ตอนที่ 16
Musician . Solitude . Novelist
“หงุดหงิดอะไร”
“คนเขียน No name ไม่ยอมมาต่อนิยายอ่ะ”
“แล้วต้องทำหน้ายุ่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
“บทกำลังจะพีคน่ะ คุณไม่เข้าใจหรอก” ผมบ่นกระปอดกระแปด นั่งเลื่อนจอมือถือเพื่อเช็กความเคลื่อนไหว สุดท้ายก็พบว่าคนเขียนคนนั้นไม่เคยมาต่อนิยายอีกเลย
“ผมก็เป็นคนเขียนนิยายทำไมจะไม่เข้าใจ แต่ช่วยกินข้าวให้หมดก่อนได้มั้ยค่อยทำอย่างอื่น” บ่นเป็นพ่อกูเลยครับ ถามว่ากล้าท้าทายมั้ย พูดได้เต็มปากเลยว่า...ไม่!
วางมือถือลงแล้วจ้วงข้าวใส่ปากนี่งานถนัด จะไม่เถียงให้เสียเวลา นึกถึงตอนทะเลาะกันทีไรมันเจ็บหัวใจทุกที เพราะไม่ง่ายเลยที่ผมจะผ่านแต่ละวันมาได้ ดังนั้นจึงต้องยอมหักยอมงอบ้างเพื่อชีวิตจะได้ดีขึ้น เห้อม
“วันนี้ออกไปทำงานข้างนอกด้วยกันมั้ย” คนตรงหน้าเอ่ยถาม
“อ่า...ผมคิดว่าไม่ พอดีเพลงเสร็จแล้วน่ะเลยอยากเอาไปอัดที่สตู”
“ไม่เห็นคุณเคยบอกเลยว่าแต่งเสร็จแล้ว”
“ก็บอกนี่ไง”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง”
“นั่งรถไฟฟ้าไปได้น่า”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“มันจะรบกวนคุณเปล่าๆ”
“เดี๋ยวผมไปส่ง” จบกัน เถียงสู้ไม่ได้ก็จำเป็นต้องล่าถอย
เรากินอาหารเช้าตัวด้วยเสร็จ ยุคล้างจาน ผมเช็ดโต๊ะ สายๆ หน่อยเขายัดแล็ปท็อปใส่กระเป๋า จากนั้นก็พาผมไปส่งถึงค่ายเพลง ส่วนตัวเองก็ปลีกวิเวกไปทำงานที่คาเฟ่สักแห่งเหมือนที่มักทำประจำ
“ลมอะไรหอบมาวะเนี่ย จริงๆ ส่งงานทางเมลก็ได้มึงจะได้ไม่เหนื่อย” โปรดิวเซอร์หน้าประจำที่ร่วมงานมาตั้งแต่ยังแบเบาะอย่างพี่เกมทักขึ้น ผมยิ้มให้เขา วางกระเป๋าลงแล้วถามหน้าอ้อนนิดหน่อยเผื่อแกจะได้เห็นใจ
“คือพอดีจะมาขอใช้ห้องอัดหน่อยอ่ะครับ”
“ห้องอัด? เดี๋ยวนะ มึงจะเอาดีทางด้านนักร้องแล้วเหรอ เฮ้ยดีเลยแม่งปั้นง่าย หน้าอย่างมึงนี่ไม่นานก็ดัง แฟนคลับตรึมจนซื้อบ้านซื้อรถได้ตั้งแต่ปีแรกแน่” เอ่อ...พูดไปนิดเดียวแกรัวมาเป็นกลองยาวเลยครับ
“ผมไม่ได้จะเป็นนักร้อง แค่เอาเดโม่มาให้พี่ฟังแล้วขออัดเสียงให้มันดีขึ้นนิดหน่อย”
“อ้าว อะไรยังไงกูงงไปหมด”
“คือเพลงนี้ผมไม่ได้กะขายให้ค่ายน่ะ”
“ไอ้น้องเวร มึงจะเอาไปให้ค่ายอื่นเหรอวะ”
“ไม่ใช่นะพี่ คือ...ผมแต่งเพลงให้คนๆ นึง เลยอยากให้เป็นของขวัญน่ะ”
“อ๋อ เก็ตละ งั้นมึงเอาเดโม่มาให้กูฟังหน่อย อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง” ผมยื่นแผ่นซีดีที่อัดเสียงเอาไว้คร่าวๆ ให้กับเขา พี่เกมรับไปเปิดฟังเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผมด้วยท่าทางที่ดูแปลกไปเล็กน้อย
“โคตรเพราะเลยชยิน กูว่าเพลงนี้ดังชัวร์ ขายให้ค่ายเถอะ สาบานได้ว่าผู้บริหารเคาะแน่ๆ บางทีอาจได้เรทที่มากกว่าค่าตัวปกติของมึงก็ได้” เจ้าตัวพูดตาเป็นประกาย แต่ใจผมนี่สิที่เริ่มห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ
เป็นคนขี้ใจอ่อนด้วยไง โดนใครยุหน่อยล่ะใจเหลวทันที ยิ่งเอาเงินมาล่อยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปกติติดสปีดสี่คูณร้อยตอบตกลงไปทันที ทว่าคราวนี้ไม่เหมือนกัน...
“ผมคิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ขายครับ”
“เหอะน่า มึงก็ขายให้ด้วย แล้วก็ส่งไปเป็นของขวัญให้คนพิเศษของมึงด้วยไง”
“ผมไม่อยากได้เงินครับ” ถึงช่วงนี้จะอดอยากปากแห้งไปบ้าง เชื่อว่าในอนาคตผมจะสามารถเขียนเพลงได้อีกเป็นสิบเป็นร้อยเพลงเพื่อหาเงินประทังชีวิต แต่เพลงๆ นี้มันจะเขียนอีกเป็นครั้งที่สองหรือสามไม่ได้แล้ว ต่อให้หาเพลงใหม่ที่ตั้งใจยังไงมันก็แทนกันไม่ได้อยู่ดี
มันอยู่ที่ความรู้สึก ณ ขณะนั้นมากกว่า
“โคตรดื้อเลยมึงอ่ะ ปกติไม่เป็นแบบนี้ ถามหน่อยมึงแต่งให้ใคร” พี่เกมถามอย่างสงสัย ผมเองก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับอะไรเลยบอกไปตรงๆ
“ให้คนรักครับ”
“อ่า ใช่คนที่ทำมึงอกหักจนหนีงานหนีการป่ะ หรือว่านี่คนใหม่”
“เปล่าครับ เป็นคนเดียวกัน พอดีว่าเข้าใจผิดนิดหน่อยเรื่องมันเลยบานปลาย”
“แฟนมึงคงจะดีใจเนาะ เอาเถอะในเมื่อไม่อยากขายก็เรื่องของมึง” เขาลุกจากเก้าอี้ทำงาน เดินไปหยิบกุญแจห้องอัดเสียงแล้วโยนมาให้อย่างไม่ถนอมนัก “รีบอัดรีบไป”
“ผมต้องจ่ายค่าห้องเท่าไหร่”
“ประสาทน่า งานนี้ไม่มีเก็บตังค์ ถือว่ากูช่วยเป็นค่าพยานรักให้มึงทั้งสองคนแล้วกัน”
“หูยยยยยย โคตรใจว่ะ”
“ใจขนาดนี้ก็ขายเพลงให้ค่ายเถอะ”
“เอ่อะ!” กูไม่น่าพูดเลย ผมรีบเดินดุ่มๆ โดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง ไม่คิดเลยว่าจะถูกเรียกเอาไว้ซะก่อน
“ชยิน”
“คะ...ครับ” บอกตามตรงว่ากลัวโดยตื๊อให้ลำบากใจฉิบหาย
“กูอยากให้มึงอัพโหลดเพลงนี้ลง Youtube ดู อย่างน้อยคนจะได้ฟังในสิ่งที่กูได้ยิน มันไม่ใช่ธุรกิจแต่เพลงดีๆ ก็สมควรให้คนอื่นได้ฟังบ้าง”
“จะลองกลับไปคิดดูครับ”
ผมใช้เวลาทั้งวันในการอัดเสียง เริ่มตั้งแต่เล่นกีตาร์ จากนั้นก็มาร้องซ้ำซากวนเวียนอยู่ในท่อนเดิมๆ จนกว่าจะพอใจ สุดท้ายเพลง ‘ไม่เคยลืมเลือน’ ก็จบลง
ไม่มีมิวสิกวิดีโอ ไม่มีการเผยแพร่โฆษณาหรือโปรโมท มีแต่เสียงของผมและกีตาร์ที่อยากสื่อให้ใครคนหนึ่งได้ฟังเท่านั้น โรแมนติกป่ะ ชีวิตไม่เคยทำอย่างนี้ให้ใครเลยนะเว้ย
นายศตวรรษควรภูมิในตัวผม
ช่วงเย็นคนตัวสูงถ่อมารับที่หน้าตึก ผมขอบคุณพี่เกมเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่แกก็ยังหาเรื่องมาส่งผมถึงรถเพื่อจะได้ดูหน้าสารถีที่ขับรถมารับอย่างเต็มตา
“ฮั่นแน่! ฮั่นแน่! กิ๊กกับนักเขียนทำไมไม่บอกกู” แม่งรู้จักไอ้ยุคด้วย จะบ้าตาย
“พี่เลิกล้อเถอะน่า ผมกลับแล้วนะ”
“ฮั่นแน่ เขินเหรอ”
“โว้ย ไม่เถียงกับพี่แล้ว กลับล่ะ!” ว่าแล้วก็โบกมือหยอยๆ แล้วสับเท้าเข้าไปในรถซึ่งมีกลิ่นอายเดิมๆ ที่แสนคุ้นเคย ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองเสี้ยวหนึ่ง เขายื่นถุงขนมมาให้แล้วบอกอย่างใส่ใจ
“กินซะ ดูเหมือนจะไม่ได้กินอะไรทั้งวัน”
“คุณรู้ได้ไง” แม่งนั่งทางในมาเสือกกูแน่ๆ
“มองตาก็รู้แล้วคุณ ไม่เคยจะดูแลตัวเองอ่ะ”
“คุณกลับไปทำของกินอร่อยๆ ให้ผมกินที่ห้องหน่อยสิ” ผมพูดเป็นเสียงอ้อนๆ
“เด็กน้อยนี่มันเด็กน้อยจริงๆ แต่ก่อนกลับห้องผมต้องแวะไปที่นึงก่อน”
“ที่ไหนอ่ะ”
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”
แล้วผมก็ได้คำตอบในที่สุดเมื่อเราทั้งคู่กำลังเดินเข้ามาในร้านหนังสือมือสอง เป็นร้านเก่าๆ ที่ไม่มีคนเลยนอกจากเจ้าของร้านที่ดูจะสูงอายุมากแล้ว หนังสือมากมายมหาศาลกองทับกันเป็นตั้งๆ ไปจนถึงเพดาน ผมอดทึ่งกับภาพที่เห็นไม่ได้เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะก้าวเข้ามาในร้านหนังสือมือสองแบบนี้
“คุณอยากได้อะไร” ผมตั้งคำถาม
“หนังสือ”
จ้า ใช่แล้วจ้า มาร้านหนังสือมึงคงมาถามซื้อลาบหมูไปแดกอยู่หรอก
“หนังสืออะไร”
“ของมูราคามิ” ถึงกับต้องชะงักเท้า คว้ามือคนตรงหน้าเอาไว้จนเจ้าตัวต้องหันกลับมามอง
“ที่ห้องเรามีแล้ว”
“ยังไม่มี Hear the wind sing นั่นเป็นเล่มแรกของเขา และเป็นเล่มสุดท้ายของคุณในปีนี้” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมา พาเอาความรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาเนิ่นนานให้หวนกลับมาอีกครั้ง
ความจริงผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่ายังขาดหนังสือเล่มสุดท้ายของมูราคามิ นับตั้งแต่วันที่บากหน้าไร้ยางอายไปขอเขาถึงหน้าห้องจนได้รับการปฏิเสธ ผมก็ไม่นึกถึงมันอีกเลยจนกระทั่งวันนี้
“ความจริงถ้ามันหายากคุณไม่ต้องเหนื่อยหามาให้ผมก็ได้”
เขาเดินไปตามกองหนังสือมากมายมหาศาล เอื้อมมือแตะไปตามสันเหล่านั้นพร้อมกับตอบเสียงเอื่อย
“ทุกครั้งก่อนผมแวะไปที่ห้องคุณ ผมจะตามหาหนังสือเล่มที่อยากได้มาเก็บไว้ก่อน เคยคิดเหมือนกันว่าคุณจะชอบมั้ย แต่มันคงดีถ้าเราได้มาเลือกด้วยกันสักครั้ง”
“ผมชอบหนังสือทุกเล่มที่คุณให้”
“ทั้งที่บางเล่มยังอ่านไม่จบอ่ะนะ” คำพูดที่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะผลักให้ผมเกาหัวแกรก
“ก็อ่านจบเดี๋ยวคงชอบเอง”
อีกฝ่ายคว้าข้อมือให้เดินตามไปในซอกหลืบของหนังสือนับพันเล่ม ดูเหมือนเขาจะรู้ว่างานเขียนของใครอยู่มุมไหน จากนั้นก็ดึงเอาหนังสือหน้าปกสีดำ abstract เล่มหนึ่งออกมา
มันเขียนว่า ‘Hear the wind sing : Haruki Murakami’
“ได้แล้วเด็กน้อย มันเป็นของคุณ” เขายื่นให้กับมือ ผมถือไว้ก่อนเดินซอกแซกออกไปยังชั้นหนังสือโดยที่เรายังจับมือกันอยู่
“ทำไมคุณถึงต้องเลือกงานของมูราคามิให้ผม” ครั้งหนึ่งเราเคยคุยกันนานแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะความเหงาที่ทำให้เราตกหลุมรักในงานของใครสักคน
“ความจริงคุณอาจจะรู้คำตอบดี”
“ผมแค่อยากฟังความคิดเห็นจากคุณ”
“งานของเขาแปลกประหลาด ใช้คำนี้น่าจะถูก แต่มันก็คืออัตลักษณ์ที่ใครคงไม่เหมือน ตัวเอกในเรื่องส่วนใหญ่จะเหงา ไม่เหงาก็โดดเดี่ยว เป็นคนธรรมดาที่อยู่ในโลกวุ่นวาย ส่วนนางเอกของทุกเรื่องก็ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ ทุกคนต่างมีข้อบกพร่อง จริงๆ มันเหมือนกับคุณ”
“แน่นอนสิ ผมนี่ไกลจากคำนี้มากเลย จนมากด้วย”
“แต่ในความไม่เฟอร์เฟ็กต์ของทุกคนบนโลก ผมชอบคุณที่สุด”
“...”
“วันที่เจอกัน เราต่างเคยชินกันความเหงาด้วยกันทั้งคู่เลยไม่อยากหนีจากมันเหมือนคนอื่นๆ คุณมีความสุขในโลกของตัวเอง ผมก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าวันนั้นคุณแค่ทำให้ผมอยากหนีออกมาจากโลกที่เป็นอยู่แค่นั้นเอง” “นี่เป็นคำบอกรักป่ะ” ทำไมถึงรู้สึกว่ามันหวานเกินกว่าจะเป็นคำอธิบายเหตุผล
“ถ้านี่เป็นคำบอกรัก คุณคงนับมันไม่ได้แล้วเพราะผมบอกคุณไปเยอะมาก”
“...”
“หน้าแดง”
“เปล่า”
“หิวหรือยัง กลับไปกินข้าวเถอะ”
หนังสือถูกวางลงบนเคาน์เตอร์สีขาวเก่ากลางใหม่ ธนบัตรแบงค์ร้อยสองใบถูกวางลงบนโต๊ะ เรากลับเข้ามาในรถ ผมกอดหนังสือเล่มสุดท้ายที่ได้รับจากเขาเอาไว้แนบแน่น
ขณะรถเคลื่อนตัวออกไป ผมจดจำทุกคำพูดของเขาจนสลักเอาไว้ในความรู้สึก
เพราะเขา...ผมถึงทิ้งความกลัวทุกอย่างแล้ววิ่งออกมาจากโลกของตัวเอง เพื่อลองใช้ชีวิตในโลกของเขา ไม่ว่าสุขหรือเศร้า ผมในตอนนี้ก็ผูกพันกับโลกใบใหม่
จนไม่อยากกลับไปในโลกเดิมๆ ที่เคยอยู่อีกแล้ว...
ข่าวดีแรกของวันนี้คือผมสามารถอัดเพลงที่แต่งได้จนเสร็จภายในวันเดียว
ข่าวดีที่สองคือการที่ยุคพาผมไปซื้อหนังสือเล่มสุดท้ายของมูราคามิที่ยังขาดไป
และข่าวดีที่สาม...นิยายเรื่อง No name ที่เขียนโดย No name กลับมาอัพเดตอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานจนรู้สึกหงุดหงิด
ใครบอกว่า 25 คือปีชงกัน ตอนนี้ผมมองเห็นความโชคดีหลังผ่านเรื่องแย่ๆ มาทั้งหมดแล้ว
“ยิ้มอะไร” คนตัวสูงถามขึ้น เขายืนอยู่ตรงปลายเตียง มือข้างหนึ่งถือผ้าขนหนูพยายามเช็ดหัวตัวเองไปมา ขณะที่ผมอยู่ในชุดนอนและพร้อมหลับได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ติดว่าคนเขียนคนนั้นไม่โผล่มาซะก่อน
“No name มาต่อแล้ว เนี่ยเพิ่งเห็น เพราะอัพไปเมื่อชั่วโมงก่อน”
“เดี๋ยวนี้ต้องจริงจังขนาดนั้น”
“คนกำลังติดน่าคุณ เห็นเขาบอกว่าอีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว ใจหายเลย”
“มีเรื่องใหม่มาแนะนำ คุณกระต่ายน้อย Lovely Bunny เห็นคร่าวๆ ว่าคุณใส่ชุดเมด โคตรน่าหยิกก้นเลย”
“แม่ม...”
คนกำลังอารมณ์ดียังมาหลอกให้กูโมโหอีกนะ ผมไม่ชอบที่ตัวเองทำอะไรน่าอายแบบนั้น ไม่ว่าจะท้องได้ เป็นกะหล่ำปลี ใส่ชุดเมด หรือทาสเซ็กซ์สุดสยิว อีกอย่างก็กลัวว่าคนอื่นจะติดภาพนั้นจนพาลให้ไม่อยากฟังเพลงที่ผมแต่งเข้าไปอีก
“โอเคไม่กวนละ คุณอ่านนิยายให้มีความสุขเถอะ”
“ยุค มานี่” เขาหันมามองผมแบบงงๆ “จะเช็ดผมให้ เดี๋ยวคุณไม่สบาย”
“รู้สึกดีเลยที่คุณเห็นผมสำคัญกว่านิยายที่กำลังรออ่าน” กูล่ะอยากเบะปากใส่ ตัวละครในจินตนาการมันจะสู้ตัวจริงได้ไง ถึงแม้ไอ้ตัวจริงมันจะกวนตีนฉิบหายก็ตาม
“มันสนุกมากเหรอโนเนมเนี่ย” กายสูงคลานขึ้นมาบนเตียง ผมเอื้อมมือไปรับผ้าขนหนูสีขาวพร้อมกับเริ่มต้นเช็ดผมอีกฝ่ายอย่างเบามือพลางตอบคำถาม
“สนุกนะ เท่มากๆ ด้วย ไม่มีฉากเซ็กซ์เลย”
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“รอจบก่อนผมถึงค่อยเล่า”
“แล้วถ้าเขาไม่มาต่อจนจบล่ะ”
“คุณก็อย่าพูดสิ เดี๋ยวแม่งก็เป็นจริงหรอก” ยิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย “แถมคนในแท็กยุคยินก็ยังติดกันงอมแงม ถ้าคนเขียนหายไป รับรองว่าต้องมีการสืบหาตัวเพื่อจะไปบึ้มระเบิดถึงหน้าบ้านแน่”
“หวังว่าเขาจะมาต่อจนจบแล้วกัน”
“ยุค”
“หืม...”
“คืนนี้...คืนนี้ถ้ารู้สึกไม่ดีบอกผมนะ” มีเรื่องหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวมาหลายวันและไม่เคยสลัดออกได้สักที ผมครุ่นคิดจนแทบเอาตีนก่ายหน้าผาก บางคืนหรือตอนเช้าเวลาที่ต้องเห็นเขาทรมานแล้วมันก็เลยรู้สึกไม่ดีไปด้วย
ไอ้นี่มันหื่นกามครับ แค่เห็นหน้าผมแม่งก็บอกว่าเกิดอารมณ์ละ บ้าบอคอแตก
และทุกคืนเราก็ผ่านไปแบบทุลักทุเล ไม่เขาหนีเข้าห้องน้ำ ก็กอดผมไว้แน่นจนกว่าจะหลับไป ผมไม่เคยช่วยเขาเลยสักครั้ง อาจเพราะเจ้าตัวเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมท่าเดียวเรื่องถึงได้จบลงแค่นั้น
“ยังไง” เขาเงยหน้าถาม ไม่นานก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักอย่างเนียนๆ
“คือว่า...ผะ...ผมใช้มือเก่งมาก”
“รู้ได้ไงว่าตัวเองเก่ง”
“ไม่รู้ล่ะ บางทีอาจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น”
“แค่ได้นอนกอดคุณมันก็รู้สึกดีแล้ว” ไม่ใช่ของขึ้นหนักกว่าเดิมเหรอวะ
“ตอนนั้นที่เราปล่อยให้มันเกิดขึ้น มันไม่ได้แย่ซะทีเดียว ผม...ผมไม่ได้เจ็บขนาดนั้น แล้วคือจริงๆ ก็รู้สึกดีด้วย” จู่ๆ หน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่พูดประโยคแสนทะลึ่งตึงตัง อาจเพราะอยู่ด้วยกันสองคนด้วยล่ะมั้งถึงได้เอาความกล้าทั้งหมดที่มีออกมาใช้
“เด็กน้อย คุณอาจต้องใช้เวลา”
“ผมไม่เข้าใจ”
“เราต่างยินยอมให้มันเกิดขึ้นก็จริง แต่ความรู้สึกของคุณตอนนั้นมันไม่ดีเท่าไหร่ แถมผมก็เป็นฝ่ายเอาเปรียบคุณ ผมอยากให้เซ็กซ์ของเราเกิดจากความรักและความพร้อมของคุณจริงๆ ไม่อยากให้คุณฝังใจและเจ็บกับความรู้สึกในวันนั้นอีก”
“ผมไม่เป็นไร”
“แน่นอนคุณจะไม่เป็นไร แต่วันนี้ผมขอนอนหนุนตักคุณสักชั่วโมงได้มั้ย”
“อือ”
“คุณอ่านนิยายต่อได้” เขาบอกอีก
“ได้เหรอ กลัวทำมือถือตกใส่ดั้งคุณ ครั้งก่อนก็เขียวเลย”
“อ่านไปเถอะ ตกอีกเดี๋ยวด่าเอง” เป็นแบบนี้ประจำแหละครับ รอยถูกต่อยจากไอ้ริวหายไป รอยใหม่จากผมก็เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อยๆ
พูดถึงริวช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เจอมันเท่าไหร่ เห็นบอกว่าเรียนหนัก คนไข้เยอะ ความจริงแล้วอาจเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากัน ผมยังอยากเก็บความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเราเอาไว้ ทิ้งระยะห่างที่พอเหมาะแต่ก็ไม่เคยหายไปไหน ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงจะดี
ทว่าตอนนี้คงอยู่ในช่วงทำใจ คิดว่าอีกหน่อยอะไรๆ ก็คงจะดีขึ้น
ถึงแม้เขาจะพยายามหลบหน้าผม แต่แปลกดีที่ยุคกลับได้เคลียร์ปัญหากับริวจนหมด แถมจบลงอย่างสวยงามตามประสาลูกผู้ชายใจนักเลง แต่ทำไมกูถึงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เคลียร์วะ
“คุณ พรุ่งนี้ผมกลับไปที่ห้องได้มั้ย” ไม่ได้กลับมาเป็นอาทิตย์ กลัวว่าจะมีโจรบุกปล้น แม้รู้ดีว่าในนั้นจะไม่มีของมีค่าอะไรเลยก็ตาม
“ได้ เดี๋ยวไปส่ง ตอนเย็นจะกลับมานอนนี่หรือให้ผมไปนอนที่โน่น”
แหมมมมมม ไม่มีชอยส์ให้กูเลือกอยู่คนเดียวเลยนะ
“ถ้าคุณไม่ขี้เกียจเก็บของก็ไปนอนห้องผมได้”
“โอเคตกลงตามนั้น แต่ช่วงกลางวันผมเข้าออฟฟิศแป๊บนึง มีเรื่องคุยกับ บ.ก.”
“ผมก็มีเรื่องต้องจัดการเหมือนกัน”
ช่วงเช้าไอ้คุณยุคยังทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านที่แสนดีด้วยการทำกับข้าว ส่วนผมมีหน้าที่หนักหนาสาหัสที่มักได้รับมอบหมายในทุกเช้านั่นคือการเทนมใส่แก้ว คิดแล้วก็จะร้อง มึงเห็นกูอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอวะ
เขาขับรถมาส่งผมที่คอนโดก่อนจะแยกไปทำงาน ส่วนกูนั้นรีบวิ่งจ้ำเอ้าขึ้นห้อง เปิดคอมด้วยความไวแสง แล้วจัดการอัพโหลดไฟล์ที่อัดเสียงเรียบร้อยลงบนเครื่อง
ใช้เวลาคิดมานานพอสมควรระหว่างที่แต่งเพลง ‘ไม่เคยลืมเลือน’ ว่าจะตัดสินใจมอบเพลงนี้ให้อีกฝ่ายตอนไหน และยิ่งปวดหัวหนักขึ้นเป็นเท่าตัวตอนถูกพี่เกมโปรดิวเซอร์สปอยด์ให้อัพโหลดเพลงลงยูทูบ
เมื่อคืนนี้เลยนอนพลิกไปพลิกมาและใช้ความคิดอยู่นาน สุดท้ายผมตัดสินใจจะลงเพลงให้คนได้ฟัง แล้วทิ้งลิงก์เพลงเอาไว้ให้คุณชายศตวรรษตามไปร้องไห้น้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งทีหลัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะซึ้งหรือเปล่านะ เกิดทำหน้าตายกลับมาก็จบเห่กันพอดี
เนื่องจากเป็นห้องของฟรีแลนซ์จนๆ สายแลนทุกตัดขาด ไวไฟก็กากเป็นชีวิตจิตใจ เพราะฉะนั้นเพลงเดียวที่อัพโหลดลงไปจึงใช้เวลาปาไปเกือบห้าชั่วโมงทั้งที่ไม่มีวิดีโอหรือขนาดไฟล์ที่กินพื้นที่อะไรขนาดนั้นเลย ผมใช้ยูสเซอร์ ‘ChayinOfficial’ เป็นตัวกลางในการสื่อสาร
ตั้งแต่สมัครและล็อกอินเข้ามาใช้ ผมก็ไม่ได้ลงไฟล์เพลงเป็นจริงเป็นจังสักครั้ง อาจเพราะแต่งเพลงให้คนอื่นเป็นซะส่วนใหญ่ เพลงเดี่ยวก็ไม่เคยมีมันจึงมีคนติดตามไม่มากนักถ้าเทียบกับแฟนเพจในเฟซบุ๊ก
ผมมองดูคำบรรยายข้างใต้วิดีโออยู่เนิ่นนาน
ChayinOfficial Song : ไม่เคยลืมเลือน
Artist : Chayin (ชยิน)
To : คนที่ทำให้โลกของผมไม่เหงาอีกต่อไป (0832/676) ยี่สิบนาทีหลังเพลงอัพโหลดเป็นสาธารณะ ผมก็ไม่ได้โปรโมทหรือวางลิงก์เพลงไว้ในแฟนเพจให้ใครตามไปดู เพราะหวังให้คนเข้ามาฟังให้น้อยที่สุดก่อนที่ใครคนนั้นจะเปิดเข้ามา
ทว่าแผนการกลับคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ตรงที่คน Subscribe ชาแนลของผมเป็นฝ่ายนำเพลงไปแชร์ซะเอง รู้ตัวอีกทีคนก็เข้ามาฟังเป็นพันแล้ว แถมคอมเมนต์ยังหลั่งไหลเข้ามาแบบล้นหลาม
‘โคตรชอบ’
‘เจ๋งฉิบหาย รู้สึกว่าไม่ได้ฟังเพลงที่โดนขนาดนี้มานานแล้ว’
‘พี่ชยินที่แต่งเพลงรักที่เธอเคยมีหรือเปล่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่แต่งเพลงรักได้ซึ้งขนาดนี้’
‘เดอะนิวชยิน’
‘มีใครคนหนึ่งเคยบอกว่า เราไม่มีทางลืมคนที่รักเราไปได้แม้สุดท้ายเราจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม’
‘โมโลดี้โคตรสวย ฟังแล้วอิน’
‘A little bliss แม่งหนาวแล้ว เจอคนจริง’ และอีกหลากหลายข้อความที่ปรากฏขึ้นเป็นวินาที ผมยิ้มจนแก้มแทบแตก ลืมหมดแล้วว่าอยากเซอร์ไพรส์ใครแถมตอนนี้ยังตอบคอมเมนต์ขอบคุณจนตัวแทบลอย
หรือผมคิดผิดที่ไม่ขายเพลงนี้ให้ค่ายวะเนี่ย
ไม่ดิ! ถ้าไอ้ยุครู้ว่าผมคิดแบบนี้กูโดนตีตายแน่เลย
ข้อความที่ตอบกลับส่วนใหญ่ก็จะเป็นอะไรที่สั้นๆ กระชับเช่นประโยค ‘ขอบคุณมากครับ’ หรือ ‘ดีใจที่ชอบนะ’ อะไรประมาณนี้ แต่ถ้าข้อความไหนโดนใจหน่อยก็กดถูกใจเพิ่มเข้าไป จนตอนนี้ระบบยูทูบก็ค่อยๆ คัดคอมเมนต์ที่มีคนกดถูกใจมากที่สุดขึ้นมาเป็นความเห็นด้านบนสุด
สองชั่วโมงให้หลัง Top comment กลายเป็นของวง A little bliss ที่เข้ามาแสดงความยินดี
‘ชยิน แต่งเพลงแบบนี้ให้วงบ้าง ดีที่สุดในโลก
ป.ล. แอบอิจฉาใครคนนั้นนะ เขาได้ฟังเพลงหรือยัง’ ผมตอบกลับสั้นๆ
‘ยังเลย เขาคงกำลังทำงานอยู่’ ห้าชั่วโมงแรกยอดคนดูมากกว่าหนึ่งหมื่นซึ่งเกินความคาดหมายไปเยอะมาก จากที่คิดว่าอาจจะมีคนหลงมาฟังสักร้อยหรือสองร้อยคน แต่การแชร์และกระจายข่าวสารมันโหดกว่านั้น
ด้วยจมอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ค่อนข้างนานทำให้กระเพาะเริ่มส่งเสียงร้อง ผมพักสายตาครู่หนึ่ง เดินไปยังตู้เย็นเพื่อหาอะไรง่ายๆ มากิน พร้อมกับอ่านข้อความที่ยังคงฝุดขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งข้อความของใครคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า
หัวใจที่เต้นรัวด้วยความสุขมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ผมมองอยู่นาน ขยี้ตาหลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝัน
0 8 3 2 / 6 7 6 ตั้งแต่มีคุณผมก็ไม่เคยเหงาเหมือนกัน เป็นข้อความสั้นๆ ที่ไม่ได้หวาน ไม่โรแมนติก แต่รับรู้ได้ถึงความเรียบง่ายและจริงใจของเขา เป็นศตวรรษคนเดิมที่ตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ภาพจำของเขาสำหรับผม ‘ไม่เคยลืมเลือน’ …
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน คนเขียนนิยายเรื่อง No name หายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิ้งความสงสัยให้คนอ่านเอาไว้เพราะไม่ยอมมาต่อตอนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปของตัวละครสักที
ส่วนงานของผมตอนนี้มีคนกดเข้าไปฟังเพลงในยูทูบเกินสิบล้านแบบงงๆ ท็อปคอมเมนต์ที่มีคนกดถูกใจและแสดงความเห็นเพิ่มเติมมากที่สุดก็ยังคงเป็นของนาย 0832/676 ที่โผล่มาทีเล่นเอาแจ้งเตือนผมแทบแตก
หลายค่ายยังพยายามติดต่อขอซื้อเพลงจนต้องปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม
บอกเลยว่าเงินซื้อผมไม่ได้หรอกถ้าไม่มากพอ นี่คิดว่าค่ายต่อไปถ้าจ่ายหนักหน่อยผมก็ขายแล้วนะ
อ่ะล้อเล่น!
ที่พีคสุดคือไม่เคยลืมเลือนดันขึ้นไปติดชาร์ตอันดับหนึ่งแฟตเรดิโอติดต่อกันถึงสองสัปดาห์แล้ว ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายกับเพลงหนึ่งเพลงที่ตั้งใจแต่งให้คนที่รักที่สุด แถมประเด็นใหญ่ยังตกไปอยู่ที่ ‘ผมแต่งเพลงให้ใคร’ ซะนี่
ทุกข้อความที่ถามเข้ามาในแฟนเพจล้วนเป็นคำถามซ้ำๆ เดิมๆ จนขี้เกียจตอบ ความจริงก็ไม่ได้อยากเล่นตัวอะไรหรอก แต่ผมกับยุคตกลงกันไว้แล้วว่าอยากใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องรู้จักตัวตนของเราให้มาก ซึ่งผมเห็นด้วยเพราะใช่ว่าชื่อเสียงจะทำให้เรารักกันยาวนาน
Rrr..!
ช่วงนี้มีสายเข้ามาบ่อยจนแทบไหม้ ส่วนใหญ่ก็มาจากโปรดิวเซอร์และพี่ๆ ที่เคยร่วมงานกัน ไอ้ชยินช่วงนี้เนื้อหอมมากครับ ใครๆ ก็อยากจีบ ผมก็เลยคอนเฟิร์มรับงานแม่งให้หมดเนื่องจากกระเป๋าสตางค์แบนมาหลายเดือนแล้ว
ทว่าคราวนี้ไม่ได้มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนทุกครา เพราะชื่อที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอเป็นชื่อเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่ง ซูปเปอร์เนิร์ด…เมพเบิร์ดของชยิน
“ว่าไง”
[ช่วงนี้ดังแล้วลืมเพื่อนเลยนะมึง] ดูมันพูดเข้า ได้ข่าวว่าเพิ่งคุยกันไปเมื่อสามวันก่อน
“ต่อไปมึงให้กูทำไวนิลเป็นหน้ามึงติดไว้ตรงประตูเลยมั้ย ถ้าไม่อยากให้ลืมขนาดนั้น” ผมพูดเป็นเชิงประชดประชัน กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะขบขันตอบกลับมา
[ตั้งแต่มีผัวนี่ขี้ประชดจังนะ]
“มึงนั่งเครื่องมาเลย กูจะไปต่อยมึงถึงสุวรรณภูมิเดี๋ยวนี้แหละ”
[โถ...คิดถึงกันก็บอก อยากให้กูกลับมาล่ะสิ] นอกจากขี้เสือกแล้วมันยังหลงตัวเองอีกครับ
“เอาที่สบายใจนะ สรุปแล้วโทรมามีไร หรือจะแค่หาเรื่อง”
[ก็ที่เคยบอกมึงไปเมื่ออาทิตย์ก่อนไง กูส่งแผ่นโปรแกรม MSN ฉบับปรับปรุงมาให้ สรุปมึงได้ยัง] ผมหันไปมองกองพัสดุมากมายมหาศาลที่วางอยู่บนเตียงพลางถอนหายใจ
“คิดว่าน่าจะถึงแล้วล่ะ แต่ช่วงนี้กูแค่ไม่ได้ทยอยเอามาเช็ก”
[ฮอตอะไรปานนั้น]
“ชีวิตดีก็เงี้ยะ”
ตั้งแต่เพลงไม่เคยลืมเลือนเริ่มเป็นกระแส ผมก็ได้รับพัสดุจากแฟนเพลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นของที่มาเป็นคู่ เช่นเสื้อคู่ บัตรแดกหมูกระทะฟรี หรือแม้กระทั่งเซ็กซ์ทอยแม่งก็ยังส่งมาให้ ถามจริ๊ง! คิดว่ากูจะใช้เหรอ แม่ม!
[ลืมบอกไปอย่าง โปรแกรมนี้หลังจากลงแล้วจะอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้นนะ]
“ทำไมมันสั้นจังหวะ นี่เหรอฉบับปรับปรุงของมึง”
[เออน่ะ มันสร้างมาเพื่อมึงก็แล้วกัน แล้วตอนนี้อยู่ไหนเนี่ย] ปลายสายถามกลับ
“ห้อง”
[ห้องใคร]
“ห้องตัวเอง”
[อ้าวแล้วไอ้คุณยุคอ่ะ ไม่อยู่ด้วยเหรอ แปลกว่ะ] คำว่าแปลกที่ไอ้เบิร์ดพูดถึงมันก็จริง คือปกติแล้วเวลาเกือบเที่ยงคืนอย่างนี้เราจะอยู่ด้วยกันตลอด หากแต่วันนี้แตกต่างออกไปตรงที่ยุคขอตัวไปนอนออฟฟิศในรอบหลายปี เห็นบอกว่ามีงานเร่งจากโรงพิมพ์นิดหน่อยเลยต้องอยู่เฝ้า
ผมก็เลยเออออห่อหมกรับฟังแล้วกลับมานอนที่ห้องนี่แหละ
“ยุคไม่อยู่ ติดงาน”
[อ๋อ นึกว่าทะเลาะกัน จะได้เปิดแชมเปญฉลอง]
“ตบปากตามอายุตัวเองเดี๋ยวนี้เลย”
[กลัวอะไรขนาดนั้น ฮ่าๆ หลงเขามากนะมึง]
“มันต่างหากที่หลงกู โด่...” วันไหนไม่ได้กอด ไม่ได้จูบ ไม่ได้กัดคอเป็นหมาบ้าคงนอนไม่หลับ ไม่รู้วันนี้จะเป็นยังไงบ้าง แอบห่วงเหมือนกันกลัวว่ามันจะนอนไม่สบาย
[เอาล่ะ กูไม่อยากเถียงมึง เมียแม่งตามไปกินข้าวเที่ยงแล้วเนี่ย ยังไงอย่าลืมค้นโปรแกรมกูมาใช้ด้วยนะ รับรองว่ามึงจะชอบฉบับปรับปรุงอันนี้แน่]
“เออๆ กินข้าวให้อิ่ม”
[มึงก็ฝันดีนะเว้ย ไว้คุยกันใหม่]
เวลาและความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผมกับเบิร์ด เราคุยกันแบบนี้ประจำ แล้ววันนี้หลังวางสายผมก็มีภารกิจอันยิ่งใหญ่นั่นคือการควานหากล่องพัสดุที่ส่งตรงจากอเมริกา ท่ามกลางกล่องพัสดุนับสิบที่กองอยู่บนเตียง
แน่นอนว่านั่งเขี่ยไปเขี่ยมาไม่ถึงห้านาทีผมก็เจอจนได้
ในกล่องไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าแผ่นโปรแกรมในตลับใส่หนึ่งแผ่น กับข้อความที่แปะผ่านโพสต์อิทสั้นๆ
To…Ma best friend, Chayinอ่านต่อด้านล่างค่ะ