[6]
ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง
สนิทกันจนผมคิดถึงวันที่เราแยกจากกันไม่ออก
"พาย เย็นนี้คัดตัว คงไปช้าหน่อย รอที่ร้านเดี๋ยวไปรับแล้วกลับพร้อมกัน"
"ไม่เป็นไร น่าจะช้าเหมือนกัน วันนี้ต้องเช็คสต๊อกหลังร้านด้วย"
พวกเราสนิทชนิดไปไหนไปกัน เรียนก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม เข้ามัธยมก็ตามกันมา ขึ้นมหาวิทยาลัยแม้จะคนละคณะแต่ก็โคจรมาเจอกันจนได้ แถมยังได้เป็นรูมเมทกันอีก ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋จนแยกกันได้นานไม่เคยเกินหนึ่งวัน
"เออ รอที่ร้านนั่นแหละ เดี๋ยวไปเอาของกินฟรีด้วย"
"แย่ว่ะ ของซื้อของขายร้านกูนะ"
ผมตีหน้ายุ่งใส่มัน แต่ไอ้ทัพมันไม่สนใจหรอกครับ ชอบแกล้งผมจะตาย นี่มันยังหัวเราะแล้วยีหัวผมจนยุ่งไปหมด อุตส่าห์ลูบให้ผมมันเรียบตั้งนาน!
นั่นแหละครับชีวิตประจำวันยามเช้าก่อนแยกย้ายไปคณะใครคณะมัน ทัพเรียนนิเทศ ส่วนผมเรียนอักษร ตึกคณะของพวกเราอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล แต่ก็ยังมีที่นัดเจอประจำครับ ตั้งอยู่ระหว่างตึกเรียนของเราทั้งสองคนพอดีเลย
"สะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง สวัสดีครับ"
ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง
สถานที่ที่เหล่านักศึกษามักจะแวะเวียนมาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น หรือแม้กระทั่งดึกดื่นค่ำคืนก็ไม่เคยเงียบเหงา เรียกว่าแต่ละคนแวะเวียนมาที่นี่พอๆ กับตึกคณะตัวเองเลยก็ว่าได้ และผมทำงานอยู่ที่นี่ครับ
ผมละสายตาจากการจัดสินค้าบนชั้นวางไปมองลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เดินเข้ามาในตัวร้าน พี่ๆ คณะแพทย์ที่อยู่ห่างจากร้านสะดวกซื้อไปสองช่วงตึกนี่เอง ผมโค้งให้พวกเขาเล็กน้อยเมื่อสายตาประสานกัน เป็นมารยาทที่ดีของคนทำงานบริการล่ะครับ
"พาย มาเฝ้าแคชเชียร์แทนพี่หน่อย เดี๋ยวพี่เข้าไปเช็คสต็อกก่อน"
"รับทราบครับผม"
เพราะตอนนี้เป็นกะช่วงหัวค่ำแล้ว และคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ต้องเช็คสต๊อกสินค้าเพื่อจะได้สั่งของมาตุนเอาไว้ขายในวันต่อๆ ไป ผมเลยมักจะได้เฝ้าเครื่องแคชเชียร์แทนรุ่นพี่เสมอ
"ทั้งหมด 213 บาท พี่ไม่รับชอคโกแลตแท่งไปด้วยเหรอครับ โปรซื้อสองแถมหนึ่งด้วยนะ มากันสามคนพอดี คุ้มสุดๆ"
"โหย ฮาร์ดเซลล์ใส่พี่ตลอดเลยนะพาย ไหนคะ อันไหนที่จัดโปร รวมมาด้วยเลยก็ได้"
ผมยิ้มกว้างพร้อมหยิบชอคโกแลตที่จัดโปรโมชั่นมาคิดเงินรวมและใส่ถุง ไม่ลืมขอบคุณพี่เขาไปด้วยแล้วก็ได้โดนหยิกแก้มเช่นปกติไปอีกสองสามที พี่ๆ คณะแพทย์น่ารักครับ ชอบแวะมาเวลานี้บ่อยๆ เพราะทำการทดลองกันเวลานี้ เจอหน้ากันจนกลายเป็นสนิทสนมพอจะคุยเล่นกันได้แล้ว
"แล้วนี่แฟนเรายังไม่มาเหรอ?"
"หืม? แฟน? ผมยังไม่มีแฟนนะครับ"
"คนนั้นไง ที่สูงๆ ผมสีอ่อนๆ ใส่ต่างหูหลายๆ รู เด็กนิเทศ"
พอได้ยินรูปร่างลักษณะก็ถึงบางอ้อเลยครับ ผมหัวเราะรวนให้พวกพี่ๆ แล้วโบกมือไปมาแทนการปฏิเสธ
"ไม่ใช่แฟนครับ ทัพกับผมเป็นรูมเมทกัน แล้วเราก็สนิทกันตั้งแต่เรียนประถมแล้ว"
เห็นพี่ๆ ทำหน้าไม่เชื่อผมก็ยืนยันหนักแน่นอีกรอบพร้อมกระพริบตาถี่ๆ เหมือนเวลาอ้อนให้พวกเขาซื้อขนมจัดโปรโมชั่น จนคนมองใจอ่อนยอมเชื่อคำพูดผมแล้วรับถุงสินค้าเดินคุยกันออกไปจากตัวร้าน
เป็นแบบนี้ประจำครับ ใครๆ ก็มักจะเข้าใจผิดว่าผมกับทัพเป็นแฟนกัน รู้สึกเขินนิดหน่อยครับ ก็เราสนิทกันมากเลยนะ พอให้มาคิดว่าเราจะขยิบความสัมพันธ์มันก็จักจี้หัวใจอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่หรอกครับ มันไม่ได้คิดอะไรเหมือนที่ชอบทำให้ผมคิดหรอก
คิดแล้วก็หน่วงนิดหน่อยแหะไม่เอาล่ะ ทำงานดีกว่า
กะของผมเลิกตอนสี่ทุ่ม พอมีรุ่นพี่อีกคนเข้ามาเปลี่ยนกะผมก็สามารถคว้ากระเป๋าร่อนออกจากร้านไปโดยไม่มีใครว่า วันนี้ได้ขนมปังที่จะหมดอายุมาด้วยครับ ขนมปังเนยนมของโปรดทัพ กับเฉาก๊วย ผมว่าจะให้มันแทนค่าจ้างที่อุตส่าห์จะเดินมารับผมกลับหอ
บอกลาพี่ๆ เสร็จผมก็มายืนแกร่วรอเพื่อนที่หน้าร้าน พอยืนนานแล้วเมื่อยก็นั่งมันแถวๆ นั้นที่มีเกาอี้หินอ่อนสำหรับนั่งสูบบุหรี่วางอยู่ แต่รอแล้วรอเล่าเพื่อนที่บอกว่าจะมาก็ยังไม่มาเสียที จนผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงนั่นแหละครับถึงได้เห็นไอ้คนผมทองวิ่งหน้าตั้ง เสื้อหลุดรุ่ยออกนอกกางเกงมาแต่ไกล
"โอย... โทษ... โทษทีมึง"
"ไม่เป็นไร เช็ดหน้าเช็ดตาก่อน... เหี้ย! เช็ดเสื้อกูทำไม!"
ผมด่ามันครับ ก็ใครใช้ให้เอาหน้ามาเช็ดกับบ่าล่ะเฮ้ย!
"แล้วมึงมีทิชชู่มั้ย?"
"ไม่มี"
"เออ มึงบอกให้เช็ดหน้าแต่ไม่มีทิชชู่ละกูจะเช็ดไงถ้าไม่ใช่เสื้อมึง"
"ก็เอาเสื้อตัวเองเช็ดไปดิวะ สกปรกไอ้ทัพ!"
มันหัวเราะเสียงดังแล้วขยี้หัวที่เรียบจนถึงเมื่อครู่ให้มันฟูฟ่องทั้งที่อุตส่าห์เรียบมานาน ผมทำเสียงฮึดฮัด ไม่ชอบให้คนมาเล่นหัวเท่าไหร่เพราะเป็นพวกผมจัดทรงยาก แต่ทัพไม่เคยสนหรอกครับ เอะอะยีหัว เอะอะเอาหัวผมไปลองทำผมทรงใหม่ เห็นผมเป็นอะไรก็ไม่รู้
เถียงกันอยู่อีกพักนึง ทัพก็ขโมยถุงไปถือแทน ไอ้คนหน้าเถื่อนทำตาวาวตอนเห็นว่าในถุงนั่นเป็นของชอบ รีบล้วงขึ้นมากินจนผมต้องช่วยเปิดฝาขวดน้ำเปล่าของตัวเองส่งให้
"แล้วคัดนักแสดงเป็นไง? มึงได้เป็นต้นไม้อ่ะดิ"
คณะนิเทศเขาก็มีกิจกรรมสร้างสรรค์เยอะดีนะครับ เดี๋ยวแสดงหนัง เดี๋ยวทำกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัย ของคณะผมนี่สิ มีแต่งานวิชาการตามความจริงจังของอาจารย์ที่ปรึกษาอะไรพวกนั้น
"ตลก หล่ออย่างกูแน่นอนอยู่แล้วว่าบทเด่น"
"พระเอก?"
"พระธุดงค์ตามป่า" ผมถลึงตามองทัน มีบทนั้นจริงดิ? "กูหลอก พระรองก็พอ ไม่ต้องมาทำหน้าเอ๋อขนาดนั้น"
เอ้า! ใครมันจะไปรู้ล่ะครับ ผมไม่ได้ไปคัดตัวกับมันนี่จริงไหม?
"เอาดีๆ"
"พาย... มึงแม่งทะลึ่งว่ะ มาองมาเอาอะไร กูยังบริสุทธิ์นะเว้ย!"
ไม่คุยกับแม่งละ
ผมเบ้ปาก พยายามไม่ให้ทัพรู้ว่าผมแอบยิ้มกับถ้อยคำทะลึ่งตึงตังของมัน พร้อมปาขวดน้ำใส่มัน ทัพหัวเราะใหญ่ เป็นคนแบบนี้แหละครับเพื่อนผม กวนตีนไม่มีใครเกิน ผมไม่ขอสู้ด้วยครับ ไม่อยากให้คนมองว่าเป็นประเภทเดียวกัน เชื้อเกรียนจะติดเอา
"…กูได้บทพระรอง แม่งมีฉากเลิฟซีนด้วย ให้มึงทายได้เล่นกับใคร"
เห็นท่าระริกระรี้ของเพื่อนสนิทแบบนี้แล้วเดาได้ไม่ยากหรอกครับ จะมีสักกี่คนกันที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ได้
"พี่แตงโม ที่เป็นอดีตดาวคณะมึง?"
"ถูก! พี่เขาได้บทนางเอกเว้ย เล่นกับรุ่นพี่ปีเดียวกัน แต่มีคนบอกว่าพวกเขากิ๊กกันจริงๆ มันจะจริงเปล่าวะพาย กูชอบพี่เขามากเลยนะเว้ย คนอะไร สวย นิสัยดี รวยอีก โคตรครบ"
ครับ ไอ้ทัพคนนี้มันชื่นชมจนลามไปเป็นชื่อชอบพี่แตงโม ที่เป็นอดีตดาวคณะปีสามตั้งแต่เข้ามาแล้ว เพ้อตลอดว่าพี่เขาเป็นนางฟ้า เป็นอนาคตแม่ของลูกอะไรของมันก็ไม่รู้ พอพี่เขาทักเข้าหน่อยก็ทำตาเยิ้มตัวลอย เห็นกี่ครั้งก็หมั่นไส้ครับ อยากเอาเท้ายันเบาๆ ให้กระเด็นไปสักสิบเมตร
"ก็ดีแล้วป่ะ แล้วมึงต้องซ้อมเลยหรือเปล่า ไม่ต้องมารับก็ได้นะแบบนั้น เหนื่อยตาย"
"แหม ห่วงผัวเหรอจ้ะน้องพาย น่ารักจริงๆ นะมีง"
ขี้อ่อยสัส คิดแล้วผมฟาดหลังมือจนมันร้องโอดโอย นอกจากยีหัวไอ้นี่ชอบหยิกแก้มครับ แล้วมืออย่างหนัก แก้มผมแดงหมด ดีหน่อยที่มันมืด ไม่งั้นโดนล้อตายแน่
"ซ้อมอาทิตย์หน้าว่ะ แต่ไม่ต้องห่วง มารับมึงได้ตลอดเพราะมึงต้องช่วยซ้อมบทให้กู"
"ห๊ะ? กูเรียนอักษรไง"
"เออ มึงยืนเป็นต้นไม้ให้กูท่องบทใส่ก็ได้ ไม่ก็อ่านบทแบบที่เคยทำแต่ก่อนอะ ไม่ยากหรอก กูนี่ต้องแสดง ยากกว่าเยอะ"
ตอนเรียนชั้นม.ปลายทัพมันก็เป็นตัวนำแสดงบ่อยๆ ครับ และผมที่มีหน้าที่จัดฉากก็เป็นคนช่วยต่อบทกับมันเสมอ แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาทำตอนมหาลัยด้วยนี่สิ แต่พอเห็นหน้าอ้อนตีนของทัพก็ต้องยอมพยักหน้าครับ ยังไงเราก็เพื่อนกัน จะช่วยกันสักหน่อยก็ไม่เห็นแปลกเลยจริงไหม
หลังตกลงแล้วว่าจะช่วยทัพเรื่องซ้อมบท กิจวัตรประจำวันของผมก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย โดยเพิ่มมาในช่วงหลังกลับจากงานพิเศษนั่นแหละครับ
ตกใจจริงๆ ที่รอบนี้มันไม่โกหก ทัพได้เล่นเป็นพระรองนิสัยดีที่ตกหลุมรักนางเอกมาตลอดแต่ทำได้แค่มองอยู่ห่างๆ เพราะนางเอกรักเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่ ก็พระเอกนั่นแหละครับ บทที่ได้ทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อยนะ เพราะทัพเป็นคนห่ามๆ ไง พอให้มันมาเล่นบทละมุนแล้วรู้สึกแปลกๆ
"รู้ไหมว่าผมไม่เคยเจอใครเหมือนคุณเลย..."
"คึ..."
"พาย! มึงทำกูหลุดบทอีกแล้วนะ"
คือหลุดหัวเราะทุกครั้งที่มันทำเสียงหล่อแล้วเก๊กหน้านิ่งๆ น่ะครับ เลยโดนโบกด้วยสมุดบทไปหลายรอบ
"ขอโทษๆ เอาใหม่อีกรอบนะมึง"
ผมพยายามกลั้นหัวเราะขณะขอโทษขอโพยมัน ก็ให้ทำยังไงได้ล่ะวะ มันตลกนี่หน่า ไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองในมุมแบบนี้ เพราะปกติมันจะรับบทตัวประกอบพูดน้อยครับ
"มึงนี่แม่ง... แล้วกูจะบิ้วท์อารมณ์ใหม่ยังไง"
"งั้นเปลี่ยนฉากก่อนก็ได้ ไม่เอาดิวะพี่ทัพ หน้าบูดเป็นตูดไก่แล้ว"
ผมทำปากจู๋แกล้งก่อนจะเอานิ้วจิ้มแก้มมันแล้วยกขึ้นให้ดูเหมือนคนยิ้ม แต่ทำไมทำแล้วไม่น่ารักดันเหมือนหมาแยกเขี้ยวเสียอย่างนั้น พอหัวเราะอีกก็โดนตีหน้ายักษ์ใส่หนักกว่าเดิม แล้วมันก็ทำในสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงครับ ทัพมองหน้านิ่งก่อนจะเดินตรงเข้ามาจนแขนผมงอเข้าหาตัว ตามันจ้องผมนิ่งเลยครับ รู้สึกได้ว่ามันไม่พอใจจริงๆ
"ทัพ เฮ้ย อย่าเดินมาใกล้งี้ดิ"
ยังอีก ยังไม่หยุดอีก ผมก็รีบปล่อยมือเดินถอยหลังสิครับ ทัพมันเป็นอะไรน่ะ
ชิบหายแล้ว เวลามันโกรธจริงน่ากลัวมากเลยครับ ไม่พูดไม่จาเอาแต่มองหน้ากดดันอย่างเดียว ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เลยตั้งใจจะเบี่ยงตัวออกเมื่อหลังชนผนัง ทำไงดี มันเอามือมากั้นไม่ให้ผมออกแล้วครับ ตัวมึงก็โตเนี่ย!
"ทัพ มึงเป็นอะไร..."
"มึงซน รู้มั้ยว่าซนต้องโดนอะไร"
เสียงเข้มด้วยครับ มันจ้องตาผมแบบไม่กระพริบเลย ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่าเวลาหนูโดนงูจ้องมันเป็นยังไง
"ทัพ กูขอโทษ จะตั้งใจซ้อมแล้ว ไม่เล่นแล้วครับ"
ใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ใช้ไม่อ่อนยอมแพ้สิครับเขาถึงจะเรียกว่ารู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี ผมใช้วิธีที่ทำกับพวกพี่ๆ ตอนขายตรงโปรโมชั่นในร้านสะดวกซื้อด้วยการทำคิ้วตก กระพริบตาปริบๆ ใส่ไปด้วย
มองการกระทำของผมอยู่อีกพักใหญ่ ใบหน้าที่ประดับด้วยคิ้วเข้มๆ ตาคมๆ จมูกโด่งๆ และปากเป็นกระจับของมันก็เขยิบเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ นี่มันสถานการณ์บ้าอะไรกันเนี่ย แล้วใจผมจะเต้นอะไรหนักหนา
"...พาย"
"คะ... ครับ"
เสียงกระเส่าไปแล้วไอ้ทัพ เล่นอะไรของมัน ผมเลยเผลอพูดจาสุภาพอย่างที่ไม่ค่อยทำถ้าไม่ใช่เวลาอ้อนหรือเวลารู้ตัวว่าทำผิดแล้วอีกฝ่ายโกรธออกไป เรามองตากัน ยืนใกล้กันกว่าที่เคยจนผมกลัวว่ามันจะได้ยินเสียงก้อนเนื้อในอกซ้ายที่เต้นรัว ผมไม่ค่อยชอบเข้าไปใกล้ๆ มันในสถานการณ์แบบนี้เพราะผมมักจะทำอะไรไม่ถูก
"มึงทำหน้าแดงทำไม แล้วจะพูดสุภาพเพื่อ ในบทมันต้องผลักกูออกสิ"
พูดเสียงนิ่งจนจบแล้วมันก็ผละออกไปขำครับ ขำในขณะที่ผมยืนหน้าเหวออยู่เนี่ย บท? สรุปเมื่อกี้คือโดนแกล้งสินะ? โดนแกล้งใช่มั้ย? อืม... สงสัยจะใช่
"ไอ้ทัพ! ไอ้หน้าปลาทู! เล่นบ้าอะไรของมึงเนี่ย"
"กิ๊วๆ น้องพายทำหน้าแดงที พี่ทัพงี้ใจสั่นไปหมด"
สั่นกับเตี่ยมึงคนเดียวเถอะ!
"ไม่เอาแล้ว วันนี้ซ้อมคนเดียวไปเลยมึงน่ะ!"
ผมโวยวายแล้ววางบทแรงๆ ลงบนโต๊ะไอ้คนที่ยังหัวร่องอหายอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สนุกมากนัก นิสัยขี้แกล้งของมันนี่ชักจะแย่ขึ้นทุกวัน วันนี้ให้มันซ้อมคนเดียวซะให้เข็ด
"ครั้งหน้ามีบทจูบนะจ้ะ พี่ให้เวลาน้องทำใจ พร้อมเมื่อไหร่ถลามาซบอกพี่เลยนะน้องพาย"
ยังจะกวนตีน ผมเลยหันไปมองหน้ามันแล้วยกนิ้วกลางให้เน้นๆ ทั้งสองข้าง แต่มีหรือจะกระเทือนหนังหน้าชายทัพ จากที่ขำไม่หยุดมันขำหนักกว่าเดิมจนผมกลัวว่าคนห้องข้างล่างจะขึ้นมาด่าในอีกไม่กี่วินาที
มึงนั่นแหละจะถลา ถลาหน้าไปซบส้นตีนกูนี่!
"อ่านอะไรอยู่เหรอพาย?"
ผมเงยหน้ามองก็เห็นจ้าว เพื่อนในคณะของไอ้ทัพส่งยิ้มมาให้พร้อมข้าวมันไก่จานใหญ่ในมือ วันนี้ผมไม่มีเข้ากะครับแล้วคาบเรียกก็มีแค่ช่วงเช้า เลยมาฝากท้องที่ตึกคณะนิเทศ แม้จะไกลกว่าตึกเรียนของผมอยู่มาก แต่อาหารใต้ตึกเขาอร่อยจริงๆ ครับ ก๋วยเตี๋ยวแคระที่ผมเพิ่งจัดการหมดไปนี่อร่อยจนผมตั้งใจว่าต้องฝากทัพมาซื้ออีกให้ได้
"บทหนังที่ทัพแสดงด้วย เสียดายพายไม่ได้เล่น เราจะเชียร์เต็มที่เลย"
"หึ ไม่ล่ะ เราชอบดูมากกว่าแสดง รอบนี้ทำแค่ช่วยจัดฉากหลังน่ะ บทนี่เราก็เพิ่งได้เห็นนี่แหละ ละครรักสามเส้าใช่มั้ย?"
"อือ รักสามเส้าของสาวสวยอะไรพวกนั้น"
จ้าวพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจะขอไปดูบ้าง จะว่าไปเด็กนิเทศนี่มีแต่คนหน้าตาดีจริงๆ นะครับ มาเจอจ้าวถึงได้รู้ วงหน้ารูปไข่ ตาโต จมูกโด่ง เครื่องหน้าเป๊ะมาก คนละแบบกับทัพเลยครับ อาจเพราะเห็นหน้าทัพทุกวันด้วยล่ะมั้ง ที่คนบอกว่าหล่อๆ เลยรู้สึกว่าเหรอแทน
ผมไม่เคยชมทัพหรอกครับ เดี๋ยวได้ใจล่ะแย่เอา
"อยากให้พายได้มาเห็นมากเลยว่าตอนคัดบททัพตลกขนาดไหน ไม่แปลกที่จะได้บทนั้นไป"
หืม? ตลกเหรอครับ แต่จากที่ดูมันแสดงมาบทนี้ไม่ตลกเลยนะ บทตลกน่าจะเป็นบทสาวประเภทสองเพื่อนนางเอกมากกว่า ผมเห็นผ่านตาอยู่ช่วงแรกๆ ของเรื่อง
"พระรองมีบทตลกด้วยเหรอ? เราเห็นทัพมันซ้อมฉากละมุนๆ ไม่เคยเห็นมันเล่นบทตลกเลย"
"...? บทพระรองเหรอ?"
"อือ ก็ทัพมันได้บทพระรองนี่ เห็นมันบอกเราอยู่ ที่เรามานั่งๆ อ่านก็เพราะช่วยมันต่อบทนั่นแหละ"
จ้าวทำหน้างง ผมก็ทำหน้างง งงกันอยู่ได้พักหนึ่งจ้าวก็เปิดบทดูผ่านอีกรอบแล้วเงยหน้ามายิ้มตาหยีใส่ผม เป็นคนที่ยิ้มแล้วโลกจ้าเชียวครับ สว่างจ้าจนต้องหยีตา
"อืมๆ พระรองแหละ อาจจะได้เป็นพระเอกด้วยถ้าทำได้ดี"
"ขนาดนั้นเลยเหรอ?"
เด็กนิเทศยักคิ้วใส่ผมแล้วคืนบทให้เพราะเจ้าตัวจะได้หันไปสนใจข้าวมันไก่ที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างสะดวกแทน ส่วนผมก็ไม่อยากกวนคนทานข้าว เลยเปิดบทอ่านไปเรื่อยครับ อืม... บทพระรองมันไม่ตลกจริงๆ นะ หรือมันไปตลกท้ายเรื่องกัน?
“คุยอะไรกัน?”
คนที่ลงมาทีหลังขมวดคิ้วมองผมที่มองพายที่ อะไรจะสงสัยขนาดนั้น ไม่แปลกเลยที่พายจะชอบอ่าทัพว่าขี้เสือก ก็ดูมันสิครับ นิสัยได้ขนาดนี้ก็สมควรแล้วไหมล่ะ
“เรื่องบท” พายเป็นคนชิงตอบก่อน “แต่ไม่ต้องห่วงนะ กูว่าบทพระรองก็เหมาะกับพวกขอบฟังเพลงโมเดิร์นด็อกดี”
“ไอ้น้องพาย ไปหาแฟนมึงเลย ตรงนู้นอ่ะ ไปๆ”
“หึ รอดูอยู่นะ บอกไว้แค่นี้แหละ เราไปก่อนนะพาย เจอกันครับ”
“อื้อ เจอกันนะพาย”
พายนี่น่ารักจริงๆ นะครับ ยังมายิ้มตาหยีโบกมือให้แล้ววิ่งไปหาพี่ตะวันที่เดินมาแต่ไกล พูดถึงคู่นี้แล้วน่ารักไม่หยอก พี่ตะวันเอาใจใส่ดีมาก แถมยังหวานออกสื่อแบบไม่เกรงใจใครตลอด แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ เป็นผมก็คงทำเหมือนกัน
“มองอยู่นั่น ชอบมันมากหรือไงไอ้พายน่ะ”
มือใหญ่ๆ ยีลงบนหัวผมเน้นๆ ไอ้นี่ชอบมายุ่งกับหัวจัง! ผมปัดมือมันทำเสียงฮึมๆ ขู่ในลำคอ แต่ไอ้ทัพก็แค่หัวเราะครับ ไอ้นี่มันบ้าจริงๆ เลย เอะอะก็มาหัวเราะ มายีหัว แต่ผมน่าจะบ้ากว่าแน่ๆ ที่ชอบเวลามันทำแบบนี้
รู้สึกพิเศษยังไงก็ไม่รู้
"วันนี้ซ้อมหน้ายี่สิบสองนะ"
"โอเค จัดมาเลยคุณชาย"
ผมยังคงซ้อมบทเป็นเพื่อนทัพเหมือนเคยครับ เหลืออีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะแสดงจริงแล้ว ช่วงนี้เลยต้องฟิตกันหน่อย
จะว่าไปผมเพิ่งมาสังเกตเอาช่วงหลังๆ นี่เองครับว่าบทพระรองของไอ้ทัพมันแปลกๆ ดูไม่เหมือนพระรองตามที่ผมเคยเห็นในหนังเกาหลีเท่าไหร่ เพราะปกติจะเจอแต่พระรองนิสัยดี ละมุน เป็นคนดีถูกมั้ยครับ แต่บทของทัพเป็นพระรองนิสัยดี ละมุนก็จริง แต่มืองี้เป็นปลาหมึกเลยครับ เอะอะกอด เอะอะดึงจมูก เอะอะหยิกแก้ม แถมบทยังเปลี่ยนบ่อยจนกลายเป็นบทด้นสดแล้ว นี่ถ้ามาทำในชีวิตจริงผมว่าโดนนางเอกแจ้งจับข้อหาลวนลามทางเพศได้เลยล่ะ
แต่ทัพคงชอบ เพราะจะได้แตะตัวพี่แตงโมบ่อยๆ คิดแล้วก็อยากเบ้ปากใส่มันอีกรอบ หมั่นไส้จริงๆ ครับ
"3 2 1 แอคชั่น!"
ผมให้สัญญาณทัพตามแบบที่เคยเห็นในทีวี มันกระแอมเล็กน้อยครับก่อนจะตีมาดขรึม แอบเห็นว่ามันหน้าแดงหูแดงนิดหน่อยครับ เพราะครั้งนี้พูดมันต้องบอกรักนางเอก แม้จะรู้แน่แล้วว่าตัวเองไม่มีหวังจะตีคะแนนให้เทียบเท่าเพื่อตัวเองก็ตาม
"ผมมีเรื่องอยากจะบอกกับคุณ..."
ทัพทำหน้าเศร้า ค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมช้าๆ ก่อนจะจับมือที่ว่างอยู่ของผมขึ้นมาแล้วมองด้วยสายตาเจ็บปวด เหมือนที่เขียนไว้ในสคริปเลยครับ
"เรื่องที่อยากจะบอก ทุกการกระทำที่ผ่านมา ที่ผมคอยอยู่ข้างคุณเสมอ วนเวียนมาหา และทำทุกอย่างที่พิเศษ นั่นเป็นเพราะ..."
ฉากตรงนี้มันต้องร้องไห้แบบน้ำตาไหลข้างเดียว ส่วนนางเอกจะร้องไห้ยังไงไม่ได้เขียนไว้ครับ เป็นซีนที่ต้องใช้อารมณ์มากจริงๆ
ทัพทำสีหน้าเจ็บปวดพร้อมยกมือผมขึ้นมา ผมคิดว่ามันจะจับไว้แล้วมองหน้านางเอก แต่มันดันยกแล้วกดจูบที่หลังมือ ตกใจมาก ผมอ้าปากจะด่าพร้อมกระตุกมือหนีแต่ทัพไม่ยอมปล่อย มันกำแน่นกว่าเดิมแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ มึงจะเข้าถึงบทมากไปแล้ว
และผมคงจะอินตามมันไปด้วย เพราะอกด้านซ้ายของผมมันดันเต้นไม่เป็นส่ำ เช่นที่มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งเวลาที่อยู่กับคนกวนตีนตรงหน้านี่
"...ผมรักคุณ"
วูบเลย หน้าผมเนี่ยวูบเลย จากที่จะอ้าปากด่าได้แต่ทำหน้าพะงาบๆ แทน แล้วสายตานี่จะร้อนแรงไปไหน ในบทมันให้ทำหน้าเว้าวอนไม่ใช่ให้ทำหน้าเหมือนจะตีหัวแล้วลากนางเอกเข้าป่าแบบนี้นะ
"แล้วคุณล่ะ..."
ใจผมกระตุกเพราะดันไปรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนถาม มันเป็นอาการเดียวกับทุกครั้งที่เราซ้อมเข้าฉากถึงเนื้อถึงตัว หน้าเริ่มเห่อร้อนเหมือนจะเป็นไข้ และผมว่าต้องใช่แล้วล่ะ ผมต้องไม่สบายแน่ๆ ถึงจะแปลกที่มันมักจะเป็นเฉพาะช่วงเวลาแบบนี้ก็เถอะ
ผมมองสบตาคนที่ยังไม่ถอนสายตาออกจากใบหน้าผม รู้ว่าทัพเลื่อนสายตามองไปทั่วใบหน้า ก่อนจะปล่อยมือแล้วเขยิบร่างกายเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ใกล้... จนผมสัมผัสถึงลมหายใจของคนตัวสูงกว่าที่รดเบาๆ อยู่ตรงหน้า
แย่มากเลย แย่มาก แย่จริงๆ
สถานการณ์ตอนนี้แย่สุดๆ
แย่กว่าคือทำไมผมที่โดนมันประกบปากลงมาถึงไม่มีทีท่าว่าอยากต่อต้าน แถมยังหลับตารอรับจูบแบบเด็กๆ จากทัพอีก
จูบจากเพื่อนสนิท... ที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
"...กูบอกแล้วว่าจะมีบทจูบ"
"...ก็รู้แล้ว แต่แบบ..."
"......มึง"
เงียบกันอยู่นานจนคนที่ลักจูบผมเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน แต่ไม่รู้สิ ผมไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ กลัวว่าสิ่งที่มันพูดจะเป็นว่ามันขอโทษ อารมณ์พาไป เข้าใจผิดอะไรแบบนั้น
"...ซ้อมเสร็จแล้วใช่ป่ะ คือกูนึกได้ว่าต้องเข้ากะแทนพี่ท็อปว่ะ"
ความจริงไม่มีหรอกครับ แต่ถ้ายังอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่ สู้ออกไปทำหัวให้เย็นแล้วค่อยกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นคงจะสบายใจกว่า
"มึงไม่เคยเข้ากะแทน พี่ๆ เขาไม่ให้ทำ อย่ามาโกหก"
ข้อเสียของการมีเพื่อนสนิทคือเราจะเล่าทุกอย่างให้มันฟัง แล้วมันจะจับไต๋ได้เวลาเราจะโกหกครับ
"ก็... วันนี้มันดันมีไง"
"โกหก"
"เปล่า..." แต่เสียงละห้อยแล้วครับผม
"...แต่กูก็โกหกมึง"
หูผึ่งทันทีที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น จากที่เขินๆ อยากหนีหน้าเลยกลายเป็นต่อมความอยากรู้พุ่งสูงแทน ผมเลิกคิ้วมองมันที่ตอนนี้ก็ยังคงสบตากับผมอยู่ นั่นหน้าแดงหรือเปล่า หรือแสงตกกระทบจากสีผ้าม่าน
"เรื่อง...?"
“บทละคร...”
“ก็เรื่องอะไรล่ะ?”
"กูไม่ได้เล่นบทพระรอง กูเล่นบทเพื่อนนางเอก"
อะไรนะ?
เหมือนสมองจูนเนื้อหาไม่ติดไปครู่หนึ่ง ผมกระพริบตาปริบๆ พยายามเรียบเรียงคำพูดที่ได้ยินในหัว ไม่ได้เล่นยทพระรอง เล่นบทเพื่อนนางเอก เพื่อนนางเอกมีคนเดียวคือพี่สาวเสียงแมนเพราะยังไม่ได้ผ้ากล่องเสียงคนนั้น
เคยเป็นไหมครับเวลาที่เราคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วในหัวมันจะเรียงออกมาเป็นภาพ ผมกำลังเป็นแบบนั้นเลย ภาพวันที่คุยกับจ้าวผุดขึ้นมา ทำไมจ้าวถึงบอกว่าตอนคัดนักแสงทักตลกมาก แถมยังทำหน้างงตอนผมบอกว่าทัพได้บทพระรอง ที่แท้คนที่ไม่รู้อะไรเลยมันก็ผมนี่แหละ
โดนหลอกมาเป็นเดือนๆ เลยไอ้พาย
"มึง... มึงไม่ได้เล่นบทพระรองเหรอ?"
"ก็เปล่า..."
กวนตีนแล้วไง แล้วที่ให้ผมช่วยซ้อมบทให้เป็นเดือนๆ นั่นมันอะไรกันวะ!?
"แล้วบทนั่น... มึงให้กูซ้อม... มึงลวนลามกูเป็นเดือนๆ เพื่อ!?"
"ก็มีโอกาส เลยอยากลองทำอะไรที่อยากทำ"
ชกหน้ามันสักทีน่าจะดีเหมือนกัน ผมกำมือแน่น ทำหน้าบึ้งมองคนตัวโตที่ยกมือเกาท้ายทอยตัวเองเหมือนอับจนคำพูด ผมไม่ชอบการโกหกเท่าไหร่ อีกนิดนะ ถ้ามันกวนด้วยการพูดจากำกวมอีกนิดคงได้มีการฟาดปากระหว่างเด็กอักษรกับเด็กนิเทศแน่ เพื่อนก็เพื่อนเถอะ
"กูอยากซ้อมบทรัก พอใจยัง"
ไม่พอใจ ผมหรี่ตามองทัพเพื่อให้รู้ว่าขีดความอดทนของผมเริ่มจะหมดลงเรื่อยๆ แล้ว
"เออ กูซ้อมบทบอกรักกับมึงเพราะกูอยากบอกรักมึงแต่กูมันป๊อด ที่ไม่บอกบทแสดงจริงๆ เพราะไม่อยากให้มึงมาเห็นภาพกูแสดงตุ๊ดแตกแล้วหมดศรัทธา แล้วเมื่อกี้กูจูบเพราะมึงแม่งทำแก้มแดงมองกูแบบนั้นเอง พอใจยัง สัส"
ด่าปิดท้ายอีก มันน่านัก
ตอนแรกก็ว่าจะไม่พอใจ แต่เห็นมันหน้าแดงหูแดงขนาดนั้นแล้วก็อดใจร้ายไม่ลง และต้องยอมรับแบบง่ายๆ เลยว่าพอมันสารภาพออกมาหมดแล้ว ความอึดอัดที่มวลอยู่ในอกผมมันหายไปเยอะมาก ไม่ได้หายโกรธเรื่องที่โดนหลอกนะครับ ยังกรุ่นๆ แต่มันมีอารมณ์อื่นที่แทรกเข้ามาแทนที่ก่อน
เขินว่ะครับ
"แล้วไง?"
"แล้วไงอะไร?"
"จะเปลี่ยนสถานะมั้ย?"
"เห็นหน้ากูเป็นเฟสบุ๊คเหรอทัพ คิดอยากเปลี่ยนสถานะก็เปลี่ยนงี้"
"กวนตีนนะมึง"
"...เออ"
"เอออะไร"
"ก็เออไง เรื่องโกหกล่ะฉลาด พอเรื่องนี้มาโง่เลยนะ โอ้ย! ตบอีกแล้ว นิสัยแย่!"
"โทษๆ ไม่ตบแล้ว มาจูบแทนมา"
แล้วผมก็โดนจูบข้างขมับ ระยะความสูงที่พอดีปากมัน
แย่แล้วครับ ผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย ทั้งรู้สึกดีใจ ทั้งเขิน อารมณ์ทั้งหลายแหล่มันตีกันในอกไปหมด
เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม ใครจะไปรู้ว่าจะมาสปาร์คกันตอนอยู่มหาวิทยาลัย แถมไม่รู้ด้วยว่าความรู้สึกมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อาจจะค่อยๆ สะสม หรืออาจจะเพราะความผูกพันของเราทั้งคู่ที่มีมากขึ้นก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ในเมื่อมันเป็นความรู้สึกดีๆ ก็ให้มันดีๆ ต่อไปก่อนแล้วกัน
เพราะผมชอบอะไรที่มันละมุน ฟุ้งๆ แบบนี้เหมือนกันแหละ
PIE PATIPAT คบหาดูใจกับ THANTHAP THAP
JAONAI SIRIVEJPIPAT
เลิกฟังเพลงโมเดิร์นด็อกแล้วดิมึง ยินดีด้วย เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ
THANTHAP THAP
กูบอกแล้วว่ารอดู คนหล่ออย่างกูยังไงพายก็ใจอ่อน ขอบใจมากเว้ยจ้าว
PIE PATIPAT
ขี้โม้อ่ะทัพ ฉวยโอกาสด้วย นิสัยแย่จริงๆ
THANTHAP THAP
พายอย่ามาแกล้งทัพถึงในนี้ดิ เนอะ ไม่แกล้งเนอะ
PIE PATIPAT
TAWANNCHAI BHUMIVITAYAพี่ว่าต้องเปลี่ยนจาก #นิเทศเทใจ เป็น #นิเทศกลัวเมีย แล้วล่ะที่นี้ ยินดีด้วยครับ
PIE PATIPAT, JAONAI SIRIVEJPIPAT, GOODNIGHT NIGHT, PA KAWIN และอีก 324 คนได้กดไลค์
--------------------------------------------------------------------------------------------
TALK: สวัสดีค่ะ เอาตอนต่อมาลงเรียบร้อยค่ะ
คู่เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนี่มันสนุกมากๆ เลยนะคะ สำหรับคนเชียร์ก็สนุกไปด้วย (นี่คือหนึ่งคนในนั้นที่ชอบเชียร์แบบอ้อมๆ เวลาที่รู้ว่าเพื่อนตัวเองใจตรงกันค่ะ) ถ้้าหากทุกคนสนุกไปด้วยเราจะดีใจมากเลยค่ะ
เนื่องจากมีคอนเม้นแนะนำมาว่าเขียนคำว่าซีรี่ย์ผิดมาตลอด ตั้งแต่นี้จะขอใช้ให้ถูกต้องเป็น
มหา'ลัยเดอะซีรีส์ นะคะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆ เลยค่ะ
ช่วงนี้อาจจะมาต่อช้าไปบ้าง เพราะงานหลักค่อนข้างยุ่งค่ะ จะพยายามทำสต๊อกไว้ในช่วงที้หายไปเอาไว้ และจะพยายามไม่หายนานนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ค่ะ