บทที่ 21
พี่เดือนยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉิน ส่วนผมก็นั่งอยู่ที่คาเฟ่ข้างล่างเพื่อมานั่งทำใจ
เมื่อประมาณสามสิบนาทีที่ผ่านมาผมโทรไปบอกทางบ้านพี่เดือนว่าพี่เดือนเข้าโรงพยาบาลจากอาการแพ้กุ้ง อุ้มบอกรายละเอียดเพิ่มเติมมาว่ามันกุ้งที่ผสมอยู่ในนั้นมีไม่เยอะมาก แต่ถือว่าถ้าแพ้รุนแรงก็ช็อกได้ แถมพี่เดือนก็กินเข้าไปจนหมดเกือบหมดกล่อง
พ่อพี่เดือนกับหนึ่งน้องชายของเขาเตรียมจะขึ้นเครื่องมาพรุ่งนี้เช้า ส่วนแม่ของเขาจะตามมาทีหลัง
“กุมภ์...”
นทีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมเลื่อนแก้วกาแฟมา แต่ผมส่ายหน้า ในตอนนี้ร่างกายผมมันไม่ยอมได้อะไรทั้งนั้น ถึงจะได้รับก็คงจะอาเจียนออกมาหมดอยู่ดี
นทีไม่พูดอะไรต่อ เขาปล่อยให้ผมนั่งจมไปกับความคิดงี่เง่าของตัวเอง ถ้าเกิดว่าพี่เดือนไม่สามารถทนต่อฤทธิ์ของกุ้งได้ ผมจะทำยังไงต่อไป แล้วถ้าเกิดว่าพวกเราพาพี่เดือนส่งโรงพยาบาลไม่ทัน ผมจะสามารถมีหน้าไปเจอใครได้อีกรึเปล่า
Rrrrrr“ครับ...”
‘กุมภ์ อาการของเดือนปลอดภัยแล้วนะ’ เสียงของพี่มะยมดังขึ้นพร้อมกับเสียงเตียงเข็น ‘พี่จะพาเดือนไปนอนห้องพิเศษก่อน กุมภ์ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ อีกสักพักหมอจะเข้าไปเล่าอาการให้ฟังว่าเดือนเป็นอะไร’
ผมไม่เคยรู้สึกถึงน้ำหนักที่เบาหวิวออกจากหัวใจเท่านี้มากก่อน แค่พี่เดือนปลอดภัยผมก็ดีใจมากแค่ไหนแล้ว “ขอบคุณพระเจ้า...”
‘ไปหาอะไรกินเถอะ ถ้าเดือนตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่ายังไม่ได้กินอะไรเดี๋ยวมันจะโวยวายให้พี่เอา ขวัญเอ๊ยขวัญมา’ พี่มะยมปลอบผมเหมือนเด็กเจอผี แต่นั่นก็สามารถทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาได้ ขอบคุณที่พี่เดือนเข้มแข็งมากพอที่จะทนกับความทรมานนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังเห็นใจคนบาปอย่างผม ขอบคุณทีมแพทย์ที่ช่วยเหลือพี่เดือนสุดความสามารถ ขอบคุณเพื่อนที่คอยวนเข้ามาปลอบผมไม่ให้ผมสติแตกไปมากกว่านี้
“พี่เดือนปลอดภัยแล้วก็กินเข้าไปซะ” นทีเลื่อนแก้วกาแฟเข้ามาให้ผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็รับไปด้วยความยินดี “คราวนี้ก็เหลือประเด็นที่ว่าใครเป็นคนทำ”
“...”
“ข้าวผัดที่ซื้อตามร้านปกติเขาไม่มีมันกุ้งใส่ให้หรอกนอกเสียจากจะเป็นคนอื่นเอาเข้ามาแล้วก็รู้ดีว่าพี่เดือนแพ้กุ้งรุนแรง” นทีเขี่ยสลัดผักมื้อดึกในชามไปมา “พี่เดือนเคยเล่าหรือพูดอะไรว่าไปมีเรื่องกับใครให้ฟังรึเปล่า?”
“ไม่นะ แล้วก็ไม่มีด้วย” ผมตอบตามความเป็นจริงเท่าที่รู้ พี่เดือนไม่เคยไปมีปัญหากับใครเพราะตั้งใจเลี่ยงอยู่แล้ว แต่อาจจะมีก็ได้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่มีใครน่าสงสัยเลยเหรอ?”
“ไม่มีๆ”
“อืม...ตามตัวยากอะ อีกอย่างเรื่องแพ้อาหารถ้าเอาไปแจ้งความข้อหาลอบทำร้ายนี่ก็คงไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานมากพอ”
“อย่าถึงขั้นตำรวจเลย ถ้าเกิดว่ามันเป็นจากความไม่ได้ตั้งใจจริงๆของคนเรานี่จะแย่เอานะ” ผมเถียงนทีที่เริ่มจริงจังเกินเหตุ “ตอนนี้รีบกินรีบขึ้นไปเฝ้าพี่เดือนดีกว่า”
“เอางั้นก็ได้”
หลายคนคงไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่แจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ หลักฐานของพวกผมมันไม่แน่นพอที่จะสรุปได้ว่านี่คือการลอบทำร้าย และผมปักใจเชื่อไปทางความไม่ตั้งใจของคนมากกว่าเยอะ แต่เรื่องข้าวผัดมันกุ้งนั้นก็ทำให้ผมเอะใจได้พอตัว กล่องเหมือนกันก็ไม่น่าจะเอามาวางข้างๆกันนี่นา แถมร้านอาหารที่พี่เดือนไปซื้อข้าวมานั้นก็ไม่ใช้มันกุ้งในการผัดข้าวเนื่องจากราคาเกินงบ
ผมสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดผังผีเสื้อออกจากสมอง สิ่งที่ควรสนใจตอนนี้ก็คือพี่เดือน ผมใช้เวลาไม่นานในการจัดการกับอาหารมื้อดึกก่อนที่จะโทรหาพี่มะยมเพื่อถามหมายเลขห้องพี่เดือน เมื่อได้เลขแล้วผมกับนทีก็รีบขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นหกของโรงพยาบาลแห่งนี้
สีหน้านทีดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะเหมือนจะกลัวที่แคบนิดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถอดทนมาได้ ผมไม่รู้ว่าทำไมคนรอบข้างผมมักจะมีอาการความกลัวแปลกๆ อย่างพี่เดือนกลัวความมืด (ซึ่งรักษาหายไปแล้ว) กลัวความผิดหวัง นทีก็กลัวที่แคบ กลัวเสียงดัง
ผมเดินตามระเบียงจนมาถึงห้องที่พี่เดือนพักอยู่ สีหน้าพี่เดือนยังดูไม่ค่อยดีมากนัก เขากำลังหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับผื่นแดงจางๆ พี่มะยมกำลังคุยกับหมอคนหนึ่งอยู่ ผมจึงยังไม่เข้าไปกวนแต่เลือกที่จะมานั่งรอที่โซฟากับนที
“พี่คุยกับหมอแล้วนะ ต้องให้เดือนนอนอยู่ดูอาการสักสัปดาห์ก่อนเพราะอาการยังไม่คงที่เท่าไหร่ โชคดีที่พามาโรงพยาบาลทัน” พี่มะยมถอนหายใจ “เวรกรรมแต่ไหนกัน”
“อุ้มบอกว่าข้าวผัดของพี่เดือนมีมันกุ้งผสมอยู่ ถึงจะไม่ได้เยอะแต่ก็มากพอที่จะฆ่าพี่เดือนได้น่ะครับ อีกอย่างก็คือผมคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ คนที่อยู่แถวนั้นอาจจะเผลอหยิบข้าวกล่องสลับกับของพี่เดือนไปก็ได้ใครจะรู้ ผมไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นผมอยากให้พี่ช่วยปิดๆหน่อยแล้วกัน ตอบได้เท่าที่ตอบนะครับ”
“ได้สิ”
ผมลากเก้าอี้ไปนั่งข้างเตียงพี่เดือน ลมหายใจของเขาเข้าออกเป็นระยะแสดงถึงการยังมีชีวิตอยู่ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมวางใจลงไปมากเท่าที่ควรจะเป็น ถ้าเกิดจู่ๆพี่เดือนช็อกขึ้นมาอีกล่ะ? ถ้าจู่ๆพี่เดือนไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ?
ผมกลายเป็นคนคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“คืนนี้กุมภ์จะเฝ้าพี่เดือนใช่มั๊ย? ให้อยู่เป็นเพื่อนรึเปล่า?” พี่มะยมถามผม เขาสะพายกระเป๋าที่ติดมาด้วย ถามผมด้วยความเป็นห่วง “อยากกินอะไรเพิ่มรึเปล่า? ให้พี่ไปช่วยลาอาจารย์ที่คณะให้เอามั๊ย?”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมส่ายหน้าพลางยิ้มอ่อน “พี่พานทีมันกลับไปด้วยเลยนะครับ ผมอยู่ได้”
“มึงแน่ใจนะว่าอยู่ได้?”
“อืม กูอยู่กับพี่เดือนนี่นา” ผมหันหน้าไปมองพี่เดือนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง “ถ้ามีอะไรก็เรียกพยาบาล...ง่ายจะตาย”
“แล้วแต่นะ ถ้าไม่ไหวก็โทรเรียกเพื่อน ใครก็ได้” นทีลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังพี่มะยมไป “มึงยังมีพวกกูคอยช่วยเหลือ ถ้ายืนคนเดียวไม่ไหวพวกกูก็จะช่วยพยุง กูรู้ว่ามันน่ากลัวสำหรับมึง”
นทีทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เขาเดินออกจากห้องจนผมแน่ใจแล้วว่าจะไม่ย้อนกลับมา ผมจึงฟุบหน้าลงกับข้างเตียงของพี่เดือนแล้วร้องไห้เงียบๆ
ใช่ ผมยังกลัวอยู่
วินาทีที่พี่เดือนช็อกต่อหน้าผม ผมแทบจะทำอะไรไม่ถูก ที่ทำได้ก็เพราะเพื่อนช่วยประคองสติผมให้รอดตลอดฝั่ง ผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าอะไรไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ผมจะอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูกทันที พอมาเจอเรื่องกะทันหันที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ผมก็ยิ่งนิ่งเป็นหุ่นไล่กา
มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นที่พึ่งของใครไม่ได้
“ผมขอโทษ...ที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย...”
ถ้าพี่เดือนไม่ได้หลับ เขาก็คงจะลุกขึ้นมาใช้มือนุ่มๆของเขาลูบเส้นผมสีน้ำตาลแล้วกระซิบข้างหูของผมว่า ‘ไม่เป็นไร’ แน่ๆ
แต่นี่ไม่ใช่ พี่เดือนยังคงหลับและใช้ชีวิตในโลกแห่งความฝันอยู่ ผมอยากรู้เสียจริงว่าพี่เดือนกำลังฝันถึงอะไร ฝันว่าผมกับเขาใช้ชีวิตด้วยกันในวันธรรมดาที่แสนจะร้อน หรือฝันว่าเขาได้ไปอยู่โลกอีกฟากหนึ่งกัน
ถึงจะฝันยังไงผมก็ไม่มีทางรู้ได้ ผมรู้เพียงแค่ว่าในห้องนี้มีผมที่กำลังจะอ่อนแอลง จิตใจของผมมันเริ่มช้ำเพราะความกลัวที่มากขึ้น
โลกของผู้ใหญ่...โลกของชีวิตจริง...มันน่ากลัว
เราไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น สมัยมัธยมผมคิดเพียงแค่ว่าผมสามารถรับมือกับมันได้แน่นอน แต่พอมาเจอจริงๆมันกลับเป็นคลื่นสึนามิที่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ซัดเข้ามากระหน่ำความรู้สึกของผมก่อนที่จะสงบลงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าผู้ใหญ่สามารถทนกับความเจ็บปวดพวกนี้ได้ยังไงเมื่อพวกเขาเห็นคนที่รักต้องมาทรมาน หรือว่าเขาคิดกันง่ายๆเช่น ‘เดี๋ยวก็ผ่านไปได้ด้วยดี’ เหมือนในนิยายและละครน้ำเน่า?
“...พี่เดือนรีบตื่นขึ้นมานะ เดี๋ยวพี่ก็ไม่ทันได้ทำงานโปรเจ็คหรอก...”
น้ำเสียงของผมมันแหบพล่าจากการที่ร้องไห้สะอื้น หันดูนาฬิกาอีกทีนี่ก็ตีสี่แล้ว ผมไม่ได้หลับเลยตลอดเกือบแปดชั่วโมง นี่ผมนั่งคิดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่รู้ตัวเลยสินะ? บ้าบอชะมัด...
อีกแค่สองชั่วโมง...แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ก็จะปลุกพวกเรา เพียงแค่ที่นี่ไม่ใช่ห้องที่พวกเรานอนด้วยกันบนเตียงนุ่มๆ แต่เป็นห้องที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ และผมไม่รู้ว่าพี่เดือนจะตื่นขึ้นมากี่โมง
“บุญรักษาจริงๆ...ขอบคุณที่พามาส่งโรงพยาบาลทันนะ”
พ่อพี่เดือนเข้ามาที่ห้องพี่เดือนช่วงประมาณเที่ยงได้พร้อมกับน้องชายของเขา หนึ่งเข้าไปยืนใกล้ๆเตียงของพี่ชายแล้วบีบมือด้วยความเป็นห่วง
“เดือนไม่เคยเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้มานานแล้วล่ะถ้านับจากสมัยเด็กๆที่รู้ตัวว่าแพ้กุ้ง”
“ครับ...”
“เหนื่อยใช่มั๊ย? พักก่อนรึเปล่า? เหมือนไม่ได้นอนด้วยนี่นา” พ่อพี่เดือนยิ้มให้ผม เขาค่อยๆพยุงร่างที่เริ่มไม่มีแรงเดินของผมไปที่โซฟา แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมว่าจะไปหาอะไรกินก่อนครับ”
“จะเดินไหวเหรอ? ให้หนึ่งไปเป็นเพื่อนมั๊ย?”
“ลำบากน้องเขาเปล่าๆครับ อีกอย่างผมก็ไม่ถึงขั้นว่าจะไร้สตินี่นา” ผมพูดติดตลก ซึ่งผมคิดว่าทั้งพ่อและน้องชายคงไม่มองเป็นเรื่องตลก “ผมไปเองได้จริงๆครับ”
“ก็ได้ๆ ถ้าไม่ไหวก็เรียกพยาบาลนะ เมื่อคืนคงจะกลัวมากๆเลยล่ะสิ”
“...” เขารู้ได้ยังไงกัน?
“สายตามันบอกชัดเจนเลยว่าลูกกำลังกลัวสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น...ไม่เป็นไรนะ พ่อเชื่อว่ายังไงต้องผ่านพ้นไปได้ ตอนนี้เราอาจจะยังไม่เข้มแข็งพอ แต่ในสักวันเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ เราจะรู้ว่าต้องว่าต้องรับมือกับมันยังไง”
“...”
“พักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวจะล้มหมอนนอนเสื่อเอา”
“ครับ”
ผมเดินออกมาจากห้องด้วยสภาพที่จิตใจไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ ผมเข้าใจดีว่าพ่อพี่เดือนอยากจะปลอบผม แต่ด้วยความที่สมองผมมันตื้อไปหมดทำให้รับฟังได้ไม่ดีเท่าที่ควร จับประเด็นได้แค่ว่าเมื่อเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ผมจะรู้ว่าต้องรับมือยังไง
หลังจากที่เข้าไปหาเครื่องดื่มร้อนๆดื่มที่คาเฟ่ที่เดิม ผมก็ยังคงนั่งบนโต๊ะไม่ไปไหน ผมยังไม่อยากขึ้นไปกวนเวลาครอบครัว ถ้าพี่เดือนตื่นแล้วพ่อเขาก็คงจะโทรมาบอกเองนั่นแหละ
ชาร้อนยังคงส่งควันปุ๋ยตรงหน้าผม บางทีผมก็คิดนะว่าควันนี่คือชีวิตมนุษย์ ลอยขึ้นมาให้รู้ว่ามีตัวตนและจางหายไป เหมือนกับการที่คนเราเกิดมาเพื่อมีตัวตนและตายจากเมื่อหมดหน้าที่ พี่เดือนเพิ่งผ่านวินาทีชีวิตไปแต่นั่นก็ไม่ได้ยืนยันว่าพี่เดือนจะอยู่กับผมตลอดไปสักหน่อย
ความตาย...มันเป็นสิ่งที่ตามหลังพวกเราอยู่ทุกวัน
ผมเพิ่งนึกถึงความจริงนี้ขึ้นมาได้
ทำไมยิ่งอยู่คนเดียวผมถึงยิ่งคิดมากกัน ผมอาจจะได้ไปโรงพยาบาลจิตเวทสักวันเพราะความคิดบ้าๆของผมนี่แหละมั๊ง?
ผมใช้เวลาอยู่กับความคิดตัวเองชั่วโมงสองชั่วโมงและกลับขึ้นห้องไปโดยที่กระเพาะได้รับแค่ชาร้อนรสชาติขมๆเท่านั้น หนึ่งทักผมตามมารยาทก่อนที่จะนั่งลงกับโซฟาดูข่าวสารบนโทรทัศน์ต่อ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้รตาเขาจะตามมานะ...ลูกจะอยู่ด้วยรึเปล่า?”
“ตอนบ่ายผมจะไปเรียนครับ ผมไม่อยากขาดเกินสองวัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้เจอกันตอนเช้าก่อน” พ่อพี่เดือนลูบหัวผมเบาๆ “ไม่ว่ารตาเขาจะพูดอะไรก็อย่านำไปคิดมากจนไม่มีสมาธิทำอะไรเลย บางครั้งรตาก็หลุดสติพูดอะไรกระทบจิตใจคน”
“ครับ”
“...ดูอ่อนแอลงชัดเจนเลยนะ”
ผมมองหน้าพ่อพี่เดือนอีกครั้งด้วยความแปลกใจในตัวของผู้ชายคนนี้ที่เหมือนจะจับทางผมได้ทุกอย่าง
“เดือนพูดว่าตัวลูกเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถผ่านไปได้ แต่พอเป็นเรื่องของเดือนกลับอ่อนแอลงชัดเจน”
“ถ้าเกี่ยวกับที่รอบตัว...โดยเฉพาะคนที่ผมรัก...ผมจะคิดมากทันทีครับถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา” ผมหลับตาลงช้าๆ “ถ้าเกิดว่าผมไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ทัน ถ้าเกิดว่าเขาเป็นอะไรไปแล้วผมทำได้แค่ยืนมอง...ผมจะกลายเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่นหรือเปล่า? ถ้าเกิดว่าคนมองผมว่าเป็นคนที่ไม่สามารถพึ่งพาได้จะยังมีใครที่รักผมหรือไม่...”
“แต่อย่างน้อยลูกก็อยู่กับเดือนตลอดเวลานะ ทำให้เขารู้ว่าในเวลาเป็นเวลาตาย ลูกยังอยู่ข้างเขา ถึงลูกจะทำอะไรไม่ได้ แต่ลูกก็เป็นกำลังใจของเขา”
“...”
“ที่เดือนสามารถผ่านมาได้ ก็เพราะเขาอยากจะอยู่กับลูกต่อไป เขาอยากจะได้กำลังใจในการใช้ชีวิตจากลูกต่อไป อยากจะเดินไปข้างกันอีกหลายสิบปี เข้าใจที่พ่อพูดใช่มั๊ย?” เขามองไปที่เตียง สายลมค่อยๆพัดผ่านเข้ามาทำให้ม่านสีขาวสะอาดตาค่อยๆพลิ้วไหว ใบหน้าพี่เดือนดูมีชีวิตขึ้นมาอีกหน่อย “โลกของผู้ใหญ่ยังมีอีกหลายอย่างที่แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยความสุข มีชีวิตบนความทุกข์ให้ได้”
“ฟังดูเหมือนว่ามันจะตลกร้ายนะครับ”
“มันก็ตลกร้ายอยู่นะ เพียงแค่ว่าไม่มีหรอกที่เราจะอยู่แบบมีความสุขตลอดไปเช่นในนิทาน เราไม่รู้เรื่องราวหลังจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษเขียนว่าจบ ถึงจะเขียนเอาไว้ในตอนท้ายประโยคว่า ‘และแล้วพวกเขาก็มีความสุขด้วยกันตลอดไป’ ก็เถอะ
“มันมีทั้งความขมขื่น มันมีทั้งความเสียใจ ซึ่งเรื่องพวกนี้มันสามารถบำบัดได้ถ้าเราได้เดินจับมือใครสักคนที่เข้าใจเรา ที่รักเรา ที่ยอมรับเรา
“สำหรับเดือนแล้ว ชีวิตที่ผ่านมาก็คงเหมือนนิทาน ที่แม้จะเขียนว่าจบสวย แต่ความจริงมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขากระอั่กกระอวน จนกระทั่งมาเจอกับกุมภ์ที่เป็นหน้าต่อไปหลังจากคำว่าจบนั้น จากเพียงแค่บรรทัดเดียวก็กลายเป็นหนึ่งหน้า จากหนึ่งหน้าก็กลายเป็นหนึ่งบท จากนั้นก็กลายเป็นเล่ม เป็นหนังสือที่มีเล่มต่อไป เป็นหนังสือที่เขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากคำว่าจบในชีวิตก่อนหน้านั้น”
“ครับ...”
“ชีวิตลูกก็เหมือนกันนะ ก่อนหน้านั้นลูกอาจจะมีคำว่าจบในหนังสือเล่มก่อนของตัวเอง แต่ตอนนี้ลูกกำลังเขียนหนังสือเล่มใหม่ เป็นเล่มที่เขียนด้วยกันกับเดือน”
“เล่มที่เขียนด้วยกัน...เหรอครับ?”
“อนาคตไม่ใช่สิ่งแน่นอน แต่ลูกก็คงไม่อยากให้หนังสือที่เขียนด้วยกันกับเดือนมันมีคำว่าจบเร็วขนาดนั้นหรอกใช่มั๊ย?”
ผมพยักหน้า
“ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จงอย่าหยุดเขียน แม้ว่าจะมีสิ่งที่รุมเร้ามากแค่ไหนก็ตาม ถ้าพวกลูกจับมือด้วยกันเขียนหนังสือเล่มนี้ พวกลูกก็จะสามารถผ่านไปด้วยกันได้” พ่อพี่เดือนยิ้มอีกครั้ง “จงอย่าโทษตัวเองแล้ววางมือจากการเขียนหนังสือเล่มนี้”
...
แสดงว่าที่ผ่านมาผมกำลังโทษและลดคุณค่าตัวเองสินะ?
“ขอบคุณที่เตือนสติผมนะครับ” ผมยกมือไหว้เขา ก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างๆพี่เดือน มองใบหน้าที่คลี่ยิ้มเล็กๆแล้วลูบข้างแก้มด้วยนิ้วเบาๆ
พี่เดือนน่าจะรับรู้ได้ว่ามีอะไรมาเกาะข้างแก้มเขา เขาถึงมีอาการขยับใบหน้านิดๆเหมือนจะหลบเพราะรำคาญ ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาครั้งแรกนับจากที่พี่เดือนเข้าห้องไอซียู
“รีบตื่นนะครับ จะได้กลับไปที่ห้องนอนกอดกันไง” วันต่อมาช่วงบ่ายๆหลังจากที่ผมเจอกับแม่พี่เดือนแล้วผมก็มาเรียนด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ผมจำได้ว่าล่าสุดที่นอนไม่พอก็ช่วงม.5 ที่เผลอโหมร่างอ่านหนังสือหนักเกินไปหน่อย พอเพื่อนเห็นผมก็ถามกันใหญ่ว่าพี่เดือนเป็นอะไรไปถึงได้เข้าโรงพยาบาล ผมก็ตอบเพียงแค่ว่าเขาแพ้อาหาร
หลายคนเหมือนกันที่ถามว่าพี่เดือนอยู่โรงพยาบาลไหน จะได้แวะเข้าไปเยี่ยม ผมก็ยินดีที่จะตอบ อย่างน้อยก็ช่วยทำให้เขารู้ว่าก็ยังมีคนที่ห่วงเขามากกว่าที่คิด
กลับกันถ้าเป็นผมจะมีใครที่คิดแบบนี้รึเปล่านะ?
“แล้วพี่เดือนจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่เหรอ?”
“ก็จนกว่าจะอาการดีขึ้นเยอะนั่นแหละ”
แนนถามผมในขณะที่พวกเรากำลังจดเลคเชอร์ในจอโปรเจ็คเตอร์อยู่ เมื่อหมดคาบผมก็เดินไปที่โรงอาหารกลางคนเดียวเพราะจะไปหาพ่อเดือนมหาลัยคนใหม่ที่กลับมาอยู่ในสภาพเด็กแว่นเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ผมรู้สึกว่าขาผมมันสั่นแปลกๆ
สงสัยนั่งนานเกินไปเลยกล้ามเนื้อล้า
ผมมาถึงโรงอาหารกลางที่มีนทีกำลังนั่งฟังเพลงอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงชน ไม่มีใครรับรู้ว่ามันคือเดือนมหาลัยเนื่องจากทรงผมที่เปลี่ยนไปจากคืนวันขึ้นเวทีและแว่นหนากว่าหน้านั้น เขาสั่งอาหารเอาไว้ให้ผมแล้ว
“ว่าไง”
“ว่าไง” ผมตอบกลับไปจากนั้นก็ลงมือจัดการอาหารที่นทีซื้อมาไว้ แต่ยิ่งกินผมก็ยิ่งรู้สึกว่าผมเบื่ออาหารยังไงยังงั้นจนผมหยุดในคำที่ห้า
“กินไม่ลงเหรอ?”
“อืม...”
“มึงไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้นะ ลองไปฟังเพลงทำใจให้สงบสักพักดูก็ได้” นทีแนะนำผม แต่มันก็อดทำให้ผมหยุดปากที่จะถามไม่ได้ว่าเขาผ่านเวลาแย่ๆไปง่ายๆได้ยังไงกัน ผมจึงเอ่ยปากถามไป
“เอาแบบจากใจหรือว่ารักษาหน้า?”
“จริงใจ”
“กูยังคงติดอยู่ในช่วงเวลานั้น” นทียิ้มบาง “กูทำใจไม่ได้หรอก กูทำได้เพียงแค่ยิ้มรับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเชื่อมั๊ยว่าบางทีมันดีกว่าที่เราต้องเผชิญกับความเป็นจริงอีก กูแนะนำอะไรมึงไม่ได้เพราะกูมันอ่อนแอกว่าที่มึงคิด”
เขากำลังสื่อว่าเขาหลอกตัวเองเพื่อให้สามารถเผชิญกับเรื่องเลวร้ายไปให้ได้ในวันๆ
“ทุกคนมีวิธีการที่แตกต่างกัน มึงจะมองว่ากูกำลังหลอกตัวเองอยู่ แต่เชื่อเถอะนะว่านั่นเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดกับกูแล้ว”
นทีเองก็มีเหตุผล พวกเราไม่สามารถบังคับใครได้ว่าจะคลายความเครียดแบบไหนหรือจะใช้วิธีไหนในการกำจัดปัญหาของตนเอง ผมพยายามฝืนตัวกินข้าวต่อไปและตอนเย็นจะได้ไปเฝ้าพี่เดือนอีกคืน
พอกินเสร็จผมก็ไปเรียนต่ออีกคาบแล้วนั่งแท็กซี่มาที่โรงพยาบาล ระหว่างเดินผมเริ่มรู้สึกว่าเท้าของผมมันหนักขึ้นเรื่อยๆ ความมึนเริ่มเข้ามาแทนสติของตนเอง จนกระทั่งผมพาตัวเองมาถึงห้องพี่เดือน ครอบครัวพี่เดือนกำลังนั่งอยู่ด้วย ผมจึงยกมือไหว้ทั้งสามคน มีเพียงแค่แม่พี่เดือนที่มองผมเฉยๆเหมือนกับว่าสแกนตัวผมยังไงยังงั้น
“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ เทียวไปเทียวมา” พ่อพี่เดือนทักทายผม ก่อนที่หนึ่งจะเดินเข้ามายื่นถุงผลไม้ให้
“พี่ดูเหนื่อยมากเลยนะครับ รับน้ำตาลจากผลไม้สักนิดหน่อยดีกว่า”
“ขอบคุณมากนะ” ผมตอบกลับแต่ไม่ได้รับถุงผลไม้มาถือเอาไว้ ลากเก้าอี้ตัวเดิมไปนั่งข้างพี่เดือน
“เดือนเขาตื่นขึ้นมารอบนึงแล้วนะ ถามใหญ่เลยว่าน้องไปไหนๆ” พ่อพี่เดือนหัวเราะ “แถมยังพยายามจะบังคับให้พ่อโทรหาอีก”
“เดี๋ยวก็คงตื่นขึ้นมาโวยวายอีกรอบนั่นแหละครับ” ผมหัวเราะกลับ แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะตัวเอง
“...เดี๋ยวนะ” แม่พี่เดือนพูดขึ้นมาแล้วก็เดินเข้ามาหาผม “อาการเธอแปลกๆตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วนี่นา”
“ผมฝืนตัวเองไปนิดแต่ก็ยังไหวครับ”
“อย่ามาดูถูกสายตาหมอนะ เธอดูเหนื่อยเกินไปจนจะไม่ไหวแล้วจริงๆ ไปตรวจก่อนดีกว่ามั๊ย?” แม่พี่เดือนพยายามจะให้ผมไปหาหมอ แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ทำไมดื้ออย่างนี้กัน”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ แต่ผมยังไหวจริงๆ” ผมขอตัวลุกขึ้นเพื่อไปล้างหน้าในห้องน้ำเรียกสติ “ตบหน้าด้วยน้ำสักนิดก็คงจะดี...ขึ้น”
แต่ทำไมกันนะที่จู่ๆผมก็ล้มลงไปกับพื้น...
ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่ามีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ที่แขนผม
“ผู้ป่วยมีความเครียดสะสมและได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่โดยรวมไม่มีอาการที่ร้ายแรงมาก เดี๋ยวหมอจะให้น้ำเกลือพร้อมกับให้ค้างคืนสักคืนนะครับ”
“ขอบคุณมากนะครับ ตกใจหมดเลยที่จู่ๆก็ล้มลงไป”
“บางครั้งความเครียดก็สะสมมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่อิ่มตัว ซึ่งมันส่งผลต่อสุขภาพเราได้ ถ้าเกิดว่าทำได้ก็พยายามให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายนะครับ”
“หมอครับ คือว่าผมมีเรื่องที่อยากจะทราบด้วยครับ”
“ครับ”
“พอดีว่าหลังจากที่แฟนเขา...ลูกผมช็อกต่อหน้าเขาแล้วนอนโรงพยาบาล เขาก็คิดมากจนบางครั้งผมใจไม่ดีเวลาที่เขานั่งเหม่อ ถึงผมจะช่วยพูดให้ดีขึ้นมาบ้างแต่ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี หมอว่าผมควรพาเขาไปปรึกษาจิตแพทย์รึเปล่าครับ?”
“ในกรณีนี้ผมก็ไม่สามารถให้คำตอบได้นะครับ แต่ถ้าให้ผมพูดในฐานะผู้ชายคนหนึ่งล่ะก็ ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาจะยอมไปพบหรือไม่ ความเครียดมันมาจากหลายๆอย่างและบางครั้งก็สามารถทำให้คนเราพูดอะไรแปลกๆได้เช่นกัน การไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรทั้งสิ้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีบางส่วนที่เข้าใจผิดคิดว่าการไปพบจิตแพทย์คือการไปรักษาอาการทางสมอง”
“ขอบคุณครับ”
ผมยังคงหลับตาฟังพวกเขาพูดกัน เรื่องที่อยากให้ผมไปพบจิตแพทย์นั้นผมไม่เถียง บางครั้งใจลึกของผมอยากจะไปตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ บางสิ่งผมไม่สามารถพูดออกมาให้พี่เดือนฟังได้เพราะกลัวว่าเขาจะคิดมากแทนผมเสียอีก
“รตา...เอาจริงๆนะ คุณเองก็ห่วงเด็กคนนี้ใช่มั๊ย?”
“ไม่ห่วงสิบ้า เด็กคนนี้ทำให้เดือนยอมทิ้งสิ่งที่ฉันปูทางมาตลอดจนฉันเริ่มสงสัยว่ามีอะไรดีนักหนาจนมาเห็นกับตาตัวเอง”
“งั้นคุณบอกผมสิว่าเห็นอะไรในตัวเด็กคนนี้”
“ความธรรมดาที่ทำให้เดือนรู้จักรักตัวเองมากขึ้น ฉันคอยมองพวกเขาห่างๆและเคยดูถูกว่ายังไงก็ไปกันไม่รอดจนมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นห่วงเดือนมากแค่ไหน มากถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับแทนคนเป็นแม่อย่างฉัน” แม่พี่เดือนถอนหายใจ “มันคงถึงเวลาที่ฉันต้องปล่อยวางจริงๆแล้วนั่นแหละนะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เฝ้ากุมภ์ด้วยนะ ตื่นขึ้นมาจะได้คุยปรับความเข้าใจกัน” ผมไม่ได้หลับ...ผมกำลังฟังในสิ่งที่แม่พี่เดือนพูดอยู่ และผมอยากขอบคุณที่ในที่สุดแม่พี่เดือนก็ยอมที่จะปล่อยให้พี่เดือนเป็นอิสระจากกรงจริงๆเสียที
ผมค่อยๆปล่อยวางจากสิ่งที่ทำให้คิดมากมาตลอดและขอหลับให้เต็มตื่นสักครั้งโดยที่หวังว่าพี่เดือนจะไม่มาโวยวายงอแงที่ผมห่วงเขาจนป่วยเสียเอง ไม่งั้นแทนที่ผมจะบ่นพี่เดือนจะกลายเป็นที่พี่เดือนบ่นผมจนหูชาแทนเสียเอง
หนังสือที่ผมกับพี่เดือนเขียนด้วยกัน...ผมไม่อยากให้จบเร็วเกินไป
บางทีวิธีคลายเครียดของผมนั้นจะเป็นการที่ได้นอนปล่อยวางเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆ...แค่นี้เองก็ได้
--------------------
ช่วงดราม่าอิสคัมมิ่ง มันยังไม่จบ มันยังมีต่อ และมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รักนะคะ จุ๊บ
ป.ล. ความจริงดราม่าไม่แรงขนาดนั้นหรอก ฮิฮิ