ขอโทษนะครับที่ต้องตั้งกระทู้ใหม่ เพราะผมเปลี่ยนหัวกระทู้เก่าไม่ได้น่ะครับ อัพเดทชื่อตอนไม่ได้เลย
ตอนนี้เป็นตอนที่ 3 แล้วครับ ส่วนตอนที่ 2 อยู่ในลิงค์ข้างล่างนะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=36708.0...
KOUSOKU 3
“...จัง...คัตจัง...”
เสียงที่ค่อนข้างจะคุ้นหูของใครบางคนลอยแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล ปลุกจิตสำนึกที่กำลังหลับใหลได้ที่ให้ค่อย ๆ ฟื้นคืนมา ดวงตาคมค่อย ๆ ปรือขึ้นช้า ๆ แล้วก็ต้องหลับลงพร้อมกับขมวดคิ้ว แสงไฟนีออนกลางห้องมันจัดจ้าเกินกว่าดวงตาจะปรับสภาพได้ทัน
“คัตจัง...รู้สึกตัวแล้วใช่มั้ย?” เสียงนั้นถามขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ดวงตาคมค่อย ๆ หรี่ปรือขึ้นมอง ใครบางคนกำลังมองมาด้วยสายตาเป็นห่วงกังวล คัตซึฮิโกะใช้เวลานึกอยู่พักใหญ่...ใบหน้าค่อนข้างหวานน่ารัก ริมฝีปากอิ่มย้อย ดวงตาที่ฉายแววดื้อดึงเสมอ ๆ ผมสีน้ำตาลทองที่ดูยุ่ง ๆ ...
“นัตสึ...?” คัตซึฮิโกะเรียกชื่อคนที่เป็นเหมือนน้องชายของเขา
“ก็ฉันน่ะสิ พี่เห็นเป็นใครรึไง?” นัตสึทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ
คัตซึฮิโกะหลับตาลงอีกครั้ง...เป็นนัตสึจริง ๆ ด้วย...แต่ถ้านัตสึอยู่ที่นี่...แล้วเขาล่ะ? เซย์ริวไปไหนแล้ว?
“พี่เป็นอะไรมากรึเปล่า? วันนี้ฉันแวะไปที่ทำงานพี่แล้วเขาบอกว่าพี่ไม่ได้ไปทำงาน แถมไม่ได้ลาด้วย ไม่สบายเหรอ?” นัตสึถามพลางแตะหลังมือลงกับหน้าผากคัตซึฮิโกะ “อืม...มีไข้นี่”
“นิดหน่อยน่ะ” คัตซึฮิโกะบอกแล้วพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ก็เวียนหัวจนลุกไม่ไหว ทิ้งตัวทรุดลงกับเตียง
นัตสึรีบประคองพี่ชายเอาไว้ “คัตจัง!?”
“อะ...ไม่...ฉันไม่เป็นไร” คัตซึฮิโกะค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่งอีกครั้ง ผ้าห่มเลื่อนหลุดลงจากร่าง เผยให้เห็นท่อนบนที่เต็มไปด้วยรอยแดงช้ำ
“เมื่อคืนหนักไปหน่อยเหรอ พี่?” น้ำเสียงทะเล้น ๆ ถามมาเบา ๆ
“หนัก?” ชายหนุ่มหันไปมองหน้าน้องชายอย่างไม่เข้าใจความหมายของคำถามนั้น
“ก็...” นัตสึยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็ชี้ให้ดูร่องรอยที่ปรากฏอยู่บนผิวขาว “เล่นกันถึงขนาดเป็นไข้นี่...ไม่ธรรมดาเลยแฮะพี่เรา”
คัตซึฮิโกะก้มลงมองรอยแดงช้ำเหล่านั้นแล้วก็หน้าแดงซ่าน เขาไม่คิดว่ามันจะมากมายและชัดเจนขนาดนั้น โดยไม่ต้องคิด ชายหนุ่มคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมปิดทันที
“จะอายตอนนี้ก็สายไปแล้วพี่ เห็นหมดแล้ว” เจ้าเด็กหัวยุ่งยังคงยิ้มล้อเลียน คัตซึฮิโกะไม่ตอบอะไรนอกจากตีหน้ายุ่ง “ว่าแต่...สาวคนนั้นของพี่นี่แรงสูงไม่เบาเลยน้า มีผู้หญิงซักกี่คนกันที่จะทิ้งรอยไว้บนตัวผู้ชายเยอะขนาดนี้”
คัตซึฮิโกะก้มหน้านิ่ง ‘…ก็ไม่ใช่ผู้หญิงน่ะสิ…’ เขาได้แต่พูดกับตัวเองในใจ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องอธิบาย ปล่อยให้นัตสึเข้าใจไปแบบนั้นน่ะดีแล้ว
“แต่ถึงขนาดไม่สบายเนี่ย มันก็เกินไปนิดนะพี่ ทีหลังทำอะไรก็อย่าหักโหมนักสิ” นัตสึยังคงล้อไม่เลิก
คัตซึฮิโกะเอื้อมมือไปผลักหน้าเจ้าคนพูดมากเบา ๆ “ฉันเป็นไข้ของฉันอยู่แล้ว”
“โห...งั้นยิ่งแล้วใหญ่เลย นี่ขนาดเป็นไข้อยู่ก็ยังอุตส่าห์ทำเรื่องพรรค์นี้ได้” เด็กหนุ่มทำหน้าทึ่งจัด
“หุบปากได้แล้ว นัตสึ” น้ำเสียงนั้นกระชากห้วนขึ้นมาทันที...เขาไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกแล้ว
พอเห็นพี่ชายตั้งท่าอารมณ์เสีย นัตสึก็เลยเงียบแล้วยักไหล่ตามนิสัย โดยปกติแล้วคัตซึฮิโกะจะไม่ค่อยหงุดหงิดใส่เขานักหรอก คราวนี้คงเป็นเพราะไม่สบายด้วยหละมั้ง เลยหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ เขาเองก็ไม่อยากให้คัตซึฮิโกะอารมณ์ไม่ดีด้วย เขาชอบให้พี่ชายเขายิ้มมากกว่า
“ว่าแต่...พี่ได้กินอะไรรึยัง? แล้วยา...” นัตสึเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องที่ไม่มีร่องรอยอาหารการกินอะไรเลย
“ยาหมดนานแล้วหละ”
“หมด?...แล้วไอ้ที่ตั้งอยู่นี่ล่ะ?” เด็กหนุ่มหยิบแผงยาลดไข้แก้อักเสบที่วางอยู่ใกล้ ๆ หมอนขึ้นมา มันมีร่องรอยว่าถูกแกะกินไปแล้วสองเม็ด
คัตซึฮิโกะมองแผงยานั้นอย่างงง ๆ เขาไม่ได้เป็นคนไปซื้อมาแน่ ก็เขาเพิ่งตื่นขึ้นมาหลังจากที่นัตสึเรียกนี่เอง ถ้าอย่างนั้น...
‘…เป็นไปได้เหรอ?...เขาน่ะเหรอจะไปซื้อยามาให้…’
ชายหนุ่มหลับตาแล้วพยายามนึกทบทวนความทรงจำ...ในระหว่างที่เขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันอันยาวนาน มีอยู่จังหวะหนึ่งที่มีบางอย่างล่วงล้ำลำคอเข้ามา เขาจำได้ว่าตัวเองสำลักนิดหน่อยแล้วก็ขัดขืนไม่ยอมกินอะไรบางอย่างนั่น แล้วก็มีเสียงใครบางคนตวาดเอาเบา ๆ ก่อนที่หยาดน้ำชุ่มเย็นจะไหลพามันลงลำคอไป...ถ้ามันเป็นความจริง ที่เขาโดนจับกรอกยาก็คงเป็นตอนนั้นแหละ
คัตซึฮิโกะถอนใจหนัก ๆ จะว่าไปอาการเขาก็ดีขึ้นกว่าเมื่อเช้านี้มาก เพียงแต่ยังร้าวระบมไปหมดทั้งตัว แต่ถ้าได้นอนพักมาก ๆ พรุ่งนี้ก็คงไปทำงานได้
“พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่มั้ย? งั้นเดี๋ยวฉันแสดงฝีมือเอง” นัตสึยิ้มแล้วรีบกุลีกุจอลุกไปที่ครัว
“เอาของที่กินได้นะ นัตสึ” คัตซึฮิโกะบอกตามหลังไป
เด็กหนุ่มโผล่หน้ามามองพร้อมกับทำหน้ายุ่ง “พี่ก็รู้นี่ว่าฉันทำอาหารไม่เก่งเท่าพี่อ้ะ”
“ก็ถึงได้บอกไงว่าเอาของที่กินได้”
“เออ รับรองน่ะว่ากินได้” เจ้าตัวยุ่งทำเสียงขุ่น ๆ แล้วผลุบหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง
ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ข้าวต้มหอมกรุ่นก็ถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้าคนป่วย หน้าตามันไม่น่ากินโดยสิ้นเชิง แต่ด้วยความที่คนทำนั่งทำหน้าภูมิอกภูมิใจอยู่ข้างเตียงก็ทำให้คัตซึฮิโกะอดตักข้าวเข้าปากไม่ได้ แต่แล้วก็ต้องทำหน้าเหยเก...ไม่หรอก รสชาติมันไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย เพียงแต่ข้าวต้มร้อน ๆ ของนัตสึมันแตะไปถูกแผลในปากเข้า แสบจนน้ำตาแทบร่วง...แต่สีหน้าคนกินก็พอจะทำให้คนทำหน้าเสียได้
“รสชาติมันห่วยขนาดนั้นเลยเหรอพี่?” นัตสึถามพลางยิ้มแหย ๆ
“อา...ไม่หรอก เก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ” คัตซึฮิโกะบอกแล้วก็ตักอีกคำ...คราวนี้รู้แล้วว่าต้องเป่าก่อนกิน
“โล่งอก...ฉันนึกว่ามันแย่เสียจนพี่ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ซะอีก” เด็กหนุ่มถอนใจ
ผู้เป็นพี่ชายเอื้อมมือไปลูบผมยุ่ง ๆ นั้นอย่างเอ็นดู “แล้วนายไม่กินเหรอ?”
“อืม...ไม่หละ เดี๋ยวกลับไปกินพร้อมกับที่บ้านดีกว่า วันไหนไม่กินข้าวที่บ้านโดยไม่บอกล่วงหน้านะเหมือนระเบิดลงกลางบ้านเลย คุณแม่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทุกที” พูดแล้วก็ทำปากยื่นอย่างขัดใจ...แต่สีหน้าดูมีความสุข
“เข้ากับที่บ้านได้แล้วใช่มั้ย?” คัตซึฮิโกะถามอย่างห่วงใย...เขายังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่นัตสึย้ายไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ เจ้าตัวยุ่งงอแงมาหาแทบทุกวันพร้อมกับบ่นว่าไม่อยากอยู่ที่บ้านนั้น
“อืม...ดีแล้วหละ แหม...มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะพี่”
“งั้นก็ดีแล้ว”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เรื่องหนึ่งที่คัตซึฮิโกะคอยเป็นห่วงมาตลอดก็คือ ความสัมพันธ์ของนัตสึกับครอบครัวอุปถัมภ์...นัตสึกับเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ กันหรอก แต่เติบโตมาด้วยกันที่บ้านเด็กกำพร้า คัตซึฮิโกะจำไม่ได้หรอกว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ที่จำได้มาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ในวันที่เขาอายุได้ 5 ขวบ คุณครูใหญ่อุ้มเด็กมาคนหนึ่ง แล้วก็บอกว่าต่อไปนี้เด็กคนนี้จะมาเป็นน้องของเขาอีกคน เด็กคนนั้นก็คือนัตสึ...
นัตสึติดคัตซึฮิโกะมากตั้งแต่เด็ก ดังนั้นคัตซึฮิโกะก็เลยต้องทำตัวเป็นพี่ชายให้กับเจ้าตัวยุ่งมาตลอด เพราะเป็นเด็กรุ่นแรก ๆ ของบ้านเด็กกำพร้า เมื่อโตขึ้น คัตซึฮิโกะก็ต้องช่วยพวกคุณครูดูแลน้อง ๆ เขามีน้องในความรับผิดชอบอยู่ 4 คน แต่คนที่เอาแต่เกาะติดเขาแจก็มีแต่นัตสึเท่านั้น เขาต้องคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้น้องแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เรื่องการบ้าน หรือแม้แต่เรื่องทะเลาะกับคนอื่น ซึ่งเรื่องหลังสุดนี้นัตสึหามาให้เขาได้แทบทุกวัน
คัตซึฮิโกะไม่เคยรู้สึกลำบากใจกับการที่ต้องทำตัวเป็นพี่ชาย บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าดีเสียอีก โดยเฉพาะในเวลาเหงา ๆ นัตสึมักจะเป็นเพื่อนแก้เหงาได้เป็นอย่างดี หรือในบางทีที่นัตสึนอนไม่หลับ ก็จะหอบหมอนกับผ้าห่มมานอนด้วย เรียกได้ว่าต่างก็คอยค้ำจุนซึ่งกันและกันเรื่อยมา
สำหรับพวกเด็ก ๆ ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า วันที่ทุกคนต่างก็รอคอยกันมากที่สุดก็คือวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่พ่อแม่อุปถัมภ์จะมารับออกไปเที่ยว นัตสึและคัตซึฮิโกะเองก็เช่นกัน ต่างก็มีพ่อแม่อุปถัมภ์ด้วยกันทั้งคู่ แต่ต่อมาไม่นานนักพ่ออุปถัมภ์ของคัตซึฮิโกะก็เสียชีวิตลง คุณแม่ที่เหลืออยู่ตามลำพังคนเดียวจึงไม่สามารถอุปถัมภ์คัตซึฮิโกะต่อได้...แม้จะรู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเหลือน้องชายอยู่คนหนึ่ง จนกระทั่งนัตสึอายุได้ 13 ปี พ่อแม่อุปถัมภ์ก็ต้องการรับนัตสึไปเป็นบุตรบุญธรรม ในตอนแรกนัตสึดีใจมาก...มากเสียจนคัตซึฮิโกะอดอิจฉาไม่ได้ แต่พอใกล้ถึงวันที่ต้องไปอยู่กับครอบครัวจริง ๆ แล้ว นัตสึเอาแต่งอแงและเกาะติดอยู่กับเขาตลอดเวลา เจ้าตัวเล็กคงใจหายที่อยู่ ๆ จะต้องจากที่ที่อยู่มาตลอดชีวิตและคนที่คอยดูแลไปอย่างกะทันหัน
‘…พี่ไม่ได้ไปไหนนี่นัตสึ พี่จะคอยดูนายอยู่ตรงนี้แหละ เหงาเมื่อไรก็มาหาได้นี่ บ้านก็อยู่แค่นี้เอง…’
เพราะอย่างนี้นัตสึจึงจากไปอยู่กับครอบครัวใหม่ แต่กลับมางอแงกับคัตซึฮิโกะแทบทุกวัน ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับการมีคนคอยเข้มงวดและกำลังจะเป็นวัยรุ่นก็เลยทำให้อยู่ได้ลำบากหน่อย ในตอนนั้นคัตซึฮิโกะเองก็ยังคงอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าโดยช่วยพวกคุณครูคอยดูแลเด็ก ๆ หลังกลับจากโรงเรียน เขาออกมาอยู่คนเดียวตอนที่สอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยได้ และก็อยู่คนเดียวมาจนถึงตอนนี้ โดยที่นัตสึก็ยังคงมาหาอย่างสม่ำเสมอไม่ได้ขาด
พอคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว คัตซึฮิโกะก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“หือ? ขำอะไรเหรอ คัตจัง?” เสียงของนัตสึดึงเอาความนึกคิดที่ล่องลอยไปไกลให้กลับมา
“อะ...ก็นึกถึงตอนนายเด็ก ๆ แล้วขำดี” คัตซึฮิโกะบอกแล้วก็ยิ้มนิด ๆ
นัตสึทำแก้มป่อง “มันเรื่องอะไรมาขำฉันล่ะ?”
ผู้เป็นพี่ชายไม่ตอบอะไรนอกจากขยี้ผมยุ่ง ๆ เบา ๆ พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน นัตสึยิ้มกับภาพตรงหน้า คัตซึฮิโกะมักจะยิ้มแบบนี้ให้เขาเสมอ เป็นพี่ชายที่อ่อนโยนและไม่เคยเปลี่ยนไปเลยไม่ว่าเมื่อไร
นัตสึคอยดูแลจนกระทั่งคัตซึฮิโกะกินข้าวกินยาเรียบร้อย แล้วก็ดึงดันที่จะเช็ดตัวให้คัตซึฮิโกะให้ได้ จนในที่สุดคนเป็นพี่ก็ต้องยอมให้กับความดื้อของน้องชาย ที่นัตสึติดใจอยู่ก็คือ ทำไมพี่ชายเขาถึงเข้านอนทั้งที่ไม่ได้สวมอะไรเลย จะว่าทำเรื่องอย่างว่าหนักจนหลับไปทั้งอย่างนั้นก็ใช่ที่ ตอนที่ผู้หญิงจะออกจากห้องไปจะไม่เรียกกันบ้างเลยหรือ
“อ๊ะ! ดึกป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ฉันต้องกลับแล้วหละพี่ เดี๋ยวคุณแม่จะรอกินข้าวนาน” นัตสึบอกกับคัตซึฮิโกะเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบ 3 ทุ่ม
“อืม...ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก พรุ่งนี้ฉันคงไปทำงานได้แหละ” คัตซึฮิโกะบอกพร้อมกับพยายามลุกจากเตียง
“อ๊ะ ๆ ๆ ไม่ต้องลุกเลย นอนไปเลยนะ ไม่ต้องไปส่งหรอก ฉันกลับเองได้” เด็กหนุ่มรีบกดพี่ชายให้กลับลงไปนอน “พี่น่ะพักให้มาก ๆ เถอะ เห็นพี่ไม่สบายทีไรเป็นเรื่องใหญ่ทุกที”
“แค่ไปส่งที่หน้าประตูนี่นะ”
“นั่นแหละ อ๊ะ! จริงสิ ที่ฉันมาเนี่ยเพราะเป็นห่วงเรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าหละ”
“ข่าวอะไร?”
“ไม่ได้อ่านเหรอ? เมื่อคืนวานมีคนถูกแทงตายอยู่ใกล้ ๆ แมนชั่นของพี่นี่แหละ ดูเหมือนจะโดนปล้นชิงทรัพย์น่ะ ตำรวจยังจับตัวฆาตกรไม่ได้เลย ฉันก็เลยเป็นห่วง รีบมาดูพี่เนี่ย” นัตสึเล่าให้ฟัง
หากชายหนุ่มเบิกตากว้าง...มีคนถูกแทงตาย...ยังจับฆาตกรไม่ได้... คำพูดของใครบางคนวาบขึ้นมาในจิตสำนึก
‘…ถ้าฉันจะบอกว่า ฉันเพิ่งแทงคนตายมาล่ะ แกจะว่ายังไง?...’
ความรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านลงไปตั้งแต่ผมจรดปลายเท้า มันอาจจะเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ สำหรับผู้ชายคนนั้น แค่สิ่งที่ทำกับเขาก็พอจะยืนยันได้แล้วว่านิสัยของคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร มันคงไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเซย์ริวจะฆ่าใครสักคน
“คัตจัง เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ?” ไม่พูดเปล่ามือยังเอื้อมมาแตะหน้าผากอย่างร้อนรน
คัตซึฮิโกะเพิ่งได้สติจากสัมผัสนั้น “อะ...เอ่อ...ไม่...ไม่เป็นไร”
นัตสึขมวดคิ้ว จ้องมองพี่ชายอย่างไม่วางใจ “เอาไงเนี่ย ท่าทางไม่ดีเลย ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนดีกว่ามั้ย เดี๋ยวฉันโทรไปบอกที่บ้านเอง”
“ไม่ต้องหรอก นัตสึ ฉันแค่คิดว่าข่าวที่นายเล่าให้ฟังมันน่ากลัวนะ ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งหลายปีไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย ก็เลยรู้สึกกลัวขึ้นมาน่ะ” คัตซึฮิโกะรีบกลบเกลื่อน
นัตสึขมวดคิ้วมากขึ้นอีก “เหรอ...แต่จะว่าไปแล้วนะ ฉันว่าแถว ๆ นี้น่ะมันน่าจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ออกจะตายไป มืดก็มืด เปลี่ยวก็เปลี่ยว ฉันว่าที่มันไม่เคยเกิดอะไรขึ้นนี่แหละ แปลก”
“ถ้าอย่างนั้น นายรีบกลับดีกว่า นี่ก็ดึกแล้วด้วย” คัตซึฮิโกะรีบตัดบท อยู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าหากเซย์ริวย้อนกลับมาแล้วพบนัตสึเข้า มันคงไม่ดีแน่
“อืม...เอางั้นก็ได้ พี่อยู่ได้นะ นอนให้มาก ๆ ล่ะ” บทจะว่าง่าย นัตสึก็ว่าง่ายอย่างเหลือเชื่อ
“ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ ฝากสวัสดีคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยนะ” ชายหนุ่มบอกพลางฝืนยิ้ม