ตอนที่ 3 {เวลาเปลี่ยน}“เจ้าเสือแกจะไปไหน”
“นัดพวกไอ้แชมป์ไว้ เจ๊มีไรป่าว จะฝากขายหวยเหรอ”
“ฉันไม่รบกวนแกหรอก แค่อย่าไปก่อเรื่องก็พอ”
“เสือโตแล้วนะแม่ มีการมีงานทำแล้ว ก่อเรื่องอะไร ไม่ทำหรอก”
“ตอนนี้ก็ไม่ทำหรอก แต่พอเจอหน้าพวกไอ้แชมป์แล้วรวมแก็งค์กันน่ะไม่แน่ใช่มั้ยล่ะ”
“แค่ไปเดินหล่อๆ อ่อยสาวที่ห้างเอง”
“ให้มันจริง อย่าให้รู้ว่าไปซิ่งจะโดนไม่ใช่น้อย”
“ไม่ให้รู้หรอก ไปนะครับ สวัสดี” ยกมือไหว้แม่ประหนึ่งท่านสส.เดินหาเสียง ท่าทางการไหว้ที่แม่บอกว่ายกระดับความกวนตีนของผมขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ไม่ว่ากันครับ น้อมรับ ทั้งหล่อทั้งกวนตีน นี่แหละเสน่ห์เสือตัวนี้
แชมป์เป็นเพื่อนสมัยมัธยมครับ รู้จักกันตั้งแต่ ม.1 แต่สนิทสนมกันจริงจังตอนเข้าแก็งค์มัจจุราชหน้าหยกตอน ม.3 แก็งค์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้หมูอ้วนขาดสะบั้นลง
“เสือมากับใครคะเนี่ย”
“คุณปราง บังเอิญจัง” ขณะที่หล่อกำลังเดินเอ้อระเหยอยู่นั้นโลกก็ดันเหวี่ยงคนเคยรู้จักให้มาเจอกัน
‘ปรางทิพย์’ เคยเป็นรีครูทมือใหม่ไฟแรงที่ ‘The Agent’ บริษัทฯ เดียวกับผม เราเริ่มงานวันเดียวกัน อายุเท่ากันจึงค่อนข้างที่จะมีเรื่องให้คุยกันมากกว่าคนอื่น แต่เมื่อปี 3 ปีที่แล้วเธอก็ลาออก หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่าเธอไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง
“เรียกคุณอะไรกัน เราเคยสนิทกันมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ หาที่คุยกันหน่อยมั้ย”
“แต่ผมนัดเพื่อนไว้”
“แป๊บเดียวเอง ปรางมีเรื่องจะคุยกับเสือจริงๆ นะ”
“งั้น ร้านกาแฟตรงนั้นมั้ย” ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากนั่งร้านกาแฟในห้างหรอก แพงเกินเงินเดือนพนักงานบริษัทอย่างผมมากเหลือเกิน แต่นี่ต่อหน้าสาวไงจะแสดงความจนให้เขาเห็นได้อย่างไร
เราเลือกนั่งโต๊ะกลมแบบคู่ติดกระจกหน้าร้าน วัตถุประสงค์เพื่อจะได้มองหาไอ้ชมป์ได้ถนัด ปรางทิพย์เริ่มคุยเรื่องของเธอในระหว่างรอกาแฟ เธอเริ่มต้นบทสนทนาด้วยชีวิตการทำงานของเธอเอง ฟังๆ ดูแล้วเหมือนกำลังโม้มากกว่า
“เสือไม่คิดจะเปลี่ยนงานบ้างเหรอ”
“ไม่เคยคิด”
“พูดตรงๆ เลยนะเสือ เจ้านายปรางท่านชอบเสือมากเลยนะ บอกปรางเสมอเลยว่าอยากให้เสือมาทำงานด้วย”
“เจ้านายปรางรู้จักผมได้ไง” ผมไม่ใช่คนดังในแวดวงธุรกิจสายนี้สักหน่อย ก็แค่พนักงานเงินเดือนตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง
“ปรางเล่าให้ฟังเองแหละ ปรางถามอะไรเสือหน่อยได้มั้ย” เธอโน้มลำตัวลงมาใช้ฝ่ามือป้องปาก ดูก็รู้ว่าคงเป็นคำถามที่น่าจะตอบยากพอสมควร แต่ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอก
“ถามได้ดิ แต่ไม่แน่ใจนะว่าจะตอบได้รึเปล่า”
“ที่นี่เค้าให้เงินเดือนเท่าไหร่ เจ้านายปรางให้ 2 เท่าเลยนะ”
“ไม่เป็นไรดีกว่า ขอบคุณปรางมาก ไว้เจอกันคราวหน้าคุยกันเรื่องอื่นดีกว่าเนอะ” ผมบอกลาเธอด้วยประโยคนั้นแล้วจึงเดินถือแก้วกาแฟออกมาสมทบกับไอ้แชมป์ที่มาถึงพอดี
“แฟนมึงเหรอไอ้เสือ แจ่มนี่หว่า ดูขาคู่นั้นดิ ขาวฉิบหาย” ไอ้แชมป์ที่หนึ่งเรื่องเสือผู้หญิงว่าด้วยน้ำเสียงหื่นกามขณะใช้สายตาโลมเลียท่อนขาปรางทิพย์
ไม่ต้องเชื่อเรื่องความแจ่มของสาวๆ ที่ได้ยินจากปากมันมากหรอก ไอ้นี่น่ะแค่เป็นผู้หญิงนมใหญ่แม่งก็บอกว่าแจ่มหมดแหละ
“เลิกสนใจเพื่อนกูเถอะ แล้วไหนของที่กูบอกให้มึงเอามา”
“ที่จริงกูเอาไปให้มึงที่บ้านก็ได้นะ ไม่เห็นต้องให้ถือมาถึงนี่เลย”
“ถ้ามึงเอาไปให้กูตั้งแต่แรก กูก็คงไม่ต้องทวงยิกๆ หรอก เอามา ลีลาเยอะนะมึง”
“ใจร้อนจังวะเสือ เออมึง กูได้ข่าวไอ้หมูอ้วนแม่งกลับมาแล้วเหรอ”
“เออ กูกลับมาแล้ว” ขณะที่ผมกำลังกลอกตาทำหน้าเซ็งที่ได้ยินชื่อที่ไม่เสนาะหู เจ้าตัวกลับปรากฏตัวขึ้นข้างกาย เซ็งหนักกว่าเดิมอีก
แม่ง! วันหยุดแท้ๆ ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ได้
“นี่ใช่มึงเหรอ ล้อกูเล่นป่ะเนี่ย ทำไมแม่งหล่อวะ” ไอ้แชมป์ปรี่เข้าไปจับใบหน้าไอ้เอิ้นแล้วหันซ้ายทีขวาทีเพ่งอยู่นานแล้วจึงปล่อย สายตาที่มันแสดงออกบอกได้คำเดียวเลยว่า ‘อึ้งอย่างแรง’
“ถ้าไม่มีการพัฒนาก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์สิ แต่ว่าแชมป์นี่ไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”
“มึง !?” ไอ้แชมป์มุ่นคิ้วหนักมาก คงต้องให้เวลามันสักพักกว่าจะคิดได้ว่าถูกไอ้เอิ้นด่า
“มึงมานี่ได้ไง แอบตามกูมาเหรอ”
“เอิ้นแวะไปบ้าน แม่บอกว่าเสือมาห้าง เอิ้นก็เลยตามมา”
“ห้างมีตั้งเยอะแยะ รู้ได้ไงว่ากูมานี่”
“นี่เอิ้นนะ” ขี้โม้
“มึงแล้วไง”
“เรื่องของคนที่เอิ้นสนใจ เอิ้นรู้หมดแหละ”
“เชี่ยเอิ้นมึงด่ากูเหรอ ร้ายขึ้นนะมึงอ่ะ แม่งเอ้ย!” ถ้าเป็นเมื่อก่อนไอ้แชมป์คงตบกะโหลกคนที่ด่ามันจนหน้าคว่ำ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนครับ
เมื่อก่อนเราอาจจะเคยเป็นแก็งค์หัวโจก เป็นกลุ่มนักเรียนที่เอาแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่ตอนนี้เราโตพอที่จะแยกแยะดีชั่วได้แล้ว ถ้าตอนนั้นคิดได้แบบนี้เราคงไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจนเรื่องของเรากลายเป็นวีรกรรมที่เมื่อพูดถึงคนทั้งโรงเรียนต่างก็พากันร้องยี้
“ว่าก็ว่าเถอะ มึงไปทำอะไรมาวะ จมูกแม่งโคตรสวย หมอไหนวะแนะนำกูมั่งดิ”
“เงินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ยังยืมกู มึงยังคิดจะอยากมีจมูกใหม่อีกเหรอ หาเงินมาคืนกูก่อนมั้ยห่าแชมป์”
“ล้อเล่นไม่ได้เหรอ – ไหนๆ ก็เจอกันเลี้ยงข้าวพวกกูซักมือสิมึง นะ กูโคตรหิว” ว่าเสียงอ้อนๆ เหมือนตอนอ่อยสาวตอนท้ายประโยคแล้วก็มัดมือชกด้วยการกอดคอแล้วลากเหยื่อรายใหม่เข้าร้านอาหารทันที
ไม่รอให้เขาตอบตกลงหรอก มันจัดการสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เลือกกินของแพงซะด้วย
“เอิ้น มึงจำไอ้แบ็งค์ได้ป่ะ”
“หัวหน้าห้องที่แว่นหนาๆ ตัวผอมๆ ป่ะ”
“นั่นแหละ เดี๋ยวเจอมันแล้วมึงจะอึ้ง”
“ทำไมต้องอึ้ง”
“เหอะน่า เดี๋ยวมึงก็รู้” ทิ้งปริศนาไว้แล้วก็ก้มหน้าดูเมนูอาหารต่อ
“อะไรอะ” พอไอ้แชมป์ไม่ยอมบอกก็หันมาซักเอากับผม มีเหรอที่ผมจะยอมบอกปล่อยให้งงไปนั่นแหละดี
เดี๋ยวก็รู้
“เชี่ยแบ็งค์ทางนี้” เรียกกันทีคนหันมามองทั้งร้าน ก็นะ ที่นี่มันร้านผู้ดีพอมีใครมาปล่อยเหี้ยเรี่ยราดก็ต้องกลายเป็นเป้าสายตาเป็นธรรมดาแหละ
“นาฬิกาดีตลอดนะมึง นั่งๆๆ” ไอ้แชมป์ตบที่ว่างข้างมันประกอบคำพูดของผมให้ไอ้กล้ามปูนั่งลงข้างๆ
อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไอ้แบ็งค์ที่เอิ้นเคยบอกว่าแว่นหนาตัวผอม ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นพี่กล้ามปูแล้ว นี่เขาเป็นถึงเจ้าของฟิสเนตเชียวนะ ทำเป็นเล่นไป
“เอิ้นป่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มนะเรา”
“น้อยๆ หน่อยมึง นี่เพื่อน” ผมปัดมือใหญ่ที่ยื่นมาหวังจะสัมผัสใบหน้าคนที่ทำปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ
ไงล่ะไอ้เอิ้นพูดไม่ออกเลยสิมึง
“มึงก็รู้ป่ะเสือว่ากูชอบผู้ชายผิวขาว แล้วมึงดูผิวเอิ้นดิ อย่างกับสำลี ขอกูจับหน่อย”
ได้ยินชัดใช่มั้ยว่ามันชอบผู้ชาย
หนึ่งในบรรดาเพื่อนเรา คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดเห็นทีต้องยกให้ไอ้แบ็งค์นี่แหละ นอกจากรูปร่างแล้ว รสนิยมมันก็เปลี่ยนไปแบบที่รู้ตอนแรกก็เกือบจะรับไม่ได้เหมือนกัน แต่เพื่อนไง ถึงเพื่อนจะกล้ามปู ชอบแต่งหน้า ทาปากแดง และชอบกินเด็กผู้ชายผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มเราก็ต้องรับให้ได้ เหตุผลเดียวเพราะมันเป็นเพื่อนเราไง
“แบ็งค์เหรอ” เหมือนจะเพิ่งตั้งสติได้ถึงได้เพิ่งถาม
“แบ็งค์เอง เปลี่ยนไปเยอะนะเรา”
“คงสู้แบ็งค์ไม่ได้”
“ใช่มั้ยล่ะ ตอนเปิดตัวแรกๆ นะ ไม่มีใครเชื่อเลย บอกว่าแบ็งค์เล่นละคร จะบ้าเหรอ ถ้าฉันเล่นละครเก่งขนาดนี้ ฉันได้ออสก้าแล้วย่ะ”
“นึกแล้วก็ขำ ไอ้เชี่ยแบ็งค์เป็นตุ๊ดยักษ์ไม่เคยบอกพวกกู และมึงคิดดูมันเลือกเปิดตัวในงานเลี้ยงรุ่น”
“กูจำได้เลย แม่งใส่ชุดเสือดาว ห่า กูนึกว่าช้างโดนเสือดาวแดก ภาพแม่งโคตรติดตา”
เรื่องราวของไอ้แบ็งค์ถูกเล่าออกมาเป็นฉากๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่เบาบ้างดังบ้างแล้วแต่จะมีใครมาสะกิดให้รู้ตัว พอเล่าเรื่องมันจบคนต่อไปที่ถูกเผาก็ไม่ใช่ใคร ไอ้แชมป์ไงคนที่ถูกเมียทิ้งให้เลี้ยงลูกเพียงลำพัง ถ้าบอกว่ามันตกอับที่สุดในกลุ่มก็ใช่แหละว่ะ แต่โชคดีที่บ้านมันอยู่ใกล้บ้านผม เจ๊ศรีก็เลยกลายเป็นคุณย่าจำเป็นไปซะอย่างนั้น
“ลูกกูน่ารักนะเอิ้น” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโชว์รูป ‘น้องชิปปี้’ เด็กชายวัย 5 ขวบในชุดนักเรียนอนุบาล
“หน้าไม่ค่อยเหมือนมึง”
“เหมือนแม่มันไง อย่าให้กูเจอนะ จะตบให้ดั้งใหม่แม่งพังไปเลย”
“ไอ้แชมป์มันเคยขายมอเตอร์ไซค์คันโปรดเพื่อเอาเงินมาให้เมียโมดั้ง ไงล่ะ สุดท้ายก็ถูกทิ้ง” ผมหันไปกระซิบเอิ้นที่เบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าไอ้แชมป์จะตบเมียเก่า
มันโกรธเรื่องนี้มากเลยล่ะ เพราะพอเมียมันได้ดั้งใหม่ปุ๊บก็ทิ้งมันกับลูกไปปั๊บ ทุกวันนี้แค่ได้ยินชื่อมันก็ปรี้ดแตกแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้ให้มันได้ยินเชียว ระวังจะฟันร่วงไม่รู้ตัว
“อิ่มแล้วว่ะ เอิ้นมึงเลี้ยงหนังพวกกูหน่อยสิ”
“ไอ้แชมป์นิสัยมึง!!”
“ขอโทษว่ะ เคยตัว นี่กำลังปรับปรุงตัวอยู่ ให้เวลากูนิดนึง”
“เรื่องหนังกูขอบายนะเว้ย เพราะกูมีหนังที่จะดูแล้ว” ผมออกตัวก่อนเลย ไม่ค่อยชอบบรรยากาศในโรงหนังเท่าไหร่ คนเยอะ น่ารำคาญ
“หนังโป๊อีกแล้วล่ะสิ”
“มึง ขอโทษอย่าเรียกว่าหนังโป๊เว้ย โปรดเรียกว่าหนังอีโรติกขั้นแอดว๊านซ์”
“แอดว๊านซ์พ่อมึง” แสดงความคิดถึงพ่อผมเสร็จมือใหญ่ๆ เหมือนไม้พายเรือก็หยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา “กูต้องไปแล้ว นัดเด็กไว้ – เอิ้น ถ้าอยากออกกำลังกายมายิมเราได้นะ โทรมาคุยได้ รอนะจ้ะ”
“กูบอกมึงแล้วไงว่าอย่าริจะกินเพื่อน มึงจะไปไหนก็รีบไปเลย” เป็นผมที่ดึงเอานามบัตรมาเหน็บใส่กระเป๋าตัวเอง
“ทำอย่างกับหึงแน่ะคุณสรัล”
“หึงพ่อมึง”
“แม่หึงพ่อคนเดียวก็พอแล้ว มึงไม่ต้องช่วยแม่กูหึงหรอก พูดถึงพ่อแล้วไม่อยากจะเม้าท์”
“ไหนมึงบอกมึงจะไป เดี๋ยวเด็กแม่งก็ชิ่งหรอก” อย่าปล่อยให้ไอ้แบ็งค์เม้าท์ พอเริ่มเล่าแล้วชอบติดลม ไม่ต้องไปไหนกันพอดี
“อยากเม้าท์อ่ะมึง แต่ผู้ชายสำคัญกว่า กูไปนะคะ บายยยย~”
“แบ็งค์เป็นตุ๊ดตั้งแต่เมื่อไหร่”
ลับหลังตุ๊ดร่างยักษ์ไอ้เอิ้นก็ถามขึ้นมาแผ่วเบาคล้ายลังเล ถึงไม่ค่อยอยากจะชมแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นคนที่มีมารยาทมากทีเดียว
“กูว่าน่าจะรู้ใจตัวเองตอนเริ่มเข้ายิมว่ะ แต่ก็ความสุขของมัน ปล่อยแม่งเหอะ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่หว่า – อ่อ นี่หนังมึง ฝากบอกเจ๊ศรีด้วยว่ากูไปรับน้องชิปเย็นๆ”
ยื่นถุงพลาสติกสีดำให้ผมแล้วลุกขึ้นตั้งท่าจะชิ่ง ทิ้งกูแบบนี้ก็ได้เหรอวะ
“เสือชอบดูหนังพวกนี้เหรอ” คำถามของไอ้เอิ้นรั้งไอ้แชมป์เอาไว้ มันหันมาแสยะยิ้มแล้วจึงตอบ
“ชอบมากเลยล่ะ มึงก็ลองไปดูกับมันสิ ถ้าชอบสั่งกูได้นะ เดี๋ยวขายให้ในราคากันเอง กูไปล่ะ” โบกมือให้แล้วตั้งท่าจะก้าวออกไปอีก และครั้งนี้เป็นผมที่รั้งมันไว้ด้วยมือที่ยื่นไปคว้าชายเสื้อ
“มึงจะไปไหน”
“กูรู้ที่อยู่ใหม่อีกุ๊กแล้วนะ”
“แล้วมึงจะไปทำอะไรเค้า มึงควรปล่อยวางนะแชมป์ ทำอะไรคิดถึงลูกไว้เยอะๆ สิวะ”
“กูไม่ทำอะไรหรอก กูแค่อยากไปเห็นกับตาว่ามันมีความสุขมากมั้ยที่ทิ้งกูกับลูกไป กูจะได้เลิกหวังว่ามันจะกลับมา”
“2 ปีแล้วนะแชมป์ ถ้าเค้าจะกลับมา เค้ากลับมาตั้งนานแล้ว”
“เออน่า ยังไงกูก็จะไป มึงไม่เชื่อใจกูเหรอเสือ กูบอกว่าจะไม่ทำกูก็ไม่ทำ และถ้ากูทำกูยอมให้มึงต่อยกูเท่าที่มึงพอใจเลย”
“จำคำมึงไว้ กูต่อยมึงจริงนะ”
“เออ!”
อย่างนี้ทุกที ทั้งที่รู้ว่าเมื่อเห็นเขามีความสุขแล้วตัวเองต้องกลับมานั่งกอดลูกร้องไห้ แต่มันก็ยังพาสมองขี้เลื่อยไปจดจำภาพเหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกวันนี้เห็นใครทำเรื่องโง่ๆ ผมไม่ด่าว่าควายแล้วนะ ด่าว่าไอ้แชมป์เหมาะกว่าเยอะ
พอเคลียร์บิลค่าอาหารเสร็จก็คิดจะชิ่งไอ้เจ้ามือ แต่ถามจริงเถอะนี่คนหรือปลิงเกาะติดกูจัง
“แล้วมึงไม่กลับบ้านกลับช่องเหรอ จะตามกูไปถึงไหน”
“เอิ้นบอกไปแล้วไงว่าเอิ้นมาหาเสือ ว่าแต่เสือจะไปไหนอะ”
“เสือก”
“ต้องย้ำอีกมั้ยว่าทำไมเอิ้นถึงชอบเสือกเรื่องเสือ” ไม่ต้องมาทำเป็นถามด้วยสีหน้าระรื่นเลย เดินหนีแม่ง ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นแหละ
บันไดเลื่อนพาเราลงมาที่ชั้นใต้ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของซุปเปอร์มาเก็ต ผมหยิบตะกร้าใบหนึ่งแล้วโยนหนังแผ่นในถุงพลาสติกสีดำลงไป ทำเป็นเดินเลือกของเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ
“วันนี้คนเยอะนะ ปกติวันหยุดยอดขายเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีนะ ช่วงต้นเดือนกับปลายเดือนจะดีมาก เพราะแบบนี้ไงเราถึงไม่อนุญาตให้พนักงานหยุดงานวันสุดสัปดาห์”
“เพราะเป็นช่วงที่มีโอกาสปิดการขายได้มากที่สุดใช่มั้ย”
“อื้อ ช่วงเย็นวันธรรมดาด้วย พีคมากๆ เลยล่ะ”
“เวลาเสือเป็นคุณสรัลนี่ดูจริงจังเนอะ”
“กูก็จริงจังตลอดอะ เวลาด่ามึงกูก็จริงจังนะ”
“เอิ้นก็จริงจังกับเสือนะ” หยอดกูเข้าไป หยอดจนกูอยากเปลี่ยนชื่อจากเสือเป็นเตาขนมครกแล้วเนี่ย “แล้วของที่ให้ไปวันนั้นน่ะ ถูกใจป่ะ”
“หมายถึงถุงยางอะนะ”
“อื้อ”
“พ่อมึงสิไอ้เอิ้น ในหัวมึงนี่คิดแต่เรื่องพวกนี้รึไง”
“เสือ” อยู่ๆ น้ำเสียงขี้เล่นเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สีหน้ามันเองก็เช่นกัน เอิ้นกำลังมองบางอย่าง ผมจึงมองตามสายตามันไป
ที่หน้าเชลฟ์ผลิตภัณฑ์ที่เราดูแล พนักงานขายของเรากำลังพูดคุยกับคนๆ หนึ่ง คนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตามันดีเชียวล่ะ
“รู้จักเหรอ” เอิ้นถาม
รู้จักดีเชียวล่ะ
‘นพชัย’ หรือที่ผมเรียกติดปากว่า ‘ไอ้เหี้ยนพ’ คำว่าเหี้ยไม่ใช่ได้มาเพราะความเกลียดชังแต่มันเหี้ยจริงๆ เหี้ยมาจากสันดาน ไอ้นี่เริ่มงานทีหลังผมประมาณ 15 วัน เราอยู่ทีมเดียวกัน แต่ด้วยความที่มันจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ผมไม่ได้แอนตี้คนเก่งเหล่านี้ เพื่อนผมหลายคนจบที่เดียวกับมัน เรียนเก่งกว่ามันแต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะอีโก้สูงเหมือนมัน
เพราะอีโก้และค่านิยมผิดๆ ที่มันยืดติดว่ามันอยู่เหนือคนอื่นนี่แหละ เวลาทำงานพลาดแล้วถูกตำหนิ ไอ้ห่านี่ชอบยกเรื่องความสูงส่ง.นห้วงมโนขึ้นมาข่มจนความอดทนของหัวหน้าทีมขาดสะบั้นลง ผลที่ออกมาตอนเซ็นสัญญาเป็นพนักงานประจำคือมันไม่ได้รับการบรรจุ
ความโกรธที่ร้อนรุ่มประหนึ่งกองไฟถูกสุมขึ้นในใจมันด้วยเรื่องนั้น แน่นอนว่าคนเก่งๆ ย่อมหางานได้ไม่ยาก และยิ่งมีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทคู่แข่งด้วยแล้ว เปอร์เซ็นที่จะหาได้ทันทีมีมากเกือบ 100 หลังจากเก็บข้าวของออกจาก The Agent ได้เพียง 1 วัน ไอ้นพชัยก็ไปโผล่หน้าเลียแข้งเลียขาเจ้านายคนใหม่ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งกับเราในทันที
ดังนั้นการที่มันมาคุยกับพนักงานในสังกัดของผมย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ผมยืนรอกระทั่งมันคุยเสร็จจึงเดินตามมันไปห่างๆ ก็แหม นานๆ เจอกันสักทีก็ต้องทักทายกันซักหน่อย
“บังเอิญเนอะ ไม่ยักรู้ว่าห้างนี้ใจดีขนาดอนุญาตให้เหี้ยเข้ามาเดินเล่นด้วย” ผมพูดขึ้นด้านหลังให้มันหมุนตัวกลับมายืนเผชิญหน้ากัน
“เหรอ ผมก็ไม่เคยรู้ว่าห้างอนุญาตให้ควายเข้ามาเดินเล็มหญ้าตากแอร์ข้างในนี้ด้วย”
“มึงจะมาดึงน้องกูไปอีกแล้วใช่มั้ย”
“อย่าใส่ร้ายผมอย่างนั้นสิครับสรัล ผมก็แค่เสนออะไรที่มันดีๆ กว่าสิ่งที่ได้รับอยู่ตอนนี้ให้น้องเท่านั้นเอง หรือว่าคุณสรัลไม่อยากเห็นน้องได้ดีครับ” คำพูดสุภาพๆ ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าคนพูดจะเป็นคนดีเสมอไป ไอ้นพชัยพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
ไม่มีใครไม่อยากเห็นคนรู้จักของตนได้ดีมีความสุขหรอก นอกจากพวกขี้อิจฉา แต่ในฐานะหัวหน้างานผมก็ไม่อยากให้พนักงานในการดูแลลาออกไปเจอกับความเสี่ยงของความฝันลมๆ แล้งๆ ที่คนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างไอ้นพชัยขายไว้ด้วยลมปาก
เพราะปัจจัยเรื่องเงินเดือนสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของการทุ่มกายและใจทำงาน ผมจึงพยายามผลักดันเรื่องการเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ให้พนักงานในการดูแลอยู่เสมอ ขายได้บ้างไม่ได้บ้างแต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่าน้องๆ ไม่ได้ลำบากถึงขั้นปากกัดตีนถีบแน่นอน
“คนอย่างมึงทำดีเป็นด้วยเหรอ นี่กูอยู่ในฝันรึไง”
“ยังหยาบคายไม่เปลี่ยนเลยนะครับ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าคุณเส้นใครกันแน่ คนห่วยๆ เรียนแย่ๆ เกรดต่ำๆ อย่างคุณถึงได้รับเลือก”
“อิจฉาเรื้อรังนะมึงอะ”
“คนอย่างผมน่ะเหรออิจฉาคุณ” มันพ่นลมออกจมูกแรงๆ แล้วทำหน้าเซ็งก่อนจะกวาดสายตาเหยียดๆ มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “คนอย่างคุณมีอะไรให้อิจฉา การศึกษาเหรอ ก็ไม่ ฐานะเหรอ แน่นอนว่าบ้านคุณไม่ได้รวยถึงขนาดที่ผมต้องรู้สึกอย่างนั้น คุณไม่มีค่าพอให้ผมอิจฉาหรอก”
“โอเค ไม่อิจฉาก็ไม่อิจฉา แต่มึงรู้ตัวมั้ยว่าเจอหน้ากันทีไรมึงพูดเรื่องที่กูใช้เส้นตลอดเลย และกูจะบอกซ้ำอีกครั้งนะ ว่าคนอย่างกูไม่ได้กว้างขวางพอที่จะมีเส้นเป็นคนใหญ่คนโต และถ้ามีจริงกูคงไม่ต้องพยายามอย่างที่มึงก็เห็นๆ หรอก และถ้ากูจะใช้เส้น กูไปเป็นครูไม่ดีกว่าเหรอ มึงก็รู้ว่าพ่อกูเป็น ผอ. ไม่ใช่ผัวอีอ้อย ผู้อำนวยการโรงเรียนน่ะ มึงรู้จักใช่ป่ะ หิวน้ำฉิบหาย ไปเอิ้น”
ผมหันไปคว้าต้นแขนคนข้างกายแล้วลากให้ออกมาจากตรงนั้น ก่อนที่ไอ้นพชัยจะทันได้พ่นคำใดออกมา
ไอ้เหี้ยนั่นจะไม่ยอมหยุดหรอกจนกว่ามันจะชนะ และผมเองก็ไม่คิดจะยอมแพ้ด้วย
“เล่าได้นะ” พอเก็บของใส่ท้ายรถเสร็จแล้วเข้ามานั่งประจำตำแหน่งคนขับก็บอกคำนี้กับผม
ต้องการจะสื่ออะไร
“หมายถึงเรื่องคนเมื่อกี้ ถ้าเสืออยากเล่า”
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ก็แค่ตัวเหี้ย”
“แต่รู้สึกว่าเหี้ยตัวนี้กำลังกวนใจเสือนะ มีอะไรให้เอิ้นช่วยรึเปล่า”
“ก็บอกว่าไม่มีก็ไม่มีดิ มึงนี่ชอบซักไซ้จังวะ”
“ไม่ซักแล้วก็ได้แต่ขอไซ้ได้มั้ย”
“พ่อมึง!!!” พูดเฉยๆ ไม่ได้สิมึงต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุตฟิตเหมือนหมากำลังดมกลิ่นอาหาร ผมดันใบหน้ามันไว้ด้วยฝ่ามือ ถ้าสถานที่เอื้ออำนวยกว่านี้ก็อยากจะยกเท้าขึ้นยันหน้ามากกว่า
และพอผมทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจมันก็หัวเราะชอบใจ
เป็นไรมากป่ะ
แม่ผมก็ด้วย...เป็นไรมากป่ะ
พอรถคันหรูของไอ้เอิ้นจอดที่หน้าบ้าน เจ๊ศรีก็เดินสะบัดสะโพกออกมายิ้มแฉ่งพลางยื่นมือมาตรงหน้าช่วยหนูเอิ้นของเธอถือของ จนผมต้องเบะปากใส่แล้วมองยังน้องชิปที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก
ที่พื้นห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยของเล่น
“ก๊อซซิล่าจะถล่มเมืองแล้ว” ผมนั่งลง ตั้งชุดเมืองที่ผมซื้อให้เมื่อเงินเดือนออก 2 เดือนที่แล้วขึ้น แล้วหยิบก๊อซซิล่าก๊อปเกาหลีเกรด A ที่ซื้อมาในตอนที่หนังเข้าฉายเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา
น้องชิปยิ้มจนตาเป็นสระอิ ใครบอกว่าน้องไม่เหมือนไอ้แชมป์ ขอให้มาดูตอนยิ้ม เหมือนกว่านี้ก็แฝดแล้วครับ
“ตายซะเถอะไอ้ก๊อซซิล่าน่าเกลียด” ฝ่าเท้าเล็กๆ ของอุลตร้าแมนยันเข้าที่ลำตัวก๊อซซิล่า
เสียงคำรามจากปากผม เสียงปล่อยพลังจากริมฝีปากเล็กๆ ของน้องชิปดังผสมปนเปกันพร้อมกับเจ้าของเล่นในมือที่กำลังต่อสู้กันอย่างเมามัน
กระทั่ง...
“ขออาเอิ้นเล่นด้วยได้มั้ยครับ”
เรื่องเล่นๆ ที่จริงจังของเราหยุดลงเมื่อถูกขัดจังหวะ เด็กน้อยวางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยไว้บนใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยนของคนที่เพิ่งนั่งข้างกายผม
“เพื่อนอาเสือเหรอฮะ”
“เพื่อนพ่อแชมป์ฮะ” ผมยิ้มอ่อนโยนอย่างผู้ใหญ่ใจดี “ชื่อลุงเอิ้น”
“ลุงเอิ้น” น้องชิปว่าตามอย่างว่าง่าย
“เดี๋ยวนะ เรียกเสือว่าอาแล้วทำไมเรียกเอิ้นว่าลุง”
“ถ้ามีปัญหามากนักก็ไปไกลๆ เลย”
“โหดตลอดอะ แต่ก็ชอบ”
“ลุงเอิ้นชอบอาเสือเหรอฮะ” น้ำเสียงสดใสเจือความไร้เดียงสาดึงให้สายตาเราทั้งคู่หันมาสบประสานกัน
เกิดความรู้สึกแปลกบางอย่างขึ้นในอก
“ชอบมากๆ เลยฮะ” ไอ้เอิ้นก้มลงตอบใกล้ๆ แล้วยิ้มอ่อนโยนแบบที่น้องชิปเองก็ยิ้มตาม
“น้องชิปก็ชอบอาเสือฮะ อาเสือชอบซื้อของเล่นให้น้องชิปแล้วก็ชอบเล่นกับน้องชิปตอนพ่อไม่อยู่ ชิปชอบอาเสือมากๆ เลย”
“ลุงเอิ้นก็ชอบอาเสือมากๆ เลยครับ” บทสนทนาระหว่างทั้งคู่ดำเนินไปแต่สายตาหวานเชื่อมกลับกำลังจับจ้องที่ใบหน้าผม
คิดว่าเสืออย่างผมจะหวั่นไหวกับอะไรแบบนี้เหรอ บอกเลยว่า...นิดหน่อย
ก็แอบเขินนิดหน่อยเหมือนตอนถูกสาวๆ อ่อยจนต้องทำทีเสมองไปทางอื่น
ผมปลีกตัวออกมาในตอนที่ก๊อซซิล่าพ่ายแพ้ให้กับอุลตร้าแมน 2 ตัวที่รวมพลังกันได้อย่างน่าเกรงขาม
เรื่องไอ้นพชัยยังคงติดค้างอยู่ในหัวจนต้องหาอะไรที่มันบันเทิงๆ ดู
ความบันเทิงในแบบของเสือถูกล้วงออกมาจากถุงสีดำเมื่อผมทิ้งตัวลงบนพื้นปลายเตียงในห้องตนเอง มันเป็นหนังที่ไอ้แชมป์ก๊อปขายออนไลน์ กำไรดีทีเดียว มันบอกว่าอย่างนั้นแต่ผมไม่เชื่อหรอก ถ้ากำไรดีจริงมันต้องใช้หนี้ผมแล้วสิ
จอทีวีสว่างขึ้น น้องเมอิออกมายิ้มทักทายด้วยใบหน้าสวยหวานที่เห็นแล้วแทบละลาย กล้องแพลนลงไปที่เสื้อผ้าของเธอ ให้ตายไม่อยากละลายแล้วอยากหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกับเธอมากกว่า
เธอหันมามองผม หมายถึงมองกล้อง กระดิกนิ้วเรียวเรียกอย่างเย้ายวน ผมนี่แทบจะคลานเข้าไปเลียจอ
ภาพบนหน้าจอฉายไปเรื่อยๆ จังหวะการเต้นของหัวใจผมเริ่มเปลี่ยนแปลง
ผ่าง!!!
อยู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกอย่างไร้มารยาท และไอ้คนไร้มารยาทก็ไม่ใช่ใคร ไอ้เอิ้นไง จะใครล่ะ
มันปรี่เข้ามานั่งลงข้างผม
“เสือขี้โกง”
อะไรของมัน แต่ก็ช่างสิ ผมไม่คิดจะต่อบทสนทนาจึงหันไปจ้องหน้าจอทำราวกับมันไม่มีตัวตน
“แชมป์บอกให้เราดูด้วยกัน”
“มึงเป็นคนว่าง่ายขนาดนั้นเชียว กูไม่ให้ดู มึงออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้เลย”
“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่อยากให้เอิ้นดูด้วย”
มึงอย่ามาทำเป็นโลกสวย คิดดูนะ ใครจะอยากดูหนังโป๊กับคนที่จ้องจะฟาดตัวเองอยู่ตลอดเวลาวะ
“กลัวเอิ้นใช่มั้ย” กระเถิบเข้ามากระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูอีก คิดว่าผมรูสึกยังไง แอบสยิวสิครับ
ในจอกำลังจะแก้ผ้า ส่วนไอ้คนข้างๆ ก็กำลังคิดจะเปลื้องผ้าผม สังเกตจากมือที่วางแหมะลงบนหน้าขาผม
มือไม้ไอ้เอิ้นโคตรจะซุกซน ในห้องผมควรมีมีด จะตัดมือแม่งให้ขาด
[- T B C -]คุณเสือด่าคุณเอิ้นว่าเสือกไปกี่ครั้งแล้ว
ต้องให้ย้ำมั้ยว่าทำไมเอิ้นถึงชอบเสือกเรื่องของเสือ
เจอแบบนี้เข้าไป เสือก็เสือเถอะ แอบอ่อนเหมือนกัน
5555
สุดท้ายของตอนนี้ ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
เราอ่านทุกคอมเมนต์เลยล่ะ อ่านแล้วมีกำลังใจ ว่างๆ แวะไปทักทายกันที่ #เสือของเอิ้น ได้นะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ
แจ๊ส