::EPILOGUE::
“เดี๋ยวกูก็มาน่า ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้น..”..
มือขาวรับกระเป๋าสะพายที่ถูกหยิบจากบนโต๊ะส่งมาให้ ปากก็พูดไปพร้อมส่งสายตาเป็นประกายไปด้วย
“หน้าแบบไหน?” คนถูกพูดด้วยเลิกคิ้ว
“ก็.. หน้าแบบคิดถึง แบบที่กำลังทำอยู่นี่ไง”
“พูดไปเรื่อย”
แน่ละ.. เป็นพชรที่ส่ายหน้าน้อยๆ อดขำไม่ได้ เพราะออกจะมั่นใจว่าตัวเขาไม่ได้ทำหน้าแบบไหนทั้งนั้นแหละ
ม่อนแจ่มกระชับเป้ไว้บนบ่า ถอนหายใจเบาๆ เหลียวมองรอบๆห้อง
“พชร บอกไอ้ดิ้ลให้ด้วยนะ ว่าอย่าเพิ่งไป”
“อืม..” พชรรับคำ
ไอดิลออกไปกับไอหมอก ในเวลาเย็นแบบนี้ เดาว่าอีกคนน่าจะไปเล่นฟุตบอล ส่วนอีกคนนั้นคงแทะเครปญี่ปุ่นรออยู่ข้างสนาม
พชรเดินเคียงกับม่อนแจ่มออกจากห้องพร้อมกันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจ
ทว่า ก็พอนับถ้วนอยู่หรอก เพราะเพิ่งจะเดินไปเดินมาด้วยกันเอาจริงๆเมื่อสองสามสัปดาห์สุดท้ายนี่เอง
“ใครมารับ ม่อน?” พชรเอ่ยถามขณะย่างเท้าอย่างไม่รีบร้อน
“ลุงสมไง” ม่อนแจ่มว่า ยกข้อมือมองนาฬิกาซึ่งเวลาคล้อยสี่โมงเย็น “กูฝากป้าเพ็ญให้บอกลุงสมอ่ะ”
พชรพยักหน้า แล้วก็เงียบกันไป ม่อนแจ่มคิดทบทวนถ้อยคำที่จะพูดกับคุณพ่อคุณแม่ สิ่งที่จะบอก.. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับพ่อแสงรวี
เมื่อเสียงแจ๋วที่มักจะไม่ค่อยหยุดพูดเงียบลง พร้อมทั้งสีหน้าครุ่นคิด มือใหญ่จึงยกขึ้นบีบไหล่เล็กให้กำลังใจเบาๆ
ม่อนแจ่มหันหน้ามามอง ยิ้มให้.. พูดว่าขอบคุณโดยไม่มีเสียง
Mercedes Benz สีดำเป็นมันวาวจอดอยู่หน้าหอสามชายแล้วเมื่อตอนที่เด็กหนุ่มทั้งสองเดินลงมาถึง
อย่างไรก็ตาม โชเฟอร์ไม่ใช่ลุงสมดังที่ม่อนแจ่มคาด กลับเป็นบุรุษร่างใหญ่ ใบหน้าคล้ายคลึงกับคนที่เดินเคียงมาส่งเขา
นอกจากนี้ ยังมีสตรีรูปร่างระหงในชุดสูทกระโปรงมาด้วยกัน ..ซึ่งการมาของผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนี้ พชรคุ้นเคยน้อยกว่าม่อนแจ่ม
นับจากที่โรงแรมเมื่อวันที่รู้สึกคล้ายกับว่าเนิ่นนานมาแล้ว ..นี่เป็นครั้งแรกที่พชรพบกับคุณพจน์และคุณระมิงค์พร้อมๆกัน
ม่อนแจ่มออกจะตกใจอยู่สักหน่อย เขาไม่ได้คิดว่าคุณพ่อคุณแม่จะมารับด้วยตัวเอง ท่านทั้งสองยังคงอยู่ในชุดทำงาน ท่าทางกำลังพูดคุยถกประเด็นอะไรสักอย่างที่คงเป็นเรื่องงานนั่นเอง เพราะเท่าที่ม่อนแจ่มคุ้นเคย คุณพ่อคุณแม่จะเลิกงานห้าโมงไปแล้ว ไม่ใช่สี่โมงกว่าเช่นนี้
เด็กหนุ่มสองคนค่อยๆก้าวเข้าไป.. พร้อมๆกับที่ผู้ใหญ่จับสังเกตการมาถึง
“ส..สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่”
“ม่อน ..พชร” ระมิงค์ทัก ดีใจที่เห็นพชรมาด้วย ดวงตาสองคู่ประสานกัน
“สวัสดีครับ คุณระมิงค์” พชรยกมือไหว้ระมิงค์ แล้วก็เช่นกันที่จะ..
“สวัสดีครับ ..คุณพจน์”
รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากหนาของผู้อาวุโสกว่า..
นายพจน์ยกมือรับไหว้ กล่าวตอบกลับ “สวัสดีครับ พชร”
ระมิงค์กลืนอะไรขมๆลงในลำคอ ..ห้ามไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจกับคำเรียกขานที่ค่อนข้างห่างเหินเกินสายสัมพันธ์แท้จริงของคนทั้งสอง
“ที่จริงม่อนจะอยู่เก็บของหรือจัดการอะไรๆก่อนก็ได้นะ”
เธอเบนสายตา ขยับเข้าหาลูกชาย ปัดไรฝุ่นออกจากเรือนผมโดยไม่จำเป็นเลย “ไม่เห็นต้องรีบกลับนี่จ้ะ”
ม่อนแจ่มเพียงยิ้ม ..เขามีเหตุผลที่จะกลับ เพียงแต่มารดายังไม่ทราบเท่านั้นเอง
“ป้าเพ็ญล่อลวงม่อนด้วยบัวลอยอ่ะครับ ม่อนปฏิเสธก็คงน่าเกลียด..”
นั่นแหละ.. คนที่เหลือจึงพอจะหัวเราะออกมาได้
“ป่านนี้คงทำเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ” ระมิงค์ว่าพลางนึกถึงบัวลอยของเพ็ญมาศ แขนข้างหนึ่งโอบบ่าม่อนแจ่ม
สองแม่ลูกเดินทิ้งห่างออกไป ซึ่งพชรรู้ว่ามาจากการจงใจ
นายพจน์เองก็ก้าวช้าไม่สมความยาวของขา อย่างไรก็ตาม พชรก็ไม่ได้เร่งฝีเท้าเหมือนกัน
“พชรสบายดีนะ ..แม่ด้วย”
“สบายดีครับ” พชรพยักหน้า นึกถึงมารดา นึกถึงสีหน้าและแววตาของท่านตอนที่ม่อนแจ่มนำ ‘ความระลึกถึง’ ส่งมอบให้ที่ใต้ถุนบ้านก่อนเขาทั้งสองจะกลับมาเชียงใหม่
“แล้ว.. คุณพจน์สบายดีหรือครับ”
นายพจน์ชะงัก ..ตกตะลึงกับคำถามจนลืมที่จะให้คำตอบ
ดวงตาสีเข้มหันมาจ้องมองเด็กหนุ่ม ทวนสิ่งที่ได้ยินในหัว
..คุณพจน์สบายดีหรือครับ..พชรมองตอบกลับไป ไม่ได้หลบสายตา
มันคล้ายจะเป็นคำถามตามมารยาท แต่ก็ไม่ใช่หรอก เพราะสำหรับความพชรนั้น.. ถ้าไม่ได้อยากรู้ เขาจะไม่ถาม
เพียงไม่ครั้ง ไม่กี่ชั่วเวลาที่ได้พบกันในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ย่อมไม่ถึงกับสามารถสร้างความผูกพัน ..แต่ก็นั่นแหละ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันค่อยๆลบล้างความว่างเปล่า
หูพชรแว่วได้ยินคำว่า ‘พ่อ’ ที่ม่อนแจ่มเรียกลุงแสง คำที่เขายังไม่อาจเรียกคนตรงหน้า
“ผม..”
นายพจน์รอฟัง แต่เหมือนอีกฝ่ายยังไม่มีคำจะเอ่ย
บุรุษวัยห้าสิบเพียงยิ้มอ่อนบาง ถือวิสาสะค่อยๆเอื้อมมือแตะไหล่แกร่ง ใบหน้าคมส่ายนิดหนึ่ง
พชรเป็นเด็กดี ..ดีเกินไป
ไม่ควรต้องรู้สึกเสียใจ หรือแม้แต่ลังเลสับสนกับเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดตัวเอง
นายพจน์ไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น เชื่อเถอะว่าเขาพอใจกับคำเรียก ‘คุณพจน์’ แล้ว
แค่เพียงลูกชายอยากสื่อสารกับเขาเพียงพอที่จะยอมเรียก เท่านั้นมันก็เป็นคำเรียกที่น่ายินดี ไม่ว่าจะเป็นคำใดก็ตาม
ระยะจากบริเวณหน้าประตูใหญ่ของหอดูไกลมากกว่าเคย กว่าจะถึงรถเบนซ์ซึ่งจอดอยู่
ระมิงค์กับม่อนแจ่มยืนรออยู่ก่อนแล้ว ดวงตาในกรอบแว่นแดงมองคนมาทีหลังทั้งสองสลับไปมา อ้อยอิ่งสายตาอยู่ที่พชร ..มองอย่างห่วงใยความรู้สึก
ซึ่งพชรก็ยิ้มตอบบางๆ ..เป็นสัญญาณว่าเข้าใจ
“พชร..”
นายพจน์ลังเลกับสิ่งที่จะเอ่ย พยายามให้น้ำเสียงฟังดูสบายๆและเป็นกันเองที่สุด ไม่ปรารถนาจะให้ผู้ฟังต้องอึดอัดใจ
“..ไปเที่ยวไหมครับ?”
หืม?พชรเลิกคิ้ว เกือบจะต้องแปลความหมายของถ้อยคำนั้นซ้ำ แต่ชั่วอึดใจก็ตระหนักได้
ม่อนแจ่มเองกลืนน้ำลายลงคอ กึ่งกล้ากึ่งกลัวปฏิกิริยาตอบกลับ ขาที่เริ่มสั่นก้าวมาเคียงร่างใหญ่ผู้ที่ให้ความเคารพในฐานะบิดาเพื่อแสดงการสนับสนุนถ้อยคำชักชวนนั้น ..ก่อนจะขยับเข้าใกล้คนรักอีกครั้ง กระซิบริมไหล่
“ท..ที่บ้านไม่มีอะไรมากหรอก เป็นบ้านธรรมดา อ่าม.. ป้าเพ็ญทำอาหารอร่อยนะ
ต้นไม้ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ว่ามีต้นสักกับต้นลำไยด้วย คุณพ่อปลูกเองล่ะ..”
ระมิงค์ไม่พูดอะไร ทว่า พยายามมองดวงตาคมกล้าของเด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าทั้งที่ใจหวั่นไหว ..ปรารถนาให้รู้ ว่าความรู้สึกของเธอไม่ได้ต่างไปจากนายพจน์และม่อนแจ่มเลย
พชรนิ่งไป ..ก่อนที่ใบหน้าคมสันจะส่ายน้อยๆอย่างที่ทุกคนพอจะคาดได้
ม่อนแจ่มกัดริมฝีปาก สอดมือเล็กบีบมือใหญ่เป็นเชิงขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ
“เอาไว้คราวหน้านะครับ..” พชรก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ
เดี๋ยวสิ..
เดี๋ยวก่อนจริงอยู่.. ที่มันเป็นคำปฏิเสธ
ทว่า คำปฏิเสธแบบนี้
จากคนที่รักษาคำพูด..ม่อนแจ่มเงยหน้าขึ้น อ้าปากนิดๆ ดวงตาในกรอบแว่นเบิ่งโตกว่าปกติ มองพชรค้างจนคนถูกมองต้องตบไหล่เบาๆ ดันไปข้างหน้า
“กลับบ้านได้แล้วไป”
“พ..พชร!” ม่อนแจ่มยืนนิ่ง เรียกชื่อศักดิ์สิทธิ์ลิ้นแทบจะพันกัน
“กลับ-บ้าน”
พชรย้ำคำ ..และด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างบนใบหน้านั้นและน้ำเสียงเรียกนั้นทำให้เขาเผยอยิ้มออกมาจนได้
นายพจน์นั่งประจำที่คนขับ ระมิงค์นั่งเบาะหลัง
ส่วนข้างคนขับเป็นที่ของม่อนแจ่มซึ่งขึ้นรถหลังสุดและพชรเองเป็นคนเปิดประตูให้ ลืมตัวว่านี่ไม่ใช่ประตูห้องสามสามแปด
ม่อนแจ่มลงกระจก ดวงตาในกรอบแว่นแดงมองออกมา ..ความรู้สึกหลากหลายเข้าปะทะอีกครา
อย่างไร มันคงจะไม่จางหายไปง่ายๆ
เขา.. พร้อมหน้าบิดามารดาร่วมนามสกุลบนรถเบนซ์
พชร.. ยืนอยู่ตรงนั้น บนบาทวิถี
ร่างสูงมองตา ส่ายหน้าน้อยๆ ..รู้จักอีกฝ่ายดีจนไม่ยากที่จะเข้าใจความรู้สึก
ศีรษะพชรค้อมลง มือข้างหนึ่งแตะขอบหน้าต่างรถ ข้างหนึ่งแตะลงบนศีรษะเล็ก ประทับน้ำหนัก
“เดี๋ยวเจอกัน..”
ม่อนแจ่มค่อยๆยกมือขึ้นสัมผัสมือหยาบกร้านที่ทาบเรือนผมเขาเอาไว้
พชรไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่มองกลับมา
นัยน์ตาคมกล้าคู่นี้อีกแล้ว..แววตาของพชรเป็นหลักฐานของสิ่งที่ม่อนแจ่มมักจะได้ยินใครต่อใครเอ่ย ‘การให้อภัยคือการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’
มันยิ่งใหญ่จริงๆ..
การให้อภัย ความใจกว้าง ความมีเมตตา ..สิ่งต่างๆเหล่านั้นส่งผ่านจากคนหนึ่งถึงคนอื่นๆที่เหลือ
มันเยียวยา มันปลอบประโลม ..มันล้ำค่าราวกับชีวิตของคนในรถทั้งสามคนขึ้นอยู่กับมัน
..มันเป็นพรวิเศษ..“ขอบคุณมากนะ พชร”
..
พชรเพียงยิ้ม ตอบกลับไปตรงตามความรู้สึกในใจ “ไม่เป็นไร”
Mercedes Benz ออกห่างบาทวิถี ล้อหมุนช้าๆตามความเร็วจนปะปนกับรถคันอื่นๆบนถนน
และเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น รถก็ทิ้งห่างจนเกือบจะลับสายตาไป
แต่มันไม่เป็นไร.. เพราะพชรรู้ว่าเดี๋ยวเขาก็จะได้พบม่อนแจ่มใหม่อีกครั้ง คงแค่สองสามวันเท่านั้นเอง
และแม้จะเป็นเช่นนั้น ..ดวงหน้าขาวใส่แว่นกรอบแดงก็ยังแนบกระจกมองกลับมาหาเขาอยู่ดี
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
มันไม่ใช่ความรู้สึกยากลำบากเหมือนครั้งแรกที่กลับมาหลังจากความจริงปรากฏ
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งที่ม่อนแจ่มกลับบ้านประดิษฐาพงศ์หลังจากไปเยือนสวนเพชรหละปูน
“บัวลอยพร้อมเสิร์ฟนะคะ”
เหมือนทุกครั้ง.. ป้าเพ็ญผู้อวบอิ่มและใจดีโอบกอดม่อนแจ่ม กระซิบถ้อยคำที่แสดงความรัก
ความรัก.. ม่อนแจ่มทบทวนคำนามนี้ในหัว
การ
ได้รับความรักเป็นสิ่งพิเศษ และ การ
ให้ความรักก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์
โชคดีแค่ไหนแล้วล่ะ ที่ชีวิตคนคนหนึ่งมีทั้งสองอย่าง
ขาเรียวย่างช้าๆเข้าไปภายในบริเวณสวน เดินมาตรงนี้ก่อนที่จะเข้าตัวบ้านด้วยซ้ำ
การปลูกต้นไม้เป็นหลักฐานของความรัก..ม่อนแจ่มมองต้นสักใหญ่ที่แผ่ใบไปจนแทบสัมผัสกับต้นลำไย นึกถึงผืนผ้าฝีปักงดงามลายอักษร ‘P’ สี่ตัว ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย
การปักผ้าก็เป็นหลักฐานของความรักได้เหมือนกัน.. “ม่อน..”
มือแกร่งแตะลงเบาๆที่ริมไหล่ ม่อนแจ่มหันหลังกลับไปมอง
หยาดน้ำตารื้นขึ้นในดวงตา แต่ริมฝีปากก็เผยอยิ้มบางๆ ..ซึ่งคุณพ่อพจน์ก็ยิ้มตอบกลับมา
“ไม่เป็นไรนะ”
ม่อนแจ่มเกือบจะหัวเราะทั้งที่ร่ำๆจะร้องไห้
‘ไม่เป็นไร’ เป็นคำติดปากของพชร แล้วตอนนี้ บิดาแท้จริงของเจ้าตัวเป็นคนเอ่ยด้วยเนื้อเสียงเข้มขรึมคล้ายคลึงกัน
“ไม่เป็นไรครับ” หน้าเรียวพยักรับ มองตาผู้ที่ยอมรับนับถือเป็นบิดา
“คุณพ่อครับ..”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย หยุดกัดริมฝีปากชั่วขณะ
ความทรงจำ ณ สวนเพชรหละปูนภายในห้วงเวลาเพียงสองวันหนึ่งคืนแจ่มชัดอยู่ในใจ..
ท้องฟ้า ผืนหญ้า ต้นไม้ ผู้คนดีๆ ความมีน้ำจิตน้ำใจ การงานที่ต้องทำ
เขาบอกแล้ว ..ว่าจะเก็บเอาสิ่งต่างๆเหล่านั้นกลับมาฝากคุณพ่อพจน์
“บ้าน.. บ้านไม้ ยกพื้นสูง สะอาด เป็นระเบียบ เรียบร้อย ..มีสวนผักไว้รับประทานหลังบ้าน มีสวนผลไม้สมบูรณ์สุดลูกหูลูกตาสมเป็นเกษตรกรตัวอย่าง ..เป็นผู้หญิงผมยาวชอบผูกหางม้าที่ปักผ้าสวยเหลือเกิน ..ทำกับข้าวก็อร่อย
แล้วที่สำคัญ.. มีลูกชายที่ขยัน รู้งาน เก่ง เก่งมากๆ”
..
“ม่อนส่งความระลึกถึงจากคุณพ่อให้แล้วนะครับ ..ให้คุณน้าลดา”
นายพจน์รับฟังถ้อยคำเหล่านั้น ไม่กล้าพระพริบตาราวกับกลัวมโนภาพจะจางหายไป
“ขอบใจมากลูก”
แขนใหญ่โอบไหล่เล็กเข้ามาใกล้ รู้สึกถึงความสนิทสนมกับลูกชายต่างสายเลือดที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าหลายปีที่ผ่านมา
“แล้วพ่อของม่อนล่ะ น่ารักเหมือนม่อนหรือเปล่า หืม?”
ฮ่ะๆ..
น่ารักหรือเปล่าหรือ? ม่อนแจ่มหลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงพ่อแสงรวี
“ก็.. พชรเหมือนคุณพ่อพจน์ยังไง ม่อนก็เหมือนคุณพ่อแสงอย่างนั้นแหละครับ”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หลังมื้ออาหาร ตบท้ายด้วยบัวลอยและตามด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับชีวิตมหา’ลัยอันยืดยาวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ สามคนพ่อแม่ลูกก็แยกย้ายทำกิจธุระส่วนตัว
ม่อนแจ่มหามุมสงบ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหมายเลขโทรด่วน หมายฟังเสียงขรึมที่จะส่งมาตามสาย
..
“อืม..”“รับสายห่างเหินเนาะคนเรา” เสียงเล็กแสร้งทำน้อยใจใส่
“อ่า.. ก็..” พชรอ้ำอึ้ง แล้วนี่ม่อนแจ่มจะให้พูดยังไง?
“ม่อน”ม่อนแจ่มหลุดหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายเพียงเรียกชื่อ
แต่ก็นั่นแหละนะ ..การเรียกชื่อที่ใช้เวลาเทอมกว่ากว่าจะถูกเรียกนี่มันก็แสดงความใกล้ชิดแล้วไม่ใช่หรือไง
“จะบอกว่ากู ..เรียบร้อยดีนะ พชร”
“แล้ว.. คุยอะไรกับพ่อแม่หรือยัง?”“ก็.. คุยกับคุณพ่อแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกับคุณแม่เลย” ม่อนแจ่มกัดริมฝีปากอย่างลังเล
“พชร ..กูจะพูดยังไงดี”
“ถามกูน่ะนะ” พชรเกือบหัวเราะ
“กูดูเหมือนพูดเก่งหรือ?”“หงะ..” ม่อนแจ่มเบะปาก พชรพูดน้อย ไม่ใช่พูดไม่เก่งสักหน่อย บทจะพูดขึ้นมาล่ะก็นะ ..เห็นมาหลายทีแล้ว
“ม่อน” เสียงเข้มจริงจังขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันก็ปลอบโยนให้คลายใจ
“อย่าไปเครียดเลย แค่.. ค่อยๆพูด พูดตามที่เป็นจริง”
..
“มึงถามถึงพ่อกับกู จำได้ไหม? กูก็บอกว่าอยู่ลำพูน มึงไปบ้านกู ได้เจอพ่อ คุยกัน เข้าใจกัน”
อื้อ.. ก็ใช่..ฟังดูไม่ยากเท่าไหร่ ตลกดีที่คราวนี้คนพูดมากต้องให้คนพูดน้อยคอยชี้แนะ
“แค่พูดถึงพ่อเท่านั้นเองม่อน พูดอย่างที่มึงเห็นลุงแสงเป็นนั่นแหละ”
อื้อ.. ก็จริง..ม่อนแจ่มฉีกยิ้มแม้ว่าพชรจะมองไม่เห็น
“ขอบคุณงับ”
จะมางับอะไรล่ะ?
พชรหลุดหัวเราะอีกครั้ง นึกอยากให้เจ้าของเสียงอยู่ใกล้ๆ อยากกอดร่างเล็กไว้แนบลำตัว อยากงับ..
โอเค พชรอาจกำลังคิดมากไป
เขาสะบัดหัวนิดหนึ่ง ขับไล่จินตนาการที่เริ่มลามกของตัวเอง ยังคงหัวเราะอยู่..
ม่อนแจ่มเผลอกดโทรศัพท์จนแนบสนิทกับหู ไม่อยากพลาดแม้แต่เสียงที่เบาที่สุด
เสียงหัวเราะของพชรเป็นขั้นกว่าของรอยยิ้ม
มันดีเหลือเกิน ..จนบางครั้งม่อนแจ่มรู้สึกว่าดีเกินจริง
แต่ก็นั่นแหละ.. ความดีมันจะจริงไม่ได้เชียวหรือ
ทำไมถึงจะไม่ล่ะ?
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ดวงดาวทอประกายบนผืนฟ้าสีดำสนิท จุดระยิบระยับแพรวพราวดูห่างไกลไปเบื้องบน
มารดายืนมองอยู่ตรงนั้นดังที่ม่อนแจ่มเห็นท่านทำบ่อยๆ ทว่า เพิ่งตระหนักเมื่อไม่นานมานี้ว่ามีความหมายอย่างไร
หูม่อนแจ่มรู้สึกเหมือนแว่วเสียงร้องเพลงของพ่อ..
ขาเรียวก้าวเข้าไปใกล้ หยุดยืนเคียงร่างระหง
“อ้าว? แม่นึกว่าม่อนหลับแล้วเสียอีก” ระมิงค์สะดุ้งขึ้นนิดหนึ่ง หันกลับมายิ้ม
“แล้วคุณแม่ยังไม่ง่วงหรือครับ”
“นิดหน่อยจ้ะ เดี๋ยวก็จะขึ้นนอนแล้วล่ะ” มือของระมิงค์เอื้อมมาลูบศีรษะบุตรชาย พอใจที่เห็นประกายสดใสในดวงตา
อย่างไรก็ตาม เธอยังรู้สึกแปลบปลาบในใจขึ้นมาเสมอเมื่อตระหนักดีว่าติดค้างบางอย่างกับเด็กหนุ่ม
“ดาวสวยจังนะครับ” ม่อนแจ่มเสมองบนฟ้า
ความเป็นจริงก็คือ.. แสงดาวหม่นๆดูห่างไกลที่เวิ้งฟ้าบ้านประดิษฐาพงศ์นี้สวยสว่างสู้ที่สวนเพชรหละปูนไม่ได้หรอก ทว่า ตราบเท่าที่มันเป็นดาว ม่อนแจ่มก็รู้สึกว่ามันสวยอยู่ดี
“หากคืนนี้มีเรา เพียงสองคน อยากจะขออยู่จน ..แสงดาวจางไป”
ม่อนแจ่มเปล่งเสียงร้อง สังเกตปฏิกิริยาของมารดา ..มือทั้งสองของท่านกำแน่น ริมฝีปากขบเข้าหากัน
“เก็บความรู้สึกดีที่ยิ่งใหญ่ ..ไม่มี
แสง แห่งใด สวยดังใจเธอ”
“ม่อน..”
ระมิงค์เรียกเสียงสั่นพร่าฝ่าท่วงทำนอง รู้สึกกดดันขณะหาคำพูดในเรื่องที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะไม่รู้รายละเอียดปัจจุบันเลย
“คุณแม่ครับ..” ม่อนแจ่มเอ่ยแทรก ตั้งใจจะทำลายความกดดันทั้งหมดนั้นเสียเอง
เขาเอื้อมบีบมือมารดา ช่วยคลายฝ่ามือที่กำแน่นออก
พชรบอกว่าไม่ต้องเครียด แค่พูด ..พูดไปตามที่เป็นจริงๆแล้วความจริงมันก็แค่..
“ม่อนพบคุณพ่อแล้วนะครับ”
ระมิงค์ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ..
พบคุณพ่อหรือ? หมายความว่ายังไงพบคุณพ่อ
ก็.. คุณพจน์ไปรับม่อนแจ่มมาเองอย่างไร เธอเองก็ไปด้วย
“ม่อนหมายความว่า.. ม่อนพบคุณพ่อน่ะครับ” ม่อนแจ่มขยายความ
“คุณพ่อแสงรวี”
‘แสงรวี’ชื่อนี้จารึกอยู่ในใจ ..แต่เป็นชื่อที่ระมิงค์ไม่เคยพูดออกไปให้ม่อนแจ่มได้ยิน
แต่วันนี้ ตอนนี้ กลับเป็นม่อนแจ่มที่เอ่ยออกมา
“ม่อน” ระมิงค์อ้าปากค้าง ดวงตาหวั่นไหวมองลูกชาย
“ม่อนหมายความว่าอะไร ไ
ด้ยังไง!”
ม่อนแจ่มสูดลมหายใจ ค่อยๆอธิบาย
“เมื่อเดือนก่อน ม่อนไปลำพูนมา ..คุณพ่อทำงานที่สวนของพชรครับ”
พชร ..ระมิงค์รู้อยู่แล้วว่าแสงรวีรู้จักกับเด็กหนุ่มด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ทำงานด้วยกันนี่เองหรือ
แล้ว.. ม่อนแจ่มไปพบ
“พชรเรียกคุณพ่อว่าลุงแสง” ม่อนแจ่มอดยิ้มไม่ได้ขณะนึกถึงบรรยากาศ
“คุณพ่อเป็นคนดูแลสวน เป็นคนคุมคนงาน เป็นคนที่คุณน้าลดาและพชรไว้วางใจมากที่สุดเลยครับ”
ม่อนแจ่มบรรยายสรรพคุณ ทว่า ระมิงค์ยังคงนึกภาพไม่ออก
คนเป็นลูกชายนึกเสียดายนักที่ไม่ได้ขอเซลฟี่กับคุณพ่อเพื่อเอามายืนยันกับคุณแม่ให้ท่านเห็นชัดๆ
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก..
“แสงรวี ศรีแม่ทา..”
ม่อนแจ่มระบุชื่อชัดเจน ค่อยๆเอ่ยแต่ละคุณลักษณะออกมาช้าๆ ภาพบิดาชัดเจนอยู่ในมโนสำนึก
“ตัวเล็ก ใส่แว่น เล่นกีต้าร์เก่ง ..ร้องเพลงเพราะ”
ดวงตารื้นหยาดน้ำเงยมองสบกับมารดา
“ถูกคนใช่ไหมครับ”ระมิงค์ไม่มีคำใดจะเอ่ย
หยาดน้ำตาที่กลั้นไว้ไหลพร่างพรูลงมาตั้งแต่ ‘ตัวเล็ก’ ‘ใส่แว่น’ แล้ว
มือเรียวละมาปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไว้ จะเสียใจก็ไม่ใช่ จะดีใจก็ยังไม่กล้า กลัวบทสนทนานี้จะเป็นเพียงความฝัน
ม่อนแจ่มสอดแขนโอบกอดมารดาเอาไว้
เขาบอกแล้วว่าจะกลับออกจากสวนเพชรหละปูนโดยหอบความรู้สึกจากที่นั่นมาด้วยให้มากที่สุด ..และเขาพยายามใส่ทั้งหมดนั้นเข้าไปในกอดครั้งนี้
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ คุณแม่”
‘ไม่เป็นไร’
คำเล็กๆ ..แต่ความหมายยิ่งใหญ่
คำเดียวกับที่ออกจากปากพชรวันนั้นและคำเดียวกับที่ออกจากปากแสงรวีก่อนที่จะจากกันไป
วันนี้ เธอได้ยินจากม่อนแจ่ม
คำพูดของลูก เสียงของลูก สัมผัสของลูกตอกย้ำว่านี่คือความจริง
ตัวเล็ก.. ใส่แว่น.. เล่นกีต้าร์เก่ง.. ร้องเพลงเพราะ..ฟังเหมือนคำโฆษณาอะไรสักอย่าง
ฮ่ะๆ..
บ้าจริง
บ้า..
ก็แค่คำบอกเล่าถึงแสงรวี
ก็แค่.. คำบอกเล่าที่มาจากลูกชายของแสงรวี
ระมิงค์ร้องไห้.. แต่มันก็เป็นการร้องไห้ที่ใจยินดี
ร้องเพราะทำผิด ร้องเพราะน้ำใจจากคนดีๆ
ร้องเพราะต่อจากนี้ ระมิงค์จะไม่เป็นไร ..ม่อนแจ่มบอกว่าระมิงค์ไม่เป็นไรแล้ว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“มีอะไรให้ม่อนช่วยไหมครับ?”..
เพราะเห็นคิ้วหนาที่ขมวดมุ่น ดวงตาคมที่หรี่ใช้ความคิด และเอกสารที่ถืออยู่ในมือแม้เวลาล่วงดึกสงัด ม่อนแจ่มจึงถามออกไป
“อ้าว ม่อน ยังไม่นอนอีกหรือ?” นายพจน์ฉงน “เข้ามาสิลูก”
ม่อนแจ่มก้าวผ่านประตูไปในห้องทำงานของบิดา “ม่อนกวนคุณพ่อหรือเปล่าครับ”
“เปล่าๆ” นายพจน์ส่ายหน้า “แค่ตรวจสอบอะไรนิดหน่อยน่ะ ไตรมาสที่ผ่านมาออกผลิตภัณฑ์ใหม่หลายอย่าง”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย ค่อยๆเอ่ยออกไปให้หนักแน่น
“ปิดเทอมแล้ว เดี๋ยว.. ม่อนเข้าไปช่วยนะครับ ..ที่บริษัท”
นายพจน์ชะงักนิดหนึ่ง วางเอกสารลงบนโต๊ะ ก่อนขยับเข้าใกล้ลูกชายมากขึ้น
“ม่อน..” เสียงเข้มหยุดไป พยายามหาคำพูด
“พ่อขอบใจมากสำหรับตลอดเวลาที่ตั้งใจช่วยงานพ่อ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แต่.. พ่ออยากให้ม่อนเข้าใจว่าพ่อจะไม่บังคับให้ม่อนทำนะ”
นายพจน์เข้าใจความรู้สึกม่อนแจ่ม ..ความรู้สึกที่ว่าควรเป็นพชร
แล้วนายพจน์ก็เข้าใจอีกว่าพชรจะไม่เข้ามาหา ซึ่งก็มีเหตุผลหากว่าม่อนแจ่มจะหันหลัง
“อะไรที่ม่อนลำบาก ม่อนกระอักกระอ่วนใจ ม่อนไม่ต้องฝืนเพราะเห็นแก่พ่อ..”
ฝืนหรือ..ม่อนแจ่มทบทวนในใจ นึกถึงเด็กหนุ่มรูปร่างสูงที่เดินไปเดินมาท่ามกลางต้นไม้ซึ่งให้ผลิตผล ..เป็นผู้นำ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ดูแล
พชรถูกหล่อหลอมมาในสวน ไม่ต่างจากที่ม่อนแจ่มถูกหล่อหลอมมาในบริษัท
“ม่อนศรัทธาการบริหารงานของคุณพ่อเสมอ และม่อน.. ยินดีถ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่ง”
ไม่ว่าจะเป็นส่วนใด..
ไม่เกี่ยวว่าหากตามสายเลือด เขากับคนตรงหน้าแท้จริงเป็นเพียงคนอื่นคนไกล
เขาแค่อยากช่วย เต็มใจจะช่วย เต็มใจจะมอบแรงกายแรงใจเพื่อพัฒนา PP Group ให้ดำรงอยู่ยั่งยืน
“แต่ว่าม่อนอยากขอร้องคุณพ่อแค่เพียงอย่างเดียวได้ไหมครับ”
ม่อนแจ่มหรุบตาลงต่ำ แต่แล้วก็เงยขึ้น มองประสานผู้อาวุโสกว่า “คุณพ่ออย่าให้ม่อนแต่งงานกับใครได้ไหมครับ..”
คนฟังอึ้ง ..เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียให้ได้
“ม่อน..” นายพจน์ส่ายหน้า “นึกว่าพ่อไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการบังคับแต่งงานเลยหรือ”
“ม่อนขอโทษครับ” ม่อนแจ่มรีบเอ่ย “แต่ว่า.. คุณพ่อรักกับคุณน้าลดามาก คุณแม่เองก็รักกับคุณพ่อแสงมาก เพราะอย่างนั้น มันคงมีเหตุผลดีๆ ถึงทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องยอมแต่งงานกัน มันคงไม่ใช่แค่การหัวอ่อนหรือไม่กล้าขัดคำสั่งอะไรแค่นั้น หรอก มันคงมีเดิมพันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า..”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย เอ่ยออกไปตรงๆ
“คุณพ่อครับ.. ม่อนไม่อยากคิดอะไรล่วงหน้าไปไกลมากนัก แต่ว่า.. ถ้าม่อนขอพูดไว้ก่อนเลยได้ไหมครับ
ม่อนเป็นผู้ชาย แล้วพชรก็เป็นผู้ชาย และเราก็ไม่..”
ไม่.. อะไรบ้าง ม่อนแจ่มก็ยังคิดออกไม่หมด
การที่ผู้ชายคนหนึ่ง ลูกชายคนหนึ่ง มีคนรักเป็นผู้ชายอีกคน อาจต้องแลกอะไรมาบ้างทั้งสำหรับตัวเองและพ่อแม่
ไม่แต่งงาน..
ไม่มีบุตร..
ไม่ควงแขนออกหน้าออกตาในสังคม..นายพจน์โอบไหล่เล็กเข้าหาลำตัว เป็นครั้งที่สองของวันที่โอบกอดบุตรชาย
มีลูกมาแล้วสิบเก้าปี ..เขาเพิ่งเรียนรู้เมื่อไม่นานมานี้
ขอแค่เป็นพ่อแม่ได้ชื่อว่ามีลูกเป็นคนดี ..ขอแค่ลูกของพ่อใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
ที่เหลือมัน..
“ไม่เป็นไร”
นายพจน์ไม่ตำหนิบิดามารดาของตนเอง ยิ่งไม่ตำหนิบิดามารดาของระมิงค์
ใช่.. พวกท่านมีเหตุผล แล้วเหตุผลนั้นก็สำคัญจริง
แต่.. นายพจน์ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ทำแบบเดียวกัน
ต่อให้เขาจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตาม เขาจะไม่มีวันยอมให้ลูกชายสูญเสียคนที่ตัวเองรัก
..ไม่ว่าลูกชายคนใด..ถ้าความรักของลูกนั้นยั่งยืนไปจนล่วงพ้นวัยหนุ่ม มีหัวใจที่มั่นคงต่อกันจนวันสุดท้ายจริงตามที่ตั้งใจไว้วันนี้
คนเป็นพ่อก็มีแต่จะยินดีกับความเข้มแข็งและสัตย์ซื่อของลูกเท่านั้นเอง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .