แข่งครั้งที่ 14
ตีห้าครึ่งไม่ใช่เวลาปกติที่ผมจะตื่นนอนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่วันนี้มีภารกิจสำคัญต้องทำอย่างเช่น 'ข้าวต้มปลา' จิณณ์กำลังพูดถึงวิธีทำพร้อมกลับส่งทัพพีให้คนข้าวในหม้อไปด้วย เพราะกลัวจะติดก้น
"จะกินได้ปะวะ"
ผมถามอย่างกังวลแล้วมองควันสีขาวฟุ้งในอากาศ กลิ่นหอมชวนน้ำลายหก รสชาติก็ถือว่าดี เนื้อปลาไร้กลิ่นคาว แต่ไม่มั่นใจเลยว่ะ
"กินได้ดิ อร่อยแล้ว กังวลเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย"
จิณณ์ที่กำลังซอยขิง ต้นหอมและผักชีชะงักมือแล้วมองด้วยความฉงน ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วปิดเตาแก๊สลงเมื่อคิดว่ามันคงได้ที่แล้ว
"กลัวไม่ถูกปากพี่ทาวน์"
เสียงอ่อยๆ ดังขึ้น ดวงตาคมก้มลงมองหม้อข้าวต้มฝีมือตัวเองอีกครั้ง ถึงมันจะอร่อยในความคิดของเรา แต่กับอีกคนอาจจะแย่ก็ได้ จริงไหม แล้วทำไมต้องคิดมากขนาดนี้ด้วยวะ
"แคร์เขาม๊าก"
จิณณ์เบ้ปากใส่แล้วเอามือที่ติดกลิ่นฉุนของผักมาป้ายใต้จมูก ผมผงะถอยหลังแล้วถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ เหม็นฉิบหาย
"เออสิ"
ผมกระแทกเสียงแล้วเมินฝาแฝดตัวเองก่อนจะเปิดตู้บิวท์อินบนหัวเพื่อหากล่องทัปเปอร์แวร์ใส่ข้าวต้มปลา ต้องเอาไปฝากพี่แฮมกับพี่ฟาด้วย จะได้ไม่น่าเกลียด
"จริงจังเหี้ยๆ"
จิณณ์ยังไม่วายจิกกัดและไม่ยอมซอยผักต่อ มึงก็จริงจังกับเรื่องชาวบ้านเหมือนกันล่ะวะ พี่ใครเนี่ยโคตรขี้เสือกเลย
"รักจริงหวังแต่ง"
ผมตอบกลับไปด้วยความหมั่นไส้ จิณณ์ถึงกำสำลักอากาศอย่างหนัก ไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดตรงไหน ก็เดี๋ยวนี้เพศเดียวกะนสามารถแต่งงานจดทะเบียนได้นี่หว่า แค่มีลูกไม่ได้เท่านั้นเอง
"โอย เลี่ยน ไม่คุยกับมึงแล้ว ตักใส่กล่องเหอะ เดี๋ยวไปสาย"
มันโบกมือไล่ให้ผมทำหน้าที่ตัวเองก่อนจะโกยผักซอยบนเขียงใส่ถุงเรียบร้อย ให้ความร่วมมือดีทั้งที่บ่นตั้งแต่ตื่นนอน แบบนี้เขาเรียกซึนเดเระหรือเปล่าวะ เห็นไอ้ตังค์ใช้คำนี้บ่อยเมื่อเจอคนปากอย่างใจอย่าง
ผมแขวนถุงใส่ทัปเปอร์แวร์แล้วรีบออกรถทันทีเมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงครึ่ง บนถนนสายหลักจราจรเริ่มติดขัด กว่าจะถึงคณะแพทย์ก็ต้องวิ่งกระหืดกระหอบหาคนที่ต้องการพบ จนสายตาปะทะเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยเลยตะโกนเรียกแบบไม่อายใคร
"พี่ทาวน์!"
ทุกชีวิตที่อยู่ใต้ตึกคณะหันมามองผมเป็นตาเดียว ยกเว้นเจ้าของชื่อที่ทำเพียงแค่ชะงักเท้าเท่านั้น เป็นพี่ฟาที่ทักทายขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
"เฮ้ย ไอ้น้องเจ็ท หอบอะไรมาเยอะแยะวะ มาๆ เดี๋ยวช่วยถือ"
พี่ฟาเดินเข้ามาใกล้ในขณะที่ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน ของแค่นี้ไม่หนักหนาหรอก จะให้คนตัวเล็กมาช่วยถือมันก็ดูแปลกๆ
"ข้าวต้มปลาครับ เอามาฝากพี่ทาวน์แล้วก็พี่ฟากับพี่แฮมด้วย"
ผมแจกแจงรายละเอียดก่อนที่จะเห็นมือพี่ทาวน์ยื่นมารับของฝากไป ใบหน้าของเขาช่างเฉยเมยและเย็นชาเหลือเกิน ไม่อยากกินหรือเปล่าวะ
"หูย ลงทุนว่ะๆ ใจอ่อนกับน้องมันหรือยัง"
พี่ฟาพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วกระแซะไหล่ใส่คนข้างตัว ผมเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเขาแล้วแทบหยุดหายใจ ทำไมดวงตารีถึงได้มองดุแบบนั้น เพราะโดนแซวเหรอ
"ยาก"
คำตอบสั้นๆ มาพร้อมกับตาที่เหลือบมองเพียงแค่ครู่เดียวนั้นทำให้ผมถึงกับต้องกลั้นใจ ที่ผ่านมายังพยายามไม่พอสินะ พี่ทาวน์ถึงไม่มีอาการหวั่นไหวใดๆ เลย
"โหย ใจร้ายว่ะ น้องออกจะน่ารัก"
พี่ฟาบ่นเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเปลี่ยนมายืนข้างผมแล้วเอื้อมมือแตะบ่ากันเบาๆ ราวปลอบใจ ส่วนพี่แฮมเคี้ยวแซนวิชเต็มปากไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น
"น่ารักมึงก็ชอบน้องเองสิ"
คำพูดต่อมายิ่งทำให้ผมสะเทือนใจ ริมฝีปากหยักเม้มเจ้าหากันจนแน่น หัวใจเริ่มปวดหน่วงจนอยากจะร้องไห้ บอกว่าไม่ชอบกันยังดีกว่าผลักไสให้คนอื่นต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ไม่รู้แค่แหย่เล่นหรือจริงจัง คนอย่างพี่ทาวน์นี่เดายากจริงๆ
"น้องจีบมึง ไม่ได้จีบกูสักหน่อย"
พี่ฟาบ่นเสียงเบาแล้วโดนสายตาดุๆ ของพี่ทาวน์มองมาเลยไม่พูดต่อและกลับไปที่เดิมปล่อยให้ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ควรเดินออกไปหรือชวนคุยต่อดี ทำเป็นลืมสิ่งที่ได้ยินมื่อครู่ไปซะ
"ขอบใจที่เอามาให้"
เสียงเนิบนาบดังขึ้นขัดความคิดของผมจนหมดสิ้น ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าขาวใสที่มีรอยยิ้มบางส่งมาให้ก็พลันลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินก่อนหน้านี้ไปจริงๆ
"ครับ กินแล้วก็ช่วยติชมกันด้วยนะครับ ครั้งหน้าจะได้พัฒนาฝีมือ"
ผมคลี่ยิ้มหลังจบประโยคหวังให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ารู้ถึงจุดประสงค์แอบแฝง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในทันทีเพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอ
"หึ จะจีบกูด้วยของกินหรือไง"
คำถามมาพร้อมการยักคิ้วกวนก่อนที่เขาจะยกถุงทัปเปอร์แวร์ขึ้นมองในระดับสายตา สงสัยกำลังประเมินว่าข้าวต้มปลาจะกินได้หรือเปล่า ถ้ามองเลยพี่ทาวน์ไปสักนิดจะเห็นคนรักการกินอย่างนายหมูแฮมพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่คงหมายถึงอาหารที่จะถูกเอามาฝากในอนาคตใช่ไหม...
"ไม่ได้เหรอ"
ผมถามเสียงอ้อน ไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลหรือเปล่าแต่ยอมเสี่ยงเพื่อเอาตัวเองไปอยู่ในสายตาเขาทุกวัน เคยอ่านเจอทฤษฎีหนึ่งที่ว่าความใกล้ชิดทำให้เกิดความชอบพอ ต้องขยันทำคะแนนแข่งกับพวกสาวๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้แดกแห้วทั้งสวนแน่
"ตามใจ กูไปล่ะ"
พี่ทาวน์ตอบก่อนจะลากเพื่อนสนิททั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไป คำตอบของเขายังคงไม่ชัดเจนเหมือนเดิม เดาไม่ได้เลยว่าเขาเต็มใจหรือเปล่าที่จะได้รับความหวังดีจากผม
วิชาเรียนผ่านไปอย่างเชื่องช้า วันนี้ไอ้ฟาร์มลาป่วยเลยกะว่าตอนเที่ยงจะไปเยี่ยมมันที่บ้าน ถ้าได้ลากพี่ฟาไปด้วยมันคงหายเป็นปลิดทิ้งหรือไม่แน่คงออกอาการหนักกว่าเดิมเพื่ออ้อน แต่ผมจะเอาอะไรไปอ้างพาเขาไป ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
ช่วงพักสิบห้านาทีก่อนผจญภัยงานเขียนแบบต่อนั้น ต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น หน้าจอสี่เหลี่ยมปรากฏแจ้งเตือนจากไอจีเลยกดเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็พี่ทาวน์เป็นคนแท็กรูปมา
Muangneua_t มีเด็กเอามาฝาก อร่อยดี
รูปกล่องทัปเปอร์แวร์เปิดฝาโชว์ข้าวต้มปลาที่โรยผักเรียบร้อยดูหน้าตาน่ากินโผล่ขึ้นมาต่อสายตา ผมอ่านแคปชั่นแล้วได้แต่ยิ้มกริ่ม รสชาติถูกปากพี่ทาวน์ทำให้มีแรงฮึดสู้จะทำเมนูต่อไป คงต้องลุกขึ้นมาเรียนการทำอาหารอย่างจริงจังเพื่อเอาเสน่ห์ปลายจวักมัดใจเขา (นี่คือวิธีการสู้กับผู้หญิงพวกนั้นเหรอ)
ผมเลื่อนสายตาเพื่ออ่านคอมเม้นท์มากมายด้านล่างด้วยหัวใจที่เต้นแรง อยากรู้ว่าคนรอบตัวของเขามีความคิดเห็นอะไรกับเรื่องนี้บ้าง ออกตัวจีบแรงขนาดนี้จะมีคนรู้เรื่องหรือเปล่านะ
Catty.s เด็กคณะไหนเอ่ย ~ อยากรู้จัง
สถาปัตย์ครับ
Mr.Fafar มีลงไอจี ฮิ้ววว
อย่าแซวดิพี่
Ham_master เออ อร่อยจริง เสน่ห์ปลายจวักให้ผ่าน
โอย ขอบคุณมากครับพี่แฮม
RU.Sexyboys อุ๊ย เด็ก'ถาปัตย์หรือเปล่า เมื่อเช้าเห็นเดินออกมาจากคณะแพทย์
ผมเองล่ะครับแอดมิน จำแม่นจัง
Thamthai.t พี่ทาวน์... กล่องข้าวหน้าตาคุ้นๆ ว่ะ ของเพื่อนผมปะ
ไอ้นี่ก็เกินไป กล่องทัปเปอร์แวร์นั่นก็หน้าตาเหมือนๆ กันเป็นล้าน
Minta_Ai อยากให้พี่ทาวน์ป้อนจัง
ออกตัวแรงจังว่ะ พอกดเข้าไปดูไอจีของเธอก็พบว่าเป็นไอที่ชอบมาอ่อยพี่ทาวน์ แม่ง คิ้วกระตุกเลยกู ผมต้องเอาคืนบ้าง
Phakin_jet ถ้าอร่อย ก็ใช้บริการบ่อยๆ นะครับ ยินดี ^^
ผมกดส่งไปแล้วกดล็อกหน้าจอเพื่อเก็บโทรศัพท์เพราะนักศึกษาเริ่มทยอยกลับเข้ามาในห้องและอาจารย์กำลังฉายสไลด์ต่อ แต่ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มีแรงสั่นเกิดขึ้น
Muangneua_t @Phakin_jet อืม พรุ่งนี้ขอไข่กวนกับขนมปังปิ้งแล้วกัน
มิชชั่นคอมพลีส!
"ยิ้มหน้าบานเกินไปแล้วมึง"
เสียงแซวดังมาจากคนข้างตัวที่กำลังนั่งจ้องมาที่ผมด้วยสายตาล้อเลียน ในมือของมันมีดินสอที่หมุนไปมา ทำตัวเท่จนน่าหมั่นไส้เนอะคนเรา
"อย่าอิจฉาครับคุณไธ"
ผมพูดเสียงร่าเริงก่อนจะยักคิ้วกวน รู้อยู่แก่ใจว่าโดนไอ้ไธล้อเรื่องอะไร เพราะเมื่อครู่มันก็เข้าไอจีเหมือนๆ กัน สงสัยคงตั้งใจส่องจิณณ์ รายนั้นชอบอัพเดทเรื่องราวชีวิตของตัวเองผ่านรูปภาพจะตายไป
"กูไม่ได้อิจฉา แต่มึงดูเหมือนคนบ้า"
ไอ้ไธเอาดินสอจิ้มลงบนแขนกันด้วยความเบื่อหน่าย สายตาที่ส่งมาบ่งบอกว่าไม่ได้อิจฉาอย่างที่ปากบอกจริงๆ
"ปล่อยๆ กูบ้างเหอะน่า"
"เออๆ"
"แล้วมึงกับจิณณ์เป็นยังไงบ้าง เห็นมีคุยลงคุยไลน์"
ได้ทีก็หยิบเรื่องจิณณ์มาพูดเพราะสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในปัจจุบัน ดูจะเข้ากันในฐานะเพื่อนใหม่ได้ดี แต่ไม่ก้าวหน้าในเรื่องของความรักเลยจนน่าเป็นห่วง
"ก็คุยเรื่องทั่วไป"
มันตอบแบบไม่ใส่ใจแล้วหันไปสนใจสไลด์เนื้อหาที่อาจารย์กำลังอธิบาย ผมสังเกตท่าทางของเพื่อนแล้วได้แต่หงุดหงิด คุยเรื่องทั่วไปทุกวี่ทุกวันก็เท่ากับเนียนปะวะ
"เนียนนะมึง"
ผมแซวพี้อมกับเหล่มอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้เกินคาดไปเพราะไอ้ไธหันมาถลึงตาใส่กัน มือที่จับดินสอขีดเขียนแทนปากกาหยุดชะงัก
"เปล่าเลย กูไม่ได้เนียนเชี่ยไรทั้งนั้นล่ะ"
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังแล้วให้ความรู้สึกหน่วงๆ ในหัวใจ ถึงมันจะหยาบแต่แฝงไปด้วยความเศร้า
"อ้าว มึงไม่ได้กำลังเนียนจีบจิณณ์เหรอวะ"
ผมขมวดคิ้วมอง ตอนนี้เหมือนเราทั้งสองคนไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอของกันและกันเลย ไม่รู้ว่าไอ้ไธคนเก่าที่กล้าหาญสำหรับทุกเรื่องหายไปไหน เพราะอีกฝ่ายเป็นจิณณ์ที่แอบชอบมานานอย่างนั้นเหรอ
"จะให้จีบยังไงวะ อยู่ๆ บอกจิณณ์ว่าชอบงี้เหรอ กูไม่โดนถีบหรือไง"
ไอ้ไธถอนหายใจปิดท้ายประโยคแล้วเลื่อนมือไปนวดขมับตัวเองคล้ายกับคนหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ ผมมองเพื่อนอย่างเข้าใจ ใครๆ ก็กลัวความเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น
"ก็บอกแล้วว่าต้องลองเสี่ยงดู ถ้าช้ามึงอาจจะแดกแห้วอีกรอบนะ"
ผมบอกไอ้ไธไปแบบนั้นเพราะอยากให้ลองเสี่ยง ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไปอาจจะแย่ เพราะไม่มีครั้งไหนที่จิณณ์ออกปากว่าเบื่อความรักและพวกผู้หญิงเลย มันเป็นนาทีทองที่ควรไขว่คว้าไว้
"อย่าไซโคดิวะ กูยิ่งเครียดๆ อยู่"
"เปล่าเลย กูพูดความจริงทั้งนั้น"
"เออๆ เย็นนี้กูจะคุยกับจิณณ์"
สุดท้ายมันก็แพ้แรงยุยงของผมเข้าจนได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะรีบร้อนขนาดนี้!
"เยี่ยมยอด ต้องแบบนี้สิวะเพื่อน"
เที่ยงวันที่ต้องลงกันอย่างดิบดีว่าจะไปเยี่ยมไอ้ฟาร์มกลับต้องล้มเลิกเมื่อคนอย่างเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มโดนแซว
"ไอ้เด็กโอตาคุนี่หว่า"
คนหนึ่งในกลุ่มเด็กวิศวะที่พากันมากินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารศิลปกรรมเอ่ยขึ้น ผมหันขวับไปมองทางนั้นแล้วได้เจอกับใบหน้าที่คุ้นเคยของคนรู้จัก ไอ้เอยนี่หว่า ทำไมวันนี้มันทิ้งจิณณ์มาที่นี่วะ
"เออ วันนี้มากับใครวะ หน้าคล้ายๆ ไอ้จิณณ์เลย"
อีกคนหนึ่งพูดสันนิษฐานคล้ายกับว่ากำลังนินทาอยู่ไกลๆ แต่เปล่าเลย ผมยืนอยู่ตรงหน้ามันเนี่ย สัด
"อ้าว ไอ้เจ็ท มึงเป็นเพื่อนไอ้เนิร์ดนี่เหรอ"
ไอ้เอยเงยหน้าขึ้นทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสแต่ขมวดคิ้วมองคนข้างๆ ตัวของผม ไอ้ตังค์เบียดจนแทบจะสิงร่างกันอยู่แล้ว กลัวอะไรขนาดนั้นวะ
"เออ มีอะไรกับไอ้ตังค์หรือเปล่า"
ถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วกวาดตามองบรรดาเด็กวิศวะสายเถื่อนตรงหน้า ดูพวกมันจะแปลกใจเรื่องหน้าตาของผมมากกว่าจะสนใจไอ้ตังค์อย่างก่อนหน้านี้ สงสัยจิณณ์ไม่เคยเล่าว่าตัวเองมีฝาแฝดชัวร์ๆ ตลกดี แต่ละคนทำหน้าอย่างกับเจอผี
"ดูๆ เพื่อนมึงหน่อยนะ ติดการ์ตูนเข้าขั้นโคม่าจนเดินชนคนอื่นไปทั่ว"
ไอ้เอยพูดพร้อมกับเหล่มองคนที่เอาผมเป็นเกาะกำบัง สายตาไม่ได้ต่อว่าแต่มันกรุ้มกริ่มแปลกๆ ถ้าไม่เคยรู้จักมันมาก่อนจะคิดว่าแอบพิศวาสไอ้ตังค์
"หืม เดินชนมึงเหรอ"
ผมถามก่อนจะมองไอ้เอยสลับกับเพื่อนตัวเองที่เอาแต่มุดแผ่นหลังราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ร้ายที่จ้องทำร้าย เกิดอะไรขึ้นมากกว่านี้แน่ๆ ค่อยไปซักฟอกมันทีหลังแล้วกัน
"ชนกูก็ดีสิ นี่แม่งไปเดินชนพี่ปีสามที่คณะ ไม่โดยกระทืบตายก็บุญหัวแล้ว"
"ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเหรอตังค์"
ผมหันไปพูดกับเด็กที่ตอนนี้ถือว่าอยู่ในปกครอง เจ้าตัวไม่มีเถียงสักแอะซึ่งผิดวิสัยของไอ้ตังค์มาก โดยปกติแล้วมันไม่ชอบให้ใครมาว่าเรื่องที่ติดการ์ตูนงอมแงมแบบนี้ เพื่อนสนิทอย่างเราๆ ยังโดนตอกกลับด้วยคำพูดเจ็บแสบ แล้วไอ้เอยมันดีเด่มาจากไหนวะ หรือเพราะหน้าเถื่อน อาจจะใช่
"ไม่มีครับคุณเจ็ท"
ไม่เถียงก็ว่าแปลกแล้ว แต่ทำเสียงอ่อยกับท่าทางหวาดกลัวคืออะไร ผมอยากถามซะตรงนี้ว่าระหว่างสองคนเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเจอสายตาอ้อนวอนของตังค์เลยทำให้เปลี่ยนใจแล้วเก็บงำความอยากรู้เอาไว้ ถ้าเค้นจากมันแล้วไม่ตอบก็มีไอ้ฟาร์มที่นอนเป็นผักเปื่อยอยู่ในเหตุการณ์อีกคน
"เออ ไว้กูจะเตือนมันเอง แล้วนี่จิณณ์ไปไหน"
ผมเปลี่ยนเรื่องที่คุยอย่างแนบเนียนแล้วยืนรอคำตอบจากไอ้เอยนิ่งๆ เด็กวิศวะคนอื่นยังนินทาในระยะเผาขนว่า 'ไอนี่เป็นพี่น้องกับจิณณ์หรือเปล่าวะ' หรือ 'มันเป็นแค่คนหน้าเหมือน ที่เหมือนเหี้ยๆ' เกือบจะตอบไปแล้วว่าเนื้อคู่มั่งด้วยความหมั่นไส้ อยากรู้ทำไมไม่ถามตรงๆ วะ เห็นกูเป็นอากาศธาตุเหรอ น่ารำคาญฉิบหาย
"อ้อ ไอ้จิณณ์ไปกับเด็กในสต็อกมันนั่นล่ะ"
เอยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ตังค์ ผมว่าชักทะแม่งๆ แล้วนะ สองคนนี้มีซัมติงชัวร์ โอยแม่ง คันปากเว้ย เดินออกไปจากตรงนี้ได้เมื่อไหร่จะถามทุกอย่างที่อยากรู้เลย
แต่เมื่อครู่ไอ้เอยบอกว่าอะไรนะ... จิณณ์ไปกับเด็กในสต็อกอย่างนี้นเหรอ ก็ไหนง่าเลิกคุยกับผู้หญิงพวกนั้นแล้วไง ผมขมวดคิ้วด้วยความฉงนกะจะถามเจาะลึกกว่านั้นว่าเป็นใครแต่หางตาเห็นใบหน้าของไอ้ไธไม่สู้ดีเลยคิดว่าจบแค่นี้จะดีกว่า
"เหรอ เออๆ ไว้ค่อยคุยกัน กูไปเรียนต่อแล้ว"
ผมโบกมือลาไอ้เอยก่อนจะลากเพื่อนสนิทออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัด ไอ้ไธเดินจ้ำอ้าวน้ำทุกคนไปที่อาคารเรียนรวมเพื่อเจอมรสุมวิชาภาคบ่าย ส่วนไอ้ตังค์เป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบความเร่งรีบเลยเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ
อากาศตอนนี้อึมครึมคล้ายฝนจะตกคงเหมือนจิตใจของใครบางคนที่ไม่สดใจ
"ตังค์"
ผมเรียกชื่อคนที่เดินข้างกันเมื่อรู้สึกว่าระหว่างเราความเงียบมีอิทธิพลมากเกินไป ตังค์สะดุ้งแล้วปรายสายตามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไร เชื่อว่าในใจลึกๆ มันคงภาวนาไม่ให้ถามเกี่ยวกับเรื่องไอ้เอย แต่ขอโทษเถอะเพราะกูอยากรู้
"มึงกลัวไอ้เอยเหรอ"
ผมถามตรงประเด็นโดยที่ลอบสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับของตังค์ด้วยหางตา คนโดนถามถึงกลับชะงักเท้าไปหนึ่งจังหวะก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
"เปล่าครับคุณเจ็ท"
"กูไม่เชื่อ ท่าทางเมื่อกี้มันฟ้อง"
"คุณเจ็ท... อย่าถามอะไรผมเรื่องนี้เลยนะ"
ตังค์หลบสายตาก่อนจะเร่งความเร็วของฝีเท้าเพื่อหนีกัน แต่อย่าหวังว่าคนอย่างผมจะยอม สงสัยจนหัวแทบระเบิดอยู่แล้ว นิสัยมันเปลี่ยนไปจนน่ากลัว จากที่เคยติดการ์ตูนทุกช่วงเวลากลับหยุดดูเหมือนมีใครมาปิดสวิซต์ความคลั่งไคล้
"ทำไมวะ ไอ้เอยทำร้ายมึงเหรอ"
ผมก้าวยาวๆ ไปคว้าข้อมือของมันเอาไว้ให้หยุดเดิน ตังค์สะดุ้งและสะบัดตัวทันทีเมื่อโดนสัมผัส ไหล่บางกำลังสั่นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
"ปะ เปล่าครับ"
น้ำเสียงขาดห้วงของคนที่ยืนหันหลังให้ทำให้ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะงัดท่าไม้ตายออกมาใช้
"ตังค์... จะเล่าเองหรือจะให้กูไปถามเอาจากไอ้ฟาร์ม"
ผมพูดเสียงนิ่งแล้วเอื้อมมือไปบีบไหล่ตังค์เป็นการกดดัน ถ้าไม่เป็นห่วงจะไม่ถามหรือคาดคั้นสักคำ แต่เพราะเป็นเพื่อนเลยอยากช่วยแก้ปัญหา อยากเป็นที่ปรึกษาให้
"คุณเจ็ท..."
ตังค์หันมามองด้วยแววตาสั่นไหว ปากบางเม้มเข้าหากันเหมือนไม่อยากเล่าอะไรออกมา แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายแล้วมันก็แพ้
"เล่ามา"
ตังค์บอกว่าวันนั้นเดินไปที่ลานจอดรถอาคารเรียนรวมพร้อมกับไอ้ฟาร์ม ด้วยความที่ไม่ได้สนใจทางเพราะมันแต่ก้มดูการ์ตูนเลยทำให้เดินชนกับรุ่นพี่ปีสามคณะวิศวะ ฝ่ายนั้นดูโกรธมากเพราะโทรศัพท์มือถือหล่นพื้น
เขากระชากคอเสื้อไอ้เนิร์ดแล้วง้างหมัดต่อยโดยไม่พูดจา แต่ไอ้ฟาร์มกลับขัดขวาง เรื่องราวเลยเริ่มบานปลายเมื่อฝ่ายรุ่นพี่หาว่าพวกมันลามปาม ก่อนที่จะโดนกระทืบไอ้เอยก็เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้ จนรอดปลอดภัยออกมาทั้งสามคน
เหตุการณ์ระทึกกว่าเกิดขึ้นตอนที่ไอ้ตังค์โดนเอยขอให้ไปส่งที่คณะเป็นการตอบแทน มันเสือกไปสะดุดก้อนหินในลานเกียร์เข้าให้เดือดร้อนคนตัวโตกว่าต้องรีบถลาเข้าไปประคอง แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหนปากถึงประกบกัน...
จูบแรกของไอ้เด็กเนิร์ดเสียไปด้วยความไม่ตั้งใจกับผู้ชายที่มีพันธะแล้ว ควรสงสารหรือสมน้ำหน้าในความซุ่มซ่ามดีเนี่ย แล้วไอ้นิสัยที่ติดการ์ตูนหายไปเพราะโดนเอยขู่ว่าถ้าเจอกันแล้วเอาแต่ก้มหน้าดูอะไรแบบนั้นอีก จะจับจูบให้ปากเปื่อย... มันโคตรร้ายครับหัวหน้า!
จบเรื่องของไอ้ตังค์ผมก็ต้องกุมขมับเรื่องไอ้ไธต่อ ตั้งแต่เข้าเรียนจนมาถึงตอนนี้ ราวๆ สองชั่วโมงได้ มันไม่หือไม่อือ ไม่ทำแม้แต่หยิบปากกาออกมาจดเล็คเชอร์ตามแบบฉบับคนขยัน เอาแต่นั่งเหม่อมองไปด้านหน้า โบกมือก็แล้ว แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก็แล้ว ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเลย หรือวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะตรอมใจเรื่องจิณณ์... บ้าน่า
"ไธ... มึงเป็นส้วมหรือไง"
ผมตัดสินใจชวนมันคุยด้วยประโยคคำถามแปลกๆ ซึ่งมันก็ได้ผลดีเพราะเจ้าของชื่อหันขวับมามองกันด้วยดวงตาขวาง เปรียบเทียบกับส้วมแค่นี้จำเป็นต้องเกรี้ยวกราดใส่ด้วยเหรอวะ
"ส้วมเชี่ยอะไรของมึง"
ดีกรีของการด่ามีความแรงไม่มาก มาแค่เชี่ยไม่ใช่เหี้ย...
"ก็มึงนั่งซึมมาเป็นชั่วโมงแล้ว"
"จะให้กูยิ้มหน้าบานเหรอวะ"
ถ้ามึงยิ้มได้กูคงโทรให้รถพยาบาลมารับไปตรวจแล้วล่ะ เพราะพอจะรู้ว่าไอ้ไธหมายถึงเรื่องอะไร
"ไอ้เอยอาจจะพูดเล่นก็ได้ มึงอย่าคิดมาก"
ผมแค่ตั้งขอสันนิษฐานเพื่อให้เพื่อนสบายใจ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วไอ้เอยพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นรู้นิสัย
"นั่นเพื่อนสนิทของจิณณ์ไม่ใช่หรือไง"
มันถามด้วยน้ำเสียงตึง ดวงตาฉายแววปวดร้าวจนผมต้องเอื้อมมือไปวางบนหัวทุยแล้วออกแรงลูบช้าๆ เป็นการปลอบประโลม รู้สึกจิตใจพวกเรานี่สามวันดีสี่วันไข้จริงๆ เลยว่ะ
"ก็ใช่ แต่มึงจะฟังความข้างเดียวเหรอ"
"กู... ไม่อยากหวังอะไรเลยว่ะเจ็ท"
"งั้นมึงอยู่เฉยๆ กูจะถามจิณณ์เรื่องนี้เอง"
ผมตัดบทแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากเข้าไลน์แล้วพิมพ์ข้อความรัวๆ ส่งไปให้จิณณ์ โดยมีสายตาของไอ้ไธจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
Phakin : กูเจอไอ้เอยที่โรงอาหารคณะ แต่ไม่เจอมึง แอบหนีไปไหนวะ
ผมเปิดหน้าแชทค้างไว้เพราะเดาได้ส่าอีกไม่เกินห้านาทีคนอย่างจิณณ์คงตอบกลับมา ก็ช่วงนี้เห็นติดโทรศัพท์อย่างกับอะไรดี แต่สาเหตุนั้นไม่ทราบแน่ชัด
Phokin : เมื่อเที่ยงอะเหรอ กูออกไปกินข้าวกับพี่ญี่ปุ่นมา
ผ่านไปแค่หนึ่งนาทีก็มีข้อความตอบกลับเด้งขึ้นมาให้ผมได้อ่านและเริ่มพิมพ์ถามต่อด้วยความสงสัย พี่ญี่ปุ่นนี่ใครวะ ไม่คุ้นชื่อ เพราะโดยปกติแล้วจิณณ์จะบอกชื่อเด็กในสต็อกให้ฟังทุกคน ไม่เคยถามความสมัครใจกูเลยว่าอยากรู้หรือเปล่า เพลีย
Phakin : ใครอีก กูไม่รู้จัก เด็กใหม่เหรอ
Phokin : เด็กใหม่ห่าอะไรเล่า พี่ยุ่นไง พี่รหัสกูน่ะ
ผมกรอกตาแล้วคิดถึงพี่รหัสของจิณณ์ที่นานๆ ครั้งจะได้ยินมันพูดถึง จำได้ลางๆ ว่าแกเป็นคนคัดเลือกประกวดดาวเดือนและเป็นสาวประเภทสองที่ยังเลี้ยงงูอยู่...
Phakin : แต่ไอ้เอยบอกว่ามึงไปกับเด็กในสต็อก
ผมถามกลับไปเพราะไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็น ก็ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงของไอ้เอยตอนนั้นไม่มีแววล้อเล่นเลยนี่หว่า
Phokin : ไอ้บ้านั่นเครื่องรวน เอยเพิ่งเลิกกับแฟนมาเว้ย อย่าไปฟังมันมาก
ผมอ่านข้อความจบแล้วพยักหน้าเข้าใจ แต่ต้องชะงักแล้วไล่สายตาจับใครความอีกรอบ ไอ้เอยเลิกกับแฟน สายตาที่มันมองตังค์ เชี่ย อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนรสนิยมมาเคลมผู้ชาย เอาแล้วไง กลุ่มกูจะไม่มีใครผลิตทายาทให้ครอบครัวแล้วใช่ไหม
"เอาไปอ่านซะ ไอ้คนคิดมาก"
ผมส่งโทรศัพท์ให้ไอ้ไธอ่านข้อความที่โต้ตอบกับจิณณ์เมื่อครู่ มันขมวดคิ้วใส่แต่ก็ยอมรับไป สังเกตจากสีหน้าแล้วคงมีความรู้สึกหลากหลายผสมอยู่หลังจากได้รับรู้ความจริง
"พี่ยุ่น... ที่เป็นกระเทยน่ะเหรอ"
ไอ้ไธรู้จักพี่ยุ่นเพราะมันใส่ใจทุกเรื่องเกี่ยวกับจิณณ์ บางครั้งจำรายละเอียดในชีวิตของอีกคนได้ดีกว่าผมที่เป็นคนในครอบครัวซะอีก แบบนี้เขาเรียกรักจริง แต่หวังแต่งหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ ต้องลองถามเจ้าตัวดู
"เออ มีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วย"
เรื่องนี้ไม่อยากจะพูดว่าผัวพี่ยุ่นเนี่ย ระดับเดือนคณะเภสัชฯ เลยนะเว้ย มาดแมนแฮนซั่ม ปล้ำเก่ง ของชอบเขาล่ะ
"จริงดิ"
ถามทั้งๆ ที่ยิ้มจนปากจะฉีก อยากจะร้องแหมให้ยาวถึงดาวอังคารจังเลยเพื่อนรัก
"ล้อเล่นมั้งสัด ยิ้มออกแล้วดิ"
"เออ ขอบใจ"
ไอ้ไธยื่นโทรศัพท์กลับมาให้พร้อมคำขอบคุณและรอยยิ้มเปี่ยมสุข ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ก่อนจะถามต่อในสิ่งที่คาใจ
"แล้วเย็นนี้ยังจะสารภาพรักกับไอ้จิณณ์เหมือนเดิมไหม"
ผมถามเสียงเรียบไม่มีแววหยอกล้อ แต่ไอ้ไธกลับแก้มแดงเถือกอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าอากาศร้อน... ก็ไม่นะ อุณหภูมิอย่างกับขั้วโลกเหนือจนต้องดึงแขนเสื้อที่พับไว้ลง
"ดูมึงใช้คำพูด..."
เสียงด่าที่ฟังแล้วรู้สึกมุ้งมิ้งแปลกๆ ทำให้ผมสรุปได้ว่า
"มีเขินเว้ย ตกลงยังไง ถ้าจะคุยกับจิณณ์กูจะได้กลับคอนโดช้าๆ"
นี่เปิดทางให้สุดๆ แล้ว แต่ขออย่างเดียวว่าอย่าขืนใจจิณณ์เลย บางทีก็แอบขนลุกเมื่อคิดว่าพี่ชายต้องเป็นฝ่ายรับ ก็หน้าตามันเหมือนกับผมนี่หว่า!
"แล้วมึงจะไปอยู่ไหน"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพราะวันนี้ผมขี่มอ'ไซต์มาเรียน ไม่ควรกลับดึกๆ ดื่นๆ แต่คนอย่างนายภาคินไม่เสียเวลาเปล่าหรอกเพราะมีเป้าหมายในชีวิตโคตรชัดเจน
"หึหึ คณะแพทย์"
หลังากเลิกเรียนต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยปกติแล้วตังค์จะกลับบ้านกับไอ้ฟาร์มเพราะไปทางเดียวกัน แต่วันนี้เหตุสุดวิสัยเลยทำให้ผมต้องขี่มอ'ไซต์ไปส่งมันที่หน้ามหา'ลัยเพื่อขึ้นรถเมล์
สิ่งแรกที่ถึงจุดหมายก็สัมผัสได้ว่าคนเยอะ เบียดเสียดกันอย่างกับปลากระป๋อง นี่แค่ป้ายถ้าขึ้นรถเมล์ไปมันจะขนาดไหน ดูสภาพไอ้ตังค์สิ ตัวก็เล็กแถมยังแบกกระดานวาดรูปรุงรัง ถ้ามีคนอาสาไปส่งมันที่บ้านก็...
ปี๊นๆ
เสียงแตรรถเอสยูวีสีชานมสัญชาติญี่ปุ่นดังขึ้นพร้อมกับเข้าเทียบจอดริมฟุตบาท ถ้าจำเลขทะเบียนไม่ผิดล่ะก็... เจ้าของมันเพิ่งเจอกันไปเมื่อเที่ยงนี่เอง
"จะไปไหนกันวะ"
เสียงทุ้มดังขึ้นหลังจากที่กระจกติดฟิล์มดำลดลงจนเห็นใบหน้าหล่อเถื่อนของไอ้เอย
"กูมาส่งไอ้ตังค์ขึ้นรถเมล์"
ผมตอบก่อนจะชี้ไปที่คนข้างตัว ไอ้ตังค์ยืนหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ถ้าปล่อยให้ขึ้นรถเองมีหวังผิดสายแน่ๆ ขี้เกียจไปตามกลับที่ปลายทาง
"ไปไหนวะ"
ไอ้เอยตะโกนถามมาอีกครั้งและมันไปกระตุ้นกล่องความทรงจำของผมให้เปิดออก บ้านตังค์อย่างนั้นเหรอ... อืม
"เอย กูฝากไอ้ตังค์ด้วยได้ปะ มันอยู่หมู่บ้านเดียวกับมีงเลย"
ผมพูดจบก็โดนไอ้ตังค์กระตุกชายเสื้อยิกแล้วยืดตัวมากระซิบเสียงรอดไรฟัน
"คุณเจ็ท ไม่เอาครับ"
น้ำเสียงฟังดูทั้งหวาดกลัวและไม่พอใจ แต่ผมไม่สนแล้วหันกลับไปพูดกับมันด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม แค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ช่วยอดทนสักหน่อยเหอะคุณตังค์เพื่อนรัก
"เฉยๆ น่าตังค์ ไม่เคยขึ้นรถเมล์ไม่ใช่หรือไง"
หลังจากจบประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้น ไอ้ตังค์ก็ทำหน้าจ๋อยก่อนจะปล่อยชายเสื้อของผม ท่าทางเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเหลือเกิน แค่ให้ไอ้เอยไปส่งไม่ใช่ลากไปฆ่า
"เออ มาดิ ขึ้นเลยๆ"
ไอ้เอยตอบตกลงแล้วปลดล็อกประตูให้ ผมเอื้อมมือไปเปิดก่อนจะดันหลัง 'ลูกแมว' ประเคนเข้าถ้ำเสือ
"ขอบคุณมาก"
ผมเอ่ยขอบคุณแทนไอ้ตังค์ที่เอาแต่ตั้งสมาธขัดขืนโดยที่ไม่รู้เลยว่าแรงเท่ามดจะสู้อะไรแรงช้างได้ สุดท้ายมันก็หย่อนก้นลงบนเบาะหนังจนได้ แต่ไม่ยอมเก็บขาเข้ารถ ปิดประตูทับเลยดีไหมเนี่ย แล้วจะน้ำตาคลอเพื่อ...
"คะ คุณเจ็ท..."
เสียงสั่นๆ เรียกชื่อผมทำให้ต้องถอนหายใจออกมาแล้วเอื้อมมือไปวางแปะลงบนหัวมันแล้วออกแรงขยี้
"ไปเหอะน่า ไม่ต้องกลัว"
ผมใช้น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนในการบีบบังคับไอ้ตังค์ให้ยอม ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเป็นห่วงและเพื่อพิสูจน์การกระทำของไอ้เอยในทางอ้อม เพราะประเมินภาพรวมแล้วมันน่าจะสนใจลูกแมวของนายภาคินเข้าซะแล้ว
"ก็ได้ครับ"
ผมปิดประตูให้ไอ้ตังค์แล้วโบกมือลาทั้งสองคน รถสีชานมแล่นออกไปแล้วมันก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปหาจุดหมายของตัวเองสักที
ต่อด้านล่างน้า