ตอนพิเศษวันสงกรานต์
ร้อน...
มันจำเป็นต้องร้อนขนาดนี้เลยเหรอครับประเทศไทย
“ไอ้เชี่ยยย!” แต่แดดประเทศไทยก็ต้องชิดซ้ายให้กับงานที่กำลังลุกไหม้ไม่แพ้กัน
“อะไรวะ” ผมหันไปมองไอ้เวสป้าอย่างตกใจ พอกับที่คนอื่นๆ ก็แตกตื่นกับเสียงร้องของมัน
“ไอ้ชิบหาย! Not responding อีกแล้วไอ้สัสส!” พอได้ยินเสียงโหยหวนของเพื่อนรักสิ่งที่ทุกคนทำพร้อมกันคือหันหน้าเข้าคอมและกดเซฟงานที่ทำอยู่
“มึงเซฟยัง” พอเซฟของตัวเองเสร็จก็เดินไปดูใจไอ้คนที่ยกมือทึ้งหัวตัวเองจนผมแทบจะหลุดติดมือ
“ไอ้ตรี~” แต่พอเห็นสีหน้ากับน้ำเสียงที่เรียกชื่อผมก็พอจะเดาคำตอบได้ ยกมือตบบ่ามันสองทีอย่างให้กำลังใจ
“มึงลองดูออโต้เซฟ” พอได้ยินแบบนั้นไอ้เพื่อนตัวดีก็เหมือนตาสว่าง เริ่มเปิดไฟล์ขึ้นมาเช็คทันที
“เป็นไง” อยากจะลุ้นกับมันเหมือนกัน แต่สังขารที่ไม่ได้นอนมาวันนึงก็เล่นเอาลุ้นไม่ไหว
“มันเซฟไม่ถึงที่ทำล่าสุดว่ะ”
“เยอะมั้ย”
“ก็ไม่เยอะ แต่กูขี้เกียจทำใหม่แล้วไง เชี่ยเอ๊ยยย”
เออเชี่ยของจริง ผมเข้าใจเลย ถึงมันจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ยังไงให้งานมีความคืบหน้าก็ยังดีกว่าถอยหลังลงคลอง
ผมตบบ่าไอ้เวสอีกรอบ บอกให้มันทำใจ หาอย่างอื่นทำไปก่อนก็ได้แล้วค่อยกลับมาทำใหม่
“รู้งี้กูออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ดีกว่าไอ้สัส” มันโวยวาย พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง
จะว่าไป นี่ก็เข้าสงกรานต์วันสุดท้ายแล้ว แต่ดูเหมือนคนในสตูจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ คำว่าเทศกาลแทบไม่มีอยู่ในหัวเลยตราบใดที่เดดไลน์ส่งฟนอลมันใกล้เข้ามาทุกที แค่ก่อนสงกรานต์เราต้องเจียดเวลาไปทำขบวนสงกรานต์ของคณะซึ่งเป็นหน้าที่ของเด็กปีสามก็แทบอยากจะร้องไห้เพราะมันกินเวลาทำงานของพวกผมไปมากพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการได้ออกไปพักเปิดหูเปิดตาบ้างถึงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ตาม
“เออ ไปมะ” ใครบางคนเห็นดีเห็นงาม
“ไปเชี่ยอะไรล่ะ!” ไอ้เวสป้าหันไปโวยวายทั้งที่ตัวเองเป็นคนต้นคิด
“กูเห็นพี่ปีห้าแม่งตั้งวงเล่นสาดน้ำอยู่ลานกลางคณะเนี่ย ว่าจะไปแจม”
“จริงป่ะ” แต่ไม่ทันไรก็ตาลุกวาวขึ้นมาทำท่าจเปลี่ยนใจอีก
ผมหัวเราะเบาๆ “เออ ก็ดีนะมึง ไปเอาน้ำราดหัวให้หายร้อนแล้วค่อยกลับมาทำงาน” พอเห็นว่ามีแรงสนับสนุนมันก็ยิ่งได้ใจ ทำท่าระริกระรี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้เป็นคนแรก
“งั้นกูไปละ ช่างหัวงาน!” ว่าพลางกดปิดโปรแกรมพร้อมชัตดาวน์คอมตัวเองทันที
“กูไปด้วย”
“เฮ้ยๆ ไปด้วย” พอมีคนนำ คนอื่นๆ ก็เริ่มลุกตาม คงเพราะอยู่แต่หน้าคอมมานานจนอยากหาที่ระบายเต็มทน
“มึงไปป่ะไอ้ตรี” ไอ้เวสหันมาถาม ผมเลยส่ายหน้ากลับไป
“ไม่เอาว่ะ กูทำตรงนี้ให้เสร็จก่อนคืนนี้จะกลับไปนอนหอ”
“อ่าๆ ตามใจ” ว่าจบมันก็วิ่งนำคนอื่นๆ ออกไปจนหมดสตู ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเรื่องหาอุปกรณ์สาดน้ำกันวุ่นวายไปหมด
ปกติผมก็ไม่ได้อินอะไรกับเทศกาลอยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่คณะนี้ สงกรานต์ไม่ต่างอะไรเลยกับวันธรรมดาที่ยังต้องก้มหน้าก้มตาปั่นงานหลังขดหลังแข็งเพราะหลังเทศกาลคือช่วงเวลาแห่งหายนะขนานแท้ ถึงจะยังมีเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์สำหรับส่งไฟนอล แต่ปริมาณงานที่เหลือก็ทำให้ไม่สามารถใจเย็นได้เลย ยังดีที่อาจารย์เผื่อเวลาโปรดักชั่นให้สองอาทิตย์ ต่างจากเทอมก่อนๆ ที่มีเวลาแค่อาทิตย์เดียว เลยไม่ต้องเร่งเท่าไหร่นัก ยังทำงานตามตารางได้ไม่ถึงกับพีคอะไร
แต่ที่ไม่ออกไปผ่อนคลายกับคนอื่นเป็นเพราะตั้งใจว่าวันนี้จะทำงานให้ได้ตามเป้าแล้วกลับไปนอนที่หอจริงๆ ด้วยเหตุผลเรื่องความสบายกายที่ไม่ต้องนอนหลังขดหลังแข็งอยู่บนฟูกเตี้ยๆ ที่เตรียมมา
แล้วก็อีกเรื่อง... ที่น่าจะเดาได้ว่าคืออะไร
ไม่ได้กลับไปนอนด้วยตั้งสองวัน ป่านนี้คงเหงาแย่
ว่าไปนั่น... ใครเหงากัน ตอนที่โทรคุยกันไม่เห็นจะมีตรงไหนบ่งบอกถึงความเหงาเลยสักนิด เป็นผมซะอีกที่คิดถึงจนอยากจะรีบทำงานให้เสร็จๆ แล้วรีบกลับไวๆ
จะว่าไป โทรไปบอกก่อนดีมั้ยนะ ยังไงซะผมก็ต้องให้เขามารับอยู่แล้ว
“ไอ้ตรี” ขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากำลังจะกดโทรออก เสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ แล้วหันไปมอง
“อะไร... อ้าว” ผมชะงักคำถามตัวเองทันที เมื่อเห็นว่าด้านหลังของไอ้เวสป้ามีใครอีกคนยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในสภาพเปียกปอน แถมหน้ายังถูกดินสอพองพอกไว้จนแทบจะเห็นแต่ตา
“กูไม่ได้ทำนะ” ไอ้เวสป้ารีบยกมือสารภาพทันใด “ลงไปก็เจอพวกพี่ผู้หญิงปีห้ากำลังรุมทึ้งอยู่ กูเลยรีบพามาหามึงเนี่ย”
ยังไม่ทันว่าอะไรสักคำไอ้เพื่อนตัวดีก็สารภาพเป็นฉากๆ ก่อนจะเดินเข้ามากระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน
“มึงช่วยบอกให้พี่เขาอย่าเอาไฟมาเผาคณะเรานะไอ้สัส หน้าเหมือนพร้อมจะวางเพลิงมาก กูกลัว”
ผมหลุดหัวเราะเบาๆ หันไปมองหน้าคนที่เดินเข้ามาวางข้าวของที่โต๊ะผมแล้วก็เห็นด้วยกับมัน ทำหน้าถมึงทึงขนาดนั้นใครก็กลัว
“เออๆ ขอบใจมาก” ผมบอกไอ้เวสป้า ก่อนที่มันจะหันไปยิ้มแห้งๆ ใส่อีกคนแล้วรีบวิ่งแจ้นออกจากห้องไป
ทำให้ตอนนี้ทั้งสตูเหลือผมกับเชนแค่สองคน
“...”
“...” เรายืนมองกันนิ่งๆ พักใหญ่
ผมพยายามกลั้นขำกับหน้าที่เต็มไปด้วยดินสอพองของเขา ในขณะที่อีกคนเสยผมเปียกๆ ของตัวเองไปด้านหลังอย่างปัดรำคาญพลางขมวดคิ้วแน่น
"หน้าขาวเชียว" แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เอ่ยแซวออกไปแล้วหลุดยิ้มออกมาจนได้
“หึ...” และพอเห็นผมยิ้มกว้างออกมา คนตรงหน้าก็ทำหน้ายุ่งได้ไม่นาน หลุดยิ้มตามกันก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาปิดปากแล้วเบือนหน้าหนีพยายามรักษาฟอร์ม
แต่หน้าแดงทะลุแป้งขนาดนั้นฟอร์มอะไรก็รักษาไม่ทันแล้วครับ
เราหัวเราะใส่กันเบาๆ ก่อนที่ผมจะหยิบผ้าขนหนูที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้าขึ้นมาคลุมผมเปียกๆ ของเขา พาร่างสูงมานั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองแล้วเช็ดผมให้ “เปียกหมดเลย”
อย่างน้อยก็ไม่ให้มันเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้... ถึงจะดูเซ็กซี่ไม่หยอกก็เถอะ
แถมวันนี้ใส่เสื้อสีขาวมาอีกต่างหาก พอโดนน้ำจนเปียกแบบนี้เห็นไปถึงไหนต่อไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนอกจากบนใบหน้าแล้ว ตรงลำตัวของเขาก็มีแป้งดินสอพองฝากไว้เป็นรอยมือมากมาย
อืม... ชักจะหึงขึ้นมานิดๆ แฮะ
ยังดีที่เป็นพี่ในคณะที่ผมคิดว่าพวกเขาคงไม่คิดอะไร แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักนี่... คงจะคุยกันยาวเหมือนกัน
“จะไปเล่นสงกรานต์ที่ไหนต่อหรือเปล่าเนี่ย” ไหนๆ คิดขึ้นมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถาม ถ้าเขาตอบว่าจะไปต่อก็คงต้องซักกันหน่อยว่าจะไปที่ไหนยังไง
แล้วก็คงต้องเตรียมใจไว้ด้วยว่าคงจะเห็นเขาในสภาพที่... ยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า
“ไม่” แต่คำตอบสั้นๆ ได้ใจความก็ทำลายจินตนาการของผมจนหมดสิ้น
ผมหันกลับมาสบตาที่เจือความขยาดของเขาแล้วก็ได้แต่หัวเราะ นึกได้ว่าคนอย่างเชนคงจะไม่อยากเอาตัวเองไปให้ใครปู้ยี่ปู้ยำในเทศกาลแสนวุ่นวายนี่เท่าไหร่หรอก
ยกเว้นว่าจะเป็นเหตุสุดวิสัยแบบครั้งนี้อ่ะนะ
“จะมาทำไมไม่บอกก่อนอ่ะ” ผมถาม ปกตินอกจากจะมารับมาส่งแล้ว เชนจะมาหาผมที่คณะช่วงที่นอนค้างสตูก็เพื่อส่งเสบียงยามดึก เพราะรู้ว่าผมจะหิวหรือต้องหาอะไรเคี้ยวคลายความง่วง
ขุนกันจนน้ำหนักขึ้นตั้งเท่าไหร่แล้วเนี่ย
“บอกแล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มตีหน้ายุ่ง จนผมเลิกคิ้วประหลาดใจ
“หืม?” ก่อนจะนึกขึ้นได้หยิบมือถือตัวเองขึ้นมาดู แล้วพบว่ามีข้อความจากเขาส่งมาจริงๆ
‘กำลังจะซื้อข้าวไปให้’
‘อยู่หน้าคณะ’
คงจะถูกส่งมาช่วงที่ผมยุ่งๆ กับช่วงที่ไปยืนดูคอมของไอ้เวสป้าสินะถึงได้ไม่ทันเห็น ช่วงทำงานเชนจะส่งข้อความมาทางไลน์ซะส่วนใหญ่เพราะรู้ว่าผมไม่ว่าง และไม่อยากรบกวน ถ้าผมวางมือจากงานเมื่อไหร่ก็จะเป็นฝ่ายโทรไปหาเขาเอง
“ขอโทษครับ” ผมหันมาบอกทั้งที่ปากกำลังยิ้ม เชนเลยขมวดคิ้วใส่ และมันยิ่งดูตลกไปกันใหญ่เมื่อบนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยดินสอพอง
“หน้าตอนนี้ตลกอ่ะ” ผมพูดขำๆ “อยากถ่ายรูปเก็บไว้เลย”
พูดไปอย่างนั้นเอง รู้หรอกว่าเขาไม่ยอมให้ถ่ายถึงได้ทำหน้ายุ่งยิ่งกว่าเดิมให้ผมขำเสียงดังออกมา
“ไม่ต้องมาขำเลย ความผิดใคร”
“ขอโทษครับ” ผมขอโทษอีกรอบ พยายามกลั้นขำแต่เชื่อเถอะว่ามันทำยากจริงๆ
“เห็นไม่ตอบก็เลยลองเดินเข้ามา” เขาบอกสีหน้ามู่ทู่พลางยกมือขึ้นมาปาดแป้งออกจากหน้า “ใครจะไปรู้ว่ามีคนเล่นสงกรานต์อยู่ข้างใน”
“ก็มีงานไง จะออกไปเล่นน้ำที่ไหนมันก็เสียเวลา” ผมว่า ดึงมือเขาออกมาเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไร ก่อนจะหยิบทิชชู่เปียกบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดให้แทน
“คนคณะนี้มันยังไง” แต่อีกคนก็ยังบ่นไม่หยุด คิ้วเข้มขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ เห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยล้อเลียน
“โดนสาวๆ ปะแป้งทั้งที ไม่ดีใจเหรอ”
“...” และก็จริงอย่างที่คิด เมื่อเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเก่า จนผมต้องยกมือขึ้นไปจิ้มหว่างคิ้วเบาๆ ก่อนมันจะพันกันขึ้นมาจริงๆ
“ไม่คิดว่าจะยอมให้เขาเล่นขนาดนี้” ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมแล้วเริ่มเช็ดแป้งออกจากใบหน้าให้เชนอีกครั้ง
โชคดีที่มันไม่หนามาก เช็ดไม่กี่ครั้งแป้งก็ติดทิชชู่ออกมาลอกคราบให้ใบหน้าใสกลับมาดูดีได้เหมือนเดิม
“แล้วอาละวาดได้หรือเปล่า” พอผมผละมือออกจากใบหน้า เขาก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนแยกไม่ออกว่าเล่นหรือจริงจัง
“ห้ามเลย” ถึงตาผมขมวดคิ้วบ้าง อาละวาดของเขานี่ยังไง ไม่ใช่ว่าจะทำร้ายพวกพี่ๆ ที่เข้ามาสาดน้ำปะแป้งหรอกนะ หรือว่าจะอีกอย่าง
“ห้ามเผาคณะด้วย” ยกคำขอของไอ้เวสป้าขึ้นมา เผื่อว่าเขาจะแค้นจนอยากเผาขึ้นมาจริงๆ
“หึ” แต่คนตรงหน้ากลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ ก่อนจะพิงหน้าผากที่เพิ่งจะถูกเช็ดแป้งออกลงมาบนหน้าผากของผม “ไม่ทำหรอก... เดี๋ยวลูกกลัว”
“หือ?” ผมเลิกคิ้ว ส่งสายตาถามว่าเขาหมายความว่าอะไร เชนจึงผละออกไป หยิบหนึ่งในสัมภาระที่ถือมาด้วยออกมา
มันคือกระเป๋าใส่แมว ที่พอเปิดออกเจ้าตัวเล็กลายทางก็โผล่หน้าออกมาร้องเหมียวๆ ให้ผมยิ้มกว้างได้อีกครั้ง
“เจ้าเต็ม” ผมเรียกชื่อก่อนจะเอื้อมมือไปจับเจ้าตัวเล็กมาอุ้มไว้ในอุ้มแขนแล้วซุกหน้าลงไปถูกับใบหน้ามันเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
“คิดถึงจัง” เจ้าตัวเล็กส่งเสียร้องเหมียวๆ ออกมาและถูใบหน้ากับแก้มผมบ้าง
“ดีนะวางก่อนเลยไม่เปียก”
เพราะแบบนี้สินะแมวถึงรอด แต่คนไม่รอด เปียกโชกมาทั้งตัวสภาพเละเทะขนาดนี้
ผมหัวเราะแล้วหันไปถามร่างสูงที่นั่งลงเหมือนเดิม “แล้วพามาด้วยทำไมอ่ะ”
“ก็กะว่าจะพามาเจอพี่ชาย” เขาบอก พลางเอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของผมอย่างเอ็นดู
นั่นสินะ ตั้งแต่เอาเจ้าเต็มมาเลี้ยงก็ยังไม่มีเวลาพามาหาเจ้าเตเลย
“งั้นรีบเช็ดผมให้แห้งแล้วไปหาเจ้าเตกัน” ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ส่งเจ้าเต็มให้เขาแล้วเอื้อมมือกลับไปเช็ดผมให้เชนต่อแทน
“วันนี้กลับหอหรือเปล่า” เช็ดได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังทำท่าสบายก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วเอ่ยถาม
ผมนิ่งไปสักพัก แล้วขยี้ผ้าในมือลงบนผมเขาต่อแล้วแกล้งเฉไฉ “ไม่แน่ใจ ยังเหลืองานอีกเยอะเลย”
ไม่ได้อยากเล่นตัวหรอก แค่อยากรู้น่ะ ว่าเขาถามเพราะแค่ถาม หรือเพราะอยากให้ผมกลับกันแน่
เชนขมวดคิ้ว มองหน้าผมเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ ก่อนจะก้มลงมองเจ้าเต็ม ทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วชูเจ้าตัวเล็กขึ้นมา “กลับเถอะ เจ้าเต็มมันอยากให้กลับ”
ผมชะงัก แต่ก็กลั้นยิ้มไว้ทำแค่พยักหน้ารับรู้เบาๆ “อ้อ เหรอ”
“มันบอกว่าเหงา” แต่เขาก็ยังไม่ลดละที่จะเอาเจ้าตัวเล็กมาบังหน้า ให้มันมองผมตาแป๋วเหมือนเคยพูดแบบนั้นไว้จริงๆ
"..."
“แล้วก็คิดถึง”
”...”
“กลับนะครับ” คราวนี้ถึงขั้นดัดเสียงให้เล็กลง สวมบทเป็นเจ้าตัวเล็กทั้งที่หน้าโหดๆ น้ำเสียงนิ่งๆ นั่นไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด “อยากนอนกอดแม่จะแย่”
แล้วแบบนี้จะให้ทนได้ไง สุดท้ายผมก็หัวเราะพรืดออกมา
“พอแล้วครับ” ว่าพลางดันมือที่ชูเจ้าเต็มอยู่ลงเพื่อจะสบตากับเขาได้ถนัด “ไม่ต้องอ้อนขนาดนี้ก็ตั้งใจจะกลับอยู่แล้ว”
“...” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายแววพึงพอใจออกมาเมื่อเห็นว่าผมตอบตกลง
“อยากกลับไปนอนกอดจะแย่เหมือนกัน”
“...” และรอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนลมหายใจร้อนๆ ประสานกัน
แต่ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกลกว่านั้น ผมก็ก้มหน้าลงไปถูกหน้ากับเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งพร้อมกับพูดเออออกับมันเบาๆ
“เนอะเจ้าเต็มเนอะ”
วันหยุดแบบนี้ได้กลับไปนอนกอดเจ้าตัวเล็กที่บ่นว่าคิดถึงผมสักคืนสองคืน คงทำให้มีกำลังใจกลับมาทำงานได้ที่เหลือได้สบายๆ เลย
--------------------------------------------------------------------------------------------
กะว่าจะอัพก่อนเที่ยงคืน แต่กว่าจะเขียนเสร็จก็ตีสามแล้วอ่ะ เสียใจ
กลับมาเขียนตอนพิเศษรับเทศกาลด้วยความคิดถึงค่ะ งือออ คิดถึงคู่นี้เนอะ
ตอนพิเศษนี้แยกออกมาจากตอนพิเศษในหนังสือค่ะ
(เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่มีตอนพิเศษแล้วด้วยความเด๋อว่าถ้าทำเป็นรูปเล่มแล้วมันต้องมีอ่ะค่ะ ขอโทษด้วยค่า ฮือออ)
จะเห็นว่ามีตัวละครใหม่โผล่มา แฮ่
จริงๆ อยากเก็บเรื่องเจ้าเต็มเป็นความลับให้ไปตกกะใจเล่นในเล่ม
แต่ไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าหนังสือจะได้ออกเมื่อไหร่ เลยพามาให้ยลโฉมในตอนพิเศษนี้เลยแล้วกันค่ะ
ส่วนที่มาที่ไปนั้นรออ่านเอาในเล่มเนอะ ^^
ตอนนี้กำลังรอปกอยู่ คิดว่าอีกไม่นานรูปเล่มก็จะออกมาให้ได้สัมผัสกันแล้วค่ะ (ภาวนา)
รอหน่อยนะคะ รอเป็นเพื่อนเรา 55555 รับรองเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
*เพิ่มเติม :: ตอนนี้เริ่มอัพเรื่อง #ซันโช แล้วนะคะ เรื่องของตี๋กับซันจะเป็นยังไง ลองมาติดตามกันค่ะ
ชื่อเรื่อง :
Just Before Sunrise (สนใจคลิกที่ชื่อเรื่องได้เลยค่ะ)
ฝากด้วยนะคะ มีเชนตรีไปโผล่ให้หายคิดถึงกันด้วย ไทม์ไลน์ของเรื่องทับซ้อนกันนิดหน่อย แต่พยายามเขียนให้ไม่งงค่ะ
ดีหรือไม่ดียังไงฝากติชมด้วยนะคะ น้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ ^^
รักเสมอ
-- Martian --