บทที่ 2
ค่ำคืนแห่งพายุและราชา
“ผู้วิเศษ!”
ข้าตะโกนขึ้นขณะย่างเท้าเข้าไปในห้องหนังสือที่อยู่ในปราสาท ระหว่างทางพวกขุนนางมองข้าเป็นตาเดียวแต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ อาจเพราะข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี ข้างหลังนั้นเป็นเร็นที่แบกเจ้าคนไร้ยางอายที่หมดสติไปเดินตามมา
หลังจากเกิดเหตุการณ์น่าขายหน้าที่ย่านการค้านั้น ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เร็นพุ่งเข้ามาฟาดศีรษะเจ้าคนไร้ยางอายที่น่าจะซื่อโซแวนจนสลบเหมือดไป ส่วนข้า...ดีที่มีผ้าคลุมวิเศษอยู่จึงไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริง แต่ก็กลายเป็นขี้ปากให้ชาวบ้านนินทาในขณะนั้น
พวกข้ารีบออกไปจากตรงนั้น แต่เพราะว่าโซแวนสลบไปแล้วเลยขนย้ายยาก เร็นต้องแบกเพื่อนตัวเองออกมาแล้วหาเสื้อผ้าให้ใส่แบบลวกๆ
จากนั้นข้าก็นึกได้ว่าปกติแล้วหน้าที่การตามหาผู้ถูกเลือกเป็นของผู้วิเศษ ยิ่งถ้าเป็นระดับสีทองเขาย่อมรู้ถึงความเป็นไป แต่นี่...พอขบคิดว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมมาตามตัวข้าสักทีก็พอเข้าใจได้ว่าตัวเองนั้นถูกหลอกใช้
ชายผมทองผู้นั่งสงบเสงี่ยมในห้องส่งยิ้มให้แล้วทักขึ้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ไปเที่ยวข้างนอกมา สนุกไหมขอรับ ฝ่าบาท”
เขารู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วย...
“เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าข้าหนีออกไป” ข้าตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อเขาขึ้นมาเพื่อพูดคุย ประตูปิดไปแล้วภาพพจน์ราชาอะไรนั่นไม่ต้องมามัวเป็นห่วงแล้ว ที่ควรหายๆ ไปสักทีคือภาพพจน์ของผู้วิเศษต่างหาก นับวันเจ้าหมอนี่ยิ่งทำตัวเสเพลขึ้นเรื่อยๆ แถมตอนนี้ยังมีหน้ามาหัวเราะชื่นบานอยู่ได้
“ถือว่าเป็นประสบการณ์น่ะขอรับ ท่านได้ลองใช้วิธีสยบความคลั่งแล้ว อีกอย่างเร็นก็ได้เจอเพื่อนที่ห่างกันไปนานด้วย ถือเป็นเรื่องน่ายินดีนะขอรับ”
“แต่กระผมไม่ต้องการขอรับ” เร็นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นกว่าปกติ เมื่อข้าหันไปมองอีกทีเขาก็ทิ้งเพื่อนลงไปนอนกับพื้นเสียแล้ว
“เขาทำให้ฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน” เขาพูดขึ้นต่อขณะก้มมองคนที่สลบอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเคียดแค้น ผู้วิเศษเองหลังจากแกะมือข้าออกก็เดินไปร่วมวงพูดเรื่องน่ากลัวขึ้น
“นั่นสินะ บังอาจมาแตะต้องฝ่าบาทแบบนี้น่าทำให้หายไปจากโลกเลย”
“ทั้งๆ ที่กระผมเล็งไว้ก่อนแท้ๆ”
“พวกเจ้า ถ้าไม่หยุดพูดอะไรที่ดูเป็นการล่วงเกินข้า ข้าจะสั่งประหารเดี๋ยวนี้เลย”
พวกเขาทั้งสองคนหุบปากเงียบ ข้าตัดปัญหาเรื่องผู้วิเศษโยนงานมาให้ทั้งๆ ที่ข้าตั้งใจแอบเที่ยวโดยการไม่ใส่ใจ อันที่จริงก็โกรธอยู่บ้างเพราะดันทำให้เร็นบาดเจ็บค่อนข้างหนัก แต่ข้าก็รักษาให้เขาแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ดังนั้นจึงควรใส่ใจผู้ถูกเลือกคนใหม่นี่เสียก่อน
ข้าเดินไปเรียกคนรับใช้ให้เตรียมเสื้อผ้ามาหนึ่งชุด แล้วให้เร็นช่วยจัดการกับเพื่อนตัวเองซึ่งยังไม่มีวี่แววตื่นขึ้นมา หลังจากที่เขาเช็ดคราบสกปรกไปหมด แต่มีรอยแดงถลอกเพราะความบรรจงถูอย่างรุนแรงทิ้งไว้แทน เป็นความแค้นที่ข้าไม่อยากยุ่งด้วยสักเท่าไร พวกคนใช้ก็เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ พวกข้ายืนห่างออกไปเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว
และถึงแม้จะหายคลั่งแต่เขาก็ยังคงเป็นตัวทำลายอยู่ดี...
พอตื่นมาเห็นพวกคนใช้ของข้าก็ร้องลั่นแล้วปัดพวกเขาทิ้ง นับว่ายังดีที่ใส่เสื้อผ้าแล้วเลยไม่ขัดลูกหูลูกตาเท่าไร ดวงตาสีทองประกายแดงตวัดมามองพวกข้าทันทีแล้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้ อันที่จริงแล้วเขาเดินมาหาเร็น
“เจ้าทุบหัวข้า!” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ ท่าทางจะโกรธเอาเรื่อง...แต่เร็นก็หาได้สะทกสะท้านไม่ เขามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแล้วบอกขึ้น
“ก็ใครใช้ให้คุณทำความผิดล่ะครับ”
“หา? ผิดอะไร?”
“พวกเจ้าสองคนพอได้แล้ว” ข้ารีบยกมือปราม ทำให้เร็นปัดมือของอีกฝ่ายออก ข้าโบกมือให้พวกคนใช้ออกไปได้ จังหวะเดียวกันนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน และคนที่ข้าคุ้นหน้าคุ้นตาก็ยืนอยู่
“ขออนุญาตครับ” เด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีน้ำตาล และดวงตาสีทอง ดูจากภายนอกแล้วก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า แต่ความสดใสนั้นมีมากกว่า
“อาคีรัส” ข้าเอ่ยชื่อของเขาออกมาอย่างแปลกใจ เมื่อสามวันก่อนเขาได้รับภารกิจให้ไปสำรวจทางทิศใต้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้
“ฝ่าบาท!” อีกฝ่ายร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเมื่อเห็นข้าพร้อมกับพุ่งเข้ามากอดโดยไม่ทันฟังเสียงร้องห้ามจากคนอื่น
กร็อบ!
เสียงน่ากลัวนั่นคือเสียงกระดูกข้าลั่น ด้วยแรงกอดที่มีมหาศาลของอีกฝ่ายทำให้ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ อาคีรัสถึงหน้าและนิสัยจะเหมือนเด็กแต่ร่างกายกำยำกว่าข้า มีแรงช้างสารที่สามารถยกท่อนซุงเหวี่ยงไปมาได้ แล้วเขาเองก็ยังเป็นผู้ถูกเลือกระดับสีทองที่ไม่ใช่มนุษย์
“เจ้ากลับมาได้ปลอดภัยก็ดีแล้ว มีธุระอะไรหรือเปล่า” ข้าถามเขาที่นึกจะกอดก็กอดขณะดันตัวเองออกห่าง อาคีรัสทำหน้างงๆ อยู่ครู่หนึ่งก็นึกออกแล้วหันไปหาเร็น
“ที่จริงข้ามีเรื่องสงสัยก็เลยอยากรบกวนท่านเร็นสอนให้หน่อย” เขาหันไปบอกกับชายที่ทำหน้าที่ดูแลทุกอย่าง เร็นเป็นเสมือนที่พึ่งของทุกคน โดยเฉพาะคนที่อายุน้อยกว่าอย่างข้าหรืออาคีรัส
“ได้สิ” เร็นตอบรับด้วยรอยยิ้มอย่างไม่อิดออด เขาขอตัวเดินตามอาคีรัสออกไปข้างนอก ในห้องจึงเหลือเพียงแค่สามคน ผู้วิเศษเป็นคนเริ่มเปิดการสนทนากับโซแวนต่อ
“สวัสดี เจ้าชื่อโซแวนใช่ไหม ดูจากสง่าราศีแล้วสมกับคำร่ำลือจริงๆ ด้วย”
“เจ้ามีเอี่ยวจริงๆ ด้วย” ข้ามองผู้วิเศษตาขวาง ซึ่งเขาเพียงยิ้มตาหยีทำเป็นไม่สนใจขณะที่โดนโซแวนปั้นหน้าหงุดหงิดใส่
“หน้าที่ของเจ้าคือการปราบอสูร และดูแลปกป้องท่านผู้นี้” ผู้วิเศษอธิบายต่อถึงหน้าที่ของโซแวน ก่อนจะผายมือมาทางข้า “ท่านผู้นี้คือทีอารีน คาร์ไลน์ มอร์ฟอร์ด เป็นพระราชาของอาณาจักรนี้”
“โห่ เก่งนี่ ตัวแค่นี้แต่ได้เป็นพระราชา” เขายกยิ้มขึ้นขณะมองมาทางข้า คำพูดนั้นทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้ามีปัญหาหรือ” ข้าถามกลับไปเสียงขุ่น อีกฝ่ายเพียงเลิกคิ้วแล้วยักไหล่ เป็นผู้วิเศษที่เอ่ยขึ้นต่อ
“โซแวน ข้าอยากให้เจ้าคอยช่วยเหลือฝ่าบาท ในฐานะที่เจ้าเคยเป็นผู้ปกครองมาก่อน”
“ผู้ปกครอง?” ข้าย้อนถามด้วยความสับสนขณะมองผู้ชายผมแดงที่อยู่ตรงหน้า
ผู้วิเศษพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะอธิบายว่า “ฝ่าบาท คนผู้นี้เคยเป็นผู้ปกครองของป่าต้องห้าม อาณาเขตของป่าอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา พูดง่ายๆ ฐานะของโซแวนก็เหมือนเป็นราชาแห่งป่าต้องห้ามแหละขอรับ”
ป่าต้องห้าม...เป็นเขตป่าที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าย่างกรายเข้าไป ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่หลบซ่อนตัวอยู่ ว่ากันว่ามนุษย์คนไหนที่เคยเข้าไปล้วนไม่ได้กลับออกมา
ทันทีที่ได้ยินคำว่าราชา ข้าก็พอเข้าใจนิสัยที่ดูถือตัวของโซแวน เจ้าหมอนั่นลุกขึ้นก่อนที่จะตรงเข้าถามข้า “แล้วคนข้างกายล่ะ”
“หะ? หมายความว่ายังไง”
“อะไรกัน เป็นถึงพระราชาแต่ไม่มีหญิงงามร่วมเตียงเลยหรือไง” เขาถามขึ้น น้ำเสียงยียวนนั้นชวนให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ฝ่าบาทยังเด็ก ไม่ใส่ใจเรื่องนั้นหรอก” ผู้วิเศษเป็นคนแก้ต่าง นั่นทำให้โซแวนพ่นลมหายใจออกมา
“เหอะ” นั่นทำให้เส้นประสาทของข้าขาดผึง
“ท่าทีแบบนั้นหมายความว่ายังไงกัน” ข้าถามเขาขึ้นขณะก้าวเข้าไปหา “คิดว่าราชาทุกคนต้องหาผู้หญิงมาไว้ข้างกายหรือไง อย่าเหมารวมข้ากับเจ้านะ!”
“โห่ เป็นเด็กจริงๆ ด้วย เจ้ายังไม่เข้าใจความรู้สึกสุดยอดของการนอนร่วมเตียงสินะ”
เจ้าหมอนี่...
ข้ากัดฟันกรอด เกลียดการโดนดูถูกเช่นนี้ แต่ทำไมข้าต้องคิดยอมแพ้เจ้าคนแบบนี้ด้วย
พอคิดเช่นนั้นข้าก็ตรงไปคว้าคอเสื้อเขาก่อนจะลั่นวาจาว่า “ถ้างั้นเจ้าก็มาเป็นคนข้างกายข้าสิ”
โซแวนเบิกตากว้าง แต่เพียงชั่วแวบหนึ่งก็กลับมากระตุกยิ้ม ใบหน้าก้มลงมาใกล้ “ดีนี่ เจ้านี่ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ งั้นข้าก็ต้องทำตามหน้าที่...ถูกไหม”
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม เพราะเคยโดนมาแล้วที่ย่านการค้าข้าเลยรู้ว่าโซแวนคิดจะทำอะไรจึงรีบปิดปากอีกฝ่ายไว้แล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าคนข้างกายไม่ได้มีแค่เรื่องบนเตียง”
ผู้วิเศษที่เห็นบรรยากาศไม่ดีเข้ามาขวางก่อนจะบอกกับโซแวนว่า “หน้าที่ของเจ้ามีการดูแลฝ่าบาทและปกป้องให้พ้นภัย”
เขากันข้าออกก่อนจะตัดบทขึ้น “เย็นนี้เราจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับเจ้า แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าต้องเข้าใจหน้าที่ของผู้ถูกเลือกเสียก่อน”
“อา” โซแวนตอบรับสั้นๆ แล้วหยุดนิ่งเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ข้าหันไปหาผู้วิเศษ เขาเหลือบมองกองงานของตัวเองแล้วโค้งให้เบาๆ
“ฝากฝ่าบาทช่วยดูแลสหายใหม่ของเราด้วย”
ข้าถอนหายใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้เลยตอบตกลงไปแล้วพาโซแวนออกมาเพราะไม่อยากรบกวนแล้ว ข้านำเขาไปที่ห้องรับรองของข้าแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวโปรด
“เจ้าไม่มีราชองครักษ์หรืออะไรแบบนั้นหรือ?” เขาถามขึ้นลอยๆ ขณะมองไปรอบห้อง ข้าเลยส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ปกติพวกเร็นจะเป็นผู้ติดตามในแต่ละวันน่ะ เวลาพวกเขาว่างแล้วจะมาอยู่กับข้า”
“รวมข้าด้วยใช่ไหม”
“ใช่...” ข้าเลือกสมุดเล่มหนึ่งออกจากกองหนังสือบนโต๊ะแล้วยื่นให้เขา “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ถูกเลือกที่ข้าสรุปขึ้น เอาไปอ่านให้เข้าใจเสียก่อน”
โซแวนรับมันไป ทันทีที่เขาเปิดอ่านมันก็เลิกคิ้ว “ลายมือสวยนี่”
“อ่านไปเถอะน่า” ข้าบอกปัดเขาก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องสำคัญไป “อ้อ ในนั้นลืมเขียนไปน่ะ ผู้ถูกคัดเลือกจะมีการแบ่งระดับตามสีของพลัง และพวกที่ยังไม่มีพลังเรียกว่าไร้สี ถ้าเรียงจากพลังจากอ่อนไปแข็งแกร่งก็คือสีน้ำเงิน เขียว เหลือง และแดง ส่วนกลุ่มพิเศษจะถูกเรียกว่าสีทองก็คือพวกเรา”
“ทำไมต้องเป็นสีทอง?”
“สีตาพวกเจ้ามั้ง” ข้าตอบไปแบบไม่ใส่ใจขณะเก็บหนังสือเล่มอื่นเข้าที่ มันเป็นข้อสรุปจากข้าเอง ถ้าไม่ได้นับข้าแล้วพวกเขาก็มีตาสีทองเหมือนกันจริงๆ จะมีโซแวนที่แปลกหน่อยตรงที่มีสีอื่นปนมา
“แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง...” ข้าพูดค้างไว้แล้วหันไปทางเขา มองร่างกายโดนรวมแล้วพูดขึ้นว่า “อาจเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์แต่แรก”
โซแวนชะงักไปทันทีจนเห็นได้ชัด เขาช้อนสายตาขึ้นมามองข้าแล้วถามว่า “เจ้ารู้ได้ยังไง”
“ตั้งแต่ได้เจอเจ้ามันก็ชัดเจนขึ้น อย่างแรกคือตาเจ้าช่วงคลุ้มคลั่งเป็นตาของสัตว์ อีกอย่างคือที่ผู้วิเศษบอกว่าเจ้าเป็นผู้ปกครองป่าต้องห้าม ที่นั่นไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่”
นอกจากนี้คนก่อนหรือแม้กระทั่งเร็นเองก็มีบางครั้งที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ใช่มนุษย์ และก็ไม่ได้เป็นผลมาจากพลังของผู้ถูกเลือกด้วย
เขาฉีกยิ้ม ก่อนจะบอกว่า “ก็รู้อยู่แล้วนี่ ข้านึกว่าจะไม่รู้เรื่องเสียอีก”
“ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้วิเศษถึงไม่ยอมบอกข้าตรงๆ สักที”
ที่ผ่านมาผู้วิเศษไม่เคยบอกข้าเลยว่าพวกเขาแต่ละคนเป็นตัวอะไร มาถึงก็โยนให้ มีแค่ช่วงหลังมานี้ที่ยอมบอกกลายๆ ว่ามาจากไหนที่ข้าพอจะเดาได้ว่าไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
“มีเหตุผลที่ไม่มีใครยอมบอกอยู่...” เขาเอ่ยขึ้นขณะปิดสมุดลง “เจ้าก็รู้ว่าแต่แรกพวกเราไม่ถูกยอมรับว่าเป็นมิตรกับมนุษย์ ยิ่งมีเรื่องของพวกอสูรแล้วด้วยพาลจะให้ถูกเข้าใจผิดง่ายๆ”
“ก็จริง” แต่ไหนแต่ไรมาพวกสัตว์วิเศษอย่างมังกร เงือก หรือยูนิคอร์นไม่ได้ถูกมองว่าเป็นมิตรกับมนุษย์ และค่อนข้างไม่เป็นที่ยอมรับ ดูเหมือนว่าตั้งแต่เกิดเรื่องอสูรพวกนี้ก็ถูกตามล่ามากขึ้นจากพวกที่เข้าใจผิด
ข้าหันไปมองเขาก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าเป็นตัวอะไร”
โซแวนแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วตอบในสิ่งที่ข้าเดาได้ “ลองเดาดูสิ”
“คนอื่นก็พูดแบบนี้” ข้าพึมพำขึ้นก่อนที่จะเดินไปยังประตูอีกบานที่เชื่อมต่อกับห้องบรรทมของข้า อีกฝ่ายลุกขึ้นทำท่าจะตามมาทันที
“อ้อ จริงสิ เจ้าต้องลงทะเบียนผู้ถูกคัดเลือกด้วย จะให้เร็นพาไปพรุ่งนี้” ข้าบอกกับเขา แล้วปิดประตูแต่อีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นกันไว้
“นี่คิดจะตามไปเรื่อยๆ เลยหรือไง” ข้าขมวดคิ้วมองเขา
โซแวนยกยิ้มมุมปากขึ้นอีกก่อนจะบอกว่า “ในฐานะผู้ติดตาม ข้าก็ต้องตามไปทุกที่สิ”
สุดท้ายข้าจึงต้องถอนหายใจ เถียงกับหมอนี่แล้วมันเลวร้ายยิ่งกว่าโดนเร็นเทศนาเสียอีก ไหนจะแรงที่มากกว่าจนข้าใช้กำลังปิดประตูไม่ได้เลยยอมแพ้
“ห้องกว้างดีนี่” โซแวนเอ่ยขึ้นขณะทิ้งตัวลงนั่งโซฟา ทำตัวเอกเขนกจนรู้สึกอยากเรียกทหารข้างนอกมาหิ้วไปโยนทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด
“ไม่กว้างสิแปลก” ข้าย้อนใส่อย่างเหลืออดขณะถอดเสื้อตัวนอกออก เมื่อไม่ได้อยู่ในเวลาทำงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ชุดพิธีการ ถึงจะเหลืองานเลี้ยงต้อนรับแต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากว่าข้าจะแต่งตัวยังไงไป เป็นสถานที่เดียวที่ข้าไม่ได้อยู่ในฐานะราชา แต่เป็นเพื่อนคนหนึ่ง เพียงแต่แต่ละคนในตอนนี้ก็ไม่ใช่คนปกติสักเท่าไหร่ ไม่สิ...แต่แรกก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว
ข้าหยิบเสื้อผ้าที่ใส่สบายที่สุดในตู้มาสวม ว่าก็ว่าเถอะ เวลามีงานเลี้ยงเฉพาะกลุ่มกันที่ไรจะมีคนๆ หนึ่งมายุยงให้ข้าไม่ต้องใส่เสื้อผ้าไปมาก ยิ่งน้อยชิ้นยิ่งดี ซึ่งข้าก็ยังไม่เข้าใจว่ามันมีดียังไง แต่อย่าหวังว่าข้าจะทำ
จะว่าไปข้าวันทั้งวันข้าก็ยังไม่เห็นคนๆ นั้นเลย
“นั่นอะไร” โซแวนเอ่ยถามขึ้นทำให้ข้าตื่นจากภวังค์แล้วหันไปทางเขาซึ่งชี้มาที่ตัวข้า เมื่อก้มมองตามจุดที่ถูกชี้ก็พบอักขระคุ้นตาจึงร้องอ้อออกมา
“คำสาปข้าเอง” ข้าตอบเขาขณะสวมเสื้อผ้าปกปิดไว้
“คำสาป?”
“คำสาปเสน่หาของผู้วิเศษ เขาต้องการลบคำสาปเกลียดชังของข้าออกเลยสาปทับด้วยอันนี้ แต่เขาทำพลาดไปหน่อยเลยกลายเป็นว่าตอนนี้มีแต่คนมาหลงรักข้าแทน” ข้าหลุดหัวเราะมาในตอนสุดท้าย จากที่เคยถูกเกลียดกลับกลายเป็นว่าได้รับความรักมากมาย
ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่ตัวข้านั้นไม่สามารถเปิดใจได้เมื่อนึกถึงการกระทำแต่ก่อนของพวกเขา
“มิน่าข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่น” โซแวนเอ่ยขึ้นทำให้ข้าเสริมไป ถึงน้ำเสียงจะดูภาคภูมิแต่ในใจไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย
“แน่นอน คำสาปนี้ไม่เว้นแม้แต่พวกสัตว์วิเศษที่แปลงมาเป็นมนุษย์หรอกนะ”
“แต่ถึงจะรักยังไง ถ้าเขาไม่ตอบรับกลับมาก็น่าเศร้าไม่ใช่หรือไง...”
“...ใช่” คำพูดของเขาทำให้ข้าตอบรับอย่างเบาโหวง จู่ๆ ในอกกลับรู้สึกหน่วงขึ้นมา
“ฝ่าบาทที่รัก” ข้าหันไปตามเสียงเรียกด้วยใบหน้าเฉยชา ในที่สุดคนที่ข้าคิดว่าไม่เห็นมาทั้งวันก็โผล่หน้าออกมา ตรงหน้าข้าเป็นผู้ชายผมยาวสีน้ำตาลที่ยิ้มหวานอยู่ ในหมู่สาวๆ เขาคนนี้ถือว่าได้รับความนิยมสูงสุด แต่ละวันก็ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ที่จริงข้าคิดว่าคำสาปข้าอาจจะไม่มีผลกับเขา แต่เปล่าเลย แถมหมอนี่ยังแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งด้วย
“นอร์ธวินด์” ข้าเรียกชื่อเขาเป็นการทักทาย ระหว่างข้ากับผู้ถูกเลือกคนนี้มีข้อตกลงที่ค่อนข้างแปลกกว่าคนอื่น จะเรียกว่าสัญญาก็ได้ เขาขอให้ข้าเรียกชื่อเขาทุกวันเมื่อเจอหน้า ซึ่งข้าก็ไม่เห็นว่ามันน่าเดือดร้อนอะไรเลยเรียกไป ไม่น่าเชื่อว่าแม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ที่เมืองหลวงก็ยังหาทางติดต่อมาจนได้
“หมอนี่ใครกันครับ?” นอร์ธวินด์มีสีหน้าเหยเกขึ้นเมื่อเจอกับโซแวน หนำซ้ำยังดึงข้าไปใกล้ด้วย แต่ข้าไม่ใช่สิ่งของเลยดันตัวเองออกมา
“เขาเป็นผู้ถูกเลือกคนใหม่ ระดับสีทองเหมือนกับเจ้านั่นแหละ ญาติดีกันไว้ล่ะ” ข้าเปิดการสนทนาให้ทั้งสองคนแล้วยืนดูเงียบๆ ด้วยนิสัยของนอร์ธวินด์แล้วเขาค่อนข้างเข้ากับคนง่าย
“ข้าชื่อนอร์ธวินด์ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขายื่นมือออกไป แต่โซแวนดูจะยังงงๆ กับวิถีมนุษย์แต่ก็ได้อีกฝ่ายช่วยนำว่าต้องทำอย่างไร เขาเลยทำตาม
“ข้าชื่อโซแวน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เหลือเชื่อว่านายยังไม่เข้าใจวิถีชีวิตมนุษย์” นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นขณะนำทางไปที่ห้องรับประทานอาหาร โซแวนเลยบอกปัดเสียงเรียบ
“เมื่อก่อนข้าต้องอยู่แต่ในป่านี่นา”
“ในฐานะราชา จะออกไปไหนไม่ได้ง่ายๆ นี่นะ” ข้าเสริมขึ้นในฐานะคนเข้าใจหัวอก
“แต่วันนี้ได้ข่าวว่าท่านหนีไปเที่ยวนี่ครับ” ผู้ที่เดินนำหน้าอยู่หันมาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบทำเป็นไม่ใส่ใจ
“หนวกหูน่า” ข้ากดเสียงต่ำขณะต่อยหลังนอร์ธวินด์เบาๆ
นอร์ธวินด์ยักไหล่ก่อนที่จะหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อพวกเราถึงหน้าห้องที่หมาย ทหารเฝ้ายามสองคนเปิดประตูต้อนรับให้ เมื่อไปถึงข้าก็พบว่าคนอื่นรอกันอยู่ก่อนแล้ว
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรคึกคักมากกว่ามื้ออาหารที่มากขึ้นกว่าปกติ และข้าได้ร่วมทานกับพวกเขา มีเรื่องน่าทึ่งอยู่อย่างหนึ่งคือไปๆ มาๆ กลายเป็นงานแข่งกินระหว่างโซแวนและอาคีรัสไปเสียแล้ว ทั้งคู่ต่างก็กินจุไม่แพ้กัน ส่วนข้าก็ได้แต่มองเงียบๆ
เมื่อดึกแล้วต่างคนต่างก็แยกย้าย แต่ไม่มีใครออกไปจากปราสาทได้เพราะสภาพอากาศ
“อ๊ะ พายุเข้า...” อาคีรัสอุทานขึ้นระหว่างที่พวกข้าเดินมายังทางเดินปีกขวา ดูเหมือนเขาจะเพิ่งเข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงต้องค้างที่ปราสาท ข้ามองไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้พายุฝนกำลังกระหน่ำทีเดียว
“เช่นนั้นข้าขอไปนอนก่อนนะขอรับ ราตรีสวัสดิ์ขอรับฝ่าบาท” อาคีรัสยกยิ้มสดใสขึ้น
“ราตรีสวัสดิ์” ข้าเอ่ยทิ้งท้ายขณะที่มองเขาวิ่งเข้าไปในห้องประจำของตนเอง ตอนนี้เหลือแค่ข้ากับโซแวนที่เดินกันต่อ ถัดจากห้องข้าไปคือห้องพักชั่วคราวของอีกฝ่าย
“ห้องเจ้าคือห้องนู้น...” ข้าชี้ไปทางห้องที่อยู่ติดๆ กัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยพูดย้ำไปอีกว่า “ห้องเจ้าอยู่ทางนู้น”
โซแวนยังไม่ยอมไปยิ่งทำให้ข้าขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป”
“ต้องนอนคนเดียวเหรอ” เขาหันมาถามข้าเสียงเบาโหวง จะว่าไปสีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เมื่อข้าพยักหน้าเขาก็ส่งเสียงแปลกๆ ออกมาแล้วขอร้องชัดเจนว่า “ให้ข้านอนด้วย”
“ทำไม?” ข้าขมวดคิ้ว แต่อีกฝ่ายอึกอักไม่ยอมตอบสักทีเลยกะว่าจะปฏิเสธแต่เสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นทำให้ข้าพอจะเข้าใจ โซแวนมีปฏิกิริยารุนแรงกับเสียงฟ้าผ่า เขาจับข้าแน่นขึ้นและซุกหน้าไว้กับไหล่
“หรือว่า...เจ้ากลัวเสียงฟ้าผ่า?” ข้าลองถามขึ้น โซแวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าทำให้ข้าเม้มริมฝีปากแน่น
ไม่ได้...จะขำไม่ได้เด็ดขาด “อุ๊บ...ฮะๆ”
“เจ้าไม่เคยโดนฟ้าผ่าไม่เข้าใจหรอก!!” เขาตวาดลั่นด้วยสีหน้าจริงจังจนข้าต้องรีบขอโทษแล้วยอมให้เขาอยู่ด้วย
“ก็ได้ จนกว่าพายุจะหยุด”
แล้วสุดท้ายโซแวนก็ได้เข้ามาในห้องข้าอีกครั้ง หลังจากข้าอาบน้ำเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เขาใช้ต่อ แต่อีกฝ่ายต้องไปหยิบเสื้อในห้องที่เตรียมไว้ให้แต่แรกคนเดียวก่อน ส่วนตัวข้าก็ทำงานที่เหลือต่อให้เสร็จก่อนจะนอน
“ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงยอมง่ายๆ จัง” โซแวนถามขึ้นขณะออกมาพร้อมกางเกงแค่ตัวเดียว กล้ามหน้าท้องของเขาทำให้ข้าเผลอจ้องวูบหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้ว
“หรือจะให้ข้าปล่อยเจ้านอนคนเดียว”
“อย่าทำแบบนั้นเชียว” เขาทำสีหน้าขยาดออกมาทันทีทำให้ข้าหลุดยิ้ม แล้วยอมตอบคำถามแต่โดยดี
“เมื่อก่อนข้าก็เคยรู้จักคนๆ หนึ่งที่กลัวเสียงฟ้าผ่าเหมือนกัน ตอนเด็กๆ หรือกระทั่งโตแล้วเวลามีพายุทีไรจะมาขอข้านอนด้วยทุกที”
“ใคร?”
“น้องชายข้าเอง” ข้าหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะหรุบตาต่ำลง “แต่ตอนนี้เขาหายไป...ข้ากำลังตามหาอยู่”
หลังจากข้าตื่นขึ้นมาก็ยังคงตามหาน้องชายมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าเมืองไหนก็ไม่เจอ ประกอบกับที่งานส่วนราชาเริ่มเยอะขึ้นทำให้ข้าไม่มีเวลาแต่ก็ยังยืมมือคนอื่นช่วยเหลือไปก่อน
โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาแค่รอข้าเงียบๆ ตอนแรกก็นอนบนโซฟา แต่พอข้ามานอนที่เตียงเขาก็ตามมาจนข้าต้องลุกขึ้น
“ต้องนอนด้วยกันอีกเหรอ”
“ข้าชอบนอนกับคนอื่นมากกว่า”
“สมัยก่อนล่ะ”
“ก็นอนกับนางสนมไง ข้าไม่เหมือนเจ้า ยังไงก็ต้องมีนางสนมไว้ข้างตัว” คำพูดตอนท้ายของโซแวนทำให้ข้ารู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ข้ารู้สึกเสียวไส้แทน ไส้แบบไส้จริงๆ... “เผื่อหิวจะได้มีอาหารไว้ข้างๆ ด้วย”
“จะไม่กินข้าใช่ไหม”
“อิ่มแล้วน่า” เขาบอกด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนโดยทิ้งระยะห่างไว้ด้วย ข้าเลยหันหลังให้แล้วนอนบ้าง ไม่นานข้าก็หลับไป
คืนนั้นข้าฝัน...ฝันถึงเมื่อสมัยเด็ก น้องชายข้ามาร้องงอแงอยู่หน้าห้องไม่ยอมเข้ามาจนข้าไปเปิดประตูถึงรู้ว่าเขายังกลัวที่จะเข้ามานอนกับข้า แต่ข้าก็พาเขาเข้ามานอนจนได้ พวกเรานอนด้วยกันทุกครั้งที่มีพายุ
แม้กระทั่งคืนก่อนเริ่มแผนเจรจากับเสด็จพ่อเขาก็ยังมานอนกับข้า แต่นั่นเป็นครั้งสุดท้าย เพราะมีคนทรยศทุกคนฝั่งข้าจึงถูกฆ่า เพื่อให้น้องชายยังมีชีวิตรอดข้าเลยพาเขาไปยังทางหนี แล้วยอมถูกจับกุม
ข้าไม่รู้ชะตากรรมของเขา แต่แค่เห็นเขาหายไปก็รู้สึกใจหล่นหายไป แม้จะยื่นมือไปคว้าไว้ก็ไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย...
แม้แต่น้อย
เมื่อข้าลืมตาอีกทีก็พบว่าเป็นเช้าของอีกวันแล้ว ตรงหน้าข้ามีร่างหนึ่งนอนหลับสบายอยู่ในระยะประชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ โซแวนยังคงไม่ตื่นแต่ข้าสังเกตได้ว่ามือตัวเองกำลังกุมมืออีกฝ่ายไว้เลยรีบผละออกแล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกมาจากห้องน้ำแล้วก็พบว่าเขาตื่นแล้ว และเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย
“ไม่คิดจะอาบน้ำหรือไง”
“อาบทำไม?” อีกฝ่ายถามกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ข้าเลยตำหนิเรื่องความสะอาด จนเขายอมเข้าไปอาบน้ำ
หลังจากโซแวนออกมา ข้าก็รีบใส่เสื้อคลุมพิธีการแล้วออกไปทันที เมื่อถึงห้องทำงานก็เจอเร็นรอรับอยู่ เขาดูแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสายตาไปถามคนข้างหลังข้า “ทำไมเจ้าถึงมากับฝ่าบาทได้”
“ออกมาจากห้องแล้วเห็นกำลังเดินอยู่คนเดียวเลยตามมาด้วย”
ข้าเผลอขืนยิ้ม นับว่าหมอนี่โกหกได้หน้าตายเอามากๆ ซึ่งเร็นก็ไม่ได้ติดใจอะไรต่อและหันมาสนใจข้าแทน “แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงใส่ชุดนี้หรือขอรับ”
“ข้าจะไปพบกับท่านหญิงซีวาล” ข้าแจงนัดหมายของวันนี้ก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะทำงานก่อน แว่วเสียงสองคนนั้นคุยกันอย่างไม่เกรงใจดังขึ้นมาระหว่างที่ข้ากำลังดื่มน้ำชาอยู่
“ใครคือท่านหญิงซีวาล?”
“นางเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาท...”
------------------------
คู่หมั้น!?
คู่หมั้นของฝ่าบาทจะป็นคนแบบนั้นกัน ตอนหน้ามาพบกันค่ะ
แล้วพบกันตอนสามเร็วๆ นี้ค่า