บทที่ 2
ผู้ปกครองคนใหม่
Sati’ s talk
“เอ๋.....” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนในละครเลยครับ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่ที่แปลกออกไปคือ เหมือนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องอย่างไรอย่างนั้นแหละ ผมพยายามมองซ้ายมองขวา..และนั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่คิดและรู้สึกเป็นจริง เพราะตอนนี้รอบๆ ตัวของผมมีไอ้จ้อย ไอ้แจ่ม และคุณตำรวจ ว่าแต่คุณตำรวจมาทำไมที่นี่นะ สติงงจังครับ
“พี่ติฟื้นแล้ว บอกหลวงตาเร็วไอ้จ้อย” ไอ้แจ่มแหกปากเสียงดังส่วนไอ้จ้อยก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพากันหายออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับคุณตำรวจที่แต่ตำเต็มยศพร้อมกับดาวบนบ่าที่เรียงสวยเหมือนครั้งแรกที่ผมเคยเจอ
“ไง”
“สวัสดีครับ เจอกันอีกจนได้ เจอในสภาพนี้ทุกที” ผมยกมือขึ้นไหว้คุณตำรวจ “คราวนั้นผมยังไม่ได้ถามเลยว่าคุณตำรวจชื่ออะไร แต่....ร้อยตำรวจตรีณฐิ..ผมเรียกว่าพี่ฐิได้ไหมครับ”
“มึงตื่นมาแล้วพูดมากจังวะไอ้ติ”
“เห้ย! คุณตำรวย เอ้ย! คุณตำรวจรู้จักชื่อผมได้ไงอะครับ” ผมเผลอตัวลุกนั่งทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณตำรวจเรียกชื่อผมด้วยท่าทางสนิทสนม
“ค่อยๆ ลุกก็ได้” คุณตำรวจที่แสนจะใจดีรีบเข้ามาประคองด้านหลังพร้อมกับปรับเตียงให้ผมสามารถนั่งได้ถนัด
“ผมขอถามไรหน่อยนะครับ คือทำไมผมได้มาอยู่ห้องพักหรูๆ แบบนี้ ผมคงไม่มีปัญญาจ่ายหรอก วานคุณตำรวจบอกพยาบาลให้ย้ายห้องให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” แค่คิดถึงค่าใช้จ่ายก็น่าจะแพงเอาเรื่องเดิมทีเงินเก็บก็จะไม่พอเอาไปเรียนต่ออยู่แล้วถ้าเอามาจ่ายค่าห้องพักมีหวังเงินในบัญชีติดลบแน่นอน
“กูจ่ายเอง” คุณตำรวจกอดอกทำท่าทีเหนือกว่ามองมาที่ผม
“ผมเกรงใจ แบบจะพูดอย่างไงดีคือผมกับคุณตำรวจก็ไม่ได้สนิทกันแบบนั้น ที่ผมพูดแบบนี้คือเกรงใจนะครับไม่ได้จะว่าหยิ่งอะไรเลย และที่สำคัญผมไม่มีปัญญาใช้คืนได้อย่างแน่นอน”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย คนที่ทำมึงต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องคดีความกูจัดการให้ทุกอย่าง ถ้ามึงฟื้นแล้วเดี๋ยวกูโทรบอกให้พวกคนที่ทำมึงมาขอโทษ”
“ผมถามจริง”
“หน้าตากูเหมือนคนโกหก?”
“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าทันทีเพื่อเป็นการปฏิเสธ เอาจริงๆ ผมยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความทรงจำล่าสุดของผมคือถูกพวกไอ้เต๋ากระทืบอยู่หลังวัดจำได้ว่าตอนนั้นเจ็บฉิบหาย แต่ทำไมตอนนี้..ไม่เจ็บว่ะ “คุณตำรวจช่วยบอกผมทีว่าผมไม่ได้ถูกตัดขา”
“......”
“คือผมจำได้ว่าผมถูกฟาดที่ขาแรงๆ ...” สาบานได้ว่าไม่อยากก้มลงไปมองเลย ถ้าเกิดมองแล้วผมไม่เจอขาตัวเองผมคงทำใจไม่ได้ นอกจากไม่หล่อแล้วยังจะพิการอีก
“แล้วฟาดที่ขาแรงๆ ถึงกับต้องตัดขาเลยเหรอวะ? พึ่งเคยได้ยินเหมือนกัน” คุณตำรวจไม่ตอบคำถามแต่คำพูดของคุณตำรวจเหมือนกำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่าผมโง่ฉิบหายเลยแบบนี้
“ผมไม่อยากก้มไปมองไงคุณตำรวจ”
“ไม่ได้ตัดแต่เข้าเฝือกเพราะกระดูกบริเวณที่โดนฟาดหัก”
“โล่งอกไปที” ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณตำรวจ
“มองหน้าหาอะไร?”
“คือผมอยากจะบอกว่าผมขอบคุณคุณตำรวจมากๆ นะครับที่เป็นธุระจัดการให้ผมทุกอย่างทั้งเรื่องคดีความและเรื่องการรักษา”
“ไปขอบคุณหลวงตาดีกว่าเพราะท่านวานให้กูช่วยเป็นธุระให้เพราะท่านมีกิจไปต่างประเทศ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้หลวงตาต้องไปพุทธคายาที่อินเดียวกว่าจะกลับก็ปีหน้า แล้วไอ้ที่สองตัวนั้นบอกจะไปโทรหาหลวงตาพวกมันจะโทรติดไหม
“พี่ติ ผมลืมไปว่าหลวงตาไปอินเดีย แฮะๆ” ไอ้จ้อยวิ่งกลับเข้ามาในห้องเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
“พี่ก็ว่าอยู่ว่าพวกเอ็งจะโทรไปได้อย่างไง” ผมส่ายหัวให้กับไอ้สองตัว ไอ้จ้อยกับไอ้แจ่มเป็นเด็กวัดเหมือนอย่างผมนี่แหละแต่มันโชคดีกว่าที่ยังมีพ่อกับแม่แต่พ่อกับแม่ของมันฝากไว้กับหลวงตาซึ่งมีศักดิ์เป็นตาแท้ๆ ของพวกมัน
“คุณตำรวจบอกพี่ติหรือยังครับว่าต้องไปอยู่กับคุณตำรวจ” อยู่ๆ ไอ้แจ่มก็พูดขึ้น
“ห้ะ? เอ็งพูดว่าอะไรนะไอ้แจ่ม” ผมหันไปทางไอ้แจ่มหลังจากที่ได้ยินมันนั่งคุยกับคุณตำรวจที่โซฟาราวกับว่าสนิทกันมาสิบปี
“ยังเลย พี่ของเราตื่นขึ้นมาก็พูดไม่หยุดจนพี่ไม่ได้บอก” ไอ้ท่าที่อบอุ่นของคุณตำรวจที่มีต่อไอ้แจ่มคืออะไร ผมไม่เข้าใจ เรียกแทนตัวเองว่าพี่แต่เรียกตัวเองว่ากูกับผม งงไปเลยดิหรือหน้าตาผมมันไม่ได้น่าเอ็นดูเหมือนไอ้สองตัวนั้น
“คุณตำรวยบอกผมก่อนว่ามันคืออย่างไง ผมไม่เข้าใจ”
“นอกจากจะโง่แล้วยังเข้าใจอะไรยากอีก” คราวนี้คุณตำรวจหันหน้ามาทางผมพร้อมกับกลอกตามองบนประหนึ่งว่ารำคาญผมสุดๆ ไปเลย ผมแค่ถามนิดเดียวเอง....
“ก็คนพึ่งตื่นอะครับคุณตำรวย”
“ไม่มีอะไรก็แค่ไปอยู่บ้านกูเท่านั้น” คุณตำรวจยักไหล่เหมือนว่านี่เป็นเรื่องเล็ก “แล้วก็เลิกเรียกกูว่าคุณตำรวย เพราะมันไม่สุภาพ”
“ผมเกรงใจ ผมอยู่ที่วัดเหมือนเดิมได้นะครับ จะได้ไม่ไปกวนคุณตำรวจ” ไม่ให้เรียกก็ไม่เรียกก็ได้ สติเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ
“พอดีว่าเรื่องนี้คนที่ตัดสินใจคือกู ไม่ใช่มึง ดังนั้นเงียบแล้วก็ทำตามที่พูด เพราะต่อจากนี้ผู้ปกครองของมึงคือกูครับ ไม่ใช่หลวงตา”
“ผมขออนุญาตถามจริงอีกสักรอบได้ไหมคุณตำรวจ”
“.....ไปแจ่มจ้อยพี่พาไปเลี้ยงไอติม” และคุณตำรวจก็ฉกตัวน้องชายของผมออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมงงอยู่ในห้องคนเดียว
สรุปแล้ว คือผมต้องไปอยู่กับคุณตำรวจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราสองคนไม่เคยเจอกันมาก่อน ถ้าพูดง่ายๆ คือคนแปลกหน้าดีๆ นี่เอง ถึงแม้ว่าอาชีพการงานจะดูโคตรน่าไว้ใจ แต่อย่างไงผมก็ไม่อยากไปอยู่ดีเรื่องนี้คนที่เห็นดีเห็นงามน่าจะเป็นหลวงตา เพราะหลวงตาเคยพูดกับผมไว้ว่า
‘ถ้าเอ็งยังมีเรื่องอยู่อีก หลวงตาจะส่งเอ็งไปอยู่กับตำรวจ’
ผมไม่คิดว่าหลวงตาจะทำจริงๆ อย่างที่พูด เพราะหลวงตาไม่ใช่กษัตรตรัสแล้วคืนคำได้ รู้หรอกว่าไม่เกี่ยวอะไรกัน แต่ตอนนี้ไอ้ติเครียดโว้ยยยย!! แล้วไอ้คุณตำรวยนี่ก็เชื่อคนง่ายเหลือเกิน เอาผมไปอยู่บ้านด้วยทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าผมนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ถ้าผมเป็นโจรบ้านคุณตำรวยจะเหลือแค่ที่ดินอะครับ คิดแล้วก็เซ็งๆ
หลังจากที่อยู่ในห้องคนเดียวผมก็เผลอหลับไปเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือการนอนครับ หลับแม่งเลย รู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดแล้ว
“พี่ติกินข้าวกินยา พรุ่งนี้คุณตำรวจจะมารับออกจากโรงพยาบาล” ไอ้แจ่มรีบวิ่งมาเกาะที่เตียงทันทีที่มันเห็นว่าผมตื่น
“ไปเอาไอแพดใครมาไอ้จ้อย?” ผมมองไปยังไอ้จอยที่นอนดูอะไรบางอย่างในไอแพด
“ของคุณตำรวจ พี่กูนอะ พี่รู้จักชื่อเขายัง หล่อแล้วใจดีสุดๆ เลย เขาเอาไอแพดมาให้ผมเล่นกับไอ้แจ่มด้วย ใช่ไหมไอ้แจ่ม
“ช่ายยย พี่กูนใจดีที่สุดในโลกเลย” กูน ใครชื่อกูนวะ? คุณตำรวจไม่ได้ชื่อฐิหรอกหรอ?
“ใครคือพี่กูนของพวกเอ็งวะ”
“คุณตำรวจไง พี่เขาบอกว่าชื่อกูน แปลว่าลูกชายและก็มีน้องสาวชื่อว่าธิตา” ผมนั่งมองไอ้สองตัวที่ผลัดกันพูดด้วยน้ำเสียงเจี่ยวแจ้ว
“พวกเอ็งสนิทกับคุณตำรวจถึงขั้นเล่าประวัติให้ฟังกันเลยเหรอ”
“ใช่ พี่กูนออกจะใจดี สุภาพ”
“พวกเอ็งไม่ได้ยินเขาเรียกพี่ว่ามึงกูรึไง นี่นะสุภาพของพวกเอ็ง”
“ก็ได้ยินแต่พี่กูนบอกว่ามันสุภาพสำหรับใช้เรียกพี่ติอะดิ และอีกอย่างพี่กูนของพวกเราบอกว่าพี่ติก็พูดกับพวกเราไม่สุภาพที่เรียกพวกเราว่าเอ็งแบบนี้” คราวนี้ไอ้จ้อยพูดแทน
“เออ พี่มันไม่ใจดีเหมือนพี่กูนอะไรของพวกเอ็งนิ แล้วถ้าไม่ให้พี่เรียกว่าเอ็งจะให้เรียกว่าคุณน้องชายที่แสนประเสริฐรึไงวะ” ไอ้สองตัวถูกคุณตำรวจล่อซื้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “คนที่คอยซักผ้าให้พวกเอ็ง แบ่งเงินให้พวกเอ็ง ซื้อของเล่นให้นี่หมดประโยชน์แล้วดิ แค่ไอแพดเครื่องเดียว.....”
“นี่ สองเครื่องต่างหาก” ไอ้แจ่มรีบวิ่งไปเอาไอแพดอีกเครื่องขึ้นมาโชว์ก่อนที่ผมจะพูดจบประโยชน์ ยอมรับก็ได้ว่ะว่าที่ผมเคยให้พวกมันยังไม่เท่าราคาไอแพดสองเครื่องเลย “แต่ไม่ต้องน้อยใจนะเดี๋ยวพี่ติไปอยู่กับพี่กูน พี่ติก็จะได้เหมือนพวกผม”
“ทำไมพูดเหมือนพวกเอ็งไม่ไปด้วยวะ?”
“ไอ้จ้อยลืมบอกใช่ไหมเนี่ย ก็พ่อกับแม่ผมจะมารับพรุ่งนี้อะดิ ดีใจที่สุด” ไอ้แจ่มพูดแทรก “กลับมาอยู่ไทยถาวรเลย” พูดแล้วก็ใจหายเหมือนกันพวกมันก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของผม แต่ก็ต้องยินดีกับพวกมันด้วยเพราะมันจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของพวกมันจริงๆ สักที ส่วนผม...ก็ถึงคราวย้ายอีกรอบ
“ลาก่อยนะพี่ติ รักเสมอ ไลน์มาหาพวกเราได้นะมีไลน์แล้ว” พวกมึงมีแต่กูไม่มีไง แค่โทรศัพท์โทรเข้าโทรออกได้ก็บุญนักหนาแล้ว “เดี๋ยวจดใส่กระดาษไว้ให้นะ พี่กูนสมัครให้พวกเราแล้ว” ผมส่ายหน้าให้กับไอ้สองตัวนั้นโดยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับพวกมันดี แต่เอาเถอะปล่อยเด็กมันไป
เช้าวันต่อมา
ผมตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำโดยมีไอ้สองตัวยุ่งคอยช่วยเวลาผมอาบน้ำ ผมไม่ได้ให้มันช่วยอาบหรอกนะแค่ให้พวกมันหยิบข้าวหยิบของให้เท่านั้นก่อนจะนั่งรอคุณตำรวจมารับ จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนเกือบเย็นพ่อแม่ของไอ้สองตัวมารับกลับไปแล้วก็เหลือแต่ผมนั่งเหงาอยู่ในห้องคนเดียว ไหนคุณตำรวยบอกไอ้เด็กสองตัวนั้นว่าจะมารับตอนเช้าไงวะ หรือไอ้สองตัวนั้นมันบอกผมผิด?
“หรือกูโดนทิ้ง?” น่าจะเป็นไปได้ที่ผมจะโดนทิ้งนะครับ บางที่คุณตำรวจก็อาจจะแค่รับปากหลวงตาเฉยๆ ผมคิดแล้วว่าไม่มีใครเอาผมไปอยู่ด้วยหรอก ผมก็คงกลับไปอยู่วัดแบบเดิม
ผมกดสัญญาณเรียกพี่พยาบาลให้เข้ามาหาที่ห้องเพื่อจะขอทำเรื่องย้ายออกจากโรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่รู้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เพราะเมื่อวานคุณตำรวยบอกเขาทำหน้าที่จ่ายให้แทนจากเงินค่าสินไหมที่ผมได้รับจากพวกไอ้เต๋า
“ว่าไงคะคุณคนไข้” รอไม่นานพี่พยาบาลคนสวยก็เข้ามาในห้องด้วยท่าทางสุภาพ
“พอดีผมอยากจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลอะครับ ผมว่าผมหายแล้ว”
“ต้องมีผู้ปกครองมาทำเรื่องนะคะ”
“แต่ผมอายุเลยยี่สิบแล้วนะครับ” ผมพยายามอ้อนวอนพี่พยาบาล “หรือว่าผมต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล แถวนี้มีธนาคารไหมครับ ผมจะไปกดเงินมาให้ ถ้าคุณพยาบาลไม่ไว้ใจไปกับผมก็ได้นะครับ” ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่มีโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ตโฟนไอ้เรื่องโมไบล์แบงก์กิ้งพวกนี้ผมไม่มีหรอก แต่ไม่รู้ว่าไม่ได้เอาสมุดบัญชีมาผมจะไปกดได้ไหม
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ....”
“นะครับๆ ผมไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผมอยากกลับวัด...” จะพูดว่าบ้านก็ไม่ได้เพราะผมไม่มีบ้านอยู่
“ไม่ได้ค่ะคุณคนไข้”
“แต่....”
“วัยรุ่นใจร้อนรึไง?” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณตำรวยที่วันนี้มาในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนไม่ได้มาเต็มยศเหมือนที่เคยเจอ นี่เป็นครั้งที่สามแล้วใช่ไหมที่ผมเจอกับคุณตำรวจ แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากไปอยู่บ้านกับคุณตำรวจเลย “ขอโทษนะครับคุณพยาบาลที่ทำให้รบกวน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” พี่พยาบาลได้ออกจากห้องไปแล้วทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เราสองคน จะบอกว่าเขินก็ไม่ใช่ มันรู้สึกว่าอึดอัดมากกว่ามั้ง ผมก็บรรยายบรรยากาศไม่ถูกเหมือนกัน
“คือให้ผมกลับไปอยู่วัดก็ได้นะครับ ไม่จะได้ไม่เดือดร้อนคุณตำรวจ”
“แล้วบอกรึยังว่าเดือดร้อน?”
“ก็ไม่ได้บอกแต่ผมเกรงใจไง คุณตำรวจไม่กลัวผมขโมยของเหรอ” ผมพยายามหาเหตุผลมากล่อมให้คุณตำรวจยอมปล่อยผมกลับไปนอนที่วัดเหมือนเดิม
“กลัวทำไมถ้ามึงขโมยกูก็แค่จับเข้าคุก”
“โถ่ ทำไมพูดง่ายอย่างนั้นละคุณตำรวจ” หมดแรงที่จะเถียง
“เปลี่ยนเสื้อผ้า” คุณตำรวจโยนถุงกระดาษลงบนเตียงที่ผมนั่งอยู่ “เดี๋ยวไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วจะมารับ” และเป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเพราะถูกคุณตำรวจเดินหนี
“สั่งเก่งฉิบหาย” ผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่ง ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าตำรวจแม่งชอบออกคำสั่งแบบนี้นี่เอง
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จผมก็นั่งรอคุณตำรวจอยู่ที่โซฟา ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับรถเข็นโดยมีบุรุษพยาบาลทำหน้าที่เข็นมา
“เชิญคนไข้นั่งครับ” ผมพยุงตัวเองพร้อมเฝือกหนาๆ มานั่งบนรถเข็นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ถึงพูดมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้คุณตำรวจใจอ่อนยอมให้ผมกลับไปนอนที่วัดหรอกครับ
“เดี๋ยวผมเข็นเองครับ” อยู่ๆ คุณตำรวจก็เข้ามาเข็นแทนพี่บุรุษพยาบาล และนั่นที่ทำให้ผมนั่งเกร็งจนจะเป็นบ้า เกิดมาไม่เคยมีใครเข็นให้ผมเลย “เกร็งไรขนาดนั้นวะ”
“ก็ผมเกร็งมันห้ามไม่ได้อะครับคุณตำรวจ”
“พี่กูน”
“คือ..?” อยู่ๆ คุณตำรวจก็พูดอะไรบางอย่างซึ่งมันขัดกับบทสนทนาเบื้องต้น
“เรียกว่าพี่กูนกูชื่อกูน”
“ผมคิดว่าคุณตำรวจชื่อฐิซะอีก”
“คนอื่นก็เรียกฐินั่นแหละ แต่กูนเอาไว้ให้คนที่บ้านเรียก”
“เห้ย! ผมเป็นคนในครอบครัวคุณตำรวจแล้วเหรอ” ผมเอี้ยวตัวหันไปมองหน้าคุณตำรวจด้วยความสงสัย
“มึงอายุยี่สิบตอนนี้กูจะสามสิบละ ก็เหมือนเลี้ยงลูกนั่นแหละ อย่างไงก็ผู้ปกครอง จะถือว่าเป็นครอบครัวก็ได้มั้ง” ผมมองหน้าคุณตำรวจด้วยความอึ้งเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ ผมจะกลายไปเป็นลูกของเขา
“แต่ว่า..สิบขวบมันมีลูกได้แล้วเหรอคุณตำรวจ”
“มึงช่วยเหลือตัวเองตอนอายุเท่าไหร่”
“อื้มม ไม่รู้อะครับ”
“ช่างเถอะ” แล้วคุณตำรวจก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งมาถึงรถของคุณตำรวจที่ผมเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่คุณตำรวจอาสามาส่งหลวงตากับผมที่วัด
“ผมต้องกลับไปเอาของที่วัดไหมครับ” หลังจากขึ้นรถมาแล้วผมจึงเอ่ยปากถามคุณตำรวจ
“แจ่มกับจ้อยบอกว่ามึงไม่ค่อยมีของส่วนตัวเท่าไหร่นอกจากเอกสาร กูให้แจ่มกับจ้อยเอามาให้แล้ว”
“ผมก็มีอยู่นะ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย” ไอ้เด็กพวกนี้มันกล่าวหาผมลอยๆ ได้อย่างไงวะ ของผมออกจะเยอะอย่างน้อยก็มีเสื้อเจ็ดตัวกับกางเกงยีนสองสามตัว
“เดี๋ยวซื้อให้ใหม่เลย”
“คุณตำรวจ....”
“พี่กูน”
“โอเค พี่กูนผมเกรงใจนะ พี่เอาผมไปเลี้ยงแล้วยังต้องเสียเงินเสียทองอีก ผมตอบแทนไม่หมดหรอกครับ” อันนี้ผมพูดจริงๆ นะเพราะผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะตอบแทนพี่กูลอย่างไรดีกับสิ่งที่ทำให้ผม “อย่าบอกว่าเป็นเด็กดีแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ โคตรเหมือนพ่อบอกลูกเลย”
“แค่เฝ้าบ้านให้กูพอ อีกอย่างกูรวย”
“ฟังดูเหมือนหมาเลยนะพี่” ผมหันไปมองด้านข้างของพี่กูนด้วยความแปลกใจ “เงินเดือนตำรวจมันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอพี่?”
“ไม่เยอะ แต่กูรวยโดยกำเนิด” ผมขออนุญาตหมั่นไส้ความรวยของพี่เขาจริงๆ ตอนนี้ผมขอเรียกคุณตำรวจว่าพี่กูนแทนนะครับเพื่อความชินในอนาคต
“ครับพี่ เชื่อแล้ว” ผมนั่งเงียบโดยไม่พูดอะไรออกมาจนกระทั่งพี่กูนขับรถเลี้ยวเข้ารั้วบ้านแห่งหนึ่งที่ดูจากภายนอกก็มองออกว่าโคตรยิ่งใหญ่
“ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าพี่รวยจริง”
“ก็บอกแล้ว” พี่เขาไม่เถียงจริงๆ ครับ ยอมรับหน้าตาเฉยว่ารวยจริงซึ่งผมก็จะไม่เถียง “ลง” ผมเปิดประตูค่อยๆ ลงจากรถเพราะมีเผือกที่คอยเกะกะอยู่
“ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมยังเดินได้อยู่” ผมปฏิเสธพี่กูนก่อนจะเดินตามพี่เขาไป แต่ทางที่พี่กูนเดินไม่ได้เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่แต่เดินเข้าไปในสวนที่มีต้นไม้ปกคลุมจนมองไม่เห็นด้านหลัง
“พี่จะให้ไปนอนในป่าเหรอ”
“เดินตามเงียบๆ ก็พอ ถึงแล้วจะรู้เอง” ผมพยักหน้าและเดินตามพี่เขา