Also, you
กล่องกระดาษหลากรูปแบบหลายรูปทรงตรงหน้าของเขากำลังสร้างความปวดหัวให้ไม่น้อย
เก็บไว้ตรงไหนนะ...
เค้นความทรงจำมากเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าตนวางของที่กำลังตามหานั้นไว้ตรงไหน ถอนหายใจอยู่ใต้หน้ากากอนามัยที่เตรียมเอาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ จัดการเริ่มหยิบจากกล่องขนาดเล็กด้านบนสุดมาเปิดดูของที่อยู่ด้านในพอไม่ใช่ก็ย้ายไปกล่องอื่นแทน
“อ้อ นี่ไง”
ต้องรื้อออกมาพอสมควรกว่าจะเจอสิ่งที่ตามหา ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามขอบกล่องด้วยความรำคาญใจตามสไตล์ของคนรักความสะอาด แต่คิดแล้วก็ว่าไม่ได้เพราะไม่คิดว่าจะได้กลับมาเปิดมันอีกครั้งด้วยสาเหตุนี้
ธาวริณก้มลงมองพื้นอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีโศกนาฎกรรมใดเกิดขึ้นระหว่างการไต่บันไดลงไป ก้าวลงมาทีละขั้นไม่เร่งรีบเพื่อไม่ให้เสียบาลานซ์ในการทรงตัว
เดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่มีโต๊ะเข้าชุดกัน กล่องกระดาษแข็งแบบมีฝาปิดเต็มไปด้วยซากของอุปกรณ์สื่อสารที่ผ่านการใช้งานมานักต่อนัก พอนับจำนวนเครื่องทั้งหมดแล้วก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นพัฒนาการในภาพรวม
เขาใช้มาตั้งแต่ยังเป็นหน้าจอเล็กขาวดำสมัยประถม จอสีแบบถ่ายรูปได้รุ่นแรกๆ ไปถึงแบล็กเบอรีรุ่นทัชสกรีนที่เขาเริ่มใช้งานก่อนที่มันจะฮิตกันทั่วเมืองแล้วกลายเป็นว่าตอนที่เริ่มขอพินกันเขาก็เปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่นแล้ว
หยิบไอโฟนสามที่เป็นเหตุผลในการเผชิญฝุ่นออกมา ตามด้วยสายชาร์จที่ก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นคนเก็บของที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วได้ครบครันขนาดนี้ เขาทำความสะอาดตัวเครื่องที่โทรมไปตามสภาพด้วยทิชชูแบบเปียก รอให้มันแห้งเล็กน้อยแล้วถึงเสียบเข้ากับเต้ารับที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากระยะเอื้อมมือถึง
หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาทำให้ใจชื้นได้หน่อยว่าการลงทุนรื้อครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ระหว่างที่รอให้เครื่องประมวลผลมันมีเวลามากพอที่พาให้ย้อนรำลึกถึงอะไรบางอย่าง เป็นความตื่นเต้นที่ระคนไปกับความหวาดกลัวจนวูบหนึ่งเขาอดลังเลไม่ได้ว่าควรจะเปิดมันต่อไปดีหรือไม่
กำลังทำอะไรอยู่นะ
รำลึกความหลังที่มีแค่เขาคนเดียวจำได้อย่างนั้นเหรอ
หน้าจอล็อกสกรีนรูปแบบที่ไม่ได้เห็นมาแสนนานดูประหลาดเล็กน้อย และภาพพื้นหลังที่ลืมไปแล้วว่าเคยหวงแหนมากแค่ไหนก็เรียกเอารอยยิ้มที่เจือไปด้วยความสุขปนเศร้าได้ดี
ขอบคุณตัวเองในสมัยนั้นที่ไม่ได้ใส่รหัสผ่านอะไรเอาไว้ไม่อย่างนั้นคงต้องรำลึกชาติกันเป็นการใหญ่ รูปแบบของไอคอนดีไซน์เก่าตอกย้ำเขาแปลกๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงนี่มันช่างรวดเร็วจนบางครั้งมันก็แสนจะยากลำบากที่จะคงบางอย่างเอาไว้
เข้าไปเชื่อมต่อไวไฟให้เรียบร้อย สไลด์ปลายนิ้วบนหน้าจอสองครั้งจนเจอกับแอปพลิเคชันที่ตามหา เขาอดตาโตให้กับการทำงานที่ดูเหมือนว่าจะยังคงประสิทธิภาพเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่ได้
นึกย้อนไปแล้วก็ตลกดีเหมือนกันที่สมัยหนึ่งต้องพึ่งพาแอปที่ไม่ได้พัฒนาจากเจ้าของโดยตรง แต่เป็นตัวกลางที่เข้ามาช่วงชิงพื้นที่ในระหว่างที่ตัวเอสเอ็มเอสยังไม่ได้ให้บริการในระบบปฏิบัติการนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งข้อดีของมันก็คือการที่สามารถออนได้หลายอีเมล์พร้อมกันนี่แหละ
เลื่อนหาห้องสนทนาที่เป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อข้าวของทั้งหมด เผลอขยับมุมปากให้กับข้อความสุดท้ายที่เขาเองก็ลืมไปสนิทเหมือนกันว่าเคยพิมพ์อะไรเอาไว้
ดูหนังพรุ่งนี้
สิบโมงครึ่ง
เจอกันนะ ตั้งแต่สิบห้า...จนยี่สิบห้า
สิบปี
นานเหมือนกัน
15 สวัสดีครับ ธาวริณเลิกคิ้วให้กับข้อความใหม่ล่าสุดที่โผล่ขึ้นมาในห้องแชตรวมที่มีตัวเลขผู้ใช้งานเพียงแค่สี่ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นน่ะมักจะออนค้างเอาไว้แต่ตัวไม่อยู่เสมอ
ผ่านไปสักพักแล้วก็ยังไม่มีใครสานต่อการสนทนา เขาผู้ซึ่งสุดแสนจะว่างก็เลยตัดสินใจพิมพ์ข้อความตอบกลับไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดว่าที่นี่มันแดนเถื่อน
- ครับ เพิ่งเข้ามาอยู่ในบอร์ด ฝากตัวด้วยนะ
- ได้เลยครับ พิมพ์ตัวโคลอนตามด้วยวงเล็บปิดเป็นอย่างสุดท้ายเพื่อให้สัญลักษณ์รอยยิ้มปรากฏก่อนกดส่งกลับไป เขาขยับเมาส์ไปตรงคำสั่งหน้าโฮมเพื่อเข้าไปยังส่วนของข้อมูลเพิ่มเติมของสมาชิกรายใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรช่วยไหม
ในบอร์ดออนไลน์มักจะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาทักทายอยู่เสมอ ทุกอย่างที่ยังเป็นค่าเริ่มต้นบอกเขาว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งเริ่มเล่นอย่างที่บอกจริง คือมันก็มีความเป็นไปได้แหละที่จะเคยเล่นในชื่ออื่นมาก่อนแล้วเปลี่ยนไอดี แต่สำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่จะต้องไปตามสืบถึงขั้นนั้น อยากให้รู้จักแค่ไหนก็พอ ยังไงเราก็คงไม่ได้เจอกันในชีวิตจริงอยู่แล้ว
กลับมารีเฟรชหน้าบอร์ดเพื่อพบว่ามีกระทู้ใหม่จากพี่คนสนิท มันเป็นกระทู้ที่ตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานของคนว่างงานในเวลาปิดเทอม แบบว่าคิดอะไรไม่ออกก็ตั้งคำถามไปทั่วแล้วคนที่ว่างพอกันอย่างเขาก็จะเข้าไปช่วยตอบ เป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยที่น่ารักเหลือเกิน
นี่
ผมเข้าไปตอบต่อจากคุณในกระทู้ได้ไหม ข้อความที่แจ้งเตือนด้านบนขวาดูน่าเอ็นดู ไม่กล้าฟังธงว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศไหนหรือว่าอายุเท่าไหร่เพราะพลาดมานักต่อนัก ส่วนนิสัยนี่ขอดูไปยาวๆ เลย
- ได้นะ
- พี่เขาไม่กัด 5555+ เข้าใจความรู้สึกนั้นดี ตอนที่เขาเข้ามาอยู่ในบอร์ดนี้ใหม่ๆ ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรแหละที่จะแทรกซึมให้กลมกลืนกับทุกคน มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างแหละนะ เขาไม่ค่อยเกร็งตอนเข้ามาตามสไตล์คนมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป ตอนนี้เหลือแค่เขากับเพื่อนอีกคนเองที่ยังเล่นอยู่
ตอบไปล่ะ
กลัวอะ
คุณชื่ออะไรเหรอ
ชื่อภีมนะ เลิกคิ้วขึ้นสูงตอนเห็นข้อความสุดท้าย ชักจะเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นมือใหม่หัดเล่นบอร์ดจริงเพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ได้แนะนำตัวด้วยชื่อที่ใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างนี้ มันมักจะเป็นชื่ออะไรที่ดูแล้วไม่เจอในสังคมแต่ว่าพอมาใช้แทนตัวเองในโลกออนไลน์แล้วมันก็เท่ดีเหมือนกัน
- เธม
- อ่านว่าเทม
- แต่ปกติแล้วในนี้จะแทนตัวเองว่าโซล คิดอยู่ว่าควรจะอธิบายให้เข้าใจเพิ่มเติมดีกว่าไหม แบบว่าทำไมถึงมีหลายชื่อทำนองนั้น แต่อีกใจก็คิดว่าชื่อสมมติมันน่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่คนในบอร์ดทุกคนต้องรู้สิ
ช่างมันเถอะ เดี๋ยวอยู่ไปสักพักก็คงเข้าใจธรรมชาติในการเล่นบอร์ดพวกนี้เองแหละ
ยินดีที่ได้รู้จักนะเธม
- ยินดีที่ได้รู้จัก เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ไม่คิดว่าจะยาวนาน จากที่คิดว่าเป็นเพื่อนกันชั่วคราวยามปิดเทอมก็กลายเป็นว่าต่อให้เปิดเทอมชั้นมัธยมสี่มาได้เกือบสองเดือนแล้วเราก็ยังคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระเสมอ มันก็คงเป็นเรื่องของความสบายใจในระยะห่างที่มีให้กันแบบที่เพื่อนในโรงเรียนให้ไม่ได้
พอใจกับระดับความรู้จักมักจี่เท่านี้ รู้แค่ว่าอีกฝ่ายเรียนอยู่ในโรงเรียนชายล้วนห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วก็เรียนสายวิทย์คณิต ส่วนนอกจากนั้นแล้วสิ่งที่รู้ก็แค่ชื่อภีมแค่นั้นแหละ
คงเหมือนกับเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกันที่ใช้เวลาในช่วงเช้าไปกับการเรียนในระบบ มีไปเรียนพิเศษต่อบ้างในช่วงเย็น ส่วนกลางคืนมันก็เป็นการพักผ่อนอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์
กดคลิกไปยังพอปอัปด้านล่างซ้ายทันทีที่เห็นการแจ้งเตือนจากเอ็มเอสเอ็นว่ามีบางคนออนไลน์แล้ว ภาพตัวแทนที่เป็นรูปผู้ชายใส่หน้ากากที่ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ เป็นทีมเต้นที่อีกฝ่ายเคยเล่าว่าหลงไหลขั้นหนัก เคยลองเข้าไปดูการแสดงในยูทูปก็เท่ไม่หยอก
- วันนี้เหนื่อยมาก
- ไม่อยากเรียนฟิสิกส์แล้ว เป็นฝ่ายเริ่มทักทายแบบทั่วไปไม่มีอะไรเป็นพิเศษ วันนี้มีเรื่องน่าเบื่อที่เจอในห้องเรียนก็เลยเล่าให้อีกฝ่ายอ่านตามความเคยชิน จะเรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตประจำวันก็ได้มั้ง อย่างเขาไม่เคยเรียนในโรงเรียนชายล้วนมาก่อนพอมาฟังเรื่องนั่นนี่ก็เป็นการเปิดโลกเหมือนกัน
นี่เกลียดเคมีกว่า เป็นข้อดีของการที่เรียนในสายการเรียนเดียวกันมันก็เลยพอเข้าใจหัวอกกัน แต่ทำไมถึงเกลียดวิชานี้ล่ะ เขาชอบมากเลยนะ
- สนุกจะตาย
ไม่สนุกเลยคุณ
เชื่อมอะไรไม่ได้สักอย่าง
มาสอนให้หน่อย
จะตายแล้ว หลุดยิ้มให้กับพอปอัปคนร้องไห้ที่อีกฝ่ายเพิ่งจะส่งมา พิมพ์ส่งกลับไปตามความเคยชิน
- ไม่
- ไปเรียนพิเศษสิ มันก็เป็นเรื่องปกติของการเรียนไปแล้วล่ะนะ ช่างบิดเบี้ยวจนตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าสถานศึกษาในระบบยังมีบทบาทอะไรบ้าง ในเมื่อนอกจากมันจะไม่ใช่สถานที่สำหรับศึกษาหาความรู้แล้วยังเป็นแหล่งบ่มเพาะความอันตรายในหลายมุมอีกด้วย
คุณเรียนป่ะ เคมีอะ
- เรียน
- ทำไม
ที่ไหน จะไปเรียนบ้าง
จะได้เจอคุณด้วย “...”
มือที่ตอนแรกวางไว้บนแป้นเตรียมพิมพ์โต้ตอบถูกชักกลับมาวางเอาไว้ตรงพื้นที่ว่างตรงตัก สับสนกับข้อความนั้นจนรู้สึกว่าต้องการเวลาในการทำความเข้าใจ
ไม่รู้สิ สำหรับเขาแล้วการได้คุยกันแบบผิวเผินอย่างนี้เป็นความสบายใจที่เขานึกชอบและยังไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง รวมถึงว่าสามารถเล่าบางเรื่องออกไปได้โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะแพร่งพรายออกไปหรือไม่
- รีบเหรอ
- นี่ไม่เห็นอยากจะเจอ
ใจร้าย
สักนิดก็ไม่เหรอ มุมปากขยับองศาขึ้นยามเห็นถ้อยคำตัดพ้อ
- ล้อเล่น
- ไว้จะเก็บไปคิด
- แต่ไม่รับปากนะ ตอบอย่างนั้นไปก็ไม่เป็นไรมั้ง ยังไงก็คงไม่ได้เจอกันเร็ววันนี้หรอก
มันเรียกว่าความบังเอิญได้หรือเปล่า
หรือว่ามันเป็นความจงใจจากสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
“เป็นแค่งานโชว์ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
ธาวริณไม่รู้ว่าหน้าตัวเองตอนอ่านเอกสารรายละเอียดการแข่งกันโต้วาทีระดับมัธยมบนมือเป็นแบบไหน
ตอบตามตรงที่ไม่ได้ฟังที่อาจารย์พูดเท่าไหร่ สายตาของเขาตอนนี้น่ะอยู่ที่ชื่อของโรงเรียนที่เจ้าของงานเสียมากกว่า ต่อให้มันเป็นสถานศึกษาของคนอีกกว่าพันแต่คนเดียวที่เขากำลังคิดถึงก็ไม่พ้นเพื่อนเหมือนจะสนิทคนนั้นนั่นแหละ
เหมือนว่าทางโรงเรียนของภีมจะมีวันเปิดบ้าน ก็เลยอยากจะเชิญโรงเรียนที่ได้รับรางวัลเหรียญทองระดับจังหวัดโต้วาทีสมัยมัธยมต้นอย่างพวกเขาสามคนไปแสดง ใจหนึ่งก็น่าอิจฉาที่มีงบประมาณเพียงพอที่จะมาเชิญคนนอกอย่างนี้ คือถ้าเป็นโรงเรียนเขาเหรอชาติหน้าคงได้ทำบ้าง
“ได้เงินด้วย พวกเธอก็ได้โดดเรียนด้วย”
เรื่องของจำนวนเงินมันไม่ได้มากมายถึงกับทำให้ตาลุกวาว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นจำนวนที่คุ้มกับการฝึกซ้อมเพื่อการโชว์เพียงไม่กี่ชั่วโมง ธาวริณหันไปปรึกษากับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนเกี่ยวกับตารางเรียนในวันนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้ข้อสรุปแล้วว่ามันไม่น่าจะกระทบกับการเรียนของใครทั้งนั้นก็เลยตอบตกลงไป
“ได้ครับ”
ก็เก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์แล้วกันนะ
เสียงโห่ร้องเชียร์หลังจากเขาปิดญัตติเป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายไม่น้อย ธาวริณสวมแว่นสายตากรอบใหญ่อีกครั้งภายหลังจากที่กระชากมันออกด้วยท่าที่คิดเอาเองว่าเท่ที่สุดเพื่อประกอบการสรุป
แปะมือกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนตามสไตล์การให้กำลังใจทีมเวิร์ก พ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่างานจบลงด้วยความราบรื่น หลังจากนี้ก็มีรอรับเกียรติบัตรพร้อมเงินรางวัลนิดหน่อยจากนั้นก็จะเป็นเวลาอิสระก่อนที่อาจารย์จะเรียกรวมในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า
ได้โดดเรียนสมใจ
ภาพรวมของงานเขาขอนิยามว่าตื่นตาตื่นใจ เหนื่อยนิดหน่อยที่ต้องเป็นองครักษ์พิทักษ์เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของกลุ่ม คืออยากจะแฉเหลือเกินว่าเห็นเป็นสาวผมยาวหน้าตาจิ้มลิ้มอย่างนี้ตัวตนที่แท้จริงแสนจะเถื่อน เขายังพูดอยู่บ่อยครั้งเลยว่าเสียดายของ
ประทับใจการจัดงานอีกอย่างก็ตรงที่มีการส่งเด็กนักเรียนมาประกบเพื่ออำนวยความสะดวกตลอดเวลา ธาวริณปรายตามองสตาฟตัวใหญ่ที่สร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้เด็กต่างโรงเรียนอย่างพวกเขาด้วยการเล่าเรื่องผีประจำโรงเรียนให้ฟังอย่างออกรส ตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าสบโอกาสก็จะถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป
“นายอยู่ม.สี่เหมือนกันเหรอ”
“อืม ห้องกิฟต์อะ”
อันนี้ที่จริงก็รู้ชั้นปีอยู่แล้วเพราะตราบนหน้าอกมันบอกชัด รู้สึกดีที่โรงเรียนตัวเองไม่ต้องปักชื่อลงบนเสื้อโชว์หรา
ได้ยินคำว่าห้องพิเศษแล้วมวนท้องขึ้นมาเฉย “เรียนธรรมดานี่ยังจะตายเอา”
“จริง อยากย้ายทุกวันเลย”
สัมผัสได้ว่าเป็นเพื่อนสายช่างจ้อ เพื่อไม่ให้มันออกทะเลไปก่อนเขาเลยต้องรีบถามในสิ่งที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอบตกลงกับอาจารย์ที่ปรึกษา
“ในม.สี่รู้จักคนที่ชื่อภีมบ้างไหม น่าจะเป็นชื่อเล่น” ถามหว่านแหไปอย่างนั้นแหละ ไม่คิดว่าจะรู้จักอยู่แล้ว คือเหมือนมาที่นี่ทั้งทีก็ใช้ให้คุ้มหน่อย
“อืม...” พอลากเสียงยาวคิดหนักอย่างนั้นตอนแรกคือใจห่อเหี่ยวไปแล้วนะ “นี่รู้จักภีมหนึ่ง ภวิล ตอนม.ต้นอยู่ห้องเดียวกัน”
คงเป็นอีกครั้งที่เขากังขากับคำว่าความบังเอิญ
“อ้อ...”
“ทำไม รู้จักเหรอ”
“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้มั้ง” คือรู้จักกันในบอร์ดนี่นับว่ารู้จักกันไหมนะ
“คนดีนะ เป็นหัวหน้ากองรด. ด้วย”
ถอนคำพูดที่เมื่อกี้บอกว่าไม่ชอบพวกช่างพูดไม่มีหยุด ตอนนี้เขาอย่างให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องอะไรก็ได้ออกมาเกี่ยวกับคนที่เหมือนจะสนิทแต่ไม่รู้จักกันสักนิด ก็ไปถามเจ้าตัวกว่าจะรู้คงเป็นชาติหน้าช่วงเย็น เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งหลอกอะไรก็ไม่สำเร็จแล้ว
“สไตล์ที่คนจะชอบอะ มันไนซ์กับทุกคนเลย”
“เข้าใจเลย”
พยักหน้าเห็นด้วย นึกย้อนกลับไปแล้วแค่เห็นจากตัวอักษรกับการตอบโต้ก็บอกได้ว่าเป็นอย่างไร
“ไม่ได้นัดเอาไว้เหรอ”
“เปล่า ไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอขนาดนั้นด้วย” กลัวว่าจะโดนขุดไปถึงข้อมูลที่ต้องการเก็บเอาไว้เป็นส่วนตัวก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย “ตรงนั้นคืออะไรอะ”
“อ๋อ... อันนั้นส่วนขายของที่โรงเรียนบังคับให้ต้องทำ...”
หลังจากนั้นก็โดนลากแบบไม่เต็มใจมากนักให้เข้าไปเยี่ยมชม ประหม่าขึ้นมาเฉยเมื่อต้องตกอยู่ในวงล้อมของเด็กต่างโรงเรียนทุกทิศทาง ส่วนหนึ่งของใจก็อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าเราอาจจะได้เจอกันในรูปแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน
แต่ก็นั่นแหละ
เรื่องบังเอิญไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเสียหน่อย
- ว่าไงหัวหน้ารด.
- ไม่เคยบอกเลยนะ รู้เลยว่ารอคอยการแจ้งเตือนว่าออนไลน์แล้วของอีกคนแค่ไหน ธาวริณพิมพ์ข้อความที่เตรียมเอาไว้ในใจตั้งแต่ก่อนกลับโรงเรียนว่าจะต้องมีการส่งไปแซวเจ้าของตำแหน่งนั้นให้ได้ ตอนนี้เขาอยากจะปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่ายมากว่าจะเป็นอย่างไร
เหย
คุณรู้ได้ไง?
- ไม่บอก
เธมมม TT เห็นตัวอักษรที่กลายเป็นสัญลักษณ์ร้องไห้แล้วก็อมยิ้มคนเดียว จงใจอ่านแล้วยังไม่ตอบเพื่อให้ได้กระวนกระวายเล่นๆ ที่ผ่านมาน่ะเขาโดนแกล้งตั้งเยอะ ขอแก้แค้นหน่อยแล้วกัน
- วันนี้ไปโรงเรียนคุณมา
- ใหญ่อะ อันนี้ไม่ได้ชมไปเรื่อย โรงเรียนชายล้วนในความคิดของเขามันจะต้องมีความสกปรกในตัวเองแบบที่ไม่น่าพึงประสงค์ ส่วนที่ไปเจอจริงค่อนไปทางสะอาดจนอยากจะรู้ว่าว่ามีฝ่ายดูแลรักษาความสะอาดกี่คน
พูดจริง?
- อือ
มางานเหรอ
ไม่บอกก่อน ก็ตั้งใจจะไม่บอกไง
จะว่ายังไงดีล่ะ คือจะให้เดินไปแล้วบอกว่า ‘สวัสดีนะภีม นี่เธมเอง’ อย่างนี้ก็ไม่ได้ไหมล่ะ
สำหรับเขาน่ะนะแค่ได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศของโรงเรียนที่อีกฝ่ายโตมาก็โอเคแล้ว
อีกอย่างคือไม่พร้อมสำหรับการเจอกันหรอกนะ
มันยังคงอยู่ในระดับของเพื่อนทางเน็ตที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเล็กน้อยเป็นเพื่อนในเอ็มเอสเอ็น เราก็จะทักทายกันบ้างตามประสาถ้าเห็นหน้าต่างแจ้งเตือนว่าอีกฝ่ายได้ออนไลน์แล้ว
โคตรว่างอะวันนี้
เอาแต่นอนอ่านการ์ตูนในห้องเรียน
ถ้ารู้ก็ไปหาคุณแล้ว ถามคนตรงนี้หน่อยไหมว่าพร้อมจะเจอหรือเปล่า เขาน่ะคิดแค่ว่าได้ลองมาเยี่ยมโรงเรียนส่วนเรื่องเจอน่ะถึงทำเป็นเก่งอยากเจอหน้าแต่สุดท้ายก็คงหลบเข้ามุมตั้งแต่แรก
- อ่านต่อไปเถอะ
- ไม่รบกวน
ก็ยังไม่ได้บอกว่ากวนนะ หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรข้อความสุดแสนธรรมดามันถึงมีอิทธิพลกับเขาเหลือเดิน
แต่มันก็แฟร์หน่อย
ไว้ตั้งใจเจอกันดีกว่าเนอะ
- อืม จะว่าไปเพื่อนออนไลน์มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เท่าไหร่นะ
โต๊ะ 21 ตั้งใจเรียนจังเลยครับวันนี้ “...?”
มันเป็นการทักทายที่แตกต่างจากที่เคยเป็นมาพอสมควร
- หมายถึง?
ก็วันนี้ใครไปเรียนพิเศษ
ฟิสิกส์ “...”
หันไปมองหนังสือประกอบการเรียนพิเศษวิชาที่ถูกเจาะจงเมื่อสักครู่ที่วางอยู่ไม่ไกลจากระยะสายตา บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกหงุดหงิดที่โดนรุกล้ำความเป็นส่วนตัวหรือว่าตื่นเต้นกับระดับความสัมพันธ์ที่เริ่มก้าวออกจากระยะตัวอักษรโดยไม่ทำได้ตั้งตัว
- คุณไม่ได้มีเรียนวันนี้นี่ อันนี้จำได้เพราะว่าเราเคยเอาตารางเรียนมาแชร์กันแล้วเขายังขอบคุณทุกความเป็นใจที่ทำให้เราไม่มีเรียนในวันเดียวกันเลย คือไม่ต้องมากังวลเรื่องว่าจะบังเอิญเจอโดยไม่ทันได้เตรียมใจล่ะนะ
ชดเชยของครั้งที่แล้ว
ที่โดดเรียนไปช่วยเพื่อนทำเวที นี่ก็คนดีเหลือเกิน ภีมเล่าว่ามันจะมีงานภายในที่ต้องตั้งเวทีขึ้นใหม่ แล้ววันนั้นมันคนไม่ขอก็เลยอาสาไปช่วย กว่าจะเลิกก็เกือบสี่ทุ่ม ยังมีหน้าทักมาประมาณเที่ยงคืนอีกว่าวันนี้ยังออนทันเจอเขาอยู่ คือปกติก็นั่งอยู่หน้าจออย่างนั้นจนเกือบตีหนึ่งประจำไหมล่ะ
- แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเรา ก็ว่าไม่เคยบอกลักษณะเฉพาะอะไรที่ทำให้ฟันธงได้ว่าเป็นคนที่ตามหาอยู่นะ
เก่ง เป็นคำตอบที่อยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณสามชั่วโมงก่อนแล้วจะหันไปกลอกตามองบนใส่คนที่ทำตัวเป็นสตอกเกอร์ แค่มาแอบมองตอนที่เรียนอยู่มันก็น่ากลัวแล้วไม่ใช่เหรอ
- ตามใจ
แต่ไม่กล้าเข้าไปทัก
คุณดูตั้งใจเรียน ขอบคุณอะไรก็ตามแต่ที่ดลใจให้ทำอย่างนั้น คือเขาไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่แสนจะพิลึกใจอย่างนั้นได้หรอกนะ อย่างที่เดินเข้ามาแล้วก็บอกว่าได้เจอกันสักทีอะไรอย่างนี้
- คราวหน้าก็กล้าๆ หน่อย
- เข้ามาทักเลย
- รอ หากสิ่งที่พิมพ์ลงไปมันกลับสวนทางกับทุกอย่างที่กล่าวมา
***
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่เรื่องสั้นประจำปี 2020 ของเจ้านะคะ (ยิ้ม)
#คุณเช่นกัน