42 [PART 3/3]
“พ่อ! พ่อต่อยพี่อู๋ทำไม?!”
“มึงไม่ต้องมาพูดเลย!” พ่อแสดงสีหน้าออกมาแล้ว เขาโกรธจนผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งใบหน้าหน้าและลำคอ โกรธจนส่งสายตาอาฆาตให้พี่อู๋ราวกับจะฉีกเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆให้ตายคามือ “ทำอะไรคิดถึงหน้าหม่าม้ามึงบ้างเถอะ! ทำไมมึงทำตัวแบบนี้! มึงเป็นผู้ชายนะก้องเกียรติ! มึงทำแบบนั้นทำไม?!”
พ่อปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อผมและเริ่มทุบตี แต่เขาฟาดได้แค่ทีสองทีพี่อู๋ก็รวบตัวผมเข้ามากอดและเอาตัวเองบังแทน อาแตงร้องห้ามเสียงดังเมื่อเราชุลมุนวุ่นวายกันบนโซฟา ในขณะที่พ่อพยายามทุบตีผมโทษฐานมีอะไรกับผู้ชาย ภรรยาของเขากลับร้องขอความเมตตาให้ลูกเลี้ยงและแฟนหนุ่ม
“ลื้อไม่ต้องมาห้ามเลยอาแตง!” พ่อสะบัดอาแตงออกและหันมาชี้หน้าก้องเกียรติที่เริ่มสะอึกสะอื้นร้องไห้ “ทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน?! มึงหยามหน้าป๊าเกินไปแล้วนะก้อง! ในหัวใจของมึงยังมีความละอายอยู่บ้างไหม?! บนที่สาธารณะมีคนพลุกพล่านไปมา มึงกลับขึ้นขี่ผู้ชาย – มึงไม่กลัวคนมาเห็นเหรอ? มึงไม่อายบ้างเหรอเวลากูเปิดประตูออกไปแล้วเห็นมึงเอากับผัวมึงในรถน่ะ!”
“พูดกันดีๆก็ได้ครับ ทำไมต้องพูดกับก้องแรงๆด้วย”
พี่อู๋ที่เลือดกำเดาไหลจนเลอะถามพ่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเย็นชา ส่วนผมร้องไห้ตัวสั่นเพราะทั้งกลัวและอับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุกอย่างที่พ่อพูดเป็นความจริงทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เราทำมันผิดและไม่ให้เกียรติพ่อที่อยู่ในบ้าน รถก็จอดห่างจากรั้วไม่ถึงสิบก้าวแท้ๆ ทำไมผมถึงกล้าขอมีเซ็กส์กับพี่อู๋ ทำไมถึงไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่รักษาหน้าของพ่อบ้าง
“ยังจะให้พูดดีอีกเหรอ?!”
พ่อตวาดใส่พี่อู๋
“เพราะอู๋ทำแบบนี้กับก้องไง! อู๋หาเศษหาเลยจากลูกผม! ขนาดในรถกลางถนนอู๋ยังไม่เว้นเลย! คิดอะไรอยู่อู๋? ผมถามจริงเถอะ -- สมองของอู๋คิดอะไรอยู่ถึงได้พาลูกผมหนีออกจากบ้าน ถึงได้มั่วกันในรถเหมือนก้องมันไม่มีพ่อมีแม่! ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งว่าลูกผมไม่ใช่เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า! เขามีพ่อ! อู๋จะรักจะชอบเขาผมไม่ว่าแต่ต้องทำให้ถูกต้อง! ไม่ใช่คิดจะลากลูกผมไปไหนก็ลากไป จะเอาตรงไหนก็เอา อู๋ต้องให้เกียรติผมด้วยเพราะผมเป็นพ่อของก้อง! ไว้หน้าผมบ้างไม่ใช่ทำประเจิดประเจ้อขนาดนี้! บางทีคนรักสนุกอย่างอู๋ต้องได้เป็นพ่อคนนะ เผื่ออู๋จะเข้าใจคำว่าดวงใจของพ่อแม่ เผื่ออู๋คิดได้ – ว่าไม่ควรพาลูกเขาไปไหนมาไหน ไม่ควรทำอะไรทุเรศแบบนี้กับลูกเขา!”
“แต่พ่อไม่ได้เลี้ยงผมมา! พ่อไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับชีวิตของผม!”
“เลิกพูดแบบนี้ซักทีจะได้ไหม?! ป๊าย้อนอดีตกลับไปแก้ไขได้ที่ไหน แต่ปัจจุบันป๊าก็ทำดีที่สุดแล้วไง!”
พ่อตะคอกใส่ด้วยความไม่พอใจ
“เอะอะก็บอกว่าไม่ได้เลี้ยงๆ แล้วตอนนี้ป๊าไม่ได้เลี้ยงก้องเหรอ?! ไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้ ไม่ได้ปกป้องดูแลในฐานะพ่อเลยเหรอ?! อย่างน้อยถ้าไม่ให้เกียรติป๊า นึกถึงหน้าหม่าม้าบ้าง ไม่ใช่ว่าม้าตายไปแล้วจะทำตัวยังไงก็ได้ คิดบ้างไหมว่าถ้าม้ารู้ม้าจะเสียใจขนาดไหน แค่มีลูกเป็นเกย์ก็ช้ำตายอยู่แล้ว ยังทำตัวหน้าไม่อายแบบนี้อีก ป่านนี้หม่าม้ามึงร้องไห้ ตีอกชกหัวตัวเองแล้วที่เลี้ยงลูกมาเป็นเด็กแบบนี้!”
“พอเถอะครับ พูดถึงคนเป็นก็พอ ไม่ต้องคิดแทนคนตาย”
พี่อู๋ปรามพ่อไปพร้อมกับปลอบนายก้องเกียรติ คำพูดเมื่อครู่ของพ่อ – ทำเอาผมหัวใจสลายราวกับแม่ก็มองเห็นว่าผมทำอะไรผิดมา ผมเริ่มหมกมุ่นคิดถึงแม่ที่ตายไปแล้วว่าถ้าแม่ยังยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าแม่เห็น ถ้าแม่เป็นคนเคาะกระจกเรียก แม่จะคิดยังไง แม่จะอับอายไหมที่ก้องเกียรติเป็นเกย์ จะโมโหแค่ไหนที่เห็นผมมีอะไรกับผู้ชายในรถ แล้วแม่จะตีผมไหม แม่จะพูดว่าอะไรเป็นประโยคแรกถ้าได้เจอกันอีกครั้ง
ผมกำลังอ่อนไหวเพราะคิดถึงแม่
แน่นอนว่าผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่ใส่ใจพ่อ ไม่แคร์ด้วยว่าเขาจะยอมรับในตัวผมหรือไม่ แต่เมื่อพ่อเอ่ยถึงแม่ที่จากไป ผมก็อ่อนไหวมากจนเจ็บไปหมดทั้งใจเพราะกลัวแม่ผิดหวัง แม่จะรู้สึกแย่ไหมที่ผมไม่ใช่เด็กดีอีกแล้ว ถ้าแม่รู้ -- แม่จะว่ายังไง แม่จะรับได้ไหมที่ผมเป็นเกย์ หรือแม่เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่พ่อแสดงออกในตอนนี้ บางทีแม่อาจพอใจที่พ่อต่อยพี่อู๋และเตือนสติเขาว่าให้เกียรติพ่อกับแม่บ้าง ผมคิดมากจนคุมตัวเองไม่ได้นอกจากร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนอาแตงสงสาร อาแตงขอให้พ่อใจเย็นๆเพราะผมร้องเหมือนจะขาดใจตายแล้ว อาคงคิดว่าผมเสียใจที่ถูกพ่อด่า แต่เปล่าเลย ผมกำลังละอายใจและเป็นกังวลว่าแม่จะคิดยังไงทั้งๆที่แม่ตายไปสองปีแล้ว
ทั้งๆที่การมีอยู่ของแม่ – ไม่มีความหมายกับก้องเกียรติแล้วด้วยซ้ำ
“คุณสมปราชญ์ครับ โกรธเกลียดอะไรให้ลงที่ผม อย่าว่าก้องเลย” พี่อู๋กอดผมที่กำลังสะอื้นเอาไว้แนบอก “ผมผิดเองที่แอบมาหาก้องตอนค่ำ ผมผิดเองที่พาเขาออกจากบ้านโดยไม่ขอ ผมผิดเองที่ไม่คิดให้รอบคอบจนคุณต้องเห็นภาพไม่ดี ถ้าคุณไม่พอใจ คุณโกรธ คุณอยากหาทางระบายก็มาลงที่ผมเถอะครับ ก้องไม่ได้ทำอะไรผิด”
ถึงชายที่ผมรักจะพูดแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าความผิดทุกอย่างเป็นของก้องเกียรติคนเดียว
“อีกอย่างตอนนี้ก้องโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาอายุยี่สิบแล้วนะครับ อย่าทุบตีเขาเหมือนเป็นเด็กไม่รู้เรื่อง เราพูดกันดีๆก็ได้ อย่าใช้กำลังแบบนี้”
“อย่าปากดีหน่อยเลย ตอนอายุยี่สิบ อู๋เองก็ยังแบมือขอเงินพ่อแม่เรียนหนังสือเหมือนกัน เผลอๆยังเป็นวัยรุ่นรักสนุกทั่วไปที่เคยทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่คนอย่างคุณนี่มันเหลือเกินจริงๆ โตจนสามสิบกว่าแล้วยังคิดไม่ได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร!”
“ครับ ผมคงคิดน้อยไปจริงๆ ผมขอโทษครับ”
พี่อู๋น้อมรับความผิดโดยไม่แก้ตัวแต่ความโกรธของพ่อก็ไม่ได้เบาบางลง ผมสัมผัสได้ถึงความอัดอั้นตั้นใจของพ่อที่เริ่มเอ่อล้นเป็นน้ำตา พ่อดูโกรธแค้นมากจนไม่สามารถสรรหาคำมาตำหนิเราสองคนได้อีกจึงเดินหนีหายเข้าไปในครัว อาแตงบอกให้เรานั่งรอตรงนี้และรีบตามเข้าไป ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันบ้าง แต่พอได้ยินเสียงพ่อสะอื้น ผมก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
ผมเสียใจจริงๆที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เสียใจที่ทำให้พ่อผิดหวังจนต้องร้องไห้ ถึงเราจะไม่เคยมีช่วงเวลาที่ดีเหมือนพ่อลูกทั่วไปแต่ผมสำนึกได้ว่าคราวนี้ทำเกินไปจริงๆ ผมทำให้พ่อเป็นห่วง ทำให้เขาอับอายที่ต้องเห็นลูกมีอะไรกับผู้ชาย ต่อให้อ้างว่าไม่จำเป็นต้องแคร์พ่อที่ไม่เคยเลี้ยงดูแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพ่อมีบุญคุณกับผม ตอนที่ทะเลาะกับพี่อู๋จนไม่รู้ว่าจะไปนอนที่ไหน พ่อก็ขับรถมารับและเตรียมทุกอย่างให้ ไหนจะค่าเทอม ค่าทนายที่พ่อยอมจ่ายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของผมอีก พ่อทำเต็มที่ตามที่เขาพูดแล้วจริงๆ พ่อให้ทุกอย่างเท่าที่จะให้ได้แล้ว และผมควรตระหนักถึงความรักของพ่อเสียที ไม่ใช่เอาแต่กล่าวโทษถึงช่วงเวลาที่หายไปอย่างที่พ่อตัดพ้ออีก
ในห้องนั่งเล่นที่มีแค่เราสองคน พี่อู๋นั่งขรึมไม่แสดงออกว่าโกรธหรืออยากเอาคืนพ่อเลยซักนิด เขายังคงใจเย็นและแสดงออกแบบที่ผู้ใหญ่ทำกัน ทั้งๆที่เลือดกำเดาไหลจนเปรอะปกเสื้อ พี่อู๋ก็ยังดูไม่ทุกข์ร้อนหรือโวยวายเอาเรื่องที่ถูกพ่อต่อย ผมหยิบทิชชู่ช่วยซับเลือดให้เขาและขอโทษที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
“อยากได้ลูกเสือก็ต้องเจอพ่อเสือเป็นธรรมดา”
เขาพูดติดตลกแต่ผมไม่ขำ มันไม่มีอะไรน่าขำเลยเมื่อต้องมองหน้าคนที่ตัวเองรักโชกเลือดแบบนี้ เราสองคนนั่งเป็นกำลังใจให้กันอยู่ยี่สิบนาทีพ่อจึงเดินออกมา ใบหน้าของพ่อแดงก่ำ ปลายจมูกช้ำราวกับเพิ่งสั่งน้ำมูกมาอย่างหนัก พ่อเดินมาหยุดตรงหน้าผมกับพี่อู๋แล้วบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก เขาพูดแค่นั้น แต่ทำเอาผมน้ำตาแตกจนต้องยกมือไหว้ขอโทษ
“ผมขอโทษ” ผมร้องไห้บอกพ่อ “ผมขอโทษที่ทำอะไรไม่คิด ผมขอโทษที่ทำให้พ่อเสียใจ”
พ่อไม่ตอบสนองคำขอโทษจากผมนอกจากปรายตามองมาด้วยความช้ำใจ เขาถามผมสั้นๆว่ารู้ตัวไหมว่าทำผิดอะไร ผมจึงบอกว่ารู้ ผมรู้ทุกอย่าง แต่ผมละอายจนไม่สามารถพูดได้ พ่อจึงถามซ้ำอีกครั้งว่ารู้จริงๆใช่ไหมว่าผิดเรื่องไหน ผมหยักหน้ารับ
“ผมหนีออกจากบ้านตอนตีสอง” ผมสะอื้นเมื่อคิดว่าต้องพูดประโยคถัดไป “ผมมีอะไรกับพี่อู๋ในรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน”
“ต่อไปจะทำแบบนี้อีกไหม?” พ่อถามเสียงสั่น
“ไม่ทำแล้วครับ” ผมให้สัญญา “ผมจะไม่ทำอีกแล้ว”
ผมยกมือไหว้อีกครั้ง พ่อใจแข็งอยู่นานแต่สุดท้ายก็รวบสองมือของผมที่พนมกลางอกและไม่พูดอะไรอีก ไม่มีการสวมกอดเหมือนฉากเรียกน้ำตาในละครเพราะเขาคงเสียใจเกินว่าจะพูดว่าไม่เป็นไรได้จากใจจริง ซึ่งผมไม่โกรธพ่อ ผมเข้าใจดีว่าเขามีเรื่องให้หนักใจเยอะแยะมากมายขนาดไหน เริ่มจากมีลูกชายเป็นเกย์ ลูกหายไปจากบ้านตอนตีสอง จนกระทั่งเจอลูกในรถที่จอดอยู่หน้าบ้านกับผู้ชายที่แก่กว่าถึงสิบสี่ปี แค่คิดก็ประสาทแดกตายแล้ว ลองจินตนาการว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับลูกคุณสิ เป็นใครก็คงทำใจและให้อภัยไม่ได้ทั้งนั้น
เราสี่คนไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรนอกจากนิ่งเงียบจนกระทั่งแสงแรกของวันที่ยี่สิบหกธันวาสาดเข้ามาในบ้าน อาแตงจึงบีบมือให้กำลังใจพ่อก่อนจะชวนพี่อู๋อยู่ทานมื้อเช้าด้วยกันก่อน ผมคิดว่าพี่อู๋จะปฏิเสธ แต่เขากลับตอบรับคำเชิญชวนนั้นโดยไม่อิดออด
“ไปช่วยอาแตงทำกับข้าวเถอะ” พี่อู๋บอกพลางตบไหล่ของก้องเกียรติเบาๆ “ทำให้สุดฝีมือเลยนะ พี่คิดถึงกับข้าวของก้องจะแย่”
ผมยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนจะหายเข้าครัวไปช่วยอาแตงเตรียมมื้อเช้าเพราะอึดอัดไม่อยากคุยกับพ่อ อาบอกว่าวันนี้ตั้งใจจะทำไข่เจียว ผัดเห็ดเข็มทอง กับแกงจืดหมูสับเป็นมื้อเช้า ก้องช่วยอาล้างเห็ดกับตอกไข่รอได้เลย เสร็จแล้วตั้งกระทะเตรียมน้ำมันเอาไว้ เดี๋ยวอาจะให้ก้องโชว์ฝีมือด้วยการเจียวไข่นะ
“อย่าเจียวรวดเดียวล่ะ แบ่งไข่เป็นถ้วยละสามฟองสามถ้วย ทยอยเจียวทีละถ้วยเพราะบ้านเราคนเยอะ”
ผมตอบครับและปลีกตัวไปล้างเห็ด ส่วนอาแตงง่วนอยู่กับการตั้งเตาและปั้นหมูให้เป็นก้อน เราสองคนทำงานคนละฟากของครัวโดยไม่พูดอะไร ผมกำลังเศร้าเพราะรู้สึกว่าอะไรๆยังไม่เคลียร์ ส่วนอาแตงวุ่นวายกับมื้อเช้าที่ต้องเตรียมเผื่อคนตั้งเก้าคน พอเห็นผมดูอิดโรยไม่มีชีวิตชีวา อาก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าไหวไหม ไม่ไหวจะขึ้นไปพักก่อนก็ได้ ปกติอาทำกับข้าวคนเดียวทุกวันอยู่แล้ว ก้องไม่ต้องช่วยหรอก ไปนอนเถอะ เดี๋ยวอาจะแบ่งเก็บไว้ให้นะ
ผมรีบบอกอาแตงว่าไม่เป็นไร ผมไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่ก็แค่รู้สึกไม่ดีมากๆที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อาแตงคงเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร เธอจึงสะบัดมือไล่หยดน้ำและเดินมาหาก่อนจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก มันผ่านไปแล้ว ป๊าเองก็เข้าใจแล้วว่าก้องยังเด็กเลยอาจจะไม่ทันคิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องเครียด ป๊าไม่ว่าอะไร รออีกซักสองสามวันก็คงหายโกรธไปเองแหละ
“ผมได้ยินเสียงพ่อร้องไห้ด้วย” ผมบอกอาแตง “ผมทำพ่อเสียใจมากเลยใช่ไหม?”
“หัวอกคนเป็นพ่อแม่เนอะก้อง มันก็ต้องเสียใจอยู่แล้วแหละ” อาแตงพูดอย่างเห็นใจ “ป๊าเขาทำใจยอมรับได้ซักพักแล้วเพราะอาบอกอาป๊าเองว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์ผิดหวังในตัวก้องในเมื่อเราไม่ได้เลี้ยงก้องตั้งแต่เล็ก ที่ได้กลับมาพบกันตอนนี้ถือเป็นกำไรชีวิต ทำใจยอมรับมันเถอะ ได้เจอกันก็บุญแล้วอย่าไปคาดหวังอะไรนักเลย แต่ที่อาป๊าโมโหเนี่ยไม่ใช่เพราะเรื่องเป็นเกย์หรอก เพราะเขาเสียใจที่ก้องหนีออกจากบ้านแล้วมีอะไรกับอู๋ในที่สาธารณะต่างหาก มันประเจิดประเจ้อเกินไป”
“ตอนนั้นผมทำเพราะคิดถึงพี่อู๋ ผมไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็เลยไม่ทันคิดอะไร ผมนึกว่ามันเป็นแผนของพ่อที่ไม่ให้พี่อู๋มาหา ไม่งั้นเขาคงไม่พูดว่าจะแอบมาใหม่หรอก”
“ป๊าเขาไม่อยากให้เราสองคนเจอกันจริงๆนั่นแหละ”
“ทำไมล่ะครับ?”
อาแตงคงรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปจึงได้เงียบครู่หนึ่ง แต่พอเห็นสายตาเว้าวอนขอคำตอบ เธอก็ถอนหายใจ
“ก้อง – ตอนนี้ก้องเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเราแล้วนะ” อาแตงยิ้มบาง “ป๊าเขาอยากให้ก้องอยู่ที่นี่ อยากให้ก้องยึดบ้านหลังนี้เป็นบ้านตัวเองไม่ใช่อยู่กับอู๋”
“ทำไมผมถึงไปอยู่กับพี่อู๋ไม่ได้ในเมื่อผมรักเขา”
“ตอนนี้น่ะใช่ แต่ต่อไปในวันข้างหน้า ถ้าอู๋เขาไม่รักก้องแล้วล่ะก้องจะทำยังไง?”
อาแตงถามคำถามที่ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้
“ป๊าเขามองในมุมของผู้ใหญ่ เขาไม่อยากให้ก้องเอาชีวิตไปผูกติดกับอู๋มากเกินไปเพราะกลัวก้องผิดหวัง กลัวว่าอู๋จะทำก้องเสียใจ ดูอย่างอาทิตย์ก่อนที่เขาให้ก้องมาอยู่กับป๊าสิ บทจะไล่ก็ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา ปล่อยให้นอนตากลมตากยุงอยู่ตั้งนานไม่สนใจใยดี ในอนาคตเราก็ไม่รู้นี่ใช่ไหมว่าอู๋เขาจะคิดอย่างนั้นอีกหรือเปล่า อย่างน้อยนะ ถ้าก้องอยู่กับป๊าตั้งแต่ตอนนี้ เราคงสนิทกันมากขึ้น ผูกพันกันมากขึ้น ก้องเองก็จะได้มีภูมิคุ้มกันและรู้ว่าอู๋ไม่ใช่คนเดียวที่รักก้อง แต่เราทุกคนที่นี่รักก้องทั้งนั้น”
“จริงเหรอครับ?”
“จริงสิ มะนาวชอบก้องจะตาย แม้แต่อาม้าก็รักก้องเหมือนกัน รู้ไหมว่าตั้งแต่ป๊าหาก้องเจอ อาม้าพูดตลอดเลยว่าต้องเอาก้องมาเลี้ยงให้ได้เพราะอาม้ารู้สึกผิดที่ทำให้แม่ของก้องหนีไป แกก็เสียใจตามประสาคนเป็นย่านั่นแหละ ใครบ้างจะอยากเห็นหลานอดๆอยากๆ ยิ่งอาม้าเป็นคนมีเงิน แค่คิดว่าหลานไม่ได้กินของดีๆเหมือนตัวเองก็อกแทบไหม้แล้ว”
“แต่อาม้าเป็นคนไล่แม่กับผมไปไม่ใช่เหรอ?”
“ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้น่ะ บางทีก็เข้าใจยาก” อาแตงยิ้มแหยๆ “แต่อาก็รู้จักก้องตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้าบ้านนี้นะ อาม้ากับป๊าพูดตลอดว่ามีก้องอยู่เพียงแค่หาไม่เจอ พวกน้องๆก็รู้จักก้องทั้งนั้น เขารู้ว่ามีเฮียก้องแค่ไม่เคยเห็นหน้า”
“ผมคิดมาตลอดว่าคนที่นี่ไม่ชอบผม” ผมร้องไห้ “ทุกคนดูไม่ชอบที่ผมย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้โดยเฉพาะหนึ่ง --”
“หนึ่งไหนเหรอ?”
อาแตงถามงงๆ ผมจึงต้องบอกเธอตามตรงว่าหนึ่งคือลูกสาวคนโต แต่ผมจำชื่อพวกเธอไม่ได้ก็เลยเรียกเป็นหมายเลขหนึ่ง สอง สาม สี่ อาแตงดูผิดหวังที่นายก้องเกียรติไม่ใส่ใจคนในครอบครัวขนาดนี้ เธอตำหนิว่าผมเองก็ตั้งกำแพงสูงแล้วหวังว่าใครจะปีนขึ้นไปหา เพราะฉะนั้นเลิกเมินเฉยทุกคนเดี๋ยวนี้เลย และจำชื่อน้องๆเอาไว้ด้วย ชมพู่ แอปเปิ้ล ส้มจีน มะนาว
“ผลไม้หมดเลย” ผมยิ้ม
“ก็อาชื่อแตง อาก็อยากให้ลูกชื่อเป็นผลไม้สิ” อาแตงหัวเราะ “ทีนี้เลิกเศร้าได้แล้วนะ เลิกคิดไปเองด้วยว่าคนบ้านนี้ไม่รัก ทุกคนเขารักก้องทั้งนั้นแหละ”
“อาแตงว่าพ่อจะทำอะไรพี่อู๋ไหมครับ?”
“แบบไหนล่ะ?”
“พ่อจะฆ่าพี่อู๋ไหม?”
“โอ๊ย – ไม่ฆ่าหรอก บ้านเรามีกฎหมายนะก้อง” อาแตงหัวเราะอีก “อีกอย่างคุยกันตรงๆก็ดี อาป๊าเขาคิดหนักมาหลายคืนแล้วว่าจะยอมให้อู๋มาเจอก้องตอนไหน จริงๆเขาไม่ว่าหรอกถ้าก้องกับอู๋คบกันแต่ขอให้มันมีขอบเขตหน่อย อย่าหยามน้ำใจอาป๊านักเลยก้องเอ๊ย อาป๊าตั้งรับไม่ทัน เดี๋ยวก็ได้หัวใจวายตายกันพอดี”
อาแตงตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะบอกให้รีบทำกับข้าว เดี๋ยวหกโมงครึ่งอาแตงต้องไปอาบน้ำแต่งตัวให้ย่าอีก ผมพยักหน้ารับก่อนจะล้างผักเตรียมให้อาเรียบร้อย จากนั้นก็ทอดไข่เจียวสามจานตามที่อาสั่งและช่วยดูแกงจืดในหม้อระหว่างที่อาไปดูแลย่า เจ็ดโมงครึ่ง ผมกับอาแตงและชมพู่ช่วยกันยกอาหารไปวางบนโต๊ะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ตามหาพี่อู๋พราะไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน พอเดินเข้าห้องนั่งเล่นก็เห็นเขาเอนหลับบนโซฟาน่าสงสาร ผมสะกิดพี่อู๋เบาๆให้เขาตื่นมากินข้าว กินเสร็จผมจะพาไปนอนบนห้องจะได้ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งแบบนี้
“ไปตามอาป๊าด้วยก้อง อยู่หน้าบ้านหรือเปล่าน่ะ ไปเรียกมาเร็ว”
ผมขานตอบก่อนจะเดินออกไปชานบ้านซึ่งพ่อกำลังเทอาหารเม็ดให้หมีอยู่ ผมมองพ่อจากข้างหลังเพราะละอายใจเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับเขาตามลำพัง แต่ดูเหมือนพ่อจะรู้ว่ามีคนแอบมอง เขาจึงค่อยๆหันมา พอเห็นว่าเป็นก้องเกียรติเขาก็เงียบและเปลี่ยนเรื่องว่ากับข้าวเสร็จแล้วเหรอ
“ครับ อาแตงเรียกให้ไปกินข้าว”
พ่อขานตอบแค่ว่าเดี๋ยวตามไปและจ้องผมอีกพักใหญ่ พ่อดูมีเรื่องอยากพูด ส่วนผมเองก็กำลังสับสนว่าจะเอายังไง ผมควรพูดอะไรกับพ่อหน่อยไหมเพื่อไม่ให้ระหว่างเราแย่ไปกว่านี้ สุดท้ายผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าเพื่อขอโทษพ่ออีกครั้งจากใจจริง
“อืม” พ่อตอบเสียงเบาในลำคอ “อย่าทำแบบนี้อีกก็แล้วกัน”
“พ่อโกรธมากไหม?”
ผมถามตามตรงเพราะคิดว่ามันคงจะดีถ้าเราได้ระบายความในใจทุกอย่างออกไป เพื่อที่ผมกับพ่อจะได้รู้ว่าเราคิดยังไง เรารู้สึกยังไงต่อกันดีกว่าเก็บความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้จนตาย
“เสียใจสิ เพราะก้องทำอะไรไม่คิด”
“ผมขอโทษ”
พ่อพยักหน้าและฝืนยิ้ม “ไปกินข้าวแล้วไปนอนเถอะ ยังไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอ?”
ผมตอบว่าครับก่อนจะถามถึงพี่อู๋บ้าง ผมถามพ่อว่าเขาโอเคไหมถ้าหากเราสองคนจะคบกันต่อ พ่อเงียบไปพักใหญ่ ดูเจ็บปวดและเสียใจในเวลาเดียวกันก่อนจะบอกตามตรงว่าเขาไม่ค่อยชอบผู้ชายแบบพี่อู๋ พ่อไม่อยากให้ผมลงเอยกับคนแบบนี้
“แต่เขาดีกับผมมากเลยนะ”
“เพราะก้องรักเขาไง ถึงได้มองว่าอะไรๆก็ดีไปหมด” พ่อบอก “เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ แต่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก็แล้วกัน”
พูดจบพ่อก็เงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด ซักพักเขาจึงพูดต่อ
“รักและให้เกียรติตัวเองบ้างนะก้อง” พ่อสอน “อย่ายอมอู๋ไปเสียทุกเรื่อง”
ผมหน้าร้อนนิดหน่อยเมื่อตีความได้ว่าประโยคที่พ่อพูดคงหมายถึงเซ็กส์ ผมไม่รู้จะบอกพ่อยังไงดีว่าที่เรามีอะไรกันไม่ใช่เพราะผมยอมทำตามความต้องการของพี่อู๋เพื่อรักหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันเกิดขึ้นเพราะความสมัครใจของเราต่างหาก ที่ผมทำไปก็เพราะตัวเองล้วนๆ พี่อู๋ก็แค่สนองเพราะเรารักกัน
เรารักกัน – เราจึงมีเซ็กส์กัน
เรื่องมันมีแค่นี้เอง ไม่มีใครหลอกใคร ไม่มีใครบังคับใคร ถึงพูดไปพ่อคงไม่เข้าใจ ในหัวของเขาคงถูกโปรแกรมเอาไว้ว่าก้องเกียรติเป็นเด็กแสนซื่อบริสุทธ์ที่ถูกผู้ชายอายุเยอะกว่าหลอกฟัน ผมคงไม่แก้ชุดความคิดนั้นของพ่อเพราะบางที -- การเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อน่าจะเจ็บปวดน้อยกว่าการรับรู้ความจริง
พ่อมองหน้าผมอีกหน่อยก่อนจะชวนไปกินมื้อเช้า บนโต๊ะกลมที่มีสมาชิกของครอบครัวนายก้องเกียรติ วันนี้เพิ่มคนพิเศษมาอีกหนึ่งคน น่าแปลกที่ย่าไม่ตั้งคำถามว่าพี่อู๋เป็นใคร ทำไมจู่ๆถึงมากินมื้อเช้ากับเรา ผมเดาเอาว่าเสียงทะเลาะกันเมื่อเช้าคงทำให้ย่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ย่าเองอาจจะต้องทำใจยอมรับอีกพักใหญ่ แต่หวังว่าสิ่งที่ผมเป็นจะไม่ทำย่าเศร้าจนเกินไป ไม่ควรมีใครต้องเศร้าเพียงเพราะรสนิยมทางเพศของผมทั้งนั้น
เรากินข้าวด้วยกันประมาณสามสิบนาที ตลอดเวลาที่พี่อู๋นั่งร่วมโต๊ะ ผมสังเกตว่าน้องสาวของผมต่างจับจ้องเขาด้วยแววตาประหลาด มันไม่ใช่ความพิศวาสหรือหลงใหลในความหล่อหรอก แต่ชมพู่มองแบบไม่พอใจนิดหน่อยราวกับไม่ชอบที่ผมพาแฟนเข้าบ้าน ส่วนแอปเปิ้ลมองแบบผ่านๆ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ส้มจีนยิ่งแล้วใหญ่ มองเพราะระแวงว่าพี่อู๋จะแย่งไข่เจียวในจานไปกินคนเดียว ส่วนมะนาว – มองด้วยแววตาปิ๊งๆเหมือนเด็กตกหลุมรัก เธอมองราวกับสงสัยว่าพี่อู๋เป็นใคร ใจดีไหม ซื้อขนมให้ได้ไหม พาไปเที่ยวได้ไหม ผมเห็นเธอมองแล้วยิ้มอยู่นานจนต้องถามว่าทำไม จะเอาอะไรอีกล่ะ
“เฮียก้องกับพี่ผู้ชายพามะนาวไปซื้อไอติมได้ไหม?”
“ที่ไหน?”
“โลตัส”
“ไกลไป” ผมบอก “ค่อยไปพร้อมพ่อตอนเย็นก็แล้วกัน”
มะนาวเบ้หน้าแล้วกินข้าวจนเกลี้ยง หลังทานเสร็จผมกับชมพู่ก็ช่วยอาแตงเก็บจาน ส่วนพี่อู๋คอยเดินตามไม่ห่างเพราะทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่ในบ้านที่มีผู้หญิงถึงหกคน หลังล้างจานและทำความสะอาดเรียบร้อย ผมก็เดินไปขอร้องพ่อให้พี่อู๋นอนหลับที่นี่ซักงีบได้ไหม พ่อดูไม่ค่อยอยากให้เขาอยู่บ้านเรานานเท่าไหร่ แต่พอเห็นสภาพพี่อู๋ที่เสื้อเปื้อนเลือดกำเดา แถมยังดูเพลียๆจนสามารถล้มนอนตรงไหนก็ได้ พ่อจึงอนุญาต ยอมให้พี่อู๋นอนพักแค่ช่วงกลางวัน พระอาทิตย์ตกดินเมื่อไหร่เขาต้องกลับไป ห้ามนอนค้างที่นี่เด็ดขาด
พี่อู๋ยกมือไหว้ขอบคุณพ่อก่อนจะตามผมขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ผมเดินนำเข้าไปในห้องนอน แนะนำที่วางข้าวของต่างๆและหาเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยน พี่อู๋หายไปอาบน้ำจัดการตัวเองแค่ห้านาทีก็กลับมาพร้อมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น เขาเดินโงนเงนไปที่เตียงและล้มตัวลงนอน พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับเลย ไม่รอให้ก้องเกียรติขึ้นไปนอนข้างๆด้วยซ้ำ
ผมต่อคิวรอชมพู่กับแอปเปิ้ลอาบน้ำไปเรียนพิเศษอยู่เกือบชั่วโมง จากนั้นก็ได้เวลาเข้านอนเพื่อพักผ่อนด้วยเช่นกัน ผมปิดม่านและดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพี่อู๋ สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าอ่อนเพลียหมดสภาพ เขาคงเหนื่อยมากเพราะเมื่อวานก็ทำงานทั้งวันแถมยังไม่ได้นอน
โถ่ -- พี่อู๋ที่น่าสงสารของผม
เหนื่อยขนาดนี้ยังอุตส่าห์ขับรถมาหาและอยู่เคลียร์กับพ่ออีก ผมรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่คนรักทำจนต้องโน้มหน้าลงไปหอมแก้มเขาเบาๆ บอกเขาว่ารักนะครับ หลังจากนั้นก็เอนตัวลงนอน บนเตียงขนาดห้าฟุตอาจจะเบียดนิดหน่อยสำหรับผู้ชายตัวสูงสองคน แต่ความแคบไม่เป็นปัญหาเมื่อพี่อู๋พลิกตัวนอนตะแคงแล้วกวาดแขนโอบกอดก้องเกียรติเอาไว้แน่น หลังจากปรับเปลี่ยนท่าให้สบายตัวอยู่พักใหญ่ เราก็นอนหลับสนิทในห้องด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์
TBC
__________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
สวัสดีวันจันทร์ค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอนะคะ
เป็นอีกครั้งที่ส้มก็ยังไม่โดะแกะ แหะๆๆ แต่มันต้องมีซักวันค่ะ ซักวันนะคะ ซักวันที่ยัยน้องเป็นของพี่เค้าซะที
หวังว่านิยายตอนนี้จะทำให้คุณมีความสุขไม่มากก็น้อยนะคะ