ตอนที่ 11 พี่ชาย น้องชาย
[วิณณ์]
ใครว่าเป็นตำรวจจะสบาย ผมนี่เถียงใจขาดดิ้นอย่างน้อยตอนนี้ก็ผมคนนึงละ ว่าคดีมนุษย์โลกยุ่งยากแล้วคดีผียุ่งยากกว่าอีก ฟังไม่ผิดหรอกครับผมกล้าใช้คำว่าคดีมนุษย์ก็เพราะตอนนี้ผมมีวิญญาญมาป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยนี่แหละ
มนุษย์เมื่อกระทำความผิดย่อมต้องมีมูลเหตุและแรงจูงใจ เมื่อมีเหตุของการกระทำ ย่อมมีผลของการกระทำเสมอ และผลผลิตของการกระทำเหล่านั้นย่อมมีเศษซากให้เราค้นเจอและพากลับไปยังต้นเหตุได้เสมอเช่นกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องของผี หรือ วิญญาณ ความต้องการที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ และทุกครั้งผมจะรับรู้ได้ก็ต้องส่งผ่านมาทางบุคคลอีกคน
‘ตะวัน’และความต้องของผีหรือวิญญาณเหล่านั้นมันก็ช่างมากมายแตกต่างกันเหลือเกิน ความต้องการพบเจอกับคนอันเป็นที่รัก ความต้องการเรียกร้องความยุติธรรม หรือแม้แต่กระทั่งความห่วงหาที่ยังมีให้กับคนที่อยู่ แต่ผมก็โอเคนะ ถือซะว่ามันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่อีกแบบ และอีกอย่างตอนนี้ผมว่าผมเริ่มชินที่จะมีใครอีกคนเข้ามาในชีวิตซะแล้ว
Rrrrrrrrrrrrr
“ครับแม่” เรียกออกไปโดยไม่ต้องรอให้ปลายสายแนะนำตัว ก็ชื่อมันโชว์ไว้แล้วนี่น่า
(ว่าไงลูกชาย จะมาหาแม่อีกทีวันไหนจ้ะ)
“เย็นนี้ครับ เดี๋ยววิณณ์กลับกินข้าวด้วยและค้างด้วยครับ”
(ดีเลย ยายน้องสาวตัวแสบบ่นคิดถึงพี่ชายจะแย่อยู่แล้ว)
“บ่นคิดถึงผมหรือเค้กกันแน่ครับ”
(ฮ่าๆ แม่ว่าน่าจะอย่างหลังมากกว่านะ – อะไรอะแมมมมมม่ เม้าลูกอีกแล้วน้าๆๆ)
นั่นไงยายตัวแสบของผม ได้ยินเสียงโวยวายแทรกเข้ามาเลย
“ฮ่าๆ งั้นเดี๋ยวตอนเย็นวิณณ์รีบกลับไปหานะครับแม่”
(จ้า ลูกชายสุดหล่อ เดี๋ยวแม่ทำของชอบของวิณณ์รอเลย)
“คร้าบ บายครับแม่”
(บายจ้า)
สรุปเย็นนี้ผมก็ต้องพาตะวันมาที่บ้านด้วย เหตุเพราะตะวันไม่อยากอยู่คนเดียวในห้อง ผมไม่รู้แล้วว่าตะวันเป็นวิญญาณจริงหรือเปล่า บางทีก็เหมือนเด็กเล่นซนไปเรื่อย ความมืดก็กลัว เจอวิญญาณดวงอื่นตะวันก็ยังจะตกใจ แถมกลัวอีกต่างหาก ไม่ชินซักที ตลอดทางที่นั่งมาก็ถามตลอด ช่างพูดช่างสงสัยทุกเรื่อง ไอ้ผมเองก็บ้า พูดอะไรมาก็ฟัง ถามอะไรมาก็ตอบทุกเรื่องเหมือนกัน ยอมใจในความช่างพูดของเขาซะจริงๆ
ผมเป็นคนไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวและหวงพื้นที่ส่วนตัวมาก ประเภทห้ามใครเข้ามายุ่งเลยเด็ดขาด ขนาดเพื่อนที่สนิทยังไม่รู้เรื่องเยอะขนาดตะวันเลยนะ แต่ถ้าถามว่ารำคาญไหม แปลกแหะ ไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในหัว
แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ก็ไอ้เสียงแจ๋วๆ ของคนข้างๆที่อยู่ๆ ก็เงียบไป ผมเหลือบมองคนด้านข้าง อ้าวเป็นอะไรไปละ เมื่อกี้ยังเห็นมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ ตอนนี้กลับนั่งก้มหน้าไปซะงั้น
“ตะวัน เป็นอะไรหรือเปล่า”
“หะ!!!!”
“เป็นอะไร อยู่ดีๆ ก็เงียบไปถ่านหมดหรือไง”
“เปล่า ...... ก็ ...... แค่”
แล้วก็เงียบไป แค่ อะไรละ แต่เอาเข้าจริงผมก็พอจะรู้สาเหตุนะ ถ้าสังเกตุให้ดีจุดที่รถผมกำลังผ่านมันก็เป็น......
.....จุดที่ ตะวัน....ตาย....
“กลัวเหรอ” ผมถามพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆ ไว้ เพราะจากเวลาที่ผ่านมาพอทำให้ได้รู้ว่า คนข้างกายไม่ได้เก่งกล้าอะไรเลย ออกจะบอบบาง อ่อนไหวด้วยซ้ำ แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งของตะวันคือ การคิดในแง่บวกเสมอ และรอยยิ้มสดใสนั้น
มันก็ไม่แปลกหรอกที่อยู่ๆ ตะวันจะเงียบไป เป็นผมก็คงหดหู่เหมือนกัน
“มันก็.....”
“หืม”
“นิดนึง แต่จริงๆแล้ว เรารู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่า” พูดไปก็ก้มมองมือตัวเองไป ซึ่งมันบ่งบอกว่าคนข้างๆ คิดมากและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ขนาดไหน
“วิณณ์จะไม่บอกว่าสิ่งที่ตะวันทำมันผิดหรือถูกหรอกนะเพราะวิณณ์ไม่สามารถไปตัดสินใครได้ วิณณ์เองก็ไม่รู้ว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบตะวัน ตัวเองจะทำอะไรรับมือกับมันแบบไหน เผลอๆ บางทีมันอาจจะแย่กว่าตะวันก็ได้นะ”
“ไม่หรอก วิณณ์นะทั้งเก่งทั้งฉลาด ไม่มาทำอะไรโง่ๆ แบบตะวันหรอก เชื่อซิ”
“หึหึ”
ขนาดหน้าหงอยขนาดนั้นยังพูดไปยิ้มไปได้อีก ผมถึงยิ่งรู้สึกว่าถ้าอะไรจะเหมาะกับตะวันมากที่สุด ก็คงเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีการเสแสร้งใดๆ จากตรงนั้นไม่นานรถก็เข้ามาถึงชุมชนบ้านสวนของผม
“โห วิณณ์ มีคลองด้วย ต้นไม้เต็มเลย บรรยากาศดีกว่าในเมืองอีกอะ”
คนข้างๆ พูดไปก็ตาโตไป ผมขับรถเข้ามาตามถนนเรื่อยๆ โชคดีที่บ้านผมถนนทางเข้ากว้างพอที่รถสามารถเข้าได้ ถ้าเป็นบ้านอยู่ลึกเข้าไปหมดสิทธิ์จะผ่านได้ก็แค่รถเล็กๆ เท่านั้น อย่างพวกจักรยานหรือมอเตอร์ไซต์ ไม่อยากจะบอกว่า บ้านผมนี่ทำเลดีที่สุดละ นอกจากถนนแล้ว ด้านหลังบ้านยังติดคลองอีกด้วย
รถเข้ามาจอดหน้าประตูรั้วสีขาว ผมลงไปเปิดประตูโดยให้ตะวันนั่งรอบนรถและไม่ลืมที่จะหันไปไหว้ศาลพระภูมิหน้าบ้านเพื่อขออนุญาติให้ตะวันเข้ามาในบ้าน มันกลายเป็นสิ่งอัตโนมัติไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเวลาที่ผมไปไหนมาไหนจะต้องยกมือบอกกล่าวขออนุญาติให้ตะวันเข้าบ้าน เมื่อรถเข้ามาจอดภายในตัวย้าน ผมจัดการหยิบของโดยไม่ลืมที่จะหยิบเค้กที่ซื้อมาฝากยายน้องสาวตัวแสบ
“บ้านสวยจัง อยากมีบ้านแบบนี้บ้างอะ”
“เว่อร์น่า”
“ไม่เว่อร์นะ เราอยากมีบ้านแบบนี้จริงๆ ไม่เล็กหรือไม่ใหญ่มาก มีต้นไม้ มีสวนเล็กๆ คงมีความสุขน่าดูเลยละ”
“หึหึ”
“แมมมม่ พี่วิณณ์มาแล้วค่า……………” เสียงแจ๋วของน้องสาวตัวแสบดังแทรกขัดการสนทนาของผมกับตะวันพร้อมกับรีบวิ่งมาหา อย่าหวังว่าจะมาด้วยความคิดถึงครับ
“ตัว ตัวซื้อเค้กมาฝากเขาไหม” นั่นไงเหตุผล หึหึ เห็นแก่ของกินจริงๆ น้องผม
“อะ เอาไปเลย ถือไปเลย ถือไปให้หมดละ”
“ขอบคุณค่า” พอได้ขนมก็รีบหันกลับเข้าบ้านจนอดแซวไม่ได้
“กินมากระวังอ้วนนะ ลูกหมู”
“แบรรรรร่” นั่นไง ขอแค่มีเค้กตรงหน้า จะว่าอะไรก็ไม่โกรธทั้งนั้น
“หึหึ”
“ดูวิณณ์กับน้องสนิทกันดีเนอะ
อิจฉาจัง” หืม ถึงจะพูดออกมาเบาแต่ผมก็ได้ยินประโยคหลังชัดเจน อิจฉา? แล้วยิ่งทำหน้าตาแบบนั้นอีก
“ก็ต้องสนิทซิ มีกันแค่สองคนพี่น้อง ว่าแต่ทำไมต้องอิจฉา แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยละ”
“ได้ยินด้วยเหรอ...”
“อืม”
“ก็ เราอะ.... เป็นลูกคนเดียว ถึงจะมีพี่วายุ คอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา แต่เราเองก็อยากจะมีพี่น้องแท้ๆ กับคนอื่นบ้าง”
“พี่วายุของตะวันได้ยินแบบนี้จะเสียใจเอานะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น.....เราก็ดีใจที่พี่วายุเป็นพี่เรา แต่เราเองก็อยากมีพี่น้องแท้ๆ อะ วิณณ์เข้าใจเราไหมอะ”
จริงๆ ผมแค่แกล้งแหย่ไปแค่นั้นแหละ ทำไมผมจะไม่รู้ การที่เรามีพี่น้องที่มีสายสัมพันธ์เดียวกับเรามันก็ดีกว่าอยู่แล้ว
“แต่ว่านะตะวัน เราเลือกไม่ได้หรอกว่าอยากจะมีพี่น้องแบบคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง”
“..............”
“พี่น้องข้างบ้าน พี่น้องร่วมโรงเรียน ร่วมมหา’ลัย พี่น้องในที่ทำงาน หรือแม้แค่บังเอิญมาเจอกันก็อาจจะเป็นพี่น้องกันได้ วิณณ์ว่ามันสำคัญตรงไหนรู้ไหม สำคัญที่คำว่าพี่น้องที่เรายินดีใช้กับใครมากกว่า”
“งั้น อย่างตะวันเป็นน้องวิณณ์ได้ไหมอะ”
“ได้ซิ แต่คง…..”
“คงอะไร?”
“คงเป็นน้องที่ตัวโต ที่ทั้งดื้อ ทั้งซน แถมยังขี้แยอีกด้วย”
“วิณณ์!!!”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นคร้าบบ เป็นได้ซิ ตะวันเป็นน้องวิณณ์ได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็อยู่ด้วยกันจนตัวติดกันอยู่แล้ว”
คนฟังได้ยินก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งจริงๆ ผมก็คิดแบบนั้น ผมเหมือนมีน้องชายคนกลางเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ตะวันอายุ 20ปี ห่างจากผม 7ปี และห่างจากดาริน1ปี ถึงแม้ตะวันจะอายุมากกว่าดาริน แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าตะวันนิสัยเด็กมากกว่าดารินซะอีก
“พิ่วิณณ์ ยืนทำอะไรนะ ไม่เข้าบ้านเหรอ”
“ครับคุณผู้หญิง ไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ”
“แปลกคนจริงเลย ทำไมเหมือนยืนคุยกับใครอยู่” ผมหันไปมองหน้ากับตะวันแล้วก็ต้องแอบอมยิ้ม ผมไม่ได้แอบคุยนะ แค่คนที่ผมคุยด้วยคนอื่นไม่เห็นเท่านั้นเอง
“สวัสดีครับแม่ คิดถึงจัง” ผมทักพร้อมเดินเข้าไปกอด
“เอาหน้าอีกแล้วนะ”
“จะกินไหมเค้กนะ”
“พี่วิณณ์!!! แม่ดูดิ พี่วิณณ์แกล้งน้อง”
“หึหึ พอเลยทั้งคู่ วิณณ์กินอะไรมาหรือยังลูก”
“ยังเลยครับ มารอกินฝีมือแม่นี่ละ”
“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วค่อยมากิน”
“ครับ”
วิณณ์พูดจบก็เดินขึ้นบ้านพร้อมตะวันที่เดินตาม โดยไม่รู้เลยว่าคนร่างบางที่เดินตามมาจิตใจห่อเหี่ยวไปถึงไหนแล้ว
[ตะวัน]
ถึงแม้จะพูดว่าอยากเป็นน้องของวิณณ์ แต่หากรู้สึกว่าเป็นได้แค่นั้นมันก็รู้สึกหน่วงขึ้นมันเจ็บจี๊ดแบบไม่รู้ตัว ยิ่งเห็นความอบอุ่นใจดีของวิณณ์เมื่ออยู่กับแม่และน้องสาว เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็อิจฉา อิจฉาที่อยากจะเก็บเอาไว้คนเดียว
“โอ้ยยยย เป็นอะไรของนายเนี่ยตะวัน ไปอิจฉาพวกเขาได้ยังไงกัน นั่นแม่กับน้องสาวของวิณณ์นะ” คิดได้แค่นั้นแต่สุดท้ายก็......
“เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออ”
“เป็นอะไรตะวัน ถอนหายใจซะยาวเลย”
วิณณ์เข้ามาหลังจากที่ตะวันยืนยันว่าจะรออยู่บนห้องและปล่อยให้วิณณ์ได้ใช้เวลากับครอบครัว เขาไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ แสดงความอิจฉาออกหน้าออกตาให้วิณณ์เห็น อีกอย่างถ้าวิณณ์เกิดคุยกับเขาขึ้นมา แม่กับน้องสาววิณณ์ได้สงสัยแน่ๆ เขาเลยตัดสินใจนั่งรอบนห้องดีกว่า
“ว่ายังไงเป็นอะไร ถอนหายใจยาวเชียว”
“คิดอะไรนิดหน่อย”
“เป็นผีมีเรื่องคิดมากกับเขาด้วยเหรอ”
“.........” เออ ใช่ซิ เขามันก็แค่ผีตัวเล็กๆ วิญญาณดวงน้อยๆ ไม่มีสมองให้คิดมากอะไรหรอก ไม่น่าสนใจ แถมยังทำตัวน่ารำคาญอีก หึ่ยยยย ว่าแล้วก็ทำหน้าบึ้งต่อไป
“เอ้า เป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็ทำหน้าบูดบึ้งขนาดนั้น โกรธอะไร? หรือว่าโกรธที่ให้อยู่คนเดียว”
กึกกกกกกกก
ไม่ได้โกรธเว้ยยยย มันก็แค่.......
อิจฉา
แล้วก็น้อยใจ
เห้อแต่จะให้พูดได้ยังไงละ อิจฉาทำไมยังไม่รู้รู้แต่อิจฉา น้อยใจทำไมก็ยังไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำ
“หรือว่าเหงาที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว”
“.................”
“ตะวัน........”
“.................”
“ตะวันเป็นอะไร อย่าเงียบซิ พี่ถามก็ต้องตอบรู้ไหม”
“!!!!!!!” คนพูดไม่พูดเปล่า จูงมือผมพามานั่งบนเตียงข้างๆ ด้วยกัน แต่มัน ......... เขิน......
เขินที่วิณณ์เรียกตัวเองว่าพี่
เขินที่วิณณ์จูงมือเขามานั่งด้วยแล้วยังถามต่อด้วยความห่วงใย
ก็จริงนะวิณณ์ห่วงใยเขาเสมอ แล้วเขามัวมาอิจฉาแม่กับน้องสาววิณณ์เป็นเด็กๆ ไปได้ยังไง
“เรา.....”
“...................”
“เราอยากให้เราเป็นคนหนึ่งที่วิณณ์ใส่ใจห่วงใยแบบนั้นบ้าง ‘อาจจะอยากให้มากกว่าด้วยซ้ำ’ดูเราเป็นเด็กขี้อิจฉาเนอะ”
“...................”
“แม่กับน้องสาววิณณ์แท้ๆ เรายังไปอิจฉาได้อีก เฮ้อออออออออออ สงสัยเราต้องเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแน่ๆ”
ถึงจะบอกออกไปแบบนั้น
แต่...........มันก็อิจฉาอยู่ดี!!!
คนพูดก็พูดไป คนฟังก็ได้แค่ฟัง แต่ตะวันเองก็คงไม่ทันได้คิด ว่าวิณณ์เองก็รู้สึกไม่ต่างกันเลย วิณณ์อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตะวันเช่นกัน อดีตผ่านมาแบบไหนไม่รู้วิณณ์รู้แค่ว่า เขาอยากให้มีตะวันอยู่ข้างๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ
มันคืออะไร?
สงสัยเขาก็คงจะขาดความอบอุ่นเหมือนกันมั้ง......
[วิณณ์]
หลังจากผมตื่นมาในตอนเช้า พวกเรา 4 คน (ก็ต้องนับ 4 อะนะ ก็ผมมีตะวันมาด้วยอีกคนนี่นา) พากันมาตลาดตอนเช้า สมัยก่อนผมชอบมากับแม่ช่วยหิ้วตะกร้าถือของ แถมยังต้องทั้งลากทั้งจูงยายดาริน ไม่งั้นยายตัวแสบก็จะแวะร้านขนมกับของเล่นตลอดทาง มันเป็นภาพที่ชินตาของคนในชุมชน จึงไม่แปลกที่พวกเราจะสนิทกับคนในชุมชน นึกแล้วก็ตลกมือผมเหมือนมือปลาหมึกเลยตอนนั้น แต่หลังจากที่ผมสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ จนเรียนจบและเข้ารับราชการ ผมก็ยุ่งจนไม่มีเวลา
จากบ้านมาตลาดเดินไม่ถึง 10นาทีก็ถึง พวกเราเดินบนถนนเลียบคลอง ข้างทางที่มีต้นไม้ก็ไม่ได้ทำให้ร้อนแถมอากาศยังเย็นสบายอีกต่างหาก แต่ดูท่าตอนนี้ผมคงต้องเปลี่ยนความคิดวะใหม่แล้วละเพราะนางสาวดารินไม่ได้เป็นเด็กหญิงดารินที่จะวิ่งเข้าออกเหมือนตอนเด็กอีกแล้ว ตรงกันข้ามกลับเป็นเด็กชายตะวันที่ดูจะตื่นเต้นกับการมาตลาดซะมากกว่า ผมชักสงสัยเวลาอยู่บ้านตะวันจะเป็นยังไง ทุกครั้งที่ตะวันได้ไปสถานที่ข้างนอกทั้งที่มันก็เป็นสถานที่ปกติที่พวกเราต้องเคยไปอยู่แล้ว ตะวันจะตื้นเต้นและดีใจทุกครั้ง
ยิ่งเห็นแบบนี่ยิ่งห่วง
ซื่อจนน่าห่วง
ห่วงว่าจะถูกหลอกอีก
...................ตอนที่ตะวันกลับเข้าร่างได้
ตอนนี้ผมทำได้แค่ส่งสายตาให้เขารู้ว่าอย่าซนจนเกินเหตุและอย่าเดินไปไกลจากผม หลงกันไปยังไม่ลำบากเท่ากับตอนนี้ถ้าใครจะสังเกตุซักนิดว่าผ้าที่ปลิวอยู่นั้นมันออกจะ....แปลก......ไปซักหน่อย เพราะมันปลิวได้ทั้งที่ไม่มีลม!!!
จะคุยจะเรียกก็ทำไม่ได้ คนอื่นได้ยินก็คงคิดว่าผมบ้าพูดคนเดียว แถมยายน้องสาวตัวแสบก็ยังลากให้ผมเดินตามไปทุกทาง
“พี่วิณณ์ พี่วิณณ์ว่า.....”
“ว่า???”
“พี่วิณณ์ว่า.......ผ้ามัน..........ปลิวแปลกๆ ไหมอะ ลมก็ไม่เห็นมี”
“!!!!” นั่นไงละ ว่าแล้ว น้องสาวผมนอกจากช่างพูด ช่างสงสัย และช่างถามแล้วแล้วยัง เอ่อ.....ช่างอยากรู้
“พี่วิณณ์ เดินไปดูกัน”
“หะ..............ไม่ต้อง” น้องสาวผมสะดุ้งที่ผมเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง
“ไม่ ไม่ เดี๋ยวพี่เดินไปดูให้ อยู่เป็นเพื่อนแม่นี่ละ”
ผมรีบผละออกมาเพื่อเดินไปยังตัวก่อเรื่อง จากหยิบจับผ้า ตอนนี้เริ่มลามมาที่ของชิ้นเล็กๆ ในตะกร้าแล้วผมต้องแกล้งทำเป็นเดินดูนั่น หยิบนี่ แล้วกระซิบกับตะวัน เพื่อไม่ให้คนขายสงสัย
“นี่ตะวัน บอกแล้วไงอย่าซน วางเลยนะ”
“เปล่านะ ตะวันไม่ได้ซน แค่อยากดูอะ”
“ดูได้ แต่ห้ามหยิบหรือจับอะไร”
“ทำไมละ”
“มันจะน่าสงสัยไหมละ ถ้าอยู่ดีๆ ของก็ลอยขึ้นมาอะ”“ชอบอันนั้นเหรอคะพี่ แต่หนูว่ามันจะดูไม่ค่อยเข้ากับผู้หญิงเท่าไหร่นะคะ อันนี้ดีกว่าไหมคะ”
“ครับ?” ผมมองตามที่คนขายชี้มาสิ่งที่อยู่ในมือผม
“จะซื้อให้แฟนเหรอคะ หนูว่าอันนั้นดูผู้ชายไปซักหน่อย อันนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่านะคะ”
“แฟน?”
“ก็นั่นไงคะ” แล้วคนขายก็ชี้ไปยัง น้องสาวผม!!! อ่อออ ยายดารินกลายเป็นแฟนผมไปซะแล้ว
“แหะๆ ไม่ใช่ครับ นั่นน้องสาว แล้วพี่ก็ยังไม่มีแฟนครับ”
“อ้าวเหรอคะ หนูก็นึกว่าแฟน หล่อๆแบบพี่ยังไม่มีแฟนได้ไงคะเนี่ย” ผมได้แต่อมยิ้มจะให้ตอบว่ายังไงละครับ วันๆ ก็ทำแต่กับงาน เอาเวลาที่ไหนไปหา ถึงหามาได้ก็คงไม่มีเวลาดูแลเขาอีก ปล่อยผมอยู่อย่างนี้ดีแล้วละ
“พี่ยังไม่มีแฟนและคิดว่าตอนนี้คงยังมีไม่ได้ด้วย เพราะต้องคอยดูแลเด็กคนนึง อายุก็ 21 แล้วนะ ยังซนเป็นเด็กอยู่เลย น้องเชื่อพี่ไหมละ”
“น้องสาวพี่นะเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ คนนี้..........
พิเศษกว่าน้องสาวอีก”
“????”
“งั้นพี่ขอสองเส้นนี่เลยแล้วกันครับ” ผมยื่นสร้อยที่ตะวันจับอยู่เมื่อกี้ กับสร้อยเส้นที่น้องคนขายแนะนำว่าเหมาะกับผู้หญิงให้พร้อมกับจ่ายเงิน แล้วเดินออกมา
“นี่!!!.......วิณณ์หาว่าตะวันซนเป็นเด็กเหรอ”
“เปล่านะ ไม่ได้เอ่ยชื่อด้วยนะ”
“เหอะ รู้หรอกว่าว่าเรา” พูดแบบนั้นแล้วก็เดินหน้าบึ้งไปทางฝั่งที่แม่กับน้องผมยืนรออยู่
“ซื้ออะไรมาพี่วิณณ์”
“อะ”
“ตัวซื้อให้เขาเหรอ โหยยย ใจดีที่สุดเลยคุณพี่ชาย”
“ได้ของฟรี นี่ปากหวานเลยนะ”
“อิอิ แน่นอน.. แม่ขา เราเดินไปดูขนมร้านยายพงกันเถอะคะ” แม่ผมเองยังอดหัวเราะไม่ได้กับอาการของน้องสาวผม ของอร่อย ของฟรี นี่เอามาใช้ได้ผลกับน้องสาวผมเสมอ และคนร่างบางก็ยังคงทำหน้าบึ้งใส่ผม อยากจะง้อหรอกนะ แต่ว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าจะง้อกันตรงนี้
กว่าจะเสร็จจากตลาดเดินกลับบ้านก็ 8โมงครึ่ง ผมช่วยแม่ถือของเข้าไปไว้ในครัวและเก็บของบางส่วนที่ผมพอจะรู้ว่าต้องจัดการยังไง ส่วนตะวันก็งอนเดินขึ้นห้องไปแล้ว -__- นี่โกรธจริงจังขนาดนั้นเลย? แต่ก็เอาเป็นเวลาเดี๋ยวผมค่อยไปง้อนะ
“วิณณ์ เดี๋ยวกินข้าวก่อนค่อยกลับนะลูก”
“ครับแม่”
ผมเดินออกมานั่งกับยายดารินด้านหน้าระเบียง
“ทำอะไรดาริน”
“เขาทำรายงาน ต้องส่งวันศุกร์นี้แล้ว ยังไม่ถึงไหนเลย ตัวช่วยเขาทำหน่อยซิ”
“เรื่องซิ รายงานตัวเองก็ต้องทำเองซิ”
“ชิ แล้งน้ำใจ” หึหึ ผมไม่ได้ว่าอะไรน้องสาว เหมือนกับที่รู้ว่าน้องเองก็ไม่ได้ว่าผมอย่างจริงจังอะไร
“นี่ตัว ตัวรู้ไหมที่มหา’ลัยเขานะ มีข่าวนักศึกษาชายปี 4 ฆ่าตัวตายด้วยละ เห็นว่าพยายามเดินให้รถชน ถึงแม้จะไม่ตายแต่ก็อาการสาหัสยังไม่รู้สึกตัวเลญ พวกนักศึกษาพูดว่าพี่เขาฆ่าตัวตายเพราะอกหัก ถูกแฟนหลอกแต่ที่ตกใจไปกว่านั้นตัวรู้ไหมอะไร”
“.........................”
“พี่เขาเป็นผู้ชายทั้งคู่”
“ทำไมละ มันไม่ดีเหรอ”
“เปล่าซะหน่อย นี่มันสมัยไหนแล้วตัวไม่รู้เหรอ จะชายชาย หญิงหญิง หรือชายหญิง ไม่มีใครเขามาคิดเล็กคิดน้อยแล้ว ความรักเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และสวยงามเสมอไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร”
“ทำเป็นรู้ดีนะเรา”
“อิอิ......... เฮ้ออ แต่น่าสงสารพี่เขาจริงๆนะ คนที่เป็นแฟนพี่เขาก็ช่างใจร้าย” ผมไม่ได้ตอบอะไรในสิ่งที่น้องสาวพูด แค่ฟังเรื่องนี้ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเป็นเรื่องของใคร
หลังจากจัดการกับข้าวฝีมือแม่เรียบร้อย ผมก็ต้องลาแม่เพื่อกลับมาสะสางงานต่อ บอกแล้วว่าทำงานแบบนี้อย่าว่าแต่มีแฟนเลย เวลาหายังไม่มีเลยครับ
‘ตัวคราวหน้าเอาเค้กร้านเดิมที่ตัวเคยซื้อมานะ เขาอยากกินขอบคุณคะ’และนี่คำสั่งของน้องสาวตัวแสบของผม จะมีบ่นคิดถึงพี่ชาย หรือแสดงความเป็นห่วงไม่มีซักคำ นอกจากสั่งและห้ามลืมเด็ดขาด
ขนม แต่ผมว่าปัญหาผมตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่น้องสาวผมหรอกครับ อยู่ที่คนนั่งข้างๆ มากกว่า เพราะตั้งแต่กลับจากตลาดจนถึงบ้านและเลยมาถึงบนรถตะวันก็ยังคงเงียบไม่ยอมพูดกับผมซักคำ
“ตะวัน”
--- เงียบ ---
“ตะวันครับ”
--- เงียบ ---
“ตะวันครับ พี่วิณณ์เรียกไม่สนใจกันหน่อยเหรอ”
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาแทนตัวว่าพี่ เพ่อ อะไรทั้งนั้น มีอย่างที่ไหน เป็นพี่ แต่ชอบแกล้งน้อง”
“เดี่ยวซิ วิณณ์ไปแกล้งอะไรตะวัน”
“ก็ที่ตลาดไง อย่าบอกนะว่าลืม เออออ...ใช่ซิ คนไม่สำคัญไง ก็เลยลืมไง”
“........................”
“แล้วก็เห็นอยู่ว่าตะวันจับสร้อยเส้นนั้นอยู่ วิณณ์ก็มาแย่ง”
“ตะวัน”
“จะซื้อไปให้ใครที่ไหนละ”
“ตะวัน.....”
“นิสัยไม่ดี ไม่ ไม่ ไม่ ไม่อยากคุยกับวิณณ์แล้ว”
เดี๋ยวนะ ผมว่าชักไปกันใหญ่แล้ว บ่นยาวแบบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แทรกเลย
“ตะวันเงียบ!!! ฟังก่อน” เงียบจริง เงียบเลย แถมยังทำหน้าตกใจที่ผมเสียงดังขึ้นมา
“ตะวันฟังก่อน ถ้าตะวันโกรธเรื่องที่หาว่าตะวันเป็นเด็กดื้อหรือเด็กซนอะไรนั่น วิณณ์ไม่ตั้งใจจะว่าแบบนั้น ขอโทษนะ ส่วนสร้อยนะวิณณ์รู้ว่าตะวันอยากได้ และที่ซื้อมาไม่ได้ให้ใคร แต่เอามาให้ตะวัน” ผมพูดพร้อมกับหยิบสร้อยเส้นนั้นออกมา
“ยื่นมือมา”
“............”
“ตะวัน”“ชิ”
“ไม่ อีกข้างนึง” ถึงแม้จะทำเสียงสบถไม่พอใจแต่ก็ยอมยื่นมือมาให้ ผมเลือกที่จะสร้อยเส้นนี้ที่ข้อมือข้างขวา
“จะโกรธอะไรวิณณ์ขนาดนั้น ถึงตะวันจะดื้อจะซนขึ้นมากกว่านี้ วิณณ์ก็ไม่ว่าหรอกแต่อยากให้เชื่อกันบ้าง” คนฟังยอมนั่งเฉยๆ โดยไม่เถียงอะไรออกมา
“ส่วนสร้อยนะตั้งใจว่าจะซื้อให้ตะวันอยู่แล้ว คิดว่าจะซื้อไปให้ใครที่ไหน”
“ไม่รู้เหรอ ก็เห็นบอกว่า
คนพิเศษกว่าน้องสาวอีก ก็นึกว่าจะซื้อไปให้ใครที่ไหน”
“พิเศษกว่าน้องสาว ก็.................
น้องชายคนนี้ไง มีแค่ตะวันคนเดียวก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปดูแลใครแล้วละ”
“วิณณ์!!!”
“โอ๋ๆๆๆ ล้อเล่น”
แล้วประเด็นที่ถกเถียงกันวันนี้ก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเล ต่างคนต่างไม่รู้ ว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบต่างออกไป จากตอนแรก จากแค่เป็นคนที่ผ่านมา เริ่มใกล้ชิดจนคุ้นเคย เพิ่มขึ้นคือความห่วงใยใส่ใจซึ่งกันและกัน และมันจะยังเปลี่ยนแปลงไปได้อีก มากขึ้นได้อีก คงต้องรอเวลาให้ทั้งคู่รู้ตัวเท่านั้น
ว่าแต่ว่าทำไมวันนี้ใครๆ ก็ชอบเรียกแต่ชื่อ วิณณ์ ผมทำอะไรผิดเหรอ