Chapter 13
ข้างฐิติที่ถูกทิ้งไว้ที่ร้านอาหารเพียงลำพังทั้งโมโหแล้วก็ไม่พอใจ คนงี่เง่าแบบเอรีสที่ทั้งเอาใจยากแถมถืออำนาจและสั่งเป็นนิสัย แต่เรื่องที่ขัดใจฐิติมากที่สุดคงเป็นเรื่องที่เอรีสไม่ยอมให้เขาเข้าไปร่วใวงสนทนากับมิสเตอร์เจซีนี่ล่ะ ไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรไปถึงไหนแล้ว
คิดได้ดังนั้นฐิติจึงหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาคนที่เขาคิดถึง แต่ไม่ว่าจะโทรหาเท่าไรปลายสายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับ ความหงุดหงิดจากเรื่องาน กำลังถูกเพิ่มเติมมาเป็นความหงุดหงิดจากคนรักด้วยยิ่งทำให้ฐิติใกล้ถึงจุดเดือดเข้าไปใหญ่
นานนับสิบนาทีกว่าที่อีกฝ่ายจะโทรกลับ
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ครับ อยู่กับใคร” พออีกฝ่ายโทรกลับมาเจ้าตัวก็ส่งสัญญาณความไม่พอใจกลับไปในทันที
“ผมอาบน้ำอยู่ ขอโทษนะ”
เสียงนุ่มหวานหูส่งกลับมาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีเลย เพราะเท่าที่รู้นิสัยของแฟนหนุ่มมันชวนมีเรื่องให้ระแวงใจโดยตลอด มีหลายครั้งที่เขานอกใจจนถูกจับได้ หลังๆ เข้าเจ้าตัวเลยไม่นึกไว้อกไว้ใจผู้เป็นคนรักสักเท่าไร
“อาบน้ำจริงหรือเปล่า วีดีโอคอลเลยครับ ผมอยากเห็น”
“ตอนนี้เหรอ” ปลายสายร้องเสียงหลง แต่ยิ่งอีกฝั่งอิดออดเท่าไร คนที่ร้อนใจก็ยิ่งไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยง่ายอยู่ดี
“ใช่ ตอนนี้เลยครับ หรือว่าคุณคอลไม่ได้ครับ ทำไมครับ ไม่สะดวกเพราะอยู่กับใครหรือไงครับ”
“โอ๋ๆๆๆ คนดีของผมงอนอีกแล้ว ไม่เอานะครับผมอาบน้ำอยู่จริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเปิดกล้องครับ” ฐิติยังคงทำเสียงดุใส่
“ได้สิครับ” อีกฝ่ายเปิดกล้อง ภาพเปลือยอกของฝ่ายนั้นจึงปรากฏให้เห็นในสายตา ไม่พอยังไล่กล้องไปด้านหลังห้องตนเองโดยทั่วเพื่อให้อีกฝ่างพอใจ “เชื่อหรือยังครับ เห็นไหม บอกแล้วว่าอยู่คนเดียว”
“ก็ดีแล้วครับที่อยู่คนเดียว” เสียงนั้นอ่อนลง สีหน้าบึ้งตึงเอาเรื่องเมื่อครู่ดีขึ้นตามลำดับ
“กินข้าวหรือยังคนดี กินกับอะไรครับ”
“เพิ่งกินเสร็จครับ แล้วก็เพิ่งกลับมาถึงห้อง
“อร่อยไหม”
“อาหารที่นี่ก็ใช้ได้ แต่น่าโมโหไปสักหน่อยที่ถูกทิ้งไว้ให้กินคนเดียว”
“แล้วเจ้านายล่ะ”
“ทิ้งผมทันทีที่เจอเลขาเก่า น่าโมโหเป็นบ้าเลย ผมไม่เคยเจอใครน่าโมโหแบบนี้มาก่อน ถ้าไม่ติดว่าหล่อแล้วก็รวย ผมว่าคงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ด้วยแน่ๆ”
“หืม เจอกันที่นั่นเหรอ” อีกฝ่ายทำสีหน้าสงสัย แล้วถามอย่างครุ่นคิด
“ใช่ครับ บังเอิญน่าดู พอเอรีสเห็นปุ๊ปก็ลุกพรวดพราดออกไปเลย ทิ้งผมให้ต้องกลับโรงแรมคนเดียว ไม่มีมารยาท”
“ปัถย์มาทำอะไร คุณรู้ไหม”
“ผมไม่แน่ใจครับ แต่รู้สึกว่าเขามากับเพื่อน”
“แล้วเรื่องที่ไปคุยกันวันนี้ล่ะ คุณพอจะได้อะไรมาบ้างไหม”
“ไม่เลยครับ เขาไม่ยอมให้ผมเข้าไปคุย ปล่อยให้ผมรออยู่ด้านนอกเป็นั่วโมง ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญพอดู” ฐิติอธิบายตามความจริง
“แล้วเอกสารล่ะ คุณพอจะได้เห็นบ้างไหม”
“ไม่เลยครับ เขาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อนอก แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะลองหาวิธีดูก่อนว่าจะเอาข้อมูลมาได้ยังไง”
ฐิติยังคงพูดให้ฝ่ายแฟนหนุ่มเบาใจ ยังไงเสียเขาก็จะไม่ยอมมาที่นี่แล้วเสียเที่ยวโดยไม่ได้ข้อมูลอะไรไปแน่
“โครงการนี้สำคัญมานะ ผมอยากได้โครงการนี้ด้วย”
“ผมจะช่วยคุณเองครับ คุณเชื่อใจผมได้”
“ผมเชื่อใจคุณเสมอ” ฝ่ายนั้นพูดเอาใจ “พักผ่อนเถอะ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“คุณเองก็พักผ่อนเยอะๆ นะครับ แล้วก็อย่าออกไปเที่ยวนะครับ”
“ไม่ไปครับ”
{ปัถย์}
“ให้โอกาสฉัน”
“…”
สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ผมรู้สึกถึงความไม่มั่นคง... ทั้งไม่มั่นคงทางอารมณ์ ความนึกคิด และการตัดสินใจ
สติและสมองบอกว่า ‘อย่าเชียวนะ’ แต่หัวใจของผมกลับร่ำร้อง เพรียกหา เต้นเร่าๆ อยากโผเข้าใส่ ส่วนลึกที่ผมพยายามซุกซ่อนไว้ คือ...ขอให้เขารักผม ให้เขาต้องการเพียงผม และขอให้เขามีเพียงผม...
ถึงที่สุดแล้วคนที่เป็น Loser ตัวจริงก็ยังคงเป็นผมอยู่วันยันค่ำ แม้เอรีสจะเป็นคนที่เปล่งวาจาเว้าวอน แต่คนที่ต้องการร้องขอความเห็นใจมันกลับกลายเป็นผมเอง
ดูเถอะ ใครกันแน่ที่ต้องการความเมตตา เอรีสหรือว่าผม?
เมื่อได้เห็นสีหน้าอมทุกข์ของเอรีส หัวใจบางๆ ของผมก็เจ็บร้าวไม่ต่างกัน แม้ความโดดเดี่ยวที่ผ่านมาในชีวิตจะหล่อหลอมให้ผมกล้าแกร่งยามต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์หรือความผิดหวัง แต่ในยามที่เห็นดวงตาไร้ซึ่งความสุขขเองเอรีสผมกลับเหมือนตัวเองใกล้แหลกละเอียดเป็นผุยผงเสียให้ได้
ผมไม่รู้ว่าการโอกาสมันจะดีต่อเราทั้งคู่ไหม หรือจะเป็นแค่การประวิงเวลาแห่งการสูญเสียให้ทอดยาวออกไป ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดว่าจะมีวันนั้นจริงหรือ จะมีโอกาสแบบนั้นจริงๆ?
ทั้งที่ผมเฝ้ารักเอรีสมาก็หลายปี เห็นในทุกๆ รายละเอียดความสัมพันธ์ก็เรียกได้ว่าเกือบทุกครั้ง สุดท้ายคนที่เอรีสรักใคร่ใยดีจริงจังไม่เคยปรากฏให้เห็นเป็นตัวเป็นตน
“คุณจริงจัง? ที่คุณต้องการคือตัวตนที่เป็นผม... หรือผู้ช่วยคนเดิมที่รู้งาน คนที่ทำงานรู้ใจคุณทุกอย่าง”
คำถามนี้ผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรก หากว่าผมไม่ได้ถามออกไป ผมคงค้างคาใจไปตลอดชีวิต
“ทุกอย่าง...” เอรีสตอบกลับมาแบบไม่อ้อมค้อม
“…”
“ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภ อยากได้ไปหมดทุกอย่าง จะผู้ช่วยคนเดิมที่รู้ใจรู้งาน เพื่อนกินข้าว คนที่นั่งรถไปไหนมาไหนด้วยกัน คนคุยตอนรถติด หรือแม้แต่กระทั่งคนที่อยู่ข้างๆกันในวันที่ฉันไม่มีใคร... แล้วเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ฉันก็รู้ว่าฉันอยากตื่นตอนเช้าแล้วเจอนาย นั่นคือทั้งหมดที่ฉันอยากจะได้”
เอรีสตอบกลับมาแบบที่ไม่มีความลังเล ดวงตาที่มุ่งมั่นของเขาทำให้ความแห้งแล้งในจิตใจของผมมีชีวิตชีวาขึ้น
“คุณเรียกร้องจากผมเยอะมาก”
“ก็ใช่ ถ้าทุกอย่างที่เป็นนาย ฉันก็ยากได้มันทั้งหมด”
“แล้วถ้าผมให้สิ่งนั้นกับคุณไม่ได้”
“ฉันก็จะไม่ยอมแพ้ แต่ฉันไม่ได้ทำเพราะอยากเอาชนะหรอกนะ ฉันแค่อยากมีนาย ฉันแค่อยากซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองให้มากๆ ไม่อยากห่างจากนายอีกแล้ว อยากบอกว่าเสียใจที่ตลอดเวลาผ่านมาฉันไม่ได้ใส่ใจ...เรื่องระหว่าเรา” ดวงตาเอรีสบ่งบอกว่าเขารู้สึกแย่จริงๆ
“ไม่ใช่ไม่ใส่ใจ แต่สายตาของคุณมัวแต่มองคนอื่นอยู่”
“ก็เพิ่งมารู้ว่าตัวเองบางทีก็โง่เหมือนกัน แก้ตัวตอนนี้คงไม่ทันแล้วใช่ไหม”
“หึหึ” ผมหัวเราะ “คุณก็ไม่ได้ผิดอะไร คุณแค่เป็นในแบบที่เคยเป็นมาตลอด”
“นี่ไง ขอโอกาสอยู่เนี่ย เราได้ลองเรียนรู้กันได้ไหม ไม่ใช่แค่เจ้านายหรือลูกน้อง”
“แต่ก็ยังไม่ใช่คนรัก?”
ผมรู้ว่าเอรีสไม่พร้อมจะลงหลักปักฐานกับใครจริงๆ เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบคู่รักกับใคร จะมีก็แค่คู่เดทที่ข้ามผ่านไปจบด้วยการเป็นคู่นอน
“คุณจะต้องการผมอีกนานแค่ไหนครับ ที่ผ่านมาคุณคบใครก็ไม่เคยเกินครึ่งปี”
“ทำไมไม่คิดบ้างว่ายังไม่เจอคนที่ใช่” เสียงนั้นเบา หากจริงจังและแน่วแน่
ผมมองสีหน้าและแววตาสำนึกผิดของอีกฝ่าย แต่ใช่ว่าเอรีสจะดูหมอบราบคาบแก้วเสียทีเดียว ยังไงเสือก็คือเสือ เพราะท่าทางผึ่งผายองอาจในตัวเขายังข่มขวัญความตั้งใจจริงของผมได้
“แล้วถ้าผมเองก็ยังไม่ใช่ล่ะ ระหว่างเรา... ก็จะเหมือนอย่างที่คุณเคยเบื่อคนที่ผ่านๆ มาแบบนั้นหรือเปล่า”
“อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินฉันจะได้ไหม อดีตย้อนกลับมาไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้านายให็ฉันได้แก้ตัว... ฉันจะทำทุกอย่างให้ดีสำหรับเรา”
เอรีสขยับรุกไล่เข้ามา เราทั้งคู่ห่างกันไม่มาก กลิ่นน้ำหอมอันคุ้นเคยลอยผ่านปลายจมูก ฝ่ามือหน่ของเอรีสจับข้อมือของผมไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็รั้งต้นคอผมไว้เพื่อไม่ให้ผมถอยหนี ใบหน้าคมเข้มและแววตาเป็นประกายตรึงผมไว้กับที่ โสตประสาททั้งหมดของผมเปิดการรับรู้ หัวใจผมเต้นตึกตัก มันสั่นสะท้านรุนแรง มือเริ่มชื้นเหงื่อทว่ากลับเย็นเฉียบ ร่างกายผมแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ จะถอยหนีก็ไม่กล้า จะขยับเข้าหาก็ไม่ได้
เราสบตากัน ผมพยายามอ่านความคิดในใจของอีกฝ่ายให้ถ่องแท้ไปถึงภายใน ซึ่งไม่ต่างจากเอรีสเลยที่จับจ้องมาที่ผม จนแทบจะกลืนกิน ลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่ที่ข้างกระหม่อม เสียงคลื่นซัดชายฝั่งจากไกลๆ เหมือนเพลงขับกล่อมระหว่างที่เรากำลังสนทนากันอยู่ มือของเอรีสไล่จากต้นคอระหัวแม่งโป้งกับสันกรามของผม นิ้วมืออุ่นปัดผ่านหนักสลับเบาสอดคล้องกับเสียงซัดฝั่งของเกลียวคลื่น แม้จะเป็นการแตะต้องเพียงน้อยนิดเพียงปลายนิ้วสัมผัสแต่ก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง เลือดในการอุ่นซ่านจนแทบเดือด
เพียงชั่ววินาทีริมฝีปากหนาก็บดเบียดลงที่ริมฝีปากของผม แต่แทนที่ที่จะผลักเขาออกไป ผมกลับยอมให้เอรีสไล้ปลายลิ้นกับปากที่ปิดสนิทอย่างใจเย็นไม่เร่งรีบอะไร ปลายลิ้นอุ่นเริ่มแทรกผ่านเข้ามาทีละน้อยจนจากจูบที่เย้าแหย่งบางเบาเมื่อครู่เริ่มเร่าร้อนและเรียกร้องตามลำดับเพราะความโหยหาและคิดถึง
กระทั่งจุมพิตที่ยาวนานนับสิบนาทีถูกขัดจังหวะจากแสงไฟของรถที่ขับผ่านเข้ามา ผมผละออกแต่เอรีสยังคงรัดวงแขนไว้แน่นไม่ยอมให้ผมขยับออกได้ง่ายๆ เขายิ้มอ่อนโยนให้พร้อมกับดวงตาที่ทำให้ผมแทบจะใจอ่อนในทันที
“ผมต้องการเวลาครับ”
“นานแค่ไหน” เสียงนั้นอ้อยอิ่ง ริมฝีปากที่ทาบประกบเมื่อครู่ยังไม่ยอมผละออกไปง่ายๆ
“ผมไม่รู้”
“…พรุ่งนี้มาเอาคำตอบ”
“ไม่เร็วขนาดนั้นครับ”
“สองวัน” เอรีสไล่ริมฝีปากมาที่กรามของผม เคราที่เริ่มขึ้นใหม่ของเขากำลังทำให้ผมจักจี้
“สองเดือนครับ ผมขอเวลาสองเดือน”
“นานไป รอขนาดนั้นไม่ได้หรอก”
“ก็ไม่ต้องรอครับ”
“เฮ้อ!” เอรีสถอนใจแล้วเม้มเบาๆ ทีหนึ่งที่ต้นคอของผม เล่นเอาผมสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว “เดือนเดียว แล้วจะมาทวงคำตอบ แต่ระหว่างนั้นขอร้องว่าอย่าเงียบหายไป แล้วก็อย่า... ไปมีคนอื่น”
“…” ผมเงยหน้ามองเขา เห็นดวงตาหวานเชื่อมที่พาลให้ใจละลาย
“รับปากสิ”
“ครับ”
“นี่ก็ดึกแล้ว คุณควรกลับโรงแรมไปพักผ่อน”
ผมรีบตัดบท เมื่อหัวใจส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังอยู่สภาวะอันตราย...
สุ่มเสี่ยงที่จะเสียหัวใจง่ายๆ ไปอีกครั้ง
“นึกว่าจะชวนให้ไปหาอะไรดื่มบนห้องเสียอีก”
“…” ผมมองจ้องเอรีสแบบดุๆ
“โอเค พรุ่งนี้เช้าจะมารับไปกินข้าวเช้านะ” เอรีสถอนใจ แล้วบอกเสียงอ่อน เขาคงรู้ว่าผมไม่มีทางโอนอ่อนผ่อนตามง่ายๆ และเขาก็ฉลาดมากพอที่จะไม่รุกไล่ให้หงุดหงิดใจไปมากกว่านี้
“ไม่ต้องมาหรอกครับคุณกินที่โรงแรมนั่นล่ะดีแล้ว อีกอย่างผมอยากตื่นสายๆ กว่าผมจะตื่น คุณก็คงหิวจนปวดท้องแล้ว” ผมพยายามบอกปัดแบบอ้อมๆ
“ฉันก็คิดว่าจะตื่นสายๆ เหมือนกัน แล้วก็อยากกินพร้อมนาย มากๆๆๆๆ”
เอรีสยักคิ้วให้ แถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลับมาแบบน่าโมโหอีกต่างหาก ดวงตาที่แน่วแน่อบบนี้รู้เลยว่าต่อให้ดื้อดึงเพียงใดก็ไม่อาจเอาชนะเอรีสได้แน่ๆ
“ถ้าแบบนั้นก็สักแปดโมงแล้วกันครับ คุณพักที่ไหน ผมไปหาเองดีกว่า”
“ไม่เอา อยากมาหา”
“เฮ้อ! ตามใจครับ”
ทั้งๆที่ผมว่าอยากจะนอนตื่นสาย แต่พอถึงเวลาจริงๆ ผมกลับตื่นนอนตั้งแต่ย่ำรุ่ง และใช้เวลานอนครุ่นคิดเรื่องของเอรีสจนเวลาล่วงเลยเกือบเจ็ดโมงเช้าจึงได้ฤกษ์ลุกจากเตียงและใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำพักใหญ่ ออกมาก็แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกับกางเกงยีนขาสั้นแบบง่ายๆ ไม่ได้คิดพิถีพิถันอะไรเป็นพิเศษ
ในเวลาแปดโมงตรง ผมที่เดินลงมาถึงล๊อบบี้ก็เห็นอดีตเจ้านายสุดโหดนั่งรออยู่แล้ว
เราสบตากันนิ่ง เอรีสขยับตัวแล้วยิ้มอ่อนๆ แบบหล่อกระชากใจส่งมาให้ ผมมองเสื้อฮาวายลายดอกแบบง่ายๆ กับผมเผ้าที่ปล่อยตามธรรมชาติ ไร้การจัดแต่งทรง แต่ถึงกระนั้นเอรีสก็ยังดูดีและมีระดับไม่เสียบุคคลิคอันโดดเด่นแตอย่างใด เพราะสาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินผ่านไปผ่านมามีแอบชำเลืองเอรีสบ้างเพราะความสะดุดตาอันเป็นแบบฉบับของเขา
ผมเดินเข้าไปหาเขาและยิ้มตอบให้น้อยๆ
“มานานแล้วเหรอครับ”
“สิบนาที” เสียงทุ้มตอบกลับมา หลังจากเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือนิดหน่อย
“ที่จริงน่าจะพักผ่อนนะครับ”
“ก็บอกว่าจะมาชวนไปกินข้าวเช้าด้วยไง”
“ทำไมต้องทำให้ลำบากล่ะครับ”
“บอกเหรอว่าลำบาก” เอรีสเย้าเสียงนุ่ม ดวงตาดูระยิบระยับเหมือนกับว่ากำลังอารมณ์ดีอะไรนักหนา เขาลุกขึ้น ขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วหยิบแว่นตากันแดดสุดเท่ที่เหน็บไว้ตรงเสื้อขึ้นสวม
“แล้ว... มายังไงครับ”
ผมร้องถามอย่างสงสัย เพราะมองดูแล้วผู้ช่วยคนใหม่ของเขาไม่ได้มาด้วย
“ขับรถมาน่ะ ไปกันเลยไหม”
“ครับ?”
“กินข้าวไง ไปเถอะ”
เอรีสพูดจบก็ลุกขึ้น แถมยังกางฝ่ามือแตะแผ่นหลังของผมจนผมสะดุ้งเล็กน้อย ไม่พอเจ้าตัวยังเอามือมาโอบผมแบบไม่บอกไม่กล่าวเล่นเอาผมรีบผละออกเป็นการด่วน ที่สะดุ้งเพราะปกติเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เอรีสมักจะรักษาภาพลักษณ์ แลละเขาวางตัวค่อนข้างดีไม่มีหลุดมาดอะไรๆ ออกมาง่ายๆ
“ตกใจอะไร” เขายิ้ม แล้วทำสีหน้าล้อเลียนกลับมา จนผมเองถึงกับวางตัววางสีหน้าไม่ถูก
“ถึงเนื้อถึงตัวไปครับ” ผมเผลอพูดอย่างที่ใจคิด
“อะไร นิดเดียวเอง เดทกันก็ต้องมีบ้างล่ะน่า”
“เดทอะไรครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดอยู่ข้างกระหม่อม “พูดแบบนี้ผมไม่ไปด้วยนะ”
“ล้อเล่น อย่าโมโหสิ”
“ไม่ได้โมโหครับ แค่จะบอกว่าอย่างทำรุ่มร่ามกับผม”
“โอเคๆ ไปเถอะ กินข้าวกัน”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เอรีสก็ยังพาดแขนไว้บนบ่าผม ออกแรงน้อยๆ เพื่อให้ผมเดินตามเจ้าตัวออกไปจนถึงที่รถ ผมที่พยายามเบี่ยงตัวออกก็ไม่อาจชนะความดื้อดึงของอีกฝ่ายง่ายๆ
“อยากกินอะไร?” เอรีสถามผมขณะที่กำลังสตาร์ทเครื่องรถยนต์
“แล้วแต่คุณเลยครับ” ผมตอบส่งๆ ไป
“อาหารทะเลไหม” เขาถาม แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดอะไรๆ ไปสักพักแล้วยื่นโทรศัพท์มาให้ผม “เห็นรีวิวของบล๊อคเกอร์ดูน่าอร่อย” เขาหันมายิ้มให้ สีหน้าขอความคิดเห็น
ภาพอาหารทะเลสดๆ มีทั้งปูทั้งกุ้ง แล้วยังมีปลาหมึกอีก จะว่าไปก็น้ำลายสออยู่เหมือนกัน
“ตามใจคุณครับ”
“งั้น... ไปนะ”
“ครับ”
เอรีสขับรถออกจากที่พักของผมมุ่งเข้าสู่ถนนเลียบชายหาด ผมมองสองข้างทางไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดอะไร ผมยังคงจมกับความเงียบ
“จะกลับกรุงเทพฯวันไหน” เอรีสเป็นฝ่ายที่ทำลายความเงียบก่อน
ผมหันไปมองเขานิดหนึ่ง เสี้ยวหน้าที่คุ้นเคยคล้ายกับวันเก่าๆ แต่ครั้งนี้เอรีสเป็นคนขับรถ ไม่ใช่ผม
“ยังไม่แน่ใจครับ คุณล่ะ กลับวันไหนครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะถาม ความอยากรู้ในความเป็นไปเรื่องของเขายังวนเวียนอยู่ในสมองผม
“ตอนแรกจะกลับวันนี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจ”
“…” ผมหลบตา โดยไม่ได้พูดอะไรเราเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วเอรีสจึงขยายความต่อ
“เพราะเจอนาย ฉันเลยว่าจะกลับวันอาทิตย์เลย มีอีกหลายที่นะที่อยากไป ไปด้วยกันนะปัถย์”
“ผมบอกว่าจะไปด้วยเหรอครับ”
“ก็จะขอให้ไปด้วย”
ขณะที่เอรีสกำลับพูดอยู่ เสียงโทรศัพท์ของเจ้าตัวที่ยังคงอยู่บนตักผมก็ดังขึ้น
ผมมองที่หน้าจอแล้วเห็นเป็นชื่อของมิสเตอร์เจซี เลยยื่นส่งคืนให้เขา
“รับให้หน่อย เปิดสปีคเกอร์โฟนเลย”
เอรีสสั่งง่ายๆ ความรู้สึกเหมือนคืนวันที่ผมยังเป็นผู้ช่วยของเขาไม่มีผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องานหรือเรื่องส่วนตัวขอเอรีสไม่มีเรื่องไหนที่ผมไม่รู้
“เอรีสครับ...”
ผมทำท่าจะแย้งว่ามันไม่น่าจะเหมาะ ตอนนี้สถานะของผมเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งถ้าเป็นเรื่องงานที่มีความสำคัญก็ยิ่งไม่ควรใหญ่ ทุกอย่างต้องเป็นความลับของบริษัท คนนอกอย่างเขารู้ไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
“รับสิ ไม่เป็นไรน่า” เอรีสเหมือนจะเดาใจออก ผมที่ยังคงลังเล แต่เอรีสก็ทำทีเป็นไม่สน เสียงโทรศัพท์ก็เร่งเร้าแผดเสียงไปเรื่อยจนผมทนไม่ไหวกดรับให้ในที่สุด
“รับแล้วครับ” ผมเตือน เพราะเอรีสไม่ยอมพูดอะไร อีกฝ่ายที่โทรเข้าก็เงียบเช่นกัน ผมเลยถอนใจแล้วจะต้องเอ่ยกับฝ่ายตรงข้ามแบบเสียไม่ได้ “สวัสดีครับ”
“เอรีสอยู่ไหมครับ”
“พูดเลยมีอะไร” เอรีสทักอีกฝั่ง น่าโมโหที่เขาทำเป็นยึกยักไม่ยอมรับโทรศัพท์ จะมาติดนิสัยเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้แล้ว
“เมื่อกี้ คุณปัถย์เหรอ” ฝั่งผู้สนทนาที่เดาว่าน่าจะเป็นมิสเตอร์เจซีเอ่ยทัก
“อืม ปัถย์” เอรีสครางในลำคอ เหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนยิ้มให้
“ไหนว่าลาออกไปแล้วไง”
“ก็ใช่ ลาออกไปแล้วแต่บังเอิญเจอกันน่ะ”
“เอออย่างนั้นเหรอ... จะโทรมาถามว่าจะกลับวันไหน ถ้าไม่รีบกลับเย็นนี้มากินข้าวด้วยกันสิ ฉันกับอินว่าจะทำบาร์บีคิวริมหาดต้อนรับขณะผู้เข้าร่วมประมูลงาน จัดแบบเล็กๆ เป็นกันเอง”
“ได้ เดี๋ยวไป”
“แล้ว... คุณปัถย์จะมาไหม”
ฝ่ายนั้นถามมา ซึ่งผมที่นั่งฟังอยู่รีบหันไปส่ายหัวไปมา เป็นเชิงเซย์โนกับเอรีสในทันที
“ปัถย์บอก...โอเค” เอรีสบอกอีกฝ่ายคนละเรื่องกับผมเลย
โอ้ย! น่าโมโหจริงๆ
“เอรีส!” ผมกระซิบเสียงดุ โบกมือบอกไม่ไป แต่คนอย่างเอรีสก็ไม่ได้คิดจะฟังอะไรผมอยู่วันยันค่ำ