บทที่ 8
การประลองเริ่มขึ้นโดยจับเป็นคู่ใครชนะเข้ารอบ ใช้วิชาความรู้อะไรก็ได้ที่เคยเรียนในการจัดการคู่ต่อสู้โดยไม่ให้อีกฝ่ายสาหัสมากเกินไปหรือถึงตาย จะว่าไปไอ้การประลองที่จัดขึ้นมันก็แอบดิบเถื่อนอยู่พอตัว ส่วนใหญ่ที่ลงก็เป็นเด็กคณะวิทยาการการทหาร ส่วนมากจะเป็นพวกปีสุดท้ายเพราะต้องการพอร์ตในการทำงานหลังจบไป คณะอื่นก็มีให้เห็นบ้างประปราย ที่ลงมาเอาฮาหรืออยากเจ็บตัวเล่นแต่ก็ตกรอบกันไปตามระเบียบ
สำหรับฟาเรสในรอบแรกถือว่าไม่ยากเท่าไหร่นัก อาจเพราะพ่อเขาเป็นทหาร ลุงเองก็ใช่ ศิลปะการต่อสู้จึงอยู่ในสายเลือด แม้จะไม่เชี่ยวชาญนัก สายเลือดเอลฟ์ในตัวที่ฟาเรสไม่เคยรู้สึกว่ามันพิเศษเลย จนต้องมาฝึกหนักทำให้เขาสังเกตเห็นความสามารถที่ตัวเองมีอย่างชัดเจน ระดับการฟื้นตัวที่มากกว่าคนทั่วไปประมาณสองถึงสามเท่า ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวและพลังเวทย์แฝงที่มีค่อนข้างมากจนบางทีเจ็มไม่สามารถรองรับได้และเป็นเขาที่เจ็บเอาเสียเอง
มาวิค พรีม โอซี่ และเวลอร์ สี่คนนั้นไม่มีอะไรน่าห่วง แถมในรอบที่ผ่านมาทั้งสี่มีฝีมือที่น่าจับตามอง จนกลายเป็นขวัญใจสาวๆ และมีกลุ่มแฟนคลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ...นึกแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก อยู่ในกลุ่มคนหล่อแถมเก่ง ฟาเรสนี่ดูง่อยไปเลย…
แต่ม้ามืดของงานนี้คงหนีไม่พ้นโอซี่กับเวลอร์ที่เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาตลอด ฟาเรสเองก็ไม่คิดว่าโอซี่จะเก่งกาจขนาดนี้ เพราะเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับอะไร ชอบทำตัวเรื่อยเปื่อยเสียมากกว่า แถมเวลามาสนามฝึกไม่หายไปกับสาวก็นั่งเล่น ส่วนอีกราย หมอนั่นมันปีศาจ ไม่รู้เหมือนกันว่าขีดความสามารถของคนคนนี้มีเท่าไหร่ แม้จะอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่เขาคิดว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่รู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมเอก จนอดคิดไม่ได้ว่าเวลอร์ที่ทุกคนเห็นอยู่นี่อาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ตอนนี้ฟาเรสนั่งรออยู่ในห้องเตรียมของโคลอสเซียมกลางน้ำซึ่งใช้เป็นสนามประลอง ดวงตาสีครามมองขวดแก้วในมืออย่างครุ่นคิด ของเหลวสีเงินไหลเอื่อยเมื่อเขาหมุนมันไปมา จะว่าเป็นยาได้ไหมนะเพราะมันคือเจ็มที่ถูกบดเป็นโมเลกุลเล็กๆ พอที่จะซึมผ่านผนังเซลล์ได้ ผสมกับสมุนไพรสกัดที่มีสารจำพวกธีโอฟิลลีน (Theophylline) มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมองและหัวใจ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้มากขึ้น นั่นก็เพื่อให้เจ็มกระจายไปทั่วร่างได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ยังผสมยาสลายลิ่มเลือดไปเล็กน้อย ป้องกันอาการต่อต้านเมื่อเจ็มเข้าสู่กระแสเลือด ยานี่ไม่ได้ผิดกฎเพราะใช้อะไรก็ได้ที่เป็นความรู้ในการประลอง
ที่ต้องทำแบบนี้เพราะรอบที่ผ่านมาเจอปัญหาจากการโดนทำให้อาวุธหลุดมือไปหลายครั้ง เมื่อไม่มีอาวุธไม่มีเจ็ม แม้จะมีพลังเวทย์มากเพียงใดก็ย่อมเสียเปรียบ แม้อาศัยเทคนิคทางกายเอาตัวรอดจนต่อยเจ้านั่นหมอบ แต่ฟาเรสก็เจ็บตัวไม่น้อย เขาจึงเกิดไอเดีย แทนที่จะถืออาวุธที่มีเจ็ม ก็เปลี่ยนเป็นใช้ร่างกายตัวเองเป็นอาวุธแทน การที่มีเจ็มไหลเวียนอยู่ในตัวอาจจะทำให้เขาใช้พลังเวทย์ได้อย่างอิสระ เพราะแบบนั้นฟาเรสจึงใช้เวลาสองวันหลังจากนั้นผสมของเหลวสีเงินนี้ขึ้น จากที่ลองจิบเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงร่างกายที่เบาขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ จึงคิดว่ามันน่าจะใช้ได้ แต่ยังไม่เคยลองในปริมาณขนาดนี้เพราะไม่มีเวลามากพอ
วันนี้เขาต้องเข้าประลอง ถ้าชนะเขาจะเข้ารอบแปดคนสุดท้าย ซึ่งหมายถึงมีสิทธิ์ได้ลองทำงานกับหน่วยพิทักษ์ นั่นแปลว่าเขาแพ้ไม่ได้ แต่ที่น่าหนักใจตรงคู่ต่อสู้วันนี้คือตัวเต็งของปีสาม แน่นอนเจ้านี่มันเก่ง แถมรอบที่ผ่านมายังหักแขนหักขาคู่ต่อสู้เล่นเสียด้วย โรคจิตเป็นบ้า
ปากขวดเย็นจรดกับริมฝีปากสวย เทของเหลวสีเงินให้ไหลเอื่อยลงคอช้าๆ สร้างความรู้สึกร้อนวาบไปทั่วท้อง เหลืออีกสิบนาทีคงพอดีกับที่ตัวยากระจายทั่วร่าง ฟาเรสเอนหลังพิงพนัก หลับตาลงรับรู้ถึงกระแสพลังที่ไหลไปทั่วร่าง เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นและร่างกายที่รู้สึกเบาราวกับไม่ใช่ตัวเอง ประสาทสัมผัสที่ชัดเจนทำให้ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาหน้าห้อง หรือแม้กระทั่งเสียงเซ็งแซ่จากอัฒจันทร์ด้านนอกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มปวดหัว
"พร้อมยังฟาร์" เสียงทักของเพื่อนทั้งห้าดังขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมา
"พร้อมแล้ว"
"สู้ๆ นะจ๊ะ" เซียว่าพลางกอดเขาแน่นแล้วผละออก ก่อนที่คนอื่นๆ จะเดินมาตบบ่าอย่างให้กำลังใจ ยกเว้นเวลอร์ที่ทำเพียงมองเขานิ่งๆ นัยน์ตาสีอำพันหรี่ลงอย่างสงสัยในบางสิ่ง ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเดินมาตบบ่าเขาบ้าง แต่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินตามคนอื่นออกไป
ก่อนแข่งห้านาทีฟาเรสเดินออกมาสู่สนาม ขาเรียวพาร่างโปร่งมาประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ท่ามกลางเสียงโห่ร้องที่ส่วนใหญ่เป็นชื่อของฝั่งตรงข้าม
"สวัสดีหนุ่มสาวทั้งหลาย" เสียงเฮรับเสียงประกาศของพิธีกร "สำหรับรอบสิบหกคนวันนี้ เป็นการพบกันระหว่าง น้องใหม่ไฟแรง ฟาเรส คาเดนเซีย เห็นหน้าใสๆ แบบนี้ฝีมือไม่เบานะครับ ล้มรุ่นพี่ตัวโตมาแล้ว และอีกด้าน แอสตัน มานูเอล เขาคนนี้ไม่ธรรมดา การันตีด้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองของปีที่แล้ว ปีนี้เขามาเพื่อแก้ตัว แต่ผลปีนี้จะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูรอลุ้นกันต่อไป" สิ้นชื่อหมอนั่น เสียงรอบๆ ก็เฮลั่นอีกครั้ง
"ไงสาวน้อย โอ๊ะ!!!! หนุ่มน้อยถึงจะถูก โทษทีทักผิด" เป็นคำทักทายที่กวนอารมณ์พอตัวสำหรับฟาเรส แอสตันมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวกร้านแดดนัยน์ตาสีดำสีเดียวกับผมที่ตัดสั้นจนเกือบเกรียน ดูทะมัดทะแมง น่าจะชื่นชอบการใช้กำลังอยู่พอตัว
...สาวน้อยบ้านมึงสิ…
"แหนะ ทำตัวเฉยชา กฎบอกว่าห้ามฆ่า แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามทำอย่างอื่นนะ" เจ้านั่นยิ้มร่าก่อนลากสายตาไปทั่วร่างบางอย่างหยาบโลน "ยอมแพ้ดีๆ ไหม แล้วเก็บแรงไปร้องครางใต้ร่างฉันคืนนี้ จะจัดให้นายเป็นพิเศษเลย ฟาเรส" มันลากเลียริมฝีปากพลางมองมาราวกับจะกลืนกิน ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว
"ไอ้โรคจิต" ฟาเรสด่าเสียงเบา
การประลองเริ่มขึ้นโดยหมอนั่นเลือกแส้เป็นอาวุธ แถมยังมาบอกเหตุผลที่ชวนถีบ ว่าซ้อมไว้เผื่อได้ใช้กับเขาบนเตียง ในสมองมันมีแต่เรื่องเอาเขาไปปู้ยี่ปู้ยำหรือไง ส่วนฟาเรสเลือกใช้ดาบไม้สองมือเพราะจู่โจมได้สะดวกเหมือนใช้มือเปล่า อาวุธที่เตรียมไว้จะเป็นแบบไร้คมเพื่อไม่ให้อันตรายต่อผู้แข่งขันจนถึงแก่ชีวิต
"เอ้า!!! เริ่มประลองกันได้ ใครล้มไม่ลุกก่อนคนนั้นแพ้"
เพี้ยะ!!! เสียงแส้ฟาดลงกับพื้นเพราะฟาเรสเอี้ยวตัวหลบ แอสตันมองเขาอย่างถูกใจ ก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมพร้อมแส้ในมืออย่างจริงจัง แส้ฟาดผ่านอากาศครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ร่างบางก็หลบได้อย่างไร้ที่ติเพราะความรวดเร็วทางกายที่เพิ่มขึ้นจากเจ็มที่ไหลเวียนอยู่ในกาย
"ไวใช้ได้เลยนี่" มันเอ่ยปากชมก่อนที่จะโถมมาอีกครั้ง หากแต่ร่างโปร่งบางกลับเอี้ยวหลบไปซ้อนหลังหวดดาบไม้ใส่แอสตันเต็มแรงและผละถอยเมื่ออีกฝ่ายหันมาสวน ปลายเส้นหนังที่อาบเวทย์เฉียดตัวไปนิดเดียว ทำให้กระดุมขาดและบาดลงเนื้อเป็นรอยแดง
"แม่ง...!!" ฟาเรสรู้สึกแสบ เรือนกายขาวอวดโฉมสู่สายตาเรียกรอยยิ้มถูกใจจากอีกฝ่าย ดูก็รู้ว่าจงใจ แล้วหมอนั่นก็กระหน่ำฟาดแส้ใส่จากระยะไกล ฟาเรสหลบแล้วค่อยโจมตีสวนทีละดอกเมื่ออีกคนเปิดช่องว่าง หมัดถูกส่งไปประเคนหน้าเถื่อนๆ นั่นจนหันอยู่หลายครั้ง ไม่อยากให้อีกฝ่ายสาหัสจึงไม่ออกแรงมากแต่นั่นกลับทำให้เขาเริ่มเหนื่อยเสียเอง คู่ต่อสู้ช่างทนมือทนเท้าเหลือเกิน
เพี้ยะ!!!
"โอ๊ย!!!" แต่คนเราก็ต้องมีพลาดเมื่อแส้อาบเวทย์พันเข้าที่ขาจนเสียหลัก แอสตันอาศัยจังหวะนั้นทะยานเข้าหาฟาเรสจนเสียหลักล้มลงถูกอีกฝ่ายคร่อมทับไว้ ดาบไม้หลุดกระเด็นไปจากมือ
"อู้ว!!! ได้อยู่บนตัวนายแล้วสาวน้อย" ถึงไอ้ยักษ์นี่จะไม่เร็วแต่เรี่ยวแรงมหาศาล สายแส้อาบเวทย์รัดคอฟาเรสลงกับพื้นสนามจนเจ็บแปลบ แอสตันแสยะยิ้มถูกใจพลางออกแรงกด
"ฮึก..." ร่างบางหายใจติดขัด ส่วนหนึ่งจากแส้ที่พาดทับลำคอขาว อีกส่วนจากหัวใจที่เต้นแรงและอุณหภูมิในกายที่สูงขึ้นเมื่อยาที่กินออกฤทธิ์เต็มกำลัง
"บอกสิว่ายอมแพ้ ไม่งั้นนายน่วมกว่านี้แน่ พูดสิ พูด!!!"
"ฮึก ปะ ปล่อย" ภาพตรงหน้าเบลอบ้างชัดบ้างเพราะหายใจไม่สะดวก
"หึ ถึงฉันฆ่านายไม่ได้ก็ทำให้สาหัสได้ บอกยอมแพ้ บอกสิ" คนตัวโตเริ่มบ้าคลั่งเมื่อเห็นฟาเรสยังคงเงียบแถมจ้องหน้าตอบอย่างท้าทาย
“ฝันไปเถอะ”
“อย่ามาทำเป็นอวดดี อ่อนแอแบบแกจะไปทำอะไรได้”
อ่อนแองั้นเหรอ ถ้อยคำสบประมาทที่พ่นใส่หน้าสร้างความเกรี้ยวกราดในดวงตาสีครามที่บัดนี้เหมือนเรืองแสงจางๆ ฟาเรสรับรู้ถึงพลังที่กำลังแล่นพล่านไปทั่วร่าง มือที่กดแส้รัดคอเขาไว้ค่อยๆ ถูกรั้งออก แอสตันดูตกใจเมื่อคนที่เหมือนจะเพลี่ยงพล้ำเกิดฮึดสู้
ผลัก!!! ตุบ!!! แล้วร่างสูงใหญ่ถูกแรงมหาศาลถีบกระเด็นไปหลายเมตร เรียกเสียงฮือฮาจากคนทั้งสนามเพราะนึกไม่ถึงว่าฟาเรสจะมีเรี่ยวแรงขนาดนี้
"อะ อะไรวะ" แอสตันผุดลุก ทั้งเจ็บทั้งงง แต่ยังไม่ทันตั้งตัว ฟาเรสก็พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ไอพลังลากเป็นสายตามการเคลื่อนไหว ส่งหมัดเปลือยเปล่าซึ่งอาบไว้ด้วยพลังเวทย์กระแทกเต็มหน้าคู่ต่อสู้จนหันไปตามแรง
ทั้งสนามเงียบงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฟาเรสที่ดูยังไงก็เสียเปรียบในทุกด้านกลับลุกขึ้นมาซัดอีกฝ่ายจนล้มตึงในหมัดเดียว แอสตันแน่นิ่งไม่ขยับจนแพทย์สนามต้องรีบเข้ามาดูอาการก่อนจะทำมือเป็นสัญญาณว่ายังหายใจ พิธีกรจึงประกาศชื่อของผู้ชนะตามมาด้วยเสียงปรบมือโห่ร้องก้องสนาม
...ชนะแล้วสินะ…
ฟาเรสหอบหายใจหนักๆ ร่างกายสั่นสะท้านกับความแปรปรวนภายใน ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะสนใจสิ่งรอบตัว รู้อย่างเดียวคือต้องออกไปจากตรงนี้ ขาเรียวพาร่างเดินเข้าไปยังตัวอาคาร สู่ทางเดินที่นำไปยังห้องเตรียมตัวด้านใน เข้าห้องได้จึงรีบปิดประตูลง พอพ้นสายตาทุกคนร่างบางก็ซวนเซจนต้องพิงร่างกับกำแพง ภายในมันร้อนเหมือนไฟเผา หัวใจเต้นแรงจนเจ็บแปลบไปทั่วร่าง เจ็มที่รับพลังมากเกินไปอาจแตกสลายได้ หรือร่างกายของเขาจะแตกสลายเช่นกัน ฟาเรสตัดพ้อกับความบุ่มบ่ามของตน คิดแต่เรื่องชนะจนลืมผลข้างเคียง โดนยาตัวเองเล่นเสียแล้ว
ดวงตาสีครามเบิกกว้างก่อนจะหลับลงเพื่อข่มความเจ็บปวด รับรู้ถึงของเหลวที่ไหลผ่านจมูก เลือดกำเดาที่หยดลงสัมผัสพื้นดังซ่าก่อนจะแห้งเหือดกลายเป็นควัน ฟาเรสได้ยินเสียงเพื่อนเรียกจากด้านหลังแต่ไม่อาจหันไปมอง
"ฟาร์ ฟาร์เป็นอะไร" มาวิคเปิดประตูเข้ามาเอ่ยถาม ทั้งที่ตั้งใจจะเข้ามาแสดงความยินดี กลับเห็นร่างบางยืนหอบพิงผนังราวกับจะเป็นลม เขารีบพุ่งเข้ามาพยุงไว้ก่อนที่ฟาเรสจะทรุดลงกับพื้น ประคองร่างบางให้นอนราบโดยหนุนตักตนไว้ คนที่เหลือจึงกรูเข้ามาดูอาการด้วยความตระหนก
"ทำไมตัวร้อนอย่างนี้ หน้านายแดงไปหมด เป็นอะไร ไหวไหมเนี่ย" เซียว่าเสียงตื่นพลางจับเนื้อจับตัวฟาเรสอย่างร้อนรน มือเล็กคว้าผ้าเช็ดหน้าที่พรีมยื่นให้ซับเลือดกำเดาและเหงื่อบนใบหน้าเนียน
"ฉะ ฉัน อึก" ฟาเรสอ้าปากจะอธิบายแต่ร่างกลับกระตุกเกร็งก่อนจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด ยังไม่ทันได้แก้แค้นก็จะมาตายอนาถแบบนี้แล้วหรือ
"ฉันไม่เคยแนะนำให้นายเอาตัวเองเป็นหนูลองยา" เวลอร์บอกเสียงขุ่นเมื่อเหลือบไปเห็นขวดแก้วที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก้นขวดมีของเหลวสีเงินหลงเหลืออยู่เล็กน้อย เขาหยิบมันขึ้นมาดมก่อนเดินมาคุกเข่าข้างกายฟาเรสแล้วยื่นไปต่อหน้า
"อะไรน่ะ" ทุกคนโพล่งออกมาพร้อมกัน
"ใส่อะไรไปมั่ง" แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่งแน่นัยน์ตาสีอำพันกลับคุกรุ่นด้วยแรงอารมณ์
"ธีโอฟิลลีน (Theophylline) ฮึก...สะ สารละลายลิ่มเลือด แล้วก็ จะ เจ็ม"
"นายมันบ้า" มาวิคสบถออกมาอย่างหัวเสีย คนอื่นก็ตีหน้ายุ่งพอกัน
"พากลับห้อง เดี๋ยวฉันตามไป" เวลอร์กำขวดแก้วในมือแน่น ก่อนหุนหันออกจากห้องเตรียมตัวไป
ฟาเรสถูกอุ้มขึ้น ประสาทสัมผัสรางเลือนแต่ยังรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแบบไม่ปะติดปะต่อ ความร้อนภายในกระตุ้นสติของฟาเรสอยู่เนืองๆ ราวกับร่างอยู่กลางกองไฟ ความอ่อนนุ่มของฟูกบอกให้รู้ว่าเขามาถึงที่หมายแล้ว สัมผัสเปียกชื้นจากผืนผ้าที่ซับไปตามร่างไม่อาจช่วยบรรเทาความร้อนในกายได้ มือเรียวกำผ้าปูที่นอนแน่น ร่างทั้งร่างเหยียดเกร็ง
"อดทนไว้นะฟาร์" เซียว่าเสียงเครือพลางเอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวเขาไม่หยุด มาวิคเดินไปมาทั่วห้องอย่างหนูติดจั่น จนโอซี่ต้องจับไปนั่งสงบสติอารมณ์ไว้มุมห้อง
"นายต้องไม่เป็นไร" พรีมว่า
ท่ามกลางความทรมาน ฟาเรสรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นห่วงใยที่ทุกคนมอบให้ เขาพยายามยามลืมตามองรอบตัวแม้จะเป็นเพียงภาพเบลอ แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาสีครามด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย รู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง
เวลอร์กลับมาพร้อมขวดยาในมือที่เพิ่งไปผสมมาจากห้องวิจัย พรีมผละออกให้ผู้มาใหม่ได้นั่งแทนที่ แขนแกร่งรั้งร่างที่สั่นเทาขึ้นมาเอนพิงอก
"ยาอะไร" มาวิคถาม
“ระงับอาการ หวังว่าจะได้ผล” มือใหญ่เปิดขวดยาจ่อที่ริมฝีปากแดงจัดจากความร้อน พร้อมเอามืออีกข้างรั้งปลายคางให้ฟาเรสอ้าปากเพื่อดื่มมัน แต่แค่อึกแรกเจ้าตัวก็สำลักออกมา เขาจึงตัดสินใจเอายาทั้งหมดกรอกปากตัวเองก่อนจะป้อนมันด้วยปากให้คนไม่ได้สติ
ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายเริ่มสงบ ดวงตาคู่สวยปิดลงช้าๆ อาการหายใจหอบลดลง เวลอร์เอามือปัดปอยผมที่ชื้นเหงื่อออกจากหน้าเนียน ใบหน้าที่เคยแดงจัดเริ่มคลายสี เขาจึงจับข้อมือดูชีพจร วินาทีนั้นทุกคนต่างลุ้นจนตัวเกร็ง พอเห็นเวลอร์พยักหน้าให้จึงพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาอย่างพร้อมเพรียง เมื่อฟาเรสเลิกดิ้น เซียจึงจัดการกับรอยแผลและรอยฟกช้ำบนตัวคนเจ็บ เวลาล่วงเลยเกือบสามทุ่ม นี่พวกเขาลืมข้าวเย็นกันไปเลยมัวแต่ห่วงเพื่อน
"พวกนายกลับไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูเอง" เวลอร์บอก ที่เหลือกล่าวฝากฝังก่อนจะออกจากห้องไป มีเพียงมาวิคที่ยังรั้งรอมองมาที่ทั้งสอง เขาอยากอยู่ด้วยใจจะขาด แต่ทั้งตอนนี้และก่อนหน้านี้เมื่อเทียบกับเวลอร์แล้วเขากลับช่วยอะไรไม่ได้เลย
"อะ...เอ่อ ฝากด้วยแล้วกัน" สุดท้ายก็พูดออกมาเพียงแค่นั้นแล้วออกจากห้องตามเพื่อนไป
มาวิคไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้องให้ ชายหนุ่มก้าวไปอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นไหวเต็มไปด้วยความสับสน ดูเหมือนว่าจะเจอคู่แข่งที่น่าหวั่นใจเสียแล้ว แม้ฟาเรสไม่ได้มีท่าทีชัดเจนนักแต่ก็เห็นแววพ่ายแพ้อยู่รำไร เขาควรทำอย่างไรดี ยอมถอยงั้นหรือ ไม่มีทาง คนอย่างมาวิคไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว
ฟาเรสตื่นขึ้นตอนบ่ายของอีกวัน ดวงตาสีครามกะพริบถี่เพื่อปรับให้เข้ากับแสงในห้องจนเพดานตรงหน้าเริ่มชัดเจน เขานอนอยู่ท่านั้นพักใหญ่เพราะทุกส่วนของร่างกายไร้เรี่ยวแรงราวกับเป็นอัมพาต คนเจ็บพยายามขยับตัวไปที่ขอบเตียง ทุกการขยับทำเอาเจ็บร้าวไปหมด แต่ก็ฝืนลุกยืนพาตัวเองไปจัดการธุระในห้องน้ำจนเสร็จ มันช่างทุลักทุเลเพราะแรงที่ถดถอยและใช้เวลานานพอควรก่อนจะกลับมานอนบนเตียงดังเดิม
"ฟื้นแล้วเหรอ" เซียที่เดินเข้าห้องมาพร้อมถ้วยข้าวในมือเอ่ยทักเสียงใส
"อืม"
"รู้สึกยังไงบ้าง"
"เหมือนไม่ค่อยมีแรงเลย"
"น่าจะเป็นผลที่ใช้พลังเวทย์มากเกินไป นายน่ะอย่าทำอะไรแผลงๆ แบบนี้อีกนะ คิดจะใช้ร่างกายตัวเองเป็นอาวุธหรือไงถึงผสมอะไรบ้าๆ แบบนั้นกิน เกิดเจ็มที่เข้าไปในตัวนายนั่นรองรับพลังไม่ไหวเดี๋ยวได้ตายกันพอดี" เซียบ่นยาว "แต่ไม่เป็นไรแล้วละ ได้เวช่วยไว้ ทีหลังอย่าทำอีกนะ พวกฉันหัวใจจะวาย"
"ขอโทษนะ" คนถูกว่าตอบเสียงเบา ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด "แล้วเซียไม่ไปเรียนเหรอ"
"ไปแล้วเมื่อเช้า บ่ายฉันว่างน่ะเลยมาดูนาย กินข้าวซะ จะได้พักเอาแรง" เซียนั่งคุยนั่งเล่นกับฟาเรสจนเย็น นอกจากสวยแล้วฟาเรสมั่นใจเลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นแม่ที่ดีได้แน่ ก็เธอดูแลเก่งขนาดนี้จนนึกอิจฉาพรีมขึ้นมา การแข่งขันของฟาเรสรอบต่อไปเป็นอันยกเลิก เขาถูกปรับแพ้เพราะสภาพร่างกายไม่พร้อม แต่ก็ไม่เสียใจอะไร แค่เข้ารอบแปดคนก็พอแล้ว
"วันนี้พรีมแข่งนี่ ไม่ไปดูเหรอ"
"ถ้าฉันไปใครจะดูนาย" เซียยิ้มบางแต่แอบเห็นแววเสียดายในดวงตาคู่สวยนั่น ใครก็อยากไปให้กำลังใจคนรักของตัวเองทั้งนั้น
"นี่ไง เวมาแล้ว เซียไปเถอะ เดี๋ยวพรีมไม่มีกำลังใจนะ" ฟาเรสบอก พอดีกับเวลอร์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน หลังเกิดเรื่อง เพื่อนๆ ได้เอากุญแจสำรองของฟาเรสไปถือไว้อีกชุดเพื่อเข้าออกห้องเขาในยามจำเป็น
"งั้นฉันไปก่อนนะ" เธอว่าก่อนยื่นหน้ามาจูบหน้าผากแล้วออกจากห้องไป
เวลอร์ไม่แม้จะเอ่ยทักหรือสบตา ร่างสูงก้าวยาวๆ ไปหยิบจานเปล่าที่วางตรงโต๊ะข้างเตียงกับแก้วน้ำแล้วออกจากห้องไป ได้ยินเสียงเปิดน้ำจากตรงครัวบอกให้รู้ว่าเขาเก็บมันไปล้าง รออยู่พักใหญ่คนที่ออกไปก็ไม่มีทีท่าจะเข้ามา หรือว่ากลับห้องไปแล้ว คิดได้ดังนั้นฟาเรสจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็ยังคาใจกับท่าทีเมินเฉยที่ได้รับ
ร่างบางสะดุ้งตื่นอีกทีตอนฟ้ามืด ไฟในห้องถูกเปิดสว่าง หันไปมองโซฟาริมระเบียงเห็นเวลอร์ที่อยู่ในชุดลำลองนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ดวงตาสีอำพันยังคงจดจ้องหน้าหนังสือ ทั้งที่ปกติหมอนี่ประสาทสัมผัสไว การที่เขาตื่นทำไมเจ้าตัวจะไม่รู้
"ขอบใจ" เสียงหวานเอ่ยติดขัดเมื่อเห็นโต๊ะข้างเตียงมีผลไม้ น้ำ และยาวางอยู่ แต่ได้รับเพียงความเงียบแทนคำตอบ ริมฝีปากสวยเม้มแน่นอย่างอึดอัดเมื่อรู้ตัวว่าถูกเมิน แต่ก็ยอมหยิบยาสีเข้มในขวดขึ้นมากิน แม้รสชาติจะเฝื่อนขมแค่ไหนก็ไม่กล้าโวยวายเพราะรับรู้ได้ว่าอีกคนไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ
...โกรธอะไรหรือเปล่านะ…
เวลอร์ยังคงอยู่โดยไม่สนใจคนที่มองมาที่เขาเป็นระยะ บรรยากาศมึนตึงดำเนินต่อไปจนฟาเรสเริ่มแย่ ความรู้สึกหน่วงในอกชวนให้หายใจติดขัด เขาคิดทบทวนตัวเองว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจถึงได้ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุเช่นนี้ ครั้นจะเอ่ยปากถามก็ไม่กล้า ความเงียบกำลังทำให้เขาใกล้บ้าเต็มที
ครืด!!! เสียงเลื่อนเก้าอี้ดึงดวงตาคู่สวยให้หันมอง เวลอร์วางหนังสือในมือลงก่อนจะเดินเข้ามา ตาคมที่มองมาเฉยชาราวกับคนไม่รู้จักกัน ความรู้สึกบางอย่างประเดประดังมาจุกอก ดวงตาสีครามมองจานผลไม้กับขวดยาที่ถูกเก็บก่อนคนเก็บจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่รู้จะพูดอะไร ทันทีที่ร่างใหญ่พ้นสายตา หยาดน้ำตาพลันไหลออกมาอย่างที่ฟาเรสก็ไม่เข้าใจตัวเอง
เจ็บ...มือบางกุมอกแล้วกำแน่น การกระทำของเวลอร์มีผลต่อความรู้สึกเขามากมายเหลือเกิน ไม่รู้มาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลต่อตนมากเพียงนี้ ราวกับว่าที่เวลอร์ยังอยู่ในห้องนี้เพราะเขาต้องดูแลตามหน้าที่เท่านั้นเอง ไม่อยากเจอเวลอร์ที่เป็นแบบนี้ ร่างบางลุกออกจากเตียงไปที่ประตู แต่ด้วยแรงกายที่ยังกลับมาไม่เต็มที่ทำเอาทรุดลงไปนั่งกับพื้น แต่ก็พยายามฝืนลุกเดินไปยังเป้าหมาย ตั้งใจจะล็อกมันซะ จะได้ไม่มีใครบางคนเข้ามาเสนอหน้าให้ทรมานใจ
แกร๊ก! ประตูเจ้ากรรมดันเปิดออกก่อนที่มือฟาเรสจะได้สัมผัสลูกบิด ใบหน้าที่อาบด้วยน้ำตามองเวลอร์อย่างตระหนกก่อนก้าวถอยเพราะไม่คิดว่าจะเผชิญหน้ากันในสภาพที่ตัวเองดูอ่อนแองี่เง่าเช่นนี้
"ปล่อยเลย" ฟาเรสว่าอย่างหัวเสียเมื่อร่างถูกอุ้มไปวางลงบนเตียงนุ่ม ร่างใหญ่โถมมาทับพร้อมรวบข้อมือเล็กกดไว้เหนือหัว "ทำบ้าอะไร"
"ร้องไห้ทำไม" ดวงตาสีครามมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ...ยังมีหน้ามาถามอีก...
“อย่ามายุ่ง!!!”
“ฉันถามอยู่นะ”
"จะรู้ไปทำไม ไม่ต้องมาทำเป็นสนใจเลย ไอ้คนงี่เง่า เมินนักก็เมินให้ตลอดไปเลยสิ ฮึก...แม่ง ถ้าจะทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนแบบนี้ไปไหนก็ไปเลย" คนข้างใต้ทั้งดิ้นทั้งโวยวาย อารมณ์ขุ่นมัวที่เก็บไว้ก่อนหน้าระเบิดออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลเอ่อ
"ไม่ไป" เสียงทุ้มบอกเรียบๆ เวลอร์จำต้องตีหน้านิ่งดัดนิสัยเด็กดื้อ แต่น้ำตาของคนตรงหน้ากลับทำใจเขาอ่อนยวบ ฟาเรสเบ้ปากอย่างขัดใจพร้อมหันหนีไม่ยอมมอง ริมฝีปากหนาหยักยิ้ม เห็นแบบนี้รังแกไม่ลงแล้วล่ะ
"รู้สึกยังไง หืม" เวลอร์ถามพลางเอามือข้างที่ว่างจับคางให้ฟาเรสหันมามอง พอหลบสายตาไม่ได้เจ้าตัวเลยเลือกจะหลับตาหนี
“รู้สึก เรื่องอะไร”
"แย่ใช่ไหมล่ะ" ใบหน้าคมโน้มลงไปจูบซับหยาดน้ำตาทำเอาคนถูกกระทำสั่นเกร็ง
"แย่สิ นายเมินฉันแบบนี้ บอกว่าเกลียดไปเลยยังดีซะกว่า" เสียงหวานตอบปนสะอื้น
"ใช่ มันโคตรแย่ รู้ไหมตอนที่ฉันเห็นนายทุรนทุรายจากไอ้ยาบ้าๆ นั่น ก็รู้สึกแย่พอกัน" จมูกโด่งคลอเคลียแก้มใสก่อนจะกระซิบบอกสิ่งที่คิด ดวงตาสีครามลืมขึ้นมองหน้าเขาอย่างฉงน
"เพราะงั้นเลยโกรธฉันเหรอ"
"โกรธสิ โกรธที่ทำอะไรบ้าๆ รู้ไหมทุกคนพยายามปกป้องนายมากแต่นายเองกลับมาหาเรื่องให้ตัวเองเป็นอันตรายแบบนี้ มันน่าโกรธไหมล่ะ" เวลอร์มองมาด้วยสายตาดุดันเหมือนผู้ใหญ่ปรามเด็กอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ ฟาเรสรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันใด อย่างน้อยมันก็ดีกว่าสายตาเฉยชานั่น
"ขอโทษนะ" คนผิดบอกเสียงแผ่วพลางหลบสายตาคมที่จ้องเขาไม่เลิก ทำเอาแก้มใสซับสีเข้มอย่างห้ามไม่อยู่
"อย่าทำให้เป็นห่วงอีกล่ะ" คนตัวโตฉวยโอกาสหอมแก้มนิ่มนั่นไปที ทั้งหมดก็เพราะอยากให้ฟาเรสรับรู้สิ่งที่เขารู้สึกบ้างจะได้ไม่กล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงแบบนี้อีก
แม้ฟาเรสจะเรียนเก่งและเป็นคนฉลาด แต่อย่าลืมว่าเจ้าตัวเพิ่งสิบหก ความคิดอ่านบางอย่างยังไม่ค่อยรอบคอบ บางครั้งก็ทำอะไรโดยไม่นึกถึงผลที่ตามมา เหมือนอย่างครั้งนี้ หากเวลอร์ไม่อยู่และหายาแก้ได้ทันท่วงที ร่างกายบอบบางนี่อาจช็อกจนถึงตายได้ ยิ่งมีเจ็มไหลเวียนในกายยิ่งเป็นอันตรายจากพลังที่ไม่สมดุลและควบคุมไม่ได้ เพราะแท้จริงแล้วฟาเรสมีพลังเวทย์บริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องใช้สื่อกลาง หากแต่ต้องฝึกฝนเรียนรู้เท่านั้นเอง
"เฮ้ย!!!" พอความขุ่นเคืองจางไปความเขินอายก็เข้ามาแทน ฟาเรสร้องออกมาเมื่อตระหนักได้ถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ โดนคนอื่นคร่อมไว้แถมเป็นผู้ชายตัวโต หากเป็นสาวสวยเขาคงยินดีแต่นี่มันไม่ใช่ ข้อมือที่โดนรวบไว้ชักเจ็บขึ้นมาเสียแล้วสิ
"เว ปล่อย"
"หืม"
"ปล่อยมือ มันเจ็บ"
"อ๊ะ โทษที" มือกร้านคลายออกแต่ไม่วายดึงข้อมือขาวนั่นมาจูบเบาๆ ตรงที่เป็นรอยแดง ทำเอาหน้าเนียนเห่อร้อนไปหมด
"งื้อ พอ พอแล้ว ลุกออกไปด้วยมันหนัก" ใบหน้าหล่อยิ้มรับก่อนจะพลิกตัวฟาเรสให้มาอยู่ด้านบนแล้วกอดกระชับ
"ไม่หนักแล้วนะ" คนถูกกอดถึงกับเหวอไม่คิดว่าจะมามุกนี้ ทั้งขืนตัวออกทั้งทุบทั้งตีแต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะปล่อย ซ้ำร้ายยังกอดแน่นกว่าเดิม จนเขาต้องหยุดเองเพราะกลัวมีคนช้ำตายไปเสียก่อน
"ไอ้บ้าเว" ฟาเรสสบถ ก่อนจะซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างอย่างปลงๆ จบด้วยการอยู่เฉยให้เขากอดทุกทีสิให้ตาย หรือเขาควรทำตัวให้ชิน