อึดใจเท่านั้นแล้วมันก็ถูกดูดกลืนเข้าสู่ความมืดมิดในโพรงปากนุ่ม

“ด... เดี๋ยว... ฮาร์ฟ ถอยไป อย่าทำแบบนี้”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็มัน…”

“เพราะผมมันไม่เอาไหนสินะ พี่วินทร์ถึงไม่ยอมให้ผมทำ” นรกรสูดจมูกพลางใช้สันมือปาดน้ำตรงหางตา

“เดี๋ยว! มันไม่ใช่แบบนั้นนะ” วินทร์ร้อง …นอกจากต่อมหื่นแล้ว แอลกอฮอล์มันยังไหลไปโดนต่อมอ่อนไหวอีกเหรอเนี่ย

“ผมก็อยากสัมผัสพี่วินทร์บ้าง อยากให้รู้ว่าผมก็รักนะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำหรือชอบนอนรอนิ่งๆ ให้โดนทำอยู่ฝ่ายเดียว นานๆ ทีก็ให้ผมทำบ้างสิ”

“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว ที่ไม่ให้นายทำเพราะฉันชอบแบบนี้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับว่านายเก่งหรือไม่เก่งเลย”

“ถ้างั้นก็ให้ผมทำสิ” นรกรพูดรั้นๆ “ฮึก… ครั้งก่อนน่ะ โดนไอ้หมอนั่นบังคับให้ทำ… ตอนนั้นผมพยายามคิดถึงพี่วินทร์แต่ก็ยังรู้สึกจะอ้วกอยู่ดี เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากทำอีกทีมาตลอด… แค่ก… แค่ก…”

“เดี๋ยวก็สำลักหรอก” วินทร์ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าแก้มคนที่กำลังไอโขลกเพราะพยายามจนเกินตัว “ถ้ามันไม่สุดก็ไม่ต้องฝืนหรอก เอาแค่ข้างบนก็พอที่เหลือใช้มือช่วยเอา…”

“งือออ… เอาแบบนั้นก็ได้” นรกรเป่าลมเข้าแก้มอย่างขัดใจกับปากที่เล็กเกินไปของตัวเอง แล้วลองค่อยๆ แตะปลายลิ้นลงบนส่วนอ่อนไหวที่สีเข้มขึ้นเพราะโดนปลุกเร้านั่นอีกครั้ง

“ช้า... ช้าอีก... ไม่ต้องรีบ” เมื่อห้ามไม่ได้ วินทร์จึงโยนอุดมการณ์อะไรนั่นทิ้งลงนรกไป ไหนๆ ตอนนี้นรกรก็กลายเป็นปิศาจแมวสมใจเขาแล้ว เขาก็ขอเป็นซาตานร้ายสักวันก็แล้วกัน “นั่นแหละ... แบบนั้น... เล่นกับตรงปลายเยอะๆ”

ปากพากษ์ไปมือหนึ่งก็ขยุ้มลงบนศีรษะจับโยกเป็นจังหวะ ในขณะที่อีกมือสอดเข้าใต้สาบเสื้อเชิ้ตแล้วลูบไล้ไปเท่าที่เอื้อมถึง ใช้ปลายนิ้วเขี่ยขยี้หัวนมเล่นจนมันกลายเป็นไต

วินทร์สูดปากกับความร้อนรุ่มที่เริ่มคัดแข็ง คนเคยรุกรู้สึกเหงาปากอยากหาอะไรมาเติมเต็ม สายตากวาดมองแผ่นหลังเนียนเรื่อยลงไปจนถึงเอวสอบแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “ฮาร์ฟ ขยับสะโพกมาทางนี้สิ”

“ผมยังอยากทำอยู่”

“ก็ไม่ได้ให้หยุดนี่นา ฉันให้ขยับมาแต่สะโพก”
นรกรยกตัวขึ้นงงๆ เพราะนึกภาพไม่ออกว่าจะขยับไปทางไหน จนกระทั่งมือใหญ่นั้นคว้าเข้าที่เอวแล้วรั้งตัวให้หมุนขึ้นไปคร่อมแบบกลับหัวกลับหางอยู่บนตัวอีกฝ่าย “พ… พี่วินทร์จะทำอะไรครับ”

“ทำแบบนี้ไง”

คำตอบมาพร้อมมือที่ดึงขอบกางเกงชั้นนอกกับชั้นในลงพร้อมกัน เนินเนื้อขาวลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเขาบีบเล่นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะลากมือไปตามร่องแล้วค่อยๆ สอดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางแคบด้านหลัง

“พี่วินทร์... ท่านี้มัน...”

“ทำไม” วินทร์คิดว่าคำตอบที่จะได้รับคือ ‘มันน่าอาย’ และการขัดขืน เขาเตรียมจะพลิกกลับมาอยู่ท่าปกติแต่กลับกลายเป็นว่าร่างโปร่งที่คร่อมทับอยู่ด้านบนนั้นกดสะโพกลงต่ำเพื่อให้เขาจัดการได้ง่ายขึ้น “รู้สึกดีเหรอ?”

“อือ”

จริงๆ แล้วเขาไม่จำเป็นต้องถามเลย เพราะร่างกายสั่นเทิ้มนั้นกำลังเรียกร้องให้เขาทำมากกว่านี้อีก

“ถ้างั้นฉันจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้อีกเอาไหม”

แต่มันสนุกที่ได้แกล้งนี่นา แถมพิษสุราก็ทำให้คนปากหนักซื่อตรงต่อความต้องการของตัวเองด้วย

“อือ”

วินทร์เริ่มได้ใจหนัก เขาก้มหน้าลงแล้วใช้ปลายลิ้นกวาดไปทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมๆ กับที่ขยับนิ้วเข้าออกเพื่อเปิดช่องทางให้เตรียมพร้อมรับบทรักต่อไป

ตอนนี้นรกรรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปหมด เขาไม่สามารถขยับมือหรือลิ้นได้อีกได้แต่นอนกอบกุมของวินทร์ไว้เฉยๆ หากสะโพกนั้นกลับขยับโยกไปเองอย่างควบคุมไม่อยู่ราวกับว่านั่นไม่ใช่ร่างกายของเขา มันตอบรับสัมผัสของวินทร์เป็นอย่างดี น้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติของทั้งสองผสมกันเฉอะแฉะจนไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่นใดๆ ช่วยอีก

เมื่อคิดว่าเพียงพอแล้ววินทร์ก็อุ้มนรกรขึ้นแล้วจับนอนหงายลงบนเตียงก่อนจะสอดตัวเองเข้าแทรกตรงกลางระหว่างขาแล้วก้มหน้าลงกระซิบขออนุญาต “วันนี้ไม่ใส่นะ ฉันอยากสัมผัสนายตรงๆ”

จริงๆ ก็แค่บอกพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละเพราะในจังหวะนั้นเขาก็สอดใส่ลูกชายผ่านเข้าไปแล้ว น้ำรักที่ออกมามามากกว่าปกติทำให้ลื่นเข้าไปจนเกือบสุด รู้สึกถึงแรงตอดรัดอย่างอบอุ่นจากด้านในคล้ายกับกำลังเชิญชวนให้เขาเข้าไปในลึกมากกว่านี้อีก

“รู้สึกดีจัง อยากอยู่ในตัวนายแบบนี้ทั้งคืนเลยได้ไหม”

“ได้สิครับ” นรกรตอบ “ทำแบบนี้ทั้งคืนเลยนะ”

“จริงเหรอ ทำไมวันนี้ที่รักน่ารักจัง หืมมม” แล้วก้มลงจูบที่หน้าผากแตะไล่ลงมาจนถึงริมฝีปาก ตรงที่เขาบรรจงจูบอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะผละออก

“แล้วปกติผมไม่น่ารักเหรอ” นรกรถามเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ

“น่ารัก แต่วันนี้น่ารักกว่าทุกวันไง” บอกพร้อมกับงับลงบนยอดจมูก

“ไม่ได้นะ ต้องเหมือนกันทุกวันสิครับ”

“ถ้างั้นครั้งต่อไปก็ทำตัวน่ารักแบบนี้อีกสิ ดีไหมครับที่รัก”

“ไม่เอา”

“ไม่เอาอะไร”

“อย่าเรียกแบบนั้น”

“ทำไมล่ะ”

“ชื่อ” นรกรครางในลำคอ เมื่อรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งขึ้นมาตามแนวกลางลำตัว ขมวดรัดอยู่ด้านในตามจังหวะที่อีกฝ่ายสอดแทรกเข้าออกซ้ำไปซ้ำมา “ผมชอบให้พี่วินทร์เรียกชื่อ... มันทำให้รู้สึกดีมากกว่า”

คำตอบนั้นทำให้สติแทบขาดวิ่น วินทร์กระแทกกระทั้นจนแผ่นหลังอีกฝ่ายขยับตามแทบไม่ติดเตียง เรียวแขนที่โอบรัดกับปลายเล็บที่จิกลงมาบนแผ่นหลังกว้างกลายเป็นแรงผลักดันให้สอดกายเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับเสียงพร่ำเรียกชื่อซ้ำๆ ข้างหูที่ฉุดรั้งให้อารมณ์หวามหวิวพุ่งสูงขึ้น...

อีกครั้ง...

อีกครั้ง...

และอีกครั้ง...

จนวินทร์ลืมนับว่าเท่าไหร่ ปกติเขาจะทำสองครั้ง แต่วันนี้มันมากกว่านั้น...

จนกระทั่งแสงอาทิตย์ของวันใหม่สาดส่องเข้ามาทางรอยแยกของม่านหน้าต่าง ตกกระทบลงมาบนร่างเปลือยเปล่าที่นอนคว่ำหน้ากอดหมอนอยู่บนเตียง โดยมีร่างสูงใหญ่คร่อมทับอยู่ บริเวณสะโพกของทั้งสองยังเชื่อมสนิทถึงกันราวกับว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว

ทั้งสองปลดปล่อยอารมณ์จนหมด แล้ววินทร์ก็ทิ้งตัวลงนอนทับบนตัวนรกร สอดมือเข้ารอบตัวพร้อมกับกดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากบางที่เห่อบวมขึ้นเล็กน้อยจากการดูดดึงกันมาหลายชั่วโมง “รักนะ”

“รักเหมือนกันครับ” นรกรพึมพำรับคำก่อนจะผล็อยหลับไป

ในที่สุดแสงอาทิตย์ก็พาปิศาจร้ายกลับไปนรก วินทร์กดจูบลงกลางหน้าผากของคนที่กำลังหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องมาทั้งคืน เขาไล้มือไปตามกรอบหน้าพิจารณาทุกๆ รายละเอียดอย่างแสนรักก่อนจะใช้ปลายนิ้วเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วจัดแจงถอดคอนแทคเลนส์ให้ หลังจากนั้นก็ก้มลงควานหาหูแมวที่กระเด็นตกไปใต้เตียง เอาไปเก็บซ่อนไว้ในลิ้นชักตามเดิม แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินไปอาบน้ำ

จริงๆ เขาก็อยากนอนกกกอดต่อจนสายแต่พอลองมาคิดดูดีๆ แล้วก็ต้องตัดใจ เพราะต่อให้นรกรตื่นขึ้นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้างแต่เมื่อดูจากร่องรอยรักที่ปรากฏอยู่เต็มตัวแล้วละก็... เขาจะต้องโดนเจ้าตัวงอนใส่ยาวไปหลายวันด้วยข้อหาขาดความยับยั้งชั่งใจแน่ๆ ดังนั้นเขาควรรีบไปทำมื้อเช้าบนเตียงเตรียมไว้ง้อดีกว่า เพราะต่อให้จำได้แต่ถ้าอารมณ์ดี นอกจากจะไม่โดนงอนแล้วเขาก็อาจมีโอกาสรวบหัวรวบหางต่ออีกยก แต่ถึงจะไม่มีได้เสียยังไงเขาได้กำไรเป็นภาพเซ็ตหูแมวเก็บเข้าอัลบั้มลับไว้แล้วนี่นา ซึ่งอันนี้แหละที่น่ากลัวกว่า ถ้าโดนจับได้ว่าเขาแอบถ่ายรูปไว้ตั้งสมัยแอบชอบจนถึงปัจจุบันนี้มีเป็นคลังแสงนับพันรูปแล้วละก็ ต่อให้มีเก้าชีวิตเหมือนแมวก็คงไม่พอแน่ๆ
วินทร์ถอนหายใจ

…คิดไปก็ปวดหัว รีบไปแช่ผ้าเตรียมซักแล้วไปทำกับข้าวดีกว่า ชีทก็หมดอีกต้องลงไปซื้อมาไว้สินะเจียวไข่ไม่ใส่ชีทเดี๋ยวก็งอนเขาเป็นสองเท่าอีก… แฟนใครนะเอาใจยากจัง…

.

.

.

.

ทันทีที่นรกรลุกสึกตัวตื่นขึ้น ความรู้สึกเมื่อยก็แล่นปราดขึ้นมาจากสะโพก จนเขาต้องกอดหมอนไว้แน่น ในหัวปวดหนึบจนแทบจะระเบิด เมื่อคืนดูเหมือนเขาจะเมาจนทำอะไรแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำอะไรแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่จริงๆ แล้วเขากลับจำได้ทุกคำพูดและทุกการกระทำของตัวเองไม่ว่าจะท่วงท่าไหน

แก้มขาวร้อนวาบ แอลกอฮอล์นี่ช่างน่ากลัวจริงๆ ทำให้เขาขาดความยับยั้งชั่งใจได้ถึงขนาดนี้

นรกรขยับพลิกตัวเพื่อลุกไปเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย ของเหลวเหนอะหนะที่เกรอะกรังอยู่ตามตัวโดยเฉพาะตรงระหว่างเรียวขายิ่งทำให้อยากมุดเตียงแทรกแผ่นดินหนีไปเสีย

“ฮาร์ฟตื่นแล้วเหรอ”

เสียงวินทร์ดังขึ้นที่หน้าประตู ภาพตัวเองที่กระโดดขึ้นคร่อมแล้วงอแงขอใช้ปากปรากฎขึ้นในหัว นรกรหน้าแดงรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาพันรอบตัวขดเป็นตัวหนอน เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้าวินทร์ตอนนี้

“เป็นไงบ้าง” วินทร์นั่งลงข้างๆ เท้าแขนข้างหนึ่งลงคร่อมไว้ “ข้าวเช้า ไม่สิ! ข้าวเที่ยงเสร็จแล้วนะ วันนี้ฉันทำแต่ของโปรดนายทั้งนั้นเลย มากินด้วยกันเถอะ หรือว่าคอแห้งไหม อยากได้น้ำเย็นหรือน้ำหวานอะไรไหมฉันจะไปเตรียมมาให้”

“ม… ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่เป็นไรแล้วทำไมไม่ออกมาล่ะ” วินทร์ถามอย่างอ่อนโยนปนรู้สึกผิด “โกรธฉันเหรอ…”

“…” นรกรไม่ตอบ

“โกรธสินะ… ถ้างั้นก็ขอโทษนะ” วินทร์บอกเสียงอ่อย
ม้วนผ้าขยับยุกยิก ก่อนที่ส่วนศีรษะที่ปกคลุมเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนจะโผล่ออกมาให้เห็นจนถึงดวงตา

“ผมไม่ได้โกรธครับ”

“แล้วเป็นอะไร”

“คือ…”

“หืมมมม”

นรกรดึงผ้าห่มลงต่ำอีกนิด จนตอนนี้วินทร์มองเห็นถึงคางแล้ว “ผม…”

“ทำไมเหรอ”

“ล… ลุกไม่ขึ้นครับ” นรกรตอบอ้อมแอ้ม

“แล้วจะให้ฉันช่วยยังไงดี”

“ก็…” นรกรเงยหน้าดูคนที่กำลังจ้องมองมาที่เขา นัยน์ตาคมเต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้ใบหน้าร้อนวูบขึ้นอีก “ช่วย…” เขาพูดต่อไม่ถูก จู่ๆ ลิ้นก็เกิดพันกันขึ้นมา เขาจึงค่อยๆ ดึงแขนออกจากม้วนผ้าแล้วยื่นออกไปด้านหน้า

วินทร์เอียงคอมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือไปช้อนตัวนรกรขึ้นและอีกฝ่ายก็ตอบรับทันทีด้วยการวางวงแขนลงรอบคอเขาแล้วซุกหน้าลงบนบ่า

ในระหว่างที่วินทร์อุ้มนรกรขึ้นเพื่อพาไปอาบน้ำนั้น เขาก็คิดขึ้นได้ว่าจริงๆ แล้วในอ้อมแขนของเขานี่ไม่ใช่คนหรอก แต่เป็นปิศาจน้อยในคราบลูกแมวชัดๆ ไม่งั้นจะหลอกล่อให้เขาหลงกลรักติดกับดักแน่น ขนาดวิญญาณออกจากร่างถึงสองครั้งก็ยังกระเสือกกระสนดิ้นรนหาทางกลับมาหาได้ยังไง

คนอะไรเข้าใจก็ยาก ปากหนักมีอะไรไม่ยอมบอกแต่พูดมาแต่ละคำก็ทำให้ใจสั่นตลอด ปกติชอบทำหน้านิ่งใส่เขาแต่พอส่งยิ้มมาให้ทีก็ทำใจเขาละลาย ชอบดื้อพูดไม่ฟังแต่บางทีก็ออดอ้อนจนเขาตามใจแทบไม่ทัน
ทั้งที่คิดว่าเขาตามทันทุกมุมแล้ว แต่ก็กลับมีมุมที่เขาไม่เคยเห็นซ่อนอยู่อีก ใครจะคิดว่าคนขี้อายเวลาเมาจะก๋ากั่นได้ขนาดนี้

“พี่วินทร์… เดินช้าลงหน่อยครับ… เจ็บ”

“ขอโทษที ฉันรีบเดินเพราะกลัวนายจะหนาวน่ะ” วินทร์บอกพร้อมกับจูบขมับปลอบขวัญ “ให้อาบให้ด้วยเหรอ”
นรกรพยักหน้า

“ไม่จบแค่อาบน้ำนะ” เขากระซิบเตือน

นรกรไม่ตอบแต่กระชับวงแขนกอดคอเขาแน่นขึ้นอีก
วินทร์ยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ช่าง เพราะยังไงเขาก็ยอมพลีกายเป็นเหยื่อให้ตลอดไปอยู่แล้ว ถ้าหากว่าปิศาจน้อยจะน่ารักถึงขนาดนี้แล้วละก็นะ

********************************************
Talk
เห็นเขียนว่า ภาคผนวก ข. คือตั้งใจนะคะ ไม่ได้พิมพ์ผิดแต่อย่างใด คือเราแต่งข้าม ก. ไปก่อนเพราะเนื้อหาค่อนข้างเครียดคือจะเป็นตอนที่พี่วินทร์ไปคุยกับศ.สรวิชญ์
และสาเหตุที่ไม่ยกตอนนี้ขึ้นเป็น ก.แทนเพราะต้องการจะให้เรียงเป็นไทม์ไลน์ตอนลงเล่มค่ะ แต่ว่าเนื้อหาแต่ละตอนนั้นก็จะจบในตอนเป็นตอนๆ ไป ไม่ต้องกังวลว่าจะงงนะคะ


ออฟไลน์ 15magnitude

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #937 เมื่อ06-05-2019 20:27:24 »

พี่วินทร์ผู้พ่ายแพ้ต่อปิศาจแมวตลอดกาล 55555555555555555 เห็นมีความสุขกันแบบนี้ แม่ยกพี่วินทร์ชื่นใจมากค่ะ

ออฟไลน์ พระสนมฝ่ายซ้าย

  • ❤วั ง ว น ว า ย เ วิ่ น เ ว้ อ❤
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +283/-2
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #938 เมื่อ06-05-2019 21:19:29 »

งื่ออออออ คิดถึงทั้งสองคนเลยค่ะ
สำลักความหวานไปหมดแล้ว ><

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #939 เมื่อ06-05-2019 22:29:15 »

 :impress2: หวานมาก คนอ่านฟิน พี่วินทร?ฟินมากกว่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
« ตอบ #939 เมื่อ: 06-05-2019 22:29:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poompim

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #940 เมื่อ06-05-2019 22:51:07 »

 :m25: :katai4: :hao6: :impress2: :ling3:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #941 เมื่อ06-05-2019 22:54:59 »

 :m25: :m25: :m25:

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #942 เมื่อ07-05-2019 18:02:58 »

 :m31: :m31: :m31:   นรกร~~~
.. เรานี่มันตัวร้ายจริงๆเลยนะเนี่ย..แมวปีศาจชัดๆ​.. สูบพี่วินทร์​ซะหมดตัวเลย... น่าซมซาน.. เฮ้ย.น่าสงสารจริงๆ...  :heaven :heaven :heaven

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #943 เมื่อ09-05-2019 07:45:15 »

 :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #944 เมื่อ12-05-2019 02:41:23 »

สนุกมากๆ ครับ ขอบคุณนะครับ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #945 เมื่อ14-05-2019 21:19:13 »

ร้อนแรงไปล้าวววววววว

ออฟไลน์ taku_kimu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #946 เมื่อ04-07-2019 13:29:08 »

ชอบมากค่ะ รวมเล่มเมื่อไหร่ช่วยบอกดังๆนะคะ เดี๋ยวมีไม่ครบเซ็ท :)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #947 เมื่อ03-08-2019 23:39:49 »

ภาคผนวก ก.

“แล้วเรื่องคุณพ่อพี่วินทร์มีความเห็นว่าไงครับ”
   
“ถามซะดูเป็นทางการเชียว” วินทร์ถามกลับปนขำ เขาละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังเล่นเกมค้างอยู่ขึ้นมองแผ่นหลังของคนที่นั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะปลายเตียง

“ก็ผมซีเรียสนี่ครับ” นรกรตอบพลางหันมาสบตา “จนป่านนี้คุณพ่อยังไม่ยอมมองหน้าพี่วินทร์เลย เราจะปล่อยไว้แบบนี้ได้ยังไงล่ะครับ”

“ฉันคิดไว้แล้วล่ะว่าจะพูดอะไรบ้าง” วินทร์บอก “ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกก็จะขอโทษไปตรงๆ ส่วนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ตามน้ำอย่างที่นายบอกไปว่าเป็นเพราะสมองกระทบกระเทือน”
   
“แล้ว...” นรกรถามต่อ ที่วินทร์พูดมามันฟังดูตรงไปตรงมาและง่ายที่สุดซึ่งเขาก็คิดว่าดีแล้วแต่จนถึงตอนนี้วินทร์ก็ยังไม่ยอมทำสักที

วินทร์ถอนหายใจ “ก็มันหาโอกาสพูดไม่ได้นี่นา อย่างที่นายบอกน่ะแหละว่าหน้าฉันเขายังไม่อยากมองเลย เฮ้อ... เรื่องนั้นนายปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเหอะ ตอนนี้เรื่องที่นายต้องห่วงมากกว่าคือการทำเรื่องขอรองผศ.กับเรื่องที่งานวิจัยนายได้เข้าชิงผลงานวิจัยระดับประเทศต่างหาก ถึงไหนแล้วล่ะ”

“ใกล้จะเสร็จแล้วครับ”

“แต่...” วินทร์ลากเสียงถามอย่างรู้ทันเพราะถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจริงในเวลาเกือบตีสองนี่เขาคงลากอีกฝ่ายขึ้นเตียงสำเร็จแล้วล่ะ

“พอมานั่งอ่านซ้ำเป็นรอบที่สี่ผมก็รู้สึกว่าเนื้อหามันยังไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ เลยกำลังลองรีวิวผลงานวิจัยอันเดิม กับหาดูเรื่องใหม่ๆ เผื่อว่าผมจะมองข้ามอะไรไปหรือหาผลอ้างอิงใหม่มาช่วยเสริมน่ะครับ”

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม” วินทร์กดปิดเกมแล้วลุกจากเตียงเดินยืนซ้อนหลังก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูหนังสืออ้างอิงที่นรกรเปิดกองไว้เต็มโต๊ะ

   
นรกรส่ายหน้า “พี่วินทร์ไปนอนเถอะ ขออีกชั่วโมงนึงเดี๋ยวผมตามไป”
   
“รู้นะว่าถ้าเลทจะโดนอะไร”

“ครับ”

วินทร์กดจูบลงข้างขมับแทนค่ามัดจำแล้วกลับไปล้มตัวลงนอน
แน่นอนว่าคืนนั้นนรกรมาขึ้นเตียงช้ากว่าที่ตกลงกันไปหลายชั่วโมง แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตอนนี้นรกรเครียดเรื่องงานพอแล้วเขาจึงไม่อยากเอาเรื่องอะไรไปใส่หัวอีก

“อ้าววินทร์ นั่นขนอะไรมาเยอะแยะน่ะ” คณิณร้องทักในขณะที่บังเอิญเดินสวนกัน

“หนังสือ” วินทร์ตอบพร้อมกับวางถุงที่หอบหิ้วพะรุงพะรังมาสองมือลงแล้วเอื้อมมือไปคว้าตัวเด็กชายจากคนเป็นพ่อมาอุ้มแทน “ว่าไงครับสายฟ้าคนเก่ง วันนี้แข็งแรงดีใช่ไหม”
เด็กชายยิ้มร่าจนตาหยีพร้อมกับหัวเราะชอบใจกอดคอวินทร์แน่น

“แหม ตอบแบบนี้อย่าตอบเลยดีกว่าว่ะ” คณิณบ่นพลางหันไปสบตาภรรยา คิดว่าเธอเองก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเช่นกัน

“เพิ่งเสร็จจากนัดหมอเด็กมา กำลังจะไปหาหมอฮาร์ฟค่ะ” เพียงพิรุณบอก

“ดีๆ เดี๋ยวไปด้วยกันนี่แหละ” วินทร์บอก “ปอ แกช่วยหิ้วถุงหนังสือไปให้หน่อยฉันจะอุ้มหลาน”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเว้ย ได้ข่าวว่านี่พ่อนะ” คณินว่าไปแบบนั้นแต่ก็ยอมคว้าถุงขึ้นมาแต่โดยดี

“ก็เพราะเป็นแกน่ะสิถึงกล้าใช้ เป็นคนอื่นฉันไม่ใช้หรอก” วินทร์ว่าพลางหันไปจับแก้มกลมของสาวน้อยในชุดกระโปรงสีหวานที่เพียงพิรุณอุ้มอยู่ “ว่าไงคะสายรุ้งคนสวย คิดถึงคุณอาไหมคะ”

เด็กหญิงยิ้มหวาน แล้วเอียงคอหัวเราะคิกคักเหมือนตอบว่าคิดถึงเหมือนกันค่ะ

“อาวินทร์ว่าอาฮาร์ฟก็คิดถึงหนูม๊ากมากค่ะ งั้นเรารีบไปหาอาฮาร์ฟกันเถอะนะคะ”

คณิณหันไปสบตาภรรยาอีกครั้ง แล้วเดินตามไประหว่างทางวินทร์ก็ทำตัวเหมือน ‘ปกติ’ อย่างที่เคยเป็นมาตลอด ชี้ชวนให้ลูกสาวลูกชายของเขาดูนั่นดูนี่และหันมาแซวเขากับภรรยาเป็นระยะ จนกระทั่งมาถึงห้องตรวจ

“ดูสิฮาร์ฟวันนี้ฉันพาใครมา” วินทร์เดินนำเข้าไปในห้องก่อนจะใช้เท้าดันประตูให้เปิดค้างไว้เพื่อให้เพียงพิรุณเดินตามเข้ามาได้สะดวก “แกก็รีบๆ หน่อยสิวะปอ ขาฉันจะเป็นตะคริวแล้วเนี่ย”

“เออ รู้แล้วก็หนังสือมันหนักนี่นา”

“พี่ปอซื้ออะไรมาเยอะแยะครับ” นรกรถาม

“ไม่ใช่ของฉันหรอก ของหมอนี่น่ะแหละ มันแย่งลูกฉันไปอุ้มแล้วก็เอาหนังสือพวกนี้มาให้ฉันถือเนี่ย”

“วารสารรวมบทความที่นายศึกษาอยู่น่ะ” วินทร์บอก

“ผมอ่านในเน็ตเอาก็ได้ครับ”

“แต่นายชอบแบบเป็นเล่มมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

คณิณหยิบเอาหนังสือเล่มหนาในถุงที่ตนหอบหิ้วข้ามตึกขึ้นมาดู “โห ปกติค่าสมัครสมาชิกอ่านออนไลน์พวกนี้ก็หลายพันต่อปีแล้วนะ นี่ลงทุนซื้อเล่มมาเลยเหรอ”

“ให้ส่งแบบด่วนมาจากอเมริกาเลย” วินทร์ทำเสียงอวดหน่อยๆ “ฮาร์ฟกำลังจะยื่นขอรองผศ.น่ะแล้วผลงานวิจัยที่ทำตอนเรียนจบเอามาต่อยอดตอนนี้มีชื่อเข้าชิงผลงานวิจัยดีเด่นประจำปีด้วยนะ”

“สุดยอดไปเลยค่ะ” เพียงพิรุณชม

“ระดับฮาร์ฟแล้วยังไงก็ผ่านฉลุย ว่าแต่แกเถอะไม่คิดจะทำบ้างเหรอ” คณิณถาม

“อีกสักพักน่ะ ฉันไม่รีบ” วินทร์ตอบยิ้มๆ

“ระวังฮาร์ฟแซงหน้าไปไกลแล้วจะโดนคนเขาเปรียบเทียบนะ ฉันรู้ว่าแกน่ะไม่คิดอะไรแต่คนอื่นเขาไม่คิดแบบนั้นนะ”

“รู้แล้ว ก็บอกแล้วไงว่าไม่รีบ อย่ากดดันกันได้ไหม” วินทร์พูดไปขำไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วไปหาหมอเด็กวันนี้มาเป็นไงบ้าง”

“พัฒนาการตามวัยเป็นไปตามเกณฑ์ดี ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ”

“ดีแล้วล่ะครับ ตอนนั้นที่ชักบ่อยๆ ผมก็ใจคอไม่ดีเลยว่าสมองจะมีปัญหา เพราะพี่ปอกับคุณฝนใส่ใจลูกมากเลยนะครับถึงได้ดีขึ้นขนาดนี้ สุดยอดมากๆ เลย”

“เพราะพวกนายช่วยด้วยล่ะ” คณิณบอก “ผมคงไม่นัดมาตรวจแล้วนะครับ เพราะดูแล้วจะเจอกันบ่อยกว่านัดอีก มีอะไรก็โทรมาได้ทันทีเลยนะครับ ผมไปไม่ได้ก็จะส่งพี่วินทร์ไป”

“ขอบคุณมากค่ะ งั้นวันนี้ฝนพาเด็กๆ กลับก่อนนะ พอดีตอนบ่ายมีธุระ ไว้วันหลังค่อยไปกินข้าวกัน”

“ตกลงครับ”

“ขอลูกฉันคืนด้วย”

“ไว้เจอกันวันหลังนะครับ” วินทร์ยิ้มกับเด็กชายแล้วส่งคืนอกคนเป็นพ่อ

คณิณรับลูกชายมา เขามองคนตรงหน้าอยู่อึดใจแล้วหันไปยิ้มให้นรกร “นายเองก็สุดยอดเหมือนกันนะ”

นรกรรู้ว่าคณิณไม่ได้พูดถึงเรื่องงานที่กำลังทำหรือว่าเรื่องที่ช่วยรักษาลูกชายของแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร หากก็ตอบรับไปตามมารยาท “ขอบคุณครับ”

“บ๊ายบายครับคนเก่ง” วินทร์โบกมือพร้อมกับส่งจูบให้ฝาแฝดที่หัวเราะคิกคักชอบใจ

และเพราะมัวแต่สนใจเด็กๆ เขาจึงไม่ทันสังเกตุว่ารอยยิ้มในหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นจางลงไปเล็กน้อย

พ้นออกจากห้องตรวจเดินมาจนถึงลิฟต์ คณิณก็หันไปหาภรรยาแต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรเพียงพิรุณก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วนะคะ”

คณิณยิ้มตอบ “นั่นสิ”

“แบบนี้พี่ปอก็หมดห่วงได้แล้วนะคะ”

“ก็ไม่ได้ห่วงอะไรมาตั้งนานแล้ว”

“แล้วจะมาขอฝนแอบตามไปดูที่งานสัมมนาอีกหรือเปล่า”

คณิณพยักหน้า

“อ้าว”

“แต่ไม่ได้จะไปเพราะเป็นห่วงฮาร์ฟหรอกนะ ไปเพราะเป็นห่วงฝนนี่แหละ นานๆ ทีออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างสิ ไปออกงานกับพี่ก็ได้ อยู่แต่บ้านเลี้ยงลูกไม่เบื่อเหรอ”

“ก็ฝนห่วงลูกนี่นา พี่เลี้ยงก็ดูแลได้ไม่ดีเท่าเราดูเองนะคะ ไม่งั้นฝนจะยอมลาออกจากงานมาทำไม”

“ก็เอาลูกมาด้วยสิ พี่ว่ายังไงฝนก็มีคนช่วยเลี้ยงนะ”

“พี่ปอหมายถึงใครคะ”

“ก็พี่ไง จะใครล่ะ” คณิณว่า “ให้สองคนนั่นเลี้ยง สายรุ้งกับสายฟ้าได้เรียกชื่อไอ้วินทร์ก่อนชื่อป๊ะป๋าแน่เลยติดแจซะขนาดนั้น”

“โถโถโถ คุณพ่ออย่าน้อยใจไปเลยค่ะ” เพียงพิรุณหัวเราะคิกคักในลำคอ

“ปะ”

“เมื่อกี้ฝนได้ยินลูกพูดไหม” คณิณหันไปถามภรรยาเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเสียงอ้อแอ้ของเด็กชายในอ้อมแขนฟังดูชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา

“ได้ยินค่ะ” เพียงพิรุณตอบรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กันก่อนจะหันไปมองลูกชายพร้อมๆ กัน

“เมื่อกี้หนูเรียกพ่อเหรอลูก”

สายฟ้าทำปากจู๋ก่อนจะอ้ากว้างแล้วลากเสียงออกมาเป็นคำ “ปอ”

“ปอ?” คณิณทวนคำ “ปอใช่ไหม… ฝนได้ไหมลูกเรียกชื่อพี่ด้วย”

“พี่ปอขี้โกงน่ะ สายฟ้าเรียกแม่สิลูก… แม่… เร็วลูก”

“ฝนอย่ากดดันลูกสิ”

เด็กชายขยับปากอีกครั้งคนเป็นพ่อกับแม่กลั้นใจรอฟังก่อนที่ริมฝีปากเล็กๆ นั้นจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง

“ปอ”

“ลูกเรียกชื่อผม” คณิณทำเสียงอวดหน่อยๆ พร้อมกับหอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่ “เก่งมากเลยครับลูกพ่อ”

“พี่ปอน่ะ” เพียงพิรุณกล่าวอย่างอิจฉาพลางใช้ข้อศอกกระทุ้งาข้างสามีเบาๆ ก่อนจะเดินเคียงคู่กันไป

หลังจากที่คณิณออกไป ประตูห้องตรวจก็เปิดออกอีกครั้ง ซึ่งคนไข้คนรายต่อไปนี้ทำเอาทั้งสองเชิญนั่งแทบไม่ทัน

“คุณพ่อสวัสดีครับ” นรกรกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ วินทร์เองก็ทำเช่นเดียวกัน

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ปิดประตูก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฮาร์ฟพ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”

“เรื่องอะไรครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เหลือบตามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกชายก่อนจะพูดต่อ “ที่นี่ไม่สะดวก เย็นนี้มาที่บ้านได้ไหม”

“ได้ครับ… เอ่อ… แล้วพ่อ…”

“มาคนเดียวนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดอย่างรู้ทันก่อนจะกลับออกไป
ทั้งสองมองหน้ากัน มันไม่มีโอกาสให้พูดขอโทษจริงๆ อย่างที่วินทร์บอกน่ะแหละ

“แน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้” วินทร์พยายามเกลี้ยกล่อมหลังจากที่นรกรยืนยันว่าจะไปคนเดียวตามที่พ่อของตนบอก “ให้ฉันไปด้วยดีกว่า เผื่อจะได้มีโอกาสพูด นายเองก็อยากให้ฉันรีบๆ เคลียร์ความเข้าใจผิดอยู่แล้วนี่… แค่ขับรถไปส่งก็ยังดี… นะๆ ไม่งั้นนายจะกลับยังไงล่ะ”

“ผมกลัวบ้านแตกก่อนจะได้คุยน่ะสิครับ” นรกรว่า “เพราะพ่อพูดชัดเลยว่าให้ผมไปคนเดียว ผมก็ควรจะไปคนเดียว เอาไว้คุยได้ความว่ายังไงเราค่อยมาวางแผนกันอีกทีดีไหมครับ”

“จะเอาแบบนี้เหรอ”

“ตามนี้แหละครับ”

หลังเลิกงานนรกรก็ขับรถกลับไปส่งวินทร์ที่คอนโดก่อนจะขับรถออกมาอีกครั้งคนเดียวตรงไปที่บ้านของพ่อกับแม่

วิมลภาออกมาเปิดประตูต้อนรับลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนั่นทำให้นรกรสบายใจขึ้นเล็กน้อย

“พ่อจะคุยเรื่องอะไรหรือครับแม่” นรกรลองถามหยั่งเชิงดู

“แม่ไม่รู้เลยจ๊ะ พ่อบอกแค่ว่าวันนี้ลูกจะมาให้แม่เตรียมทำกับข้าวไว้เผื่อด้วยแค่นั้นเอง แล้วนี่วินทร์ไม่มาด้วยกันเหรอ”

“พ่อบอกให้ผมมาคนเดียวครับ” นรกรแปลกใจกับคำถามของแม่เพราะปกติถึงพ่อจะไม่ค่อยพูดกับเขาแต่ก็จะบอกแม่ทุกเรื่องเสมอ “แล้วนี่พ่ออยู่ไหนครับ”

“เก็บของอยู่ในห้องหนังสือน่ะ ต้องรอจนเกษียณถึงจะมีเวลาเก็บ” วิมลภาพูดกลั้วขำ “หรือจะให้ลูกมาช่วยเก็บหนังสือนะ… คิดแทนไปก็เท่านั้น ฮาร์ฟรีบไปหาพ่อเขาเถอะ เดี๋ยวแม่ไปทำกับข้างต่อก่อนนะ”

“ครับแม่” นรกรรับคำและออกเดินตรงไปห้องหนังสือที่อยู่สุดทางเดิน

เขาเปิดประตูเข้าไปเห็นแผ่นหลังของคนเป็นพ่อกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บหนังสือที่วางกองเป็นตั้งๆ บนพื้นใส่เข้าชั้น นรกรถอนหายใจเล็กน้อย อาจจะเป็นอย่างที่แม่บอกก็ได้ บางทีเขากับวินทร์คงกังวลมากเกินไป

“ผมมาแล้วครับ” นรกรร้องทักออกไป “พ่อมีธุระอะไรจะคุยกับผมหรืออยากให้ผมช่วยอะไรครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันมาสบตาลูกชาย “พอดีพ่อเก็บบ้านเตรียมรับแขกสำหรับงานทำบุญบ้านที่จะจัดอาทิตย์หน้าน่ะ แล้วตอนที่กำลังเก็บห้องหนังสืออยู่ก็นึกขึ้นได้ว่ามันมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ปู่แกชอบอ่านมากๆ แต่พ่อนึกยังไงก็นึกไม่ออกสักทีว่าชื่อเรื่องอะไรแล้วเก็บไว้ตรงไหน และมันก็รู้สึกคาใจมากๆ เลยอยากให้แกมาช่วยหาหน่อย”

นรกรนิ่วหน้านึกอยู่อึดใจก่อนจะเดินไปหยุดยืนหน้าชั้นหนังสือที่มีขนาดเต็มพื้นที่ของผนังห้อง แล้วเลือกหยิบหนังสือบนชั้นออกมาเล่มหนึ่ง “ใช่เล่มนี้ไหมครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์รับมาถือไว้ก่อนจะพยักหน้า “ใช่แล้ว”

“ดีจังครับ” นรกรยิ้ม แต่คนเป็นพ่อไม่ยิ้มด้วยและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ทำไมแกถึงรู้ล่ะ”

“ก็ผมเห็นปู่อ่านบ่อยๆ นี่ครับ เลยเดาว่าน่าจะใช่เล่มนี้”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ลูบมือไปบนหน้าปกอย่างคิดถึง “ปู่เสียตอนแกห้าขวบ ช่วงปีสุดท้ายก่อนจะเสีย ปู่ก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลตลอด แทบไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเลยและตอนที่กลับมาก็ไม่น่ามีแรงลุกมาอ่านหนังสือได้ น่าแปลกนะที่แกจำได้ทั้งที่ยังเด็กขนาดนั้น”

นรกรเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป เพราะตอนที่เขาเห็นว่าปู่อ่านหนังสือเล่มนี้คือตอนที่ปู่เสียไปแล้ว เขาหลุบตาลงมองพื้นไม่พูดอะไรอีก

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เงียบอีกแล้ว… แกก็เป็นซะแบบนี้ถามอะไรก็เงียบตลอดไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรมาแต่ไหนแต่ไร”

“คือผม…”

“หรือจริงๆ อาจจะเป็นเพราะแกพูดแล้ว ฉันไม่ยอมฟังแกก็เลยเลิกพูดก็ได้นะ”

นรกรเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ ภายใต้น้ำเสียงที่ยังคงราบเรียบนั้นเขารู้สึกว่ามันมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม เช่นเดียวกับสายตาที่มองมา มันไม่ใช่สายตาของการตำหนิหรือตั้งคำถาม แต่สายตานั่นราวกับกำลังเอ่ยคำขอโทษกับเขา
ศาสตราจารย์สรวิชญ์เก็บหนังสือใส่เข้าชั้นตามเดิม “ตกลงงานอาทิตย์หน้าแกจะมาไหม”

นรกรสบตาคนเป็นพ่อ “ผมมาได้ใช่ไหมครับ”

“มาสิ พ่ออยากให้มา”

นรกรส่งยิ้มให้พ่อ และได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา ก่อนที่สองพ่อลูกจะช่วยกันเก็บหนังสือเรียงเข้าชั้น

วิมลภาที่แอบมายืนดูลาดเลาตรงประตูก็แอบยิ้มตาไปด้วยเพราะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นสองพ่อลูกทำอะไรด้วยกันนอกจากเรื่องงานรวมไปถึงบทสนทนาง่ายๆ อย่างรายการทีวีหรือข่าวสารบ้านเมืองช่วงนี้แบบที่ครอบครัวอื่นๆ เขาทำกัน

หลังจัดชั้นหนังสือจนเสร็จก็เป็นเวลาค่ำพอสมควรนรกรจึงขอตัวกลับ

สองสามีภรรยาออกมาส่งลูกชายที่หน้าบ้าน ในขณะที่วิมลภายังไม่เลิกบ่นเสียดายที่นรกรไม่ยอมอยู่ทานข้าวเย็นด้วย

“วันหลังต้องอยู่กินข้าวให้ได้นะ”

“ครับแม่”

“ชวนวินทร์มาด้วยนะ”

“ได้ครับ”

“ดึกแล้วขับรถดีๆ นะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว

“ขอบคุณครับพ่อ แล้วผมขอโทษด้วยนะครับแม่ที่ต้องรีบกลับ ไว้วันหลังผมจะไม่พลาดจริงๆ ครับ” นรกรให้คำมั่น

“สัญญาแล้วนะ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ละสายตาจากสองแม่ลูกหันมองออกไปที่ถนนหน้าบ้าน พลันสายตาของผู้สูงวัยเห็นเงาตะคุ่มๆ ของอะไรบางอย่างตรงต้นไม้ริมรั้ว จึงตะโกนออกไป “นั่นใครมายืนลับๆ ล่อๆ ตรงนั้นน่ะ!”

“โจรหรือเปล่าคะ” วิมลภาร้องพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมไว้

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะไม่งั้นฉันจะให้เมียโทรเรียกตำรวจ!”

เจ้าของเงาตะคุ่มรีบเดินออกมาตรงแสงสว่าง “ผมเองครับ ผมเอง!”

“พี่วินทร์?”

“หมอวินทร์นี่เอง” วิมลภายกมือทาบอกอย่างโล่งใจ

“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ” วินทร์รีบยกมือไหว้ขอโทษ

“ผมบอกให้รออยู่บ้านไง ตามมาทำไมครับ” นรกรกระซิบเอ็ด

“ขอโทษที ก็คนเป็นห่วงนี่นา”

“มีอะไรถึงมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านคนอื่นในยามวิกาลแบบนี้ ทำตัวเป็นขโมยขโจรไปได้” ศาสตรจาร์สรวิชญ์ถามเสียงเข้ม

“ขอโทษครับ ผมแค่เป็นห่วงฮาร์ฟ เลยมารอรับกลับน่ะครับ” วินทร์ตอบ

“ถ้างั้นก็กลับไปได้แล้ว”

“เอ่อ… อาจารย์ครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมขออนุญาตคุยกับอาจารย์ได้ไหมครับ”

“เรื่องอะไร ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรจะคุยกับคุณ”

“เรื่องที่ผมทำให้อาจารย์โกรธไงครับ… ผมอยากมาขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษอะไรแล้วนี่ เรื่องมันจบไปแล้ว”

“คุณคะ” วิมลภากระซิบพลางดึงชายเสื้อสามี

“พี่วินทร์ครับผมว่า…”

“ผมอยากคุยด้วยจริงๆ ครับ” วินทร์ยืนกราน

ศาสตราจารย์สรวิชญ์มองตาชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเงียบไตร่ตรองอยู่อึดใจ “ตรงนี้ไม่เหมาะ ไปคุยในบ้าน”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เดินนำเข้าไปในห้องรับแขก เขากับภรรยานั่งลงตรงโต๊ะด้านหนึ่งพลาพยักหน้าให้ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้าม ก่อนจะเริ่มต้นประโยคโดยไม่อารัมภบทใดๆ

“ตกลงคุณจะบอกว่าที่ทำเรื่องแย่ๆ เหล่านั้นไปเพราะป่วยและจำอะไรไม่ได้เลยสินะ”

“ครับ”

“ผมไม่เชื่อ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตัดบทฉับถึงกับทำให้วินทร์พูดต่อไม่ถูก

“เอ่อ…”

“แต่ผมจะยกโทษให้ก็ได้ถ้าคุณจะรับปากผมมาข้อหนึ่ง”

“อะไรครับ”

“คุณยินดีจะทำเหรอ”

“ครับผมยินดี”

“เลิกยุ่งกับลูกชายผมซะ บอกตามตรงผมทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกชายเจ็บปวดอีก และเลิกยุ่งที่ว่าไม่ใช่แค่เลิกกันแต่ผมอยากให้คุณหายไปจากเขาซะ ผมให้คุณเลือกว่าคุณจะย้ายไปอยู่ที่ไหน คุณเลือกมาได้เลย เดี๋ยวผมทำเรื่องให้”

“ผม…”

“พ่อครับ”

“ทำได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ” วินทร์ตอบ

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าพูดออกมาสิว่าทำอะไรก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องยอมให้ตาแก่หัวแข็งอย่างผมทุกเรื่องก็ได้นะ ถ้าคุณเห็นว่ามันไม่สมเหตุสมผล” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “นี่สองคนอยู่ๆ กันไปกลายเป็นนิสัยสลับกันไปซะแล้ว เมื่อก่อนฮาร์ฟที่ไม่ค่อยพูดเดี๋ยวนี้กล้าเสียงดังใส่พอแถมยังเถียงหัวชนฝา ในขณะที่คนอวดดีกล้าขอจีบลูกชายผมซึ่งๆ หน้าอย่างคุณกลับกลายเป็นยอมผมไปเสียทุกอย่าง”

“ผมก็ต้องยอมสิครับ ก็ผมกลัวอาจารย์เอาลูกชายคืน” วินทร์พูดเสียงอ่อย

“เอาคืนอยู่แล้วล่ะถ้าให้ไปแล้วดูแลไม่ดีหรือทำให้ลูกชายผมลำบาก”

“ผมไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ แล้วพี่วินทร์ก็ดูแลผมดีมากด้วย” นรกรแทรกขึ้น

“นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า

วินทร์เงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ยกโทษให้ผมแล้วเหรอครับ”

“ก็มาตามตื๊อก้มหัวขอโทษให้วันละสามสี่รอบ ผมเองก็ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารขนาดที่จะไม่ให้อภัยคนสำนึกผิดนี่นา”

นรกรกับวินทร์หันไปสบตากัน คงจะเป็นกฤตที่มาขอโทษตามคำสัญญาที่ให้ไว้

“แล้วตกลงว่าจะสัญญาได้หรือยัง”

“สัญญาอะไรครับ” วินทร์ถาม

“ก็ตอนที่มาขอโทษผมถามคุณว่าสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำให้ลูกผมเสียใจอีก คุณตอบว่าไม่ได้ยังไงก็ทำไม่ได้ ผมก็เลยสงสัยว่าตอนนี้จะให้ได้หรือยัง”

“ผม…”

“ก็หายดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ครับ” วินทร์รับคำ “หายดีแล้ว”

“ก็ดีแล้ว”

“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้แล้วจะทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนไหม”

“ตกลงครับ”

“อาทิตย์หน้าเตรียมเสื้อผ้ามาค้างด้วยนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์นัด “สักสามวัน คืนก่อนวันงาน วันงานแล้วก็หลังวันงานอีกวันหรือจะอยู่นานกว่านั้นก็ได้ เห็นธีร์บอกว่าลางานมาเจ็ดวันแน่ะ พวกแกสองคนพี่น้องไม่เจอกันนานคงมีเรื่องคุยกันเยอะ”

“อ้างลูก จริงๆ คุณอยากให้มาก็พูดตรงๆ สิคะ”

“แล้วนี่ผมอ้อมตรงไหน”

วิมลภากรอกตาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปขยิบตาให้ลูกชาย

“ได้ครับพ่อ” นรกรตอบ

“ไม่ต้องห่วงงานนะ เดี๋ยวฉันเข้าเคสให้เอง” วินทร์รีบอาสา

“ขอบคุณครับ”

“จะมาเข้าเคสแทนอะไรแล้วคุณจะไม่มางานผมเหรอ”

“ผม… มาด้วยจะดีเหรอครับ”

“ฉันเป็นเจ้าภาพชวนเองไม่ดีตรงไหน”

“ขอบคุณครับ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #948 เมื่อ03-08-2019 23:43:27 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ตามที่สัญญากับศาสตราจารย์สรวิชญ์ไว้ ทั้งสองจึงรีบเคลียร์งานต่างให้เสร็จตั้งแต่คืนวันพฤหัสและมาที่บ้านในตอนเย็นวันศุกร์

“เอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อน แม่เขาจัดที่นอนไว้ให้แล้ว เสร็จแล้วค่อยลงมาคุยกัน” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกทั้งรอยยิ้มพลางชี้มือขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน “นอนห้องเดิมลูกน่ะแหละ ส่วนเจ้าธีร์กับหนูโบว์ให้นอนห้องรับแขก”
   
“นี่ที่ห้องนายเหรอ” วินทร์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับการได้ขึ้นมาบนห้องที่คนรักนอนตั้งแต่เด็กเป็นครั้งแรก เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไม่ได้กว้างมากนัก เหมาะสำหรับนอนคนเดียวหากมีข้าวของเครื่องใช้ทั้งเตียง โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้าและชั้นวางของอย่างละสองชุดตั้งอยู่คนละฝั่งของห้อง เขาวางกระเป๋าลงและเดินไปนั่งลงบนเตียงฝั่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดหน้าต่าง เมื่อชะเง้อคออมองอ้อมออกไปเล็กน้อยก็จะเห็นต้นมะม่วงสูงใหญ่ที่ปลูกอยู่หลังบ้าน “ฉันเดาว่านายนอนเตียงนี้”

“ทำไมล่ะครับ” นรกรถาม

“ก็ธีร์เคยเล่าว่าตอนเป็นเด็ก ชอบแอบไปนั่งร้องไห้ที่ใต้ต้นมะม่วงแล้วนายก็ไปตามเจอทุกครั้ง”

“ผมไม่ได้ตามเจอเพราะเห็น แต่ตามไปเจอเพราะมีคนบอกว่าอยู่ที่นั่นต่างหากครับ”

“อ้าวเหรอ” วินทร์ยิ้มแก้เก้อ

“ผมนอนฝั่งนี้ครับ” นรกรบอกพลางนั่งลงบนเตียงฝั่งที่อยู่ติดมุมห้อง “ผมไม่ชอบหน้าต่างเพราะกลางคืนมักมีคนมากวน ไม่มาชวนคุยก็มาชวนไปเล่นมันทำให้ผมนอนค่อยไม่หลับ”

“ฉันไม่น่าเปิดประเด็นเลยให้ตายสิ” วินทร์นึกภาพคนที่มาเคาะหน้าต่าง ‘ชั้นสอง’ ตอนดึกๆ แล้วขนลุกวูบ ไม่ว่าจะมาดีหรือมาร้ายเขาก็คิดว่าไม่น่าลุกมาคุยด้วยอยู่ดี “แล้วนี่เราจะเอายังไงดี เตียงเล็กแค่นี้นอนคนเดียวก็เต็มแล้ว เราลากเตียงมาติดกันไหม”

นรกรส่ายหน้า “เตียงที่ห้องรับแขกเป็นเตียงนอนใหญ่” เขาบอกยิ้มๆ “ถึงธีร์จะพาลูกมาด้วยแต่ผมไม่คิดว่านี่เป็นเหตุผลที่พ่อให้เรานอนห้องนี้นะครับ”

วินทร์พยักหน้า ถึงศาสตราจารย์สรวิชญ์จะยอมรับเขาแต่ก็ไม่ค่อยชอบใจให้เขาเกาะแกะลูกชายมาแต่ไหนแต่ไหนแล้ว นี่คงเป็นการประกาศอ้อมๆ แบบยอมลงให้ครึ่งหนึ่ง ว่าให้นอนด้วยกันก็ได้แต่ห้ามทำอะไรกันสินะ “งั้นนายนอนเตียงตัวเองไปนะ เดี๋ยวฉันนอนเตียงไอ้ธีร์เอง ห่างกันสักคืนคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”

“ดูพูดเข้า” นรกรหัวเราะเบาๆ กับท่าทีเง้างอนของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง “ลงไปข้างล่างกันเถอะครับ เผื่อจะมีอะไรให้เราช่วย”
   
วินทร์ลุกเดินตามลงไป ทั้งสองเจอศาสตราจารย์สรวิชญ์กับภรรยากำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
   
“ธีร์ส่งข้อความมาบอกว่าไฟล์ทดีเลย์น่ะค่ะ เพิ่งถึงสนามบินเมื่อสักครู่นี่เอง ถ้ารถไม่ติดอีกครึ่งชั่วโมงคงมาถึงบ้านเรา” วิมลภาบอก

“มาช้าไม่เป็นไร ขอให้มางานพรุ่งนี้ทันก็พอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว “ผมห่วงก็แต่เจ้าตัวเล็กน่ะสิต้องมาแกร่วเดินทางนานๆ แบบนี้คงเหนื่อยน่าดู”

“ธีร์บอกว่าไม่ต้องห่วงค่ะ เมื่อสองปีก่อนที่พาบินมาก็ไม่ร้องสักแอะ ดูท่าจะชอบขึ้นเครื่องนะคะ”

“กำลังพูดถึงน้องเอสเทล ลูกเจ้าธีร์เหรอครับ” นรกรเข้ามาร่วมวงด้วย

“ธีร์มีลูกสาวเหรอ” วินทร์ถามแทรกขึ้น

“สามขวบปีนี้ครับ” นรกรตอบพลางเปิดรูปที่ธีร์เข้ามาในไลน์ครอบครัวให้ดู “พี่วินทร์ยังไม่เคยเจอสินะ ผมเองก็ได้เจอแค่ครั้งเดียวเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นพี่วินทร์ยังไม่กลับจากใช้ทุนต่างจังหวัดนี่นา”

“แก้มยุ้ยเชียว สวยเหมือนแม่เลย สามขวบนี่กำลังช่างพูดช่างคุยเลยสิ” วินทร์บอกอย่างเอ็นดู

“น่ารักขนาดทำให้พ่อกับแม่บินไปหาได้ปีละหลายครั้งเลยละครับ” นรกรว่า

“จะหกโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้กินนะ” วิมลภาบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ไม่ต้องหรอกครับแม่ เราสั่งอะไรมากินหรือออกไปหาอะไรกินข้างนอกก็ได้ แม่เตรียมงานเหนื่อยมาหลายวันแล้วพรุ่งนี้คงยุ่งอีกทั้งวัน” นรกรบอก

“นานๆ ลูกกลับบ้านทีแม่อยากแสดงฝีมือนี่นา ซื้อของเตรียมไว้แล้ว ฮาร์ฟนั่งเฉยๆ รอกินเถอะจ๊ะ”

“ผมขอไปช่วยได้ไหมครับ” วินทร์เสนอตัว

“ก็ได้อยู่หรอก แต่แม่ว่าวินทร์นั่งคุยกับพ่อกับฮาร์ฟดีกว่า แม่ทำคนเดียวได้”

“เห็นแบบนี้พี่วินทร์ทำอาหารเก่งนะครับ” นรกรบอก

วิมลภาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ เพราะผู้ชายที่บ้านตั้งแต่คนพ่อยันคนลูกอาหารที่ดีที่สุดที่ทำได้เห็นจะเป็นมาม่ากับไข่เจียวเพราะแค่ให้ตอกไข่ใส่ชามยังทำไข่แดงแตกเลย

“แม่ผมเป็นครูสอนคหกรรมครับเลยพอได้วิชาติดตัวมาบ้าง” วินทร์บอก “อาจจะไม่เก่งเท่าไหร่ แต่น่าจะพอเป็นลูกมือได้ไม่น่าเกลียดครับ”

“พูดถึงขนาดนี้ แม่ต้องขอดูฝีมือหน่อยล่ะ”

“ผมช่วยด้วยครับ” นรกรลุกตามแต่วินทร์ยกมือห้ามไว้

“ไม่เป็นไร นายอยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันทำเอง นายรอล้างจานตกลงนะ”

วิมลภาหลุดขำออกมาเล็กน้อย กับท่าทางที่จ๋อยไปของลูกชายและเดินนำวินทร์ไปทางห้องครัว

ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาธีร์กับครอบครัวก็มาถึง

ธีร์ดูอวบขึ้นกว่าเดิมหลายกิโลเพราะอาหารที่อเมริกาค่อนข้างถูกปาก ตรงริมฝีปากมีไรเขียวครึ้มขึ้นน้อยๆ เพราะตอนนี้เจ้าตัวเริ่มไว้หนวดเนื่องจากลูกโตเป็นสาวแล้ว เขาดูเปลี่ยนไปจากที่เจอกันครั้งล่าสุดพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคืออ้อมกอดที่พุ่งเข้าใส่นรกรทันทีที่ยกมือไหว้ศาตราจารย์สรวิชญ์เสร็จ

“คิดถึงนายเป็นบ้าเลยฮาร์ฟ”

“คิดถึงเหมือนกันครับคุณพ่อน้องเอสเทล”

คำตอบกลับนั้นทำให้คนที่ไม่เจอกันนานนึกแปลกใจเหมือนกัน ปกติแค่อ้าปากคุยกันก็ยากแล้ว นี่มีเรียก ‘คุณพ่อน้องเอสเทล’ ด้วย ถือว่าสกิลการเข้าสังคมดีขึ้นเยอะทีเดียว แล้วไหนจะรอยยิ้มหวานๆ นั่นอีก ที่กอดไปเมื่อกี้ก็เต็มไม้เต็มมือไม่ได้ผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแบบแต่ก่อน แบบนี้แสดงว่า...

“ฉันดีใจนะที่ในที่สุดนายก็ทำใจจากไอ้หมีบ้านั่นได้แล้ว” ธีร์ว่าพลางตบบ่านรกรแปะๆ

“ทำใจอะไรเหรอ” นรกรถามงงๆ

“กับผู้ชายห่วยๆ พรรค์นั้นเลิกกันไปได้ก็ดีแล้วนะ”

“แกว่าใครเลิกกับใครวะไอ้ธีร์” คนที่รู้ตัวว่ากำลังโดนนินทาตะโกนแทรกมากลางวง

“อ้าว ไอ้วินทร์นี่แกยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอวะ เห็นป๊าบอกว่าเดือนก่อนแกโดนรถชน ตื่นมาสมองเลอะเลือนทำฮาร์ฟเสียใจ ฉันก็นึกว่าแกเลิกกับฮาร์ฟไปแล้วซะอีก นี่ดีนะที่ฉันไม่อยู่ไทย ไม่งั้นฉันนี่แหละจะขับรถชนแกให้ตายอีกรอบ”

“ไอ้ธีร์... นี่แก...” วินทร์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจะเถียงก็เถียงได้ไม่เต็มปากนัก

“หรือฉันพูดไม่จริง”

“ไม่เอาน่าธีร์” นรกรปราม “พี่วินทร์ก็ใจเย็นๆ นะครับ ธีร์เขารู้อยู่แล้ว แค่แกล้งแหย่ไปงั้นแหละ”

แต่ธีร์ไม่ยอมลงง่ายๆ “ไม่ได้แหย่นะฮาร์ฟ ฉันพูดจริงเพราะไอ้หมอนี่มันเคยสัญญากับฉันไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้นายร้องไห้ หนอยแน่ะ! ไม่เจอกันแป๊บเดียว...”

“เรื่องมันจบไปแล้ว ก็ปล่อยผ่านไปเถอะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยขึ้น “เอาของไปเก็บไป แล้วเตรียมตัวลงมากินข้าว”

“เพราะป๊าขอหรอกนะ อย่าให้มีครั้งที่สองนะเว้ย” ธีร์ชี้หน้าหมายหัว

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างรู้นิสัยลูกชายคนรองดีและหันไปหาวินทร์ “อีกนานไหมกว่าอาหารจะเสร็จ”

“คงจะอีกสักครึ่งชั่วโมงครับ อาจารย์เห็นว่าคนมาเยอะเลยทำกับข้าวหลายอย่างเลยครับ” วินทร์บอก “เดี๋ยวตั้งโต๊ะเสร็จผมมาตามนะครับ”

“ฉันอุ้มลูกให้มา เดี๋ยวโบว์จะได้ไปอาบน้ำ” ธีร์หันไปบอกภรรยาที่มีลูกสาวตัวเล็กหลับพาดคาอยู่บนไหล่

“ไม่เป็นไรธีร์ โบว์อุ้มมาตั้งนานแล้ว เปลี่ยนมือตอนนี้เดี๋ยวลูกตื่น โบว์วางลูกบนเตียงทีเดียวเลยดีกว่า ธีร์ลากกระเป๋าขึ้นไปให้หน่อยละกัน”

“ให้ฉันช่วยไหม” นรกรอาสา

“ไม่เป็นไรหรอกฮาร์ฟ ให้ธีร์ยกเองเถอะ กระเป๋าไม่ได้หนักเท่าไหร่ ออกกำลังบ้างเริ่มลงพุงแล้วเนี่ยคุณพ่อ”

“ครับๆ” ธีร์รับคำและคว้าหูกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบเดินลากตามหลังภรรยาไป

“พ่อครับ” นรกรเรียก “แล้วงานพรุ่งนี้ยังขาดเหลืออะไร หรือมีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ”

“ไม่มีแล้วล่ะ พ่อกับแม่จัดการหมดแล้ว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก “ฮาร์ฟไปพักเถอะ จะไปนั่งอ่านหนังสือให้ห้องทำงานพ่อก็ได้นะ พอดีพ่อเพิ่งได้พวกนิตยสารที่เพิ่งตีพิมพ์งานวิจัยกับText book เล่มใหม่มาหลายเล่มเลยวางอยู่บนโต๊ะแน่ะ ถ้าชอบหรือสนใจเล่มไหนจะเอากลับไปด้วยก็ได้นะ ได้ข่าวว่ากำลังจะไปนำเสนองานวิจัยไม่ใช่เหรอ”

ได้ยินดังนั้นนรกรก็หูผึ่งทันที “งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ”

“ตามสบายเลย”

เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย วินทร์ก็มาตามทุกคนไปร่วมรับประทาน ตอนนี้สาวน้อยที่หลับมาตลอดทางตื่นแล้วและแปลงร่างเป็นเจ้าหญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีชมพูเล่นซ่อนหากับคุณปู่อย่างสนุกสนาน แถมยังเล่นลามมาถึงในครัวแอบหลังขาวินทร์อย่างไม่กลัวทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก

“ฮาร์ฟไปไหนล่ะ” วิมลภาถามหาลูกชายที่ยังมาไม่ถึงโต๊ะ

“อ่านหนังสืออยู่ในห้องทำงานป๊าน่ะครับ เมื่อกี้ผมไม่ตามหนนึงแล้วเห็นกำลังตั้งใจเลยไม่เรียก” ธีร์บอกพลางนั่งลงข้างภรรยาของตน

“ผมเป็นคนบอกเองแหละ พอดีเพิ่งได้หนังสือใหม่มา” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว

“ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้นะคะ เราเริ่มกินกันก่อนเลยแล้วกัน” วิมลภาพูดอย่างเสียดายนิดๆ

“ทำไมล่ะครับเดี๋ยวผมไปตามให้” วินทร์ถามเพราะดูท่าทางทุกคนจะไม่อยากไปรบกวนนรกร

“ฮาร์ฟเป็นพวกที่ถ้าได้มีสมาธิกับอะไรแล้วจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ น่ะ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือ” ธีร์พูดอวดๆ อย่างรู้จักพี่ชายของตัวเองดี

“เหมือนพ่อเขาน่ะแหละ” วิมลภาพูดต่อ “เดี๋ยวอ่านจบบท เจ้าตัวนึกได้ก็มาเองแหละ”

วินทร์เหลือบตามองนาฬิกาบนผนังซึ่งตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว “เดี๋ยวผมไปตามให้ครับ”

“อย่าเลยน่า เดี๋ยวฮาร์ฟหงุดหงิด อาหารจะพาลกร่อยเอานะ” ธีร์ว่า

วินทร์ยิ้ม “ไม่หงุดหงิดหรอก แค่ตามมากินข้าวเอง” เขาบอกก่อนจะเดินออกไป

สามพ่อแม่ลูกมองหน้ากันเงียบๆ แล้วธีร์ก็เอ่ยขึ้น “เดี๋ยวผมมานะครับ” เขาลุกขึ้นและเดินตามหลังวินทร์อกไปเงียบๆ จนถึงหน้าห้องทำงาน เขาแอบแง้มประตูเล็กน้อยและมองผ่านเข้าไปตามรอยแยก

“ทำไมกลับมาเร็วจัง มีอะไรเหรอธีร์” วิมลภาถามลูกชาย

“แล้วสองคนนั่นล่ะ อย่าบอกนะว่าทะเลาะกันอยู่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามต่อ

ธีร์เบะปากพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่มีอะไรครับ อีกเดี๋ยวคงตามมา”

“แล้วตกลงมันยังไงล่ะ” วิมลภาว่า

“นั่นน่ะสิ ธีร์อย่ามาทำให้พวกเราอยากรู้แล้วก็ไม่บอกแบบนี้สิ” โบว์ร่วมด้วยอีกคน

“ก็มัน...” ธีร์ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ “ช่างมันเถอะ”

“ขอโทษที่มาช้าครับ” เสียงนรกรที่ดังขึ้นช่วยให้ธีร์รอดไปได้แบบหวุดหวิด หากทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินตามหลังเข้ามานั่งลงข้างกัน ธีร์ก็อดเขม่นมองด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้

“มีอะไรเหรอธีร์” วินทร์ถาม “จะเอาข้าวเพิ่มเหรอ ฉันทำอร่อยล่ะสิ”

“เปล่า” ธีร์ตอบพร้อมกับหลบตา สาเหตุที่เขาเล่าไม่ได้พูดไม่ออกเพราะไอ้หมีบ้านี่มันเล่นทำอะไรไม่อายผีสางเทวดากับพี่ชายบุญธรรมของเขาทั้งที่ยังกลางวันแสกๆ น่ะสิ


ในห้องทำงาน นรกรกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา

ร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไม่พูดอะไรแต่เดินอ้อมไปด้านหลังเงียบๆ ราวกับไม่อยากรบกวน นั่นสร้างความแปลกใจให้คนที่แอบดูอยู่หน้าประตูเป็นอย่างยิ่ง แต่แล้วร่างสูงก็กลับทำสิ่งที่น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อจู่ๆ เขาก็วาดแขนโอบรอบคนตัวเล็กกว่าจากทางด้านหลังพร้อมกับพาดศีรษะลงบนหัวไหล่แล้วกระซิบที่ข้างหู

‘ฮาร์ฟ ได้เวลากินข้าวแล้ว’

นรกรหันไปด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรปากก็ถูกปิดสนิท และในขณะริมฝีปากกำลังยื้อยุดกันอยู่ร่างสูงก็หยิบที่ขั้นหนังสือขึ้นมาสอดเข้าตรงหน้าที่อ่านค้างไว้ จัดการปิดหนังสือแล้วดึงออกห่างมือเรียวที่กำลังจับค้างไว้อย่างง่ายดาย

มันเป็นการใช้กำลังอย่างอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยจินตนาการได้ จนต้องรีบหนีกลับมาก่อนเพราะไม่กล้าอยู่ดูการโต้เถียงหลังจากนั้นต่อนี่แหละ


ธีร์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางตักข้าวใส่ปากก่อนจะอุทานออกมา “ไข่ตุ๋นชีสนี่อร่อยจัง แม่ได้สูตรมาจากไหนน่ะ”

“อันนั้นแม่ไม่ได้ทำจ๊ะ วินทร์เป็นคนทำ” วิมลภาบอก

คนที่ติดใจและกำลังจะเอื้อมมือไปตักเพิ่มแทบสำลักเมื่อได้ยินชื่อเชฟ “ไอ้วินทร์น่ะนะ!”

“ใช่จ๊ะ”

ธีร์หันไปมองหน้าคนที่นั่งอมยิ้มเคี้ยวข้าวตุ้ย จะถอนคำพูดก็ไม่ทันเพราะเพิ่งกลืนไข่เจียวชีสลงคอไป “เพิ่งรู้ว่าทำอาหารอร่อยนะเนี่ย”

“อันนี้เมนูโปรดฮาร์ฟเลยนะ กินอีกไหม มาฉันตักให้” วินทร์พูดล้อๆ

“อร่อยจริงๆ ค่ะ เอสเทลเคี้ยวตุ้ยเลยดูสิ” โบว์ว่าพลางลูบหัวลูบสาว

“ตอนฮาร์ฟบอกทีแรกแม่ก็ไม่เชื่อจ๊ะ เอาเข้าจริงที่บอกจะไปเป็นลูกมือแม่น่ะ สุดท้ายแม่ได้แต่ยืนดู วินทร์ลงมือทำเกือบหมดเลย”

“ผมก็ว่าจะทักอยู่ว่าวันนี้รสมือคุณมันแปลกไปนิดหน่อย... แต่เป็นแปลกในทางที่ดีน่ะนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยขึ้น “ที่แท้ก็ไม่ได้ปรุงเองนี่เอง”

“วินทร์ก็ให้ฉันชิมเหมือนกันค่ะว่าอยากใส่อะไรเพิ่มไหม แต่ฉันเห็นเขาทำดูคล่องเชียวก็เลยให้ทำเต็มที่อยากรู้ด้วยว่าปกติเวลาอยู่กันสองกินกันยังไง”

“แล้วใช้ได้ไหมครับ” วินทร์ถาม

“แม่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมู่นี้ฮาร์ฟอ้วนขึ้น” วิมลภาว่า “แม่เลี้ยงมาตั้งสามสิบปีไม่อ้วน ไปอยู่กับวินทร์แป๊บเดียวมีเนื้อมีหนังขึ้นเยอะเลย ขุนเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

“กับข้าวแม่ก็อร่อยครับ” นรกรรีบบอก

“ดูสิ เดี๋ยวนี้มีชมแม่ด้วย เมื่อก่อนเอาแต่นั่งอมข้าวแท้ๆ” วิมลภาว่า “ไหนวินทร์เล่าให้แม่ฟังบ้างสิ ว่าอบรมกันยังไงลูกแม่ถึงได้กินเก่งแล้วก็พูดเก่งขึ้นแบบนี้”

“ฮาร์ฟก็ไม่ใช่คนกินยากนี่ครับ ผมทำอะไรเขาก็กิน” วินทร์บอก “เพียงแต่วันไหนเขากินเยอะหน่อยผมก็จำไว้ว่าเขาชอบแบบนี้ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ถามครับ”

“แล้วฮาร์ฟบอกด้วยเหรอ”

“แรกๆ ก็ตอบอะไรก็ได้ครับ ผมเลยแกล้งทำไข่เจียวให้กินทุกวัน ต่อมาก็เลยยอมปริปากพูดครับว่าอยากกินอะไร ชอบแบบไหน”

“บังเอิญจัง” วิมลภาหัวเราะ “ใช้มุกเดียวกับแม่ตอนที่แต่งกับพ่อเขาใหม่ๆ เลย แต่ของแม่ทำผัดผักรวมมิตรเพราะรู้ว่าพ่อเขาไม่ชอบกินผัก ก็เลยแกล้งให้ซะเลยอยากปากแข็งดีนัก”

“ฮาร์ฟก็ไม่กินผักเหมือนกันครับ นี่ผมต้องเอาไปทอดบ้าง หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผัดรวมทำเป็นพวกยัดไส้อะไรแบบนี้บ้าง กินยากยิ่งกว่าเด็กสามขวบอีกครับ” วินทร์ได้ทีรีบฟ้อง “โดยเฉพาะพริกหยวกนี่ไม่กินเลยครับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อยครับ” นรกรบอก “ใช่ไหมครับพ่อ”

“ผมว่าผมกินผักเก่งนะคุณ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวเรียบๆ พลางตักผัดผักใส่จานตนเอง

“เห็ดไม่ได้อยู่ในอาณาจักรพืชนะคะ เผื่อคุณลืม” วิมลภาแย้งเพราะสามีเลือกตักไปแต่เห็ดฟางทำเอาคนอื่นๆ ในวงกลั้นยิ้มกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยกเว้นนรกรที่มีท่าทีเลิ่กลั่กนิดหน่อยเพราะในจานตัวเองก็มีแต่เห็ดเหมือนกัน

“เวลากินข้าวไม่ใช่เวลาคุย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใช่ไหมฮาร์ฟ”

“ครับพ่อ”

วิมลภาหันไปสบตากับวินทร์แล้วกินข้าวต่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหาเรื่องอื่นมาคุยกันต่ออย่างสนุกสนานเช่นเดิม
(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2019 23:48:46 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
«ตอบ #949 เมื่อ03-08-2019 23:56:30 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

หลังรับประทานอาหารเสร็จทุกคนก็มารวมตัวกันต่อที่ห้องนั่งเล่น ศาตราจารย์สรวิชญ์นั่งดูละครหลังข่าวบนโซฟาเป็นเพื่อนภรรยา นรกรหยิบเอาหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้ออกมานั่งอ่านต่อมุมหนึ่ง ในขณะที่ธีร์กับโบว์นั่งเล่นขายของกับลูกสาวอยู่ตรงพื้นห้อง แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะไม่ได้เล่นด้วยสักเท่าไหร่เพราะสาวน้อยนั้นนั่งจุมปุ๊กอยู่บนตักอาวินทร์และฉอเลาะอย่างสนิทสนมทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก

“วันนี้คุณลูกค้าจะรับอะไรดีคะ”

“แล้ววันนี้น้องเอสเทลมีอะไรมาขายล่ะคะ”

“โน โน โนววว” สาวน้อยร้องเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับโบกมือไปด้วย “อาวินทร์เป็นลูกค้านะคะ อาวินทร์จะเรียกน้องเอสเทลไม่ได้ค่ะ”

“ทำไมจะเรียกไม่ได้ล่ะคะ”

“แล้วคุณลูกค้ารู้ชื่อแม่ค้าได้ยังไงคะ”

“รู้สิคะก็อาวินทร์เป็นลูกค้าประจำไง”

“จริงเหรอคะ”

“จริงสิคะ ไหนน้องเอสเทลขายอะไรอาวินทร์ซื้อหมดเลย”

“เอสเทลไม่ขายปะป๊าบ้างเหรอคะ ปะป๊าอยากซื้อ” ธีร์พยายามเรียกร้องความสนใจจากลูกสาว

“ปะป๊าต้องรอต่อคิวนะคะ เอสเทลต้องขายให้อาวินทร์ก่อน” เอสเทลหันไปจีบปากจีบคอพูดกับคุณพ่อ

“ท่าทางคุณวินทร์จะรักเด็กนะคะ” โบว์ที่นั่งดูอยู่ข้างๆ พูดยิ้มๆ

“ผมรักเด็กครับ แล้วเด็กๆ ก็รักผมด้วยเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” วินทร์ว่า

“เออ ไอ้ปอก็เคยบ่นให้ฟังว่าลูกแฝดมันก็ติดแกน่าดู” ธีร์ว่า “รักขนาดนี้ก็มีเป็นของตัวเองไปซะสิ”

“ถ้าฉันท้องได้ก็ดีน่ะสิ” วินทร์พูดติดตลก “ว่าแต่พวกแกคุยกันด้วยเหรอ เห็นเมื่อก่อนแกเขม่นปอมันจะตาย”

“บังเอิญอยู่ในกลุ่มคุณพ่อลูกอ่อนกลุ่มเดียวกันน่ะ ช่วงหลังนี่เลยได้คุยกันเยอะ แล้วมันก็มาปรึกษาฉันเรื่องลูกมันเหมือนกันว่าจะส่งมารักษาที่อเมริกาดีไหม แต่เห็นแกกับฮาร์ฟดูแลได้ดีนี่”

“ตอนนี้คุมอาการได้ดีเลยล่ะ ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว”

“แกสองคนนี่เก่งว่ะ” ธีร์ยกนิ้วโป้งให้ “เรื่องนี้ยอมรับเลย”

“ของมันแน่อยู่แล้ว จริงไหมฮาร์ฟ” วินทร์หันไปหานรกร แต่ว่าที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า “อ้าว...”

“ไปห้องน้ำมั้ง” ธีร์เองก็สงสัยเหมือนกันเพราะเห็นนั่งอ่านหนังสืออยู่เป็นนานโดยไม่มีท่าทีจะลุกไปไหน

“โบว์ว่าไม่ใช่นะคะ” โบว์พูดขึ้นแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“ทำไมเหรอโบว์” ธีร์ถาม

“เมื่อกี้... ที่ธีร์แซวคุณวินทร์เรื่องมีลูกน่ะ โบว์หันไปเห็นพอดี ฮาร์ฟหน้าซีดเลย แล้วสักพักก็ลุกเดินออกไปน่ะค่ะ”

“เอ่อ... ฉันขอโทษทีฉันคิดน้อยไปหน่อย” ธีร์รีบพูดด้วยรู้สึกผิด “เดี๋ยวฉันไปขอโทษฮาร์ฟ...”

“ไม่ต้องหรอก” วินทร์บอก “ฉันคุยเอง เพราะประเด็นหลักของเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่คำพูดของนายหรอก”

“ค่อยๆ คุยกันนะ”

“อืม” วินทร์อุ้มสาวน้อยออกจากตักส่งคืนให้คนเป็นพ่อแล้วลุกออกจากห้องนั่งเล่นไป เขาเดินตามหาสักพักก็เจอนรกรยืนอยู่ใต้ต้นไม่หลังบ้านจึงเดินเข้าไปหา

“มาทำอะไรตรงนี้เหรอ”

“กำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อยครับ” นรกรตอบโดยไม่หันมา

ปลายเสียงนั้นสั่นน้อยๆ อย่างอ่อนแรงเช่นเดียวกันกับแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า

“คิดอะไรอยู่ บอกฉันได้ไหม”

เสียงของวินทร์นั้นอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด ราวกับรู้เรื่องราวที่หนักอึ้งอยู่ในใจของเขา นรกรเม้มปากแน่น คิดไว้นานแล้วว่าจะพูดเรื่องนี้ออกไปดีหรือไม่ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงกลัวกับคำตอบ แต่คิดว่าการพูดออกไปก็น่าจะดีกว่า

เขาค่อยๆ หันไปเผชิญหน้า หากยิ่งเห็นรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนริมฝีปากกลับยิ่งกลัวจะพูด “พี่วินทร์ครับ ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าหากพี่วินทร์… อยากจะคิดใหม่อีกสักครั้ง… กับเรื่องของเรา”

วินทร์ไม่ตอบ แต่รอยยิ้มในหน้านั้นจางลงไปชัดเจนเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าลงไปแล้วและปล่อยให้ความมืดคืบคลานเข้ามาปกคลุมท้องฟ้า

“ผมขอโทษที่ไม่สามารถทำให้พี่วินทร์มีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้... เพราะฉะนั้น... ถ้าพี่วินทร์อยากคิดใหม่ ผมก็เข้าใจและไม่ว่าอะไรนะ” พูดจบก็หลุบตาลงมองพื้น ไม่กล้าสู้สายตา ไม่อยากคิดว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ทั้งที่เป็นคนยื่นข้อเสนอให้แต่ก็กลับกลัวคำตอบเสียเอง

ได้ยินเสียงถอนหายใจดังแว่วมาเบาๆ พร้อมกับที่รองเท้าตรงหน้าขยับเล็กน้อย

“นาย... พูดจบแล้วใช่ไหม”

นรกรพยักหน้า

รองเท้าคู่นั้นขยับอีกครั้ง และค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีจนกระทั่งมาหยุดลงตรงหน้า

“ฟังนะฮาร์ฟ” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับที่ปลายนิ้วอุ่นสัมผัสเข้าที่ปลายคางดันให้เชยขึ้นเพื่อให้เห็นหน้าและสบตากันให้ชัดๆ “ฉันจะพูดให้นายฟังอีกครั้ง แต่ถ้านายยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะฉันยินดีจะพูดให้ฟังทั้งชีวิตอยู่แล้ว”

นรกรรู้สึกว่าใบหน้าร้อนวาบ เหมือนตามันพร่าและหูอื้อขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ยินถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักนั้นชัดเจนเป็นอย่างดี

“ฉันคิดมาดีแล้ว ฉันเลือกแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจแล้ว”

“แต่ผม…” นรกรพูดไม่ออก ความรู้สึกทั้งดีใจ ตื้นตันและความความรู้ผิดมันตีกันสับสนในหัว

“อยากให้พูดให้ฟังอีกครั้งไหม” วินทร์ถามซ้ำพร้อมกับเลื่อนฝ่ามือทั้งสองลงประคองรอบเอว

“พี่วินทร์... ผม...”

“ฉันรักนาย”

ถึงบรรยากาศรอบตัวจะมืดมิดหากรอยยิ้มกว้างบนเรียวปากคนตรงหน้านั้นเจิดจ้าราวกับพระจันทร์ในยามราตรี นรกรหลับตาแน่น ซึบซับคำพูดแสนอ่อนโยนนั้นไว้ในหัวพลางขยับศีรษะลงซบที่หน้าอก ตรงตำแหน่งหัวใจ “ขอโทษนะครับ”

“ขอโทษทำไม ในเวลาแบบนี้นายต้องขอบคุณหรือไม่ก็ต้องบอกรักฉันกลับสิ” วินทร์เลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะปลอบขวัญ เนื้อตัวที่สั่นเทิ้มเบาๆ บอกให้รู้ว่านรกรคงคิดทบทวนเรื่องนี้มานานมากแล้ว มันไม่ใช่แค่อาการคิดมากแต่มันคือการทบทวนชีวิตที่เหลือที่ยึดเอาตัวเขาเป็นศูนย์กลาง เป็นห่วงเขา อยากให้เขาได้เดินไปบนทางเลือกที่ดีสุด ถึงแม้ว่าเส้นทางนั้นจะไม่มีตัวเองยืนอยู่ด้วยก็ตาม

“ขอบคุณครับ” นรกรกระซิบตอบ

วินทร์รวบตัวคนในอ้อมแขน กอดแน่นๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะผละออก “ฮาร์ฟนายเหงาไหม”

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็ถ้านายเหงาหรืออยากมีลูก เราจะรับลูกบุญธรรมหรือเลี้ยงหมาแมวอะไรก็ได้นะ”

“แล้วพี่วินทร์อยากทำยังไงครับ” นรกรถามกลับ

วินทร์หยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบจริงจัง “ถ้าเป็นสัตว์ แมวไม่เอาแน่ๆ เพราะฉันมีอยู่แล้วหนึ่งตัว” เว้นววรคไปเล็กน้อยเพื่อให้คนตรงหน้าได้ทำความเข้าใจว่าเขาหมายถึงแมวตัวไหน “แล้วคอนโดที่เราอยู่ตอนนี้ก็แคบไปหน่อยสำหรับหมา ส่วนลูก… ฉันรักเด็กก็จริง แต่ถ้าไม่ใช่ลูกที่มีกับนายฉันก็เฉยๆ เลี้ยงหลานไปก็ไม่ต่างกัน เอาเป็นว่าแล้วแต่นายเลย ฉันขอแค่มีนายอยู่ด้วยกันนอกนั้นฉันได้หมด”

“อยู่กันแค่สองคนนะครับ” นรกรถามย้ำ

“ไม่มีปัญหา” วินทร์ตอบพร้อมกับยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “ขอโทษนะที่ท้องให้นายไม่ได้ ถ้าฉันมีมดลูกก็ดีสิ”

เพราะได้รับคำยืนยันชัดเจนแล้ว นรกรจึงเริ่มยิ้มออกได้บ้างกับคำที่อีกฝ่ายแกล้งแหย่ “พี่วินทร์น่ะ”

“เลิกคิดมากได้แล้วนะ” วินทร์ลูบมือลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีอ่อนนั้นอีกครั้ง “นี่… รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงชอบเรียกนายว่าที่รัก”

“ทำไมครับ”

“เพราะอยากให้รู้ว่านายเป็นที่รักของฉันไง” วินทร์บอก “เพราะฉะนั้นถึงนายไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ก็ขอให้เชื่อมั่นในตัวฉัน ว่าฉันรักนายจริงๆ ได้ไหม... ที่รัก”

“ครับ”

“เข้าไปข้างในกันเถอะ ธีร์มันใจคอไม่ดีแล้วเนี่ยคิดว่านายโกรธเพราะคำพูดมันเมื่อกี้”

“ไม่ใช่ความผิดธีร์เสียหน่อย”

“ก็ใช่น่ะสิ เพราะถ้าจะมีคนผิดในเรื่องนี้ก็คงเป็นฉันเองนี่แหละ” วินทร์พูดเสียงเบาคล้ายกับกำลังพูดกับตัวเองมากกว่า

“พี่วินทร์ผิดอะไรครับ”

“ผิดที่ทำให้นายเชื่อใจไม่ได้ จนต้องเก็บเอามาคิดมากนี่ไง”

“พี่วินทร์ไม่ผิดสักหน่อย ผมแค่...”

“เอาเป็นว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วละกันนะ” วินทร์ตัดบท “คิดน่ะคิดได้ แต่คิดถึงทางที่เราจะอยู่ด้วยกันสิ ไม่ใช่จะให้ฉันไปมีความสุขคนเดียวแล้วทิ้งนายไว้... หืม... ที่แบกวิญญาณกลับมาหาเนี่ยรู้ไหมว่าเพราะรักแค่ไหน หืม... แล้วยังจะมาไล่ให้ไปรักคนอื่นอีก มันน่าตีจริงๆ”

“ผมไม่ได้ไล่สักหน่อย แค่บอกให้คิดใหม่เอง”

“แล้วต่างกันตรงไหน รู้ไหมตอนฟังนี่เจ็บจี๊ดเลยนะ... โหย แบบ... นึกว่าใจจะขาดแล้วนะ”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษไม่หาย”

“แล้วจะให้ผมทำยังไง”

“นายรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง”

“พี่วินทร์ นี่ไม่ใช่ที่บ้านเรานะครับ”

“นายยังบอกไล่ฉันเมื่อกี้นี้ ตรงนี้เลย” วินทร์ลอยหน้าลอยตาพูด

“ก็บอกว่าไม่ได้ไล่ไง”

“ไม่รู้ล่ะ เจ็บตอนนี้ ก็ต้องง้อตอนนี้”

“สองเท่า” นรกรกระซิบ

“อะไรคือสองเท่า” วินทร์ถาม

“ถ้ายอมให้เลื่อนไปก่อน จะง้อให้สองเท่า”

“แน่ใจ?”

“ครับ”

วินทร์คำนวนความคุ้มทุนกับเวลารอในหัว “ถ้าผิดสัญญาฉันเก็บค่าปรับนะ”

“รู้แล้วครับ”

ทั้งสองเดินคู่กันกลับเข้ามาในบ้านก็เจอใครคนหนึ่งยืนรออยู่ที่ประตู

“ฮาร์ฟ เมื่อกี้ขอโทษนะ” ธีร์รีบพูดอย่างรู้สึกผิด

นรกรหันไปสบตาวินทร์ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสไหล่ธีร์ “ไม่เป็นไรธีร์ ไม่ใช่ความผิดนายหรอก”

ธีร์เหลือบตามองฝ่ามือเรียวที่วางคาอยู่บนหัวไหล่ แล้วมองเรื่อยไปสบนัยน์ตาสีอ่อนก่อนจะพุ่งเข้าสวมกอดแน่น “ยกโทษให้นะ”

“อืม” นรกรยกมือขึ้นตบไหล่ธีร์เบาๆ

“พอๆๆ” วินทร์เข้ามาแทรกกลางวง “หมดเวลาติดพี่แล้ว อยากอ้อนไปอ้อนเมียนายนู่นไป”

“ไอ้คนขี้หวง” ธีร์ว่าพร้อมกับแลบลิ้นใส่แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวคนที่กอดไว้

“เออ หวงมากด้วย”

“ไปนอนกันเถอะค่ะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีเลี้ยงพระเช้านะคะ” โบว์ที่อุ้มลูกสาวที่หมดแรงหลับไปอีกรอบแล้วเดินมาเรียก

“จ๊ะ” ธีร์รับคำภรรยาก่อนจะปล่อยมือ “ฉันพาลูกเข้านอนก่อนนะฮาร์ฟ”

“อือ”

“ไอ้วินทร์!” ธีร์หันมาทำปากบุ้ยใบ้ก่อนจะไป

“อะไรวะ”

“รู้ใช่ไหมว่าอะไรควรไม่ควร”

วินทร์หยักยิ้มมุมปากเข้าใจว่าธีร์พูดถึงเรื่องอะไรจึงแกล้งแหย่กลับไป “อะไรเหรอที่ว่าควรไม่ควร” พร้อมกับยกมือขึ้นโอบรอบเอวนรกรและยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง

“ไอ้นี่!” ธีร์ทำได้แค่กัดฟันแล้วเดินตามภรรยาขึ้นห้องไป

“ทั้งสองคนกระซิบกระซาบอะไรกันครับ” นรกรถาม

“เปล่าจ๊ะ” วินทร์ยิ้มใสซื่อประหนึ่งหมีน้อยตัวเล็กๆ พลางดึงมือกลับมาไพล่หลัง “เราเองก็ไปนอนกันเถอะ”

หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย วินทร์กับนรกรก็ขึ้นนั่งบนเตียงที่อยู่กันคนละฝั่งห้อง

“พี่วินทร์กับธีร์นี่ไม่เจอกันหลายปีก็ยังเหมือนเดิมเลยนะครับ”

“ก็หมอนั่นมันกวนฉันก่อน”

“พี่วินทร์ก็ไม่ยอมเขาเลย รู้อยู่ว่าธีร์ก็แค่พูดแกล้งไปอย่างนั้น”

“รู้สิ ไอ้คนหวงพี่ชายพรรค์นั้น ธีร์น่ะมันคอยกันท่าฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“แต่อย่างน้อยเวลาอยู่กับผม ธีร์ก็ไม่เคยใส่ร้ายพี่วินทร์ให้ฟังนะ”

“จริงเหรอ”

“ครับ” นรกรตอบ “ออกจะชมด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเขาแค่ไม่พูดต่อหน้าเพราะเขินหรือกลัวเสียฟอร์มอะไรแบบนี้มากกว่า ตอนผมยังลืมพี่ปอไม่ได้เขายังบอกให้ผมลองพิจารณาคนใกล้ดูสิ มาคิดๆ ดูผมว่าเขาหมายถึงพี่วินทร์นะ”

“ใช่เหรอ” วินทร์ถามย้ำ “หมอนั่นหมายถึงคนอื่นมากกว่า”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้าพี่วินทร์อยากรู้พรุ่งนี้ลองไปถามธีร์สิ”

“ไม่เอาหรอก” วินทร์เบะปาก “เลิกพูดถึงผู้ชายคนอื่นแล้วนอนกันเถอะ”

“ครับ” นรกรเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

“นอนห่างกันขนาดนี้ทั้งที่อยู่ด้วยกันนี่ครั้งแรกเลยนะ” วินทร์พูดขึ้นในความมืดพลางมองไปทางด้านซ้ายของตัวที่ปกติจะมีคนนอนเกาะแขนอยู่เสมอ “ทำไงดีคิดถึงอะ”

“คิดถึงอะไรครับ”

วินทร์ตะแคงตัวกลับมาเพื่อมองคนที่อยู่อีกฝั่งของห้อง “พ่อนายใจร้ายอะ แยกเตียงแบบนี้แยกห้องไปเลยดีกว่า อย่างนี้ฉันทำใจลำบากนะ อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่กอดไม่ได้เนี่ย”

“สวดมนต์เอาละกันครับ” นรกรตอบพร้อมกับดึงผ้าขึ้นห่มแล้วหลับตานอน หูแว่วได้ยินเสียงรำพึงรำพันว่า ‘คนใจร้าย’ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะตอนนี้ใจก็แทบจะลอยข้ามไปเกาะขอบเตียงด้านตรงข้ามแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 ภาคผนวก ข.P.31[6/05/2562]
« ตอบ #949 เมื่อ: 03-08-2019 23:56:30 »





ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #950 เมื่อ04-08-2019 12:04:26 »

พ่อลูกเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #951 เมื่อ04-08-2019 14:30:31 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ครอบครัวแข็งๆแต่น่ารักกันทุกคน.. ยิ่งอ่านยิ่งคิดึง.ความเป็นน้องฮาร์ฟกะพี่วินทร์จริงๆ :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #952 เมื่อ05-08-2019 08:21:25 »

จบลงด้วยดี พ่อลูกเข้าใจกัน :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #953 เมื่อ05-08-2019 09:14:27 »

งือออ อยากได้แบบพี่วินทร์มั่ง

 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #954 เมื่อ05-08-2019 13:16:14 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #955 เมื่อ05-08-2019 19:24:45 »

ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี  o13 o13 o13

ออฟไลน์ 15magnitude

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #956 เมื่อ06-08-2019 16:57:24 »

เอ็นดูคุณพ่อคุณลูก และขำมุกเห็ดของคุณแม่มาก 555555555555

รักในความรักหนักแน่นแบบแบกวิญญาณมารักของพี่วินทร์ เอ็นดูหมอฮาร์ฟมากๆ อยากจะรวบกอด ก็กลัวพี่วินทร์โดดเตะ แง

ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #957 เมื่อ06-08-2019 17:39:53 »

ผ่านอะไรมาเยอะมากเลยน้าาา ทั้งคู่
รักกันนานๆนะ
 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #958 เมื่อ07-08-2019 16:39:05 »

คิดถึง กลับมาอ่านตอนพิเศษ  :L2: :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
Re: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
«ตอบ #959 เมื่อ09-08-2019 15:06:32 »

 :pig4: :pig4: :pig4:
ปรบมือรัวๆๆๆๆๆๆๆ
เป็นนิยายที่ดีงามมากกกกกก
จะตามอ่านทุกเรี่องเลยนะคะ
 :katai2-1:
 :katai2-1:
 :katai2-1:
 :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด