Chapter 19: Impossible
เรื่องที่จัสตินโทรมาบอกรบกวนจิตใจของคนเป็นน้องตั้งแต่เมื่อวาน
ออสตินนอนหลับไม่สนิทสักเท่าไรนัก ถึงเขาจะรู้ดีว่าสักวันจะต้องมีเรื่องนี้เกิดขึ้น และในตอนแรกเขาก็มั่นใจว่าเขาคงจะไม่รู้สึกอะไร ไม่น่าจะมีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะเขาคิดแต่เพียงว่าต้องการให้เด็กหนุ่มมาอยู่ข้างกายเท่านั้น หากทว่าพอต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง มันกลับทำให้เขาสงบใจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
รถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้าไปในรั้วบ้านหลังใหญ่ ชายหนุ่มลงจากรถ ตรงเข้าไปยังห้องรับแขก บอกกับแม่บ้านให้ไปตามพี่ชายตนมาพบ ไม่นานนัก จัสตินก็ปรากฏตัวพร้อมกับพยาบาลผู้ดูแลเช่นเดิม ก่อนอีกฝ่ายจะทักทายกับคนมาใหม่ด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
“ไหนว่ามีธุระที่บริษัท แล้วทำไมถึงมาก่อนเวลาได้ล่ะ”
ออสตินเหลือบตามองผู้ชายอีกคนที่บังคับให้รถวีลแชร์เคลื่อนที่เข้ามาใกล้เขา ในใจอยากจะบอกเหมือนกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่นใดทั้งปวง เขาต้องรีบมาก่อนเวลาอยู่แล้ว หากทว่าไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
“หืม? ว่าไง คำตอบล่ะ”
“เราเข้าเรื่องกันเลยเถอะ”
ออสตินบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเหตุผลที่ตนมาก่อนเวลา
เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับกานต์มันสำคัญทั้งนั้นแหละ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะมาก่อนเวลานัดหมายอย่างนี้
จัสตินเห็นท่าทางของน้องชายก็ไม่อยากจะตอแย ถึงอีกฝ่ายจะนิ่ง แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าในใจของออสตินในตอนนี้ดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก คาดเดาไปว่าเพราะตนไปรบกวนเวลาทำงานของคนตรงหน้าจึงทำให้ออสตินอารมณ์ไม่ค่อยดีอย่างนี้ คงต้องรีบคุยและรีบจบเรื่องให้เร็วที่สุดก่อนที่อีกฝ่ายจะหัวเสียมากกว่าเดิม
“เอาเอกสารให้ผมหน่อย”
จัสตินหันไปบอกกับพยาบาล หล่อนพยักหน้า เดินไปหยิบเอกสารที่บรรจุอยู่ในซองสีน้ำตาลในห้องหนังสือของผู้เป็นนายมาวางลงบนโต๊ะกระจก ออสตินปรายตามอง ไม่คิดจะหยิบขึ้นมาเปิดดูสักนิด
“มันเป็นเอกสารสำหรับให้เขียนรายละเอียดน่ะ นายจะต้องกรอกเพื่อเอาไปยื่นทำเอกสารรับรองบุตรบุญธรรม แต่ก่อนที่จะทำเรื่องนั้น มันมีเรื่องที่ยุ่งยากกว่านั้นอีกสักหน่อย”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องของลูกเลี้ยงนาย” จัสตินเว้นจังหวะไปครู่ พอเห็นคนตรงหน้าสบตา เขาก็ว่าขึ้นอีก “แล้วก็เรื่องของอดีตสามีของภรรยานายด้วย”
ออสตินเข้าใจว่าหมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าของกานต์ และเขาก็พอจะเข้าใจด้วยเช่นกันว่าจัสตินตั้งใจจะพูดอะไร แต่ไม่ทันจะได้ออกปาก จัสตินก็อธิบายออกมาแล้ว
“การที่จะรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรมได้อย่างถูกต้อง นายจะต้องถามความสมัครใจของกานต์ก่อนว่าอยากจะเป็นบุตรบุญธรรมของนายหรือเปล่า”
เรื่องนั้น...ออสตินตอบได้เต็มปากเลยว่าไม่อย่างแน่นอน เขามั่นใจมากทีเดียวว่าถ้าหากกานต์รู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มจะต้องปฏิเสธเสียงแข็งแน่
“แล้วกานต์ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถึงเจ้าตัวจะยินยอม แต่ยังไงก็ต้องให้ครอบครัวเดิมยินยอมด้วย กานต์ยังเหลือพ่ออยู่ ถึงจะหย่ากับแม่ไปนานแล้ว แต่ก็ถือว่าเขายังมีสิทธิ์ในตัวบุตร เพราะกานต์ไม่ได้ถูกกระทำความรุนแรงจากพ่อมาจนเป็นคดีความ แต่นายไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีแผนแล้ว กะว่าจะยัดเงินสักก้อนให้ผู้ชายคนนั้นยอมเซ็นยินยอม เท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
จัสตินว่าอย่างสบายๆ สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นแผนการที่เขาวางไว้อย่างรอบคอบแล้ว ออสตินก็เห็นดีด้วยว่าแผนของเขานั้นน่าจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากทว่ากลับไม่เห็นด้วยที่จะรับกานต์เป็นบุตรบุญธรรม
ทำไมน่ะเหรอ?
เรื่องนั้นไม่ต้องถามเขาหรอก ทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าทั้งเขาและกานต์ต่างไม่ได้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ทว่ารู้สึก...อยากเป็นของกันและกันมากกว่า
และเพราะคิดอย่างนั้น ออสตินจึงระบายลมหายใจออกมาด้วยหนักใจ แผนที่เขาเคยวางไว้กับจัสตินเมื่อครั้งที่แม่ของกานต์ยังมีชีวิตดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องในตอนนี้เสียแล้ว จนในที่สุด ออสตินก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา
“พี่ ผมขอพูดตามตรง”
“หืม? เรื่องอะไร”
“ผมไม่อยากได้กานต์เป็นลูกบุญธรรม”
ได้ยินอย่างนั้น จัสตินก็ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าดีๆ ในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง
“นายหมายความว่า...”
“ผมไม่อยากให้กานต์เป็นลูกบุญธรรมของผม ผมไม่ต้องการ”
ย้ำมาอีกครั้งก็ชัดเจนอย่างที่สุด จัสตินนิ่วหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนไปทันที
“พูดบ้าอะไรของนาย รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา”
ออสตินนิ่งไปครู่ “ผมรู้ตัว” ก่อนที่จะย้ำประโยคเดิมออกมาอีกครั้ง “ว่าผมไม่อยากได้กานต์เป็นลูกบุญธรรม”
จัสตินไม่เข้าใจสิ่งที่ออสตินแสดงออกสักเท่าไรนัก
ไม่อยากได้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมทั้งที่ตอนแรกก็เห็นดีเห็นงามด้วย หรือว่า...น้องชายของเขาจะมีปัญหากับเด็กคนนั้น?
“กานต์เกเรเหรอ?” จัสตินเดาเรื่องนี้เป็นอย่างแรก ทว่าออสตินกลับปฏิเสธ
“เปล่า”
“แล้วเพราะอะไร”
คนถูกถามนิ่งไปอีกครั้ง เขาพูดไม่ได้หรอกว่าเพราะไม่ได้คิดกับเด็กหนุ่มเป็นลูกเลี้ยงอีกต่อไป ทว่าคิด...เสมือนกับคนรัก
“ฉันถามว่าเพราะอะไร” จัสตินคาดคั้นเมื่อเห็นว่าน้องชายไม่พูด
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของทั้งคู่สบประสานกัน ออสตินลอบถอนหายใจ ถึงจะไม่อยากบอก แต่เรื่องนี้คงจะต้องให้จัสตินรับรู้ ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกยัดเยียดให้รับกานต์เป็นบุตรบุญธรรมไม่หยุดหย่อนแน่
“เพราะผมรักกานต์”
“...”
“ไม่ได้รักแบบลูก”
“อย่าบอกฉันนะว่านาย...”
ความเงียบของออสตินเป็นคำตอบ จัสตินชักสีหน้า แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้รับรู้
“พระเจ้า! ให้ตายเถอะออสติน! นายคิดบ้าอะไรอยู่ นั่นลูกเลี้ยงของนายนะ!”
เสียงตวาดลั่นหลุดลอดออกจากปากของจัสติน เป็นออสตินบ้างแล้วที่ขมวดคิ้วย่น เถียงกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เขาไม่ใช่ลูกเลี้ยงของผม”
“...”
“แต่เป็นลูกเลี้ยงของพี่ต่างหาก”
“...”
จัสตินพูดไม่ออก กำมือแน่น ว่าเสียงต่ำ
“แต่นายแต่งงานกับแม่ของเด็กนั่น นายเป็นสามีเธอ เท่ากับว่าลูกของเธอคือลูกเลี้ยงของนาย”
ออสตินจ้องหน้าพี่ชายไม่ลดละ เขาไม่อยากจะพูดประโยคที่อยู่ในใจ แต่คงต้องพูดออกไปเพราะเหมือนจัสตินจะลืมไปแล้ว
“ความจริงเธอคือภรรยาของพี่ต่างหาก ลืมไปแล้วเหรอว่าผมแต่งกับเธอแค่ในนาม”
ลำคอของจัสตินตีบตันไม่ทันที เขาเถียงไม่ได้
เรื่องนั้น...เป็นเรื่องจริง
ทว่าจัสตินก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้สักคำ เขาโกรธในสิ่งที่ออสตินพูดและคิด
ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อรับปากกับเขาแล้วว่าจะดูแลกานต์เป็นอย่างดี จะวางตัวเป็นพ่อเลี้ยงที่ดี แล้วทำไม...!?
“ออสติน...นาย!”
จัสตินถลาเข้าหาอีกฝ่ายจนไหลลื่นลงจากรถวีลแชร์ล้มหน้าคะมำ ออสตินเห็นก็รีบผุดลุกจากโซฟาเข้ามาประคอง พลันถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรไหม”
“อย่ามาจับฉัน!”
คนถูกช่วยปัดมืออีกฝ่ายออกเต็มแรง พอออสตินผละถอยไป จัสตินก็พยายามจะผุดลุกขึ้นนั่ง กระนั้นก็ไม่สามารถทำได้ สุดท้ายก็เป็นออสตินที่ต้องเข้ามาพยุง แต่แล้วเขาก็ถูกกระชากคอเสื้อเต็มแรง ก่อนคนเป็นพี่จะตะคอกใส่หน้า
“ไอ้เวรเอ๊ย! นายรับปากแล้ว! นายรับปากฉันแล้วว่าจะดูแลกานต์! ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมตัวเอง!”
กระชากและเขย่าจนอีกฝ่ายศีรษะคลอน ออสตินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ว่าออกมาช้าๆ
“ผมพยายามแล้ว”
“พยายาม? พยายามตรงไหนของนาย! มารู้สึกบ้าๆ กับลูกเลี้ยงของตัวเองนี่ นายยังปกติดีอยู่หรือเปล่า!”
“กานต์ไม่ใช่ลูกเลี้ยงของผม”
ออสตินยังคงย้ำประโยคเดิม
กานต์ไม่ใช่ลูกเลี้ยงของเขาจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนั้น ที่ตัดสินใจแต่งงานกับแม่ของกานต์ก็เพราะเป็นความต้องการของผู้หญิงคนนั้นและของจัสตินซึ่งเป็นคู่รักกัน ถึงเขาจะเป็นฝ่ายยินยอมแต่งงานกับเธอตามคำขอร้องของพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นกานต์เป็นลูกเลี้ยงสักหน่อย
ไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อย...
ออสตินคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเมื่อสองปีก่อนกะทันหัน ตอนนั้นพี่ชายของเขาตกหลุมรักกับผู้หญิงไทยที่รู้จักกันผ่านทางแอพพลิเคชันหนึ่งถึงขั้นวางแผนแต่งงานกัน เขาซึ่งเป็นน้องชายและสมาชิกครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวอดเป็นห่วงไม่ได้ จนต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปพบกับผู้หญิงคนนั้นที่ไทย และนั่น...เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับกานต์
ออสตินค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กหนุ่มจำเขาไม่ได้ หากแต่เขาจำอีกฝ่ายได้ดี
จำได้ดี...และจำแม่นเสียด้วย
จำแม่นจนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจลบเลือนใบหน้าน่าเอ็นดูนั่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะอดใจรอให้พี่ชายของเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นไม่ไหว
ทว่า...ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดด้วยจัสตินกังวลเรื่องบ้าๆ เกี่ยวกับลูกเลี้ยงของตัวเองขึ้นมา เรื่องการแต่งงานนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องของความกังวลในความพิการทุพลภาพของตัวเองก็ทำให้ออสตินต้องหนักใจมาจนถึงวันนี้
หากไม่มีเรื่องนั้น...
เรื่องบุญคุณที่ทั้งชีวิตของเขาก็ใช้ไม่หมดนั่น...
เขาคงไม่ตอบรับคำขอร้องบ้าๆ นั้นหรอก!
แต่ในเวลานั้น ออสตินคิดแต่เพียงแค่อยากให้กานต์มาอยู่ข้างๆ ตน ทุกการกระทำของเขาล้วนแล้วเป็นไปเพราะความหวังดี แต่ไม่คิดเลยว่าแผนการทุกอย่างจะเปลี่ยนผันเมื่อจู่ๆ พี่สะใภ้ของเขาก็มาด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน และเขา...ต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงของกานต์โดยสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมายโดยที่แก้อะไรไม่ได้ด้วยสายเกินเหตุไปแล้ว
มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการให้เป็นไปสักนิด เขาอยากได้เด็กคนนั้นเป็นคนรัก ไม่ใช่บุตรบุญธรรม!
สิ้นเสียงของน้องชาย จัสตินก็สบตาอีกฝ่ายนิ่ง เขารู้ว่าสิ่งที่ร้องขอจากคนตรงหน้ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในเมื่อออสตินรับปากแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด
“นายจะมาล้มเลิกทุกอย่างตอนนี้ไม่ได้ นายสัญญากับเธอแล้วว่าจะดูแลลูกของเธอเป็นอย่างดี”
“...”
“แล้วนายก็สัญญากับฉันแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายก็จะไม่มีวันทิ้งเด็กคนนั้น นายจะไม่มีวันทิ้งกานต์”
“ผมรู้” ออสตินว่า “ผมจะไม่มีวันทิ้งเขา”
“แค่นายคิดกับเด็กนั่นเกินกว่าลูกเลี้ยงก็เท่ากับว่านายทิ้งเขาแล้ว นายมันเป็นคนไม่รักษาสัจจะ”
จัสตินปรามาส ออสตินเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าต่อให้เขาไม่คิดกับกานต์แค่ลูกเลี้ยง แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะทิ้งกานต์แน่ จนทำให้จัสตินต้องพูดออกไปอีกครั้ง
“นายอยากจะเห็นเด็กนั่นลำบากอีกใช่ไหม สมบัติในส่วนของฉันที่พ่อทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ตอนนี้นายเป็นคนดูแลทรัพย์สินของครอบครัวสเวนทั้งหมด นายก็รู้ว่าฉันตั้งใจจะยกให้กานต์ตอนฉันตายไป ถ้าเด็กนั่นไม่ได้เป็นลูกบุญธรรมของนาย นายยกเงินจำนวนมหาศาลให้อย่างนั้น ใครๆ ก็ต้องคิดว่านายจงใจฟอกเงิน แล้วคนที่จะเดือดร้อนคือใคร ไหนลองบอกฉันมาซิว่าใครจะต้องเดือดร้อน!”
ออสตินไม่เถียง เขารู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าทรัพย์สินของพี่ชายเขามันมากมายเสียจนทำให้คนอื่นเข้าใจได้ว่าพวกเขาต้องการที่จะฟอกเงินถ้าหากยกเงินทองพวกนั้นให้กับเด็กหนุ่มโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันใดๆ กัน แต่ถ้าหากเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว อย่างน้อยก็สามารถระบุเหตุผลได้ว่าเป็นการยกให้เพราะเป็นสมาชิกในครอบครัว
แต่ว่า... เขาก็ยังไม่อยากให้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมของเขาอยู่ดี
“กลับไปคิดให้ดีออสติน คิดให้ดีว่านายควรทำยังไงกับเรื่องนี้ และถ้าเป็นไปได้... อย่าได้รู้สึกอย่างนั้นกับกานต์อีก เขาเป็นลูกเลี้ยงของนาย ระหว่างนายกับกานต์...มันเป็นไปไม่ได้”
จัสตินว่าออกมาอีกครั้ง พยายามดันตัวขึ้นรถวีลแชร์โดยไม่สนใจออสตินที่เข้ามาพยุง พอเห็นอีกฝ่ายเอื้อมมือมา ก็ปัดออกเต็มแรงจนพยาบาลส่วนตัวต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงแทนด้วยกลัวว่าจะล้มคว่ำไปอีก
“กลับไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านายตอนนี้ กลับไป!”
คนเป็นพี่ออกปากไล่ ออสตินก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อเช่นกัน เขาผุดลุกขึ้น ตรงออกไปนอกบ้าน ทว่าในจังหวะที่กำลังจะไปที่รถของตัวเอง แม่บ้านก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับเรียกเขาไว้
“คุณลืมของค่ะคุณออสติน”
ชายหนุ่มหันมามอง เห็นในมือของแม่บ้านถือซองกระดาษสีน้ำตาลอยู่ก็นิ่วหน้า
ซองนั่น...
“คุณจัสตินบอกให้คุณเอาไปอ่านแล้วทบทวนให้ดีค่ะ”
เจ้าหล่อนพูดขึ้นมาก่อนที่ออสตินจะถามเสียอีก เขาจำใจต้องรับมันมาไว้ในมือ ก่อนเปิดประตูขึ้นรถแล้วขับออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
บุตรบุญธรรมอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าอยากจะได้กานต์เป็นบุตรบุญธรรมนักก็เซ็นรับรองเองไปเลยสิ ให้ตายเถอะ!
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ออสตินก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับจัสติน ถ้าหากคนที่ถูกศาลสั่งให้ไร้ความสามารถอย่างเขาสามารถทำได้ จัสตินคงไม่รอช้าที่จะรีบดำเนินการทุกอย่างให้เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะทำไม่ได้ ภาระหนักอึ้งจึงมาตกอยู่ที่ออสติน ตอนนี้เองถึงรู้ว่าการตัดสินใจแต่งงานกับแม่ของกานต์ตามข้อเสนอของจัสตินนั้นเป็นเรื่องที่ผิด
เขาอยากอยู่ใกล้ๆ กับกานต์ก็จริง แต่...อยากอยู่ในฐานะคนรัก ไม่ใช่พ่อเลี้ยงอะไรแบบนี้!
เขาต้องทำอย่างไร...
ต้องทำอย่างไรถึงจะสลัดสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ไปได้
ต้องทำอย่างไรกัน!
ชายหนุ่มนั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันไม่หยุดหย่อน ท่าทางนิ่งเฉยผิดปกตินั้นทำเอากานต์ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยตั้งแต่กลับจากโรงเรียนนึกสงสัยไม่น้อยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ทว่าก็ไม่กล้าถามเพราะสีหน้าของออสตินดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ไม่แน่ใจนักว่าถ้าถามไปแล้ว จะทำให้ออสตินหัวเสียมากกว่าเดิมไหม
ดังนั้นการสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีที่สุด...
“แด๊ดดี้ครับ ผมขึ้นนอนก่อนนะครับ”
เสียงของเด็กหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จดังขึ้นที่ตรงบันได ออสตินซึ่งนั่งเท้าคางคิดวกวนเรื่องที่ประสบมาไม่หยุดได้สติในตอนนี้ หันไปมองก่อนจะพยักหน้า
“อืม”
จากนั้นก็มองกานต์นิ่ง กานต์อึกอักไปชั่วครู่ สายตาของออสตินดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด ที่รู้ๆ คือมันทำให้กานต์อึดอัดมาก เขาจึงรีบบ่ายเบี่ยงที่จะเผชิญหน้าด้วยการตัดบท
“งั้น...ผมไปนอนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์”
สิ้นเสียง เด็กหนุ่มก็ก้าวไวๆ ขึ้นไปข้างบนทันที
เสียงปิดประตูดังมาให้ได้ยิน ออสตินระบายลมหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ อีกทั้งยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นกระทั่งเวลาผันผ่านไปเกือบชั่วโมง
ยิ่งนั่ง...ก็ยิ่งคิดวกวน
ยิ่งคิดวกวน...ก็ยิ่งมีความรู้สึกบางอย่างโผล่วาบขึ้นมา
ถ้าเขาทำให้กานต์เป็นของเขาล่ะ จัสตินจะล้มเลิกความคิดที่จะให้เขายื่นเรื่องขอกานต์เป็นบุตรบุญธรรมไหม
เป็นความคิดที่ไม่ควรจะบังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในเวลานี้ ออสตินกลับหูหนวกตาบอด เขาคิดแต่ว่าอยากให้กานต์เป็นของเขาเท่านั้น พลันก็ลุกจากโซฟา ก้าวขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะไปหยุดที่หน้าห้องของเด็กหนุ่ม มือยื่นออกไปจับยังลูกบิด พลันก็หมุนมันออกอย่างเบามือ
คืนนี้กานต์ไม่ได้ไปนอนที่ห้องของออสตินเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะอยากใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจเป็นการส่วนตัว ทว่าเสียงเปิดประตูห้องของเขาที่ดังขึ้นเมื่อครู่ก็ปลุกให้คนที่เคลิ้มจนเกือบจะเข้าสู่ห้วงฝันต้องลืมตาตื่น พลันริมฝีปากก็ร้องถาม
“แด๊ดดี้?”
เป็นออสตินจริงๆ เห็นเพียงแค่เงาตะคุ่มก็จำได้ แม้ว่าออสตินจะไม่ตอบสิ่งใดกลับมาก็ตามที
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ออสตินยังคงไม่ตอบ ก้าวเข้ามาหยุดที่ปลายเตียง ก่อนที่จะปีนขึ้นมาแล้วทาบทับลงบนร่างของเด็กหนุ่ม
การกระทำนั้นทำเอากานต์แปลกใจอยู่ไม่น้อย ปกติแล้ว ออสตินจะไม่แตะต้องตัวเขาก่อน แต่วันนี้...
“แด๊ดดี้?”
ไม่พูดพร่ำใดๆ ออสตินจรดจูบลงบนริมฝีปาก ฉุดกระชากเอาลมหายใจของอีกฝ่ายไป ก่อนจะผละออกมาซุกไซ้ไปยังซอกคอหอมกรุ่น มือดึงรั้งเสื้อยืดที่เด็กหนุ่มสวมใส่อยู่ออก ไม่นานนัก เสื้อตัวนั้นก็ถูกถอดออกไปทั้งที่เจ้าตัวยังคงงุนงงและตั้งตัวไม่ทัน
“แด๊ด...”
พอได้โอกาสก็ร้องเรียกคนตรงหน้า แต่แล้วเสียงของกานต์ถูกกลืนหายไปอีกครั้ง ในยามปกติแล้ว เขาจะยอมเอนอ่อนให้อีกฝ่ายกระทำใดๆ กับร่างกายก็ได้ตามใจ ทว่าในยามนี้ที่ออสตินดูเหมือนจะไม่ปกติ... แน่นอนว่าเขาหมายถึงอารมณ์ ในยามที่ออสตินดูอารมณ์ไม่ปกตินั้น กานต์บ่ายเบี่ยงพร้อมกับผลักไสเมื่อเห็นว่าออสตินพยายามดึงดันที่จะบีบบังคับเขาไว้ใต้ร่างเมื่อเขาขืนตัวหลบ
“แด๊ดดี้ครับ...”
เด็กหนุ่มพยายามร้องเรียกอีกครั้งเมื่อกลีบปากเป็นอิสระ หากแต่ออสตินกลับไม่สนใจที่จะฟัง ตะโบมลูบไล้ไปทั่วร่างกาย จรดจูบหนักหน่วง ไร้ซึ่งความอ่อนหวานใดๆ แม้ว่ากานต์จะเคยถูกกระทำอย่างดุดันมาแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าการกระทำในครั้งนี้มันต่างจากช่วงเวลาปกติ
ออสตินไม่ได้กระทำอย่างดุดันเช่นทุกที แต่เขากำลังกระทำเพราะโกรธอะไรบางอย่าง ซึ่งกานต์เองก็ไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่น้อย
“แด๊ดดี้ครับ ตั้งสติหน่อย ฟังผมก่อน เราคุยกันก่อนได้ไหม”
สองมือดันไหล่กว้างของคนที่กำลังจูบหนักๆ บนแผงอกของเขาให้ออกห่าง ทว่าออสตินกลับไม่ฟังอยู่ดี ดึงกระชากกางเกงขอบยางยืดที่กานต์สวมใส่อยู่ออก ดันขาทั้งสองข้างขึ้นตั้งชัน ก่อนที่จะรุกรานด้วยปลายนิ้ว...เข้ามายังจุดที่ไม่เคยมีใครล่วงล้ำมาก่อน
กานต์พรึงเพริดสุดขีดในคราวนี้เมื่อสัมผัสแปลกใหม่แทรกลึกเข้ามาในร่างกาย ถึงเขาจะยินดีถ้าออสตินหมายจะครอบครองร่างกายเขา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะรุกรานเมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่เขายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอย่างนี้
“แด๊ดดี้!”
เด็กหนุ่มร้องลั่น สองขาดันร่างตนให้พ้นจากการบุกรุกโดยนิ้วร้าย ความรู้สึกหวามไหวไม่บังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความตกใจและหวาดกลัว แต่ออสตินก็ไม่ลดละ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบ หากแต่หัวคิ้วขมวดมุ่นราวกับคิดอะไรบางอย่าง หูทั้งสองข้างดับไปแล้ว... ไม่ได้ยินเสียงร้องโวยวายของคนใต้ร่างสักนิด
ไม่ได้ยินไม่ว่า ยังจะดึงนิ้วตนเองที่ล่วงเกินอีกฝ่ายกลับมา ปลดเปลื้องกางเกงออกจากช่วงล่างของตนแล้วแทรกลำตัวเข้าไประหว่างขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม หมายที่จะแทรกกายผนวกเป็นหนึ่งเดียว
สัมผัสร้อนรุ่มจากอวัยวะแห่งความเป็นบุรุษเพศซึ่งถูไถอยู่บริเวณช่องทางด้านนอกนั้นยิ่งทำให้กานต์พรึงเพริด เขาไม่เคยหวาดกลัวคนตรงหน้าถึงขนาดนี้ ก่อนที่จะร้องตะโกนลั่น ดิ้นรนผลักไสหนีอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเมื่อถูกออสตินสัมผัสร่างกาย
“แด๊ดดี้! หยุดเดี๋ยวนี้! ฟังผมหน่อยได้ไหม! หยุด!”
ทั้งดิ้น ทั้งถีบสุดแรง... สีหน้าซีดเผือดจนแทบจะไม่ต่างจากซากศพ
ออสตินได้สติกลับคืนมาในตอนนี้ เขาชะงักทุกการกระทำ มองคนใต้ร่างที่มีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด พลันความรู้สึกผิดก็ดาหน้าเข้ามาโจมตีเขาอย่างรุนแรง
“กานต์...”
“แด๊ด...ดะ...แด๊ดดี้เป็นอะไร”
กานต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หากแต่ไม่มีคำตอบจากออสติน เขาเพียงมองใบหน้าของคนใต้ร่างผ่านความมืด เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่ากำลังทำให้กานต์หวาดกลัว ก่อนที่จะรวบอีกฝ่ายมากอดในอ้อมแขนแน่น
“ขอโทษ... ฉันขอโทษ...”
การกระทำนั้นยิ่งทำให้กานต์สับสนมากขึ้นไปอีก
ออสตินเป็นอะไร…
แด๊ดดี้เป็นอะไร...
เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้แสดงท่าทางแปลกๆ แบบนี้สักครั้ง แต่วันนี้มันแปลกมาก... แปลกจริงๆ
เกิดอะไรขึ้นกับออสตินหรือเปล่า?
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของกานต์ไม่จบสิ้น ขณะที่ออสตินเอาแต่พร่ำพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“ฉันขอโทษ...กานต์... ขอโทษ...”
ยิ่งพูดก็ยิ่งกอดรัดแน่น กานต์ไม่รู้ว่าจะต้องตอบรับอย่างไรดี จึงได้แต่พึมพำเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไรครับ”
สองแขนโอบประคองร่างใหญ่ของอีกฝ่ายไว้แน่นเช่นกัน ในเวลาอย่างนี้...บางทีออสตินเองก็คงต้องการคนปลอบใจ โดยหารู้ไม่เลยว่าในใจของชายหนุ่มคิดอะไรอยู่
เรื่องระหว่างเขากับกานต์เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?
ไม่...ไม่มีทาง มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และมันจะเป็นไปตามความต้องการของเขา ไม่ใช่ของจัสติน
จนกว่าจะถึงวันนั้น... เขาจะถ่วงเวลาไว้
จนกว่ากานต์จะเป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ เขาจะไม่ยอมเซ็นเอกสารบ้าๆ นั่นเป็นอันขาด!