บทที่ 19
หลังประโยคบอกความในใจของหลิวเฉินซาง มู่อิงได้แต่จ้องหน้าเขาราวตัวโง่งม มิใช่ว่าไม่เคยมีบุรุษที่ชื่นชอบตนเองมาบอกรัก หากแต่คนที่กล่าวออกมาแล้วทำให้เขาใจเต้นแรงถึงเพียงนี้ ทำตัวไม่ถูกถึงเพียงนี้ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีเพียงหลิวเฉินซาง หลังจากจ้องหน้าหลิวเฉินซางอยู่นาน จ้องจนเคลิบเคลิ้ม จากประสบการณ์ในการอ่านบรรดาหนังสือที่กู่อิ๋งอิ๋งให้มา เขาสมควรบอกความในใจของตนเองเช่นกัน
“ข้าก็ชอบ...เส้นผมของเจ้า” ความจริงเขาคิดจะพูดว่าข้าเองก็ชอบเจ้ามากออกไปอย่างสง่าผ่าเผย หากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ เส้นผมของหลิวเฉินซางก็เป็นของหลิวเฉินซาง เช่นนั้นไม่ว่าบอกชอบเส้นผมหรือตัวของหลิวเฉินซางเองคงไม่ต่างกันมากนัก
หลิวเฉินซางจ้องใบหน้าแดงระเรื่อของมู่อิง ใบหน้าเอียงอายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คนผู้นี้ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นจอมมารที่ชาวยุทธ์ต่างหวั่นเกรง แต่ไม่ว่าเขาจะมองเช่นไร มู่อิงก็ไม่คล้ายเช่นนั้นเลยสักครั้ง หากไม่นับท่าทีเจ้าชู้ยักษ์ที่ระยะนี้กระทำออกมาบ่อยๆ มิรู้ว่าไปเรียนรู้มาจากที่ใด คนผู้นี้ก็นับว่าน่ารักใคร่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยามนี้ท่าทางมู่อิงที่เอียงอายดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา น่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
หลิวเฉินซางรวบตัวมู่อิงมากอดอย่างอดใจไม่อยู่ ในเมื่อใจตรงกันจะมัวมามากมารยาท คิดเรื่องควรไม่ควรให้ปวดหัวไปทำไม มู่อิงไม่ได้ขัดขืนหลิวเฉินซาง หากเป็นผู้อื่นแค่จับชายแขนเสื้อเขาก็ถึงขั้นสะบัดจนกระอักเลือดไปแล้ว หากแต่เมื่อโดนหลิวเฉินซางรวบเข้าสู่อ้อมอก ท่านจอมมารกลับทำเพียงซุกเข้าอกผู้อื่นอย่างยินยอมพร้อมใจ ไม่มีอาการขัดขืนแม้แต่น้อย
“คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ข้าชอบจะเป็นบุรุษ” หลิวเฉินซางพึมพำอย่างทอดถอนใจ เขาพบเห็นสตรีมามากมาย ที่งดงามล่มเมืองก็เห็นมามาก สุดท้ายกลับมาหวั่นไหวเพราะบุรุษผู้หนึ่ง
“ข้างามมาก” มู่อิงอดท้วงไม่ได้ แต่ก่อนเขาเคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะหาสตรีที่งดงามที่สุดในแผ่นดินมาแต่งภรรยา แต่สตรีที่เคยพบเห็นมากลับไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจในความงามได้เลย หากมีคนมาบอกเขาว่าสักวันเขาจะพึ่งใจบุรุษ ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาสังหารตั้งแต่เอ่ยออกมาเพียงครึ่งประโยค
บรรยากาศยามนี้แตกต่างจากก่อนหน้าราวกับนรกและสวรรค์ ก่อนหน้าเยือกเย็นจนแทบทำให้คนกลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งยามนี้บรรยากาศกลับอ่อนหวานพาให้คนใจสั่น
ชูปี้ฮวาที่รีบเร่งมารายงานข่าวกับมู่อิงยามนี้ก็ใจสั่นไม่แพ้กัน ท่านประมุขกลับมาถึงตำหนักอ๋องยังไม่ทันครบสองชั่วยาม เวลานี้กลับมีคนมาขอพบเสียแล้ว ผู้มานั้นหน้าตาราวกับมารับตัวนักโทษคดีอาญาร้ายแรง หากให้นางยับยั้งไม่ให้พวกเขาเข้ามา ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำได้ ใครใช้ให้คนเหล่านี้เป็นบิดาและพี่ชายของท่านประมุขกันเล่า
ชูปี้ฮวาพรวดพราดเข้ามาในห้องโถงโดยไม่ขออนุญาต ยามนี้นางไม่สนว่าคิ้วของท่านประมุขจะขมวดมุ่นเพียงใด รีบกล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ท่านอ๋องท่านอ๋องมู่และท่านพี่ทั้งหลายมาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ!!!” ยามนี้เฉียนหลีรับหน้าอยู่ หากท่านประมุขไม่รีบไป ไม่แน่ว่าเขาอาจโดนสับเป็นหมื่นชิ้น
ยามนี้ในห้องโถงใหญ่ภายในตำหนักของมู่อิง มีบุรุษต่างวัยหน้าตาขึงขังรวมตัวกันอยู่ถึงสามท่าน แต่ละท่านล้วนดูสูงศักดิ์ น่าเคารพยำเกรง บุรุษสูงวัยรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางองอาจ หากแต่ลงพุงเล็กน้อยนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประมุขในจวน บรรดาบ่าวไพร่ต่างคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ที่นั่งทางขวามือเป็นบุรุษอายุต้นสี่สิบท่าทางสง่าทรงภูมิความรู้ ส่วนบุรุษอีกท่านนั่งทางซ้ายมืออายุดูไล่เลี่ยกับบัณฑิตหากแต่แต่งกายด้วยแพรพรรณหรูหรา ทั้งสิบนิ้วแทบเต็มไปด้วยแหวนทองคำ ห้อยลูกคิดอันหนึ่งไว้ที่เอวแทนหยกพก ราวกับพ่อค้าหน้าเลือดที่ไม่ยอมขาดทุนแม้แต่อีแปะเดียว
ทั้งสามท่านต่างมีลักษณะเด่นแตกต่างกัน หากแต่หน้าตากลับดูละม้ายคล้ายคลึงกัน เพียงแค่ต่างวัยกันเท่านั้น บุคคลทั้งสามที่ทำหน้าตาราวกับทวารบาลเฝ้าประตูสวรรค์เหล่านี้ ท่านที่นั่งตรงกลางคือท่านอ๋องมู่หยงป๋อ ทางขวาคือท่านราชครูมู่ชิง และทางซ้ายคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินมู่ตง
ทั้งสามคนต่างมองสบตากันและกัน ปกติยากนักที่จะสามารถอยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ได้ หากมู่หรงไม่อยู่ไกลถึงชายแดนคงมีฉากพ่อลูกตระกูลมู่หน้าตาขึงขังอยู่กันครบถ้วน เรื่องที่มู่อิงพาบุรุษกลับมาด้วยนั้นถึงอย่างไรก็ต้องมาดูให้เห็นกับตา ดูสิว่ามีเดียรัจฉานตัวไหนกล้าย่างกายเข้ามาเฉียดใกล้แก้วตาดวงใจของพวกตน!
ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวในห้องโถงใหญ่ มู่อิงที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มเล็กน้อยราวกับดวงตะวันที่สาดไล่ลำแสงชั่วร้าย ท่านอ๋องมู่หยงป๋อลุกขึ้นมาจากที่นั่งมองบุตรชายคนเล็กที่จากบ้านไปนานถึงห้าปี
“อิงเอ๋อคาราวะท่านพ่อ พี่รอง พี่สาม”
“อิงเอ๋อ...”ท่านอ๋องมู่หยงป๋อเดินตรงเข้าไปหาบุตรชายคนเล็กที่โค้งคำนับอย่างมีมารยาท
บุตรชายคนนี้เป็นดังแก้วตาดวงใจของท่าน หากไม่นับบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว ที่จะพบหน้าสักครั้งยังต้องมีพิธีรีตองมากมาย บุตรชายคนนี้ยังนับว่าอยากจะพบหน้าให้ชื่นใจยามใดก็ง่ายกว่าบุตรสาว ท่านอ๋องมู่หยงป๋อมองดูบุตรชายที่จากไปถึงห้าปี ยามนั้นมู่ตานบุตรสาวคนเดียวแต่งเข้าตำหนักรัชทายาทดำรงตำแหน่งชายาเอก ทุกคนต่างทำใจว่าสักวันมู่ตานก็ต้องแต่งออกไป แต่บุตรชายคนเล็กที่ขึ้นเขาไปฝึกวิชาตั้งแต่ยังเล็กไม่อาจทำใจได้เหมือนผู้อื่น ตอนที่พี่สาวแต่งงานยามนั้นเขาจากไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ บัดนี้พอบุตรชายคนเล็กกลับมา มิรู้ว่ายามใดที่บุตรชายที่เป็นดังแก้วตาดวงใจคนนี้บัดนี้กลับแฝงประกายบางอย่างดูทั้งเฉียบคมทั้งเด็ดเดี่ยวทำให้บิดาเช่นตนมองไม่ทะลุปรุโปร่งเช่นเดิม แต่บุตรชายดูเข้มแข็งถึงเพียงนี้บิดาเช่นตนอดรู้สึกภูมิใจไม่ได้
“จากไปห้าปี อิงเอ๋อของพ่อโตถึงเพียงนี้แล้ว” ท่านอ๋องผู้รักลูกชายคนเล็กดุจดวงใจอดไม่ได้ที่เข้าไปโอบกอดบุตรชายให้หายคิดถึง
“ท่านพ่อ! ข้าก็คิดถึงอิงเอ๋อเช่นกัน เหตุใดจึงเอาเปรียบผู้อื่น ข้าก็อยากกอดเขาเช่นกัน”มู่ชิงผู้เห็นบิดาชิงตัดหน้ากอดน้องเล็กก่อนอดรนทนไม่ไหวเอ่ยออกมา ถึงอย่างไรพวกเขาก็แข่งขันกันเลี้ยงมู่อิงตั้งแต่เขาเกิดมา จะยอมให้บิดาเอาเปรียบไม่ได้
“ดูเหมือนเงินและของกำนัลที่พี่สามส่งให้เจ้าจะไม่เสียเปล่าเลย ดูสิว่ามู่อิงของพวกเราไม่มีสิ่งไหนดูด้อยลงแม้แต่ส่วนเดียว” มู่ตงก็ร่วมวงเข้าไปโอบกอดมู่อิงพรางชื่นชมไม่หยุดปาก ทุกวันนี้เขาคอยส่งทั้งข้าวของเครื่องใช้และเงินทองไปให้น้องเล็กตลอด จะให้ทนเห็นน้องเล็กใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างยากลำบากได้อย่างไร ยามน้องเล็กอยู่กับพวกเขาได้รับการปรนนิบัติเป็นอย่างดีแม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่แน่ว่าจะสุขสบายเท่าเขา หากให้คิดภาพน้องเล็กต้องทนลำบากอยู่ข้างนอกพี่สามผู้นี้มิต้องปวดใจตายหรืออย่างไร
เหล่าบุรุษตระกูลมู่ต่างไม่มีความคิดที่ว่า มู่อิงของพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
หลังจากมู่อิงยอมให้บรรดาพี่ชายและบิดาโอบกอดคนละทีสองทีจนทุกท่านพออกพอใจแล้ว แต่ละคนจึงยอมนั่งลงเพื่อพูดจากัน
ท่านอ๋องมู่หยงป๋อ พี่รอง และพี่สามของมู่อิงนั้นยามมาฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาคาดคั้นมู่อิงให้ขับไล่เจ้าเดียรัจฉานนั่นออกไป แต่ยามนี้แต่ละท่านกลับมองหน้ากันไปมา หากเอ่ยปากออกมาแล้วอิงเอ๋อโกรธพวกเขาจะทำอย่างไร พึ่งพบหน้ากันเท่านั้นพากมู่อิงโมโหจนจากไปอีกพวกเขาจะทำอย่างไร
ท่านอ๋องมู่หยงป๋อมองหน้าบุตรชายทั้งสองคน ส่งสัญญาณให้พวกเขาพูดออกมา
“ท่านพ่อ พี่รอง พี่สาม สมควรเป็นอิงเอ๋อที่ไปเยี่ยมคาราวะพวกท่าน เหตุใดจึงรีบร้อนมาก่อนเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกอกตัญญูนัก” ดูเหมือนว่าไม่ว่าเขาจะจากไปนานเท่าไหร่ท่านพ่อและบรรดาพี่ชายกลับใส่ใจเขาเช่นเดิม อันที่จริงพรุ่งนี้มู่อิงจะไปคาราวะท่านอ๋องมู่หยงป๋อ และพี่ชาย ถัดจากนั้นจึงค่อยเข้าวัง แต่บิดาและพี่ชายของเขากลับรีบมาหาตั้งแต่เขากลับมาถึง เช่นนี้มิรู้ว่าควรดีใจดีหรือไม่
“ลูกรักไม่ต้องคิดมาก พ่อไม่เห็นเจ้าหลายปีย่อมคิดถึงมากเป็นธรรมดา พอทราบว่าเจ้ากลับมาจึงรีบมาหา” ท่านอ๋องมู่หยงป๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างยิ่ง น้ำเสียงเช่นนี้ตัวท่านอ๋องเองไม่ค่อยใช้บ่อยนัก ปกติจะใช้พูดกับพระชายา บุตรสาวและบุตรชายคนเล็กเท่านั้น ส่วนบุตรชายคนอื่นๆ หากไม่ถูกบิดาพูดคุยด้วยเสียงตะคอกราวฟ้าผ่าพวกเขาก็ไม่ใคร่จะสบายใจนัก กลัวว่าหากพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับน้องเล็ก บิดาจะทนฝืนใจไม่ไหวจนเจ็บป่วยไปเสียก่อน
“พี่รองก็คิดถึงเจ้ามากเหมือนกัน” มู่ชิงยิ้มจนตาแทบปิด จะให้บิดาเอาหน้าคนเดียวไม่ได้ พวกเขามาด้วยกันความดีความชอบควรกระจายอย่างทั่วถึง
“เห็นคนแจ้งข่าวบอกว่าน้องเล็กพาสหายมาด้วย เหตุใดไม่พามาให้พวกเรารู้จักเล่า” มู่ตงรีบเข้าประเด็นสำคัญก่อนที่บิดาและพี่ชายจะทำสงครามแย่งชิง ‘ความโปรดปราน’ จนเสียเรื่อง
หากไม่เพราะ ‘สหาย’ ของมู่อิงคนนี้เขาคงจะอดทนรอดีดลูกคิดนับเงินให้น้องเล็กมาเยี่ยมเยียนในวันพรุ่งนี้ได้ แต่เพราะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจะให้เขาดีดลูกคิดนับเงินรอต่อไปก็ทำไม่ได้ หากน้องเล็กที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของพวกตนถูกผู้อื่นล่อลวงจะทำเช่นไร หากคนผู้นั้นทำให้น้องเล็กที่พวกเขาสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเสียใจจะทำอย่างไร ไม่ว่าคนที่น้องเล็กพามาด้วยจะเป็นสหายในรูปแบบใด พี่สามผู้นี้ก็ขอมาดูให้เห็นกับตา
มิรู้ว่าท่านชายสามมู่ตงนั้นเอาบรรทัดฐานเช่นใดมาวัดแต่หากคนในยุทธภพได้ยินมาว่าท่านจอมมารบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคงจะทนฟังไม่ได้จนเอาศีรษะโขกเสาตายเป็นแน่
ความคิดเห็นของคนในและคนนอกนั้นช่างแตกต่างกันจนไม่สามารถเอามาเทียบได้อย่างแท้จริง
“สหายของข้ามีนามว่าหลิวเฉินซางเขาได้บาดเจ็บเพราะช่วยข้าไว้ ยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ไม่อาจพาคาราวะท่านพ่อ กับพี่ๆ ได้ อิงเอ๋อต้องขออภัยแทนเขาด้วย” หากเขาพาหลิวเฉินซางที่ยังไม่แข็งแรงดังเดิมมาพบบิดาและพี่ชาย ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะต้องเจอกับสิ่งใด เพราะบุคคลทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ต่างเข้มงวดกับการคบมิตรสหายของเขายิ่งนัก
บิดาและพี่ชายของเขาเป็นเช่นนี้มานานแล้ว แต่ก่อนเขาไม่เคยใส่ใจว่าผู้ใดจะถูกไล่ตะเพิด ถูกทำร้าย หรือถูกกลั่นแกล้งเช่นไร แต่ยามนี้เขาไม่ใส่ใจมิได้ แววตาเอาเรื่องของแต่ละท่านยามพูดถึงสหายของเขานั้นใช่ว่ามู่อิงจะดูไม่ออก แต่ก็รู้อีกเช่นกันว่าบิดาและพี่ชายรักและหวังดีกับตน
ยามนี้มู่อิงมิรู้ว่าควรซาบซึ้งในความใส่ใจนี้ดี หรือร้องไห้ในความใส่ใจนี้กันแน่
“ถ้าเขาหายดีแล้วอย่าลืมพามาพบพ่อเสียละ เขาเคยช่วยอิงเอ๋อของพวกเราเอาไว้ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณ” แววตายามมองบุตรชายนั้นอบอุ่นอ่อนโยนอย่างยิ่ง หากแต่ชื่อเสียงเรื่องความหวงบุตรชายคนเล็กและบุตรสาวของท่านอ๋องมู่หยงป๋อนั้นเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง ตอนที่บุตรสาวแต่งออกไปนั้นหากไม่ใช่สมรสพระราชทานยังมิรู้ว่ายามนี้นางจะได้แต่งหรือไม่ บุตรสาวโดนผู้อื่นพรากไปแล้ว เหลือเพียงบุตรชายคนสุดท้ายให้ชื่นอกชื่นใจ ดังนั้นไม่ว่าบุรุษหรือสตรีหากท่านอ๋องไม่พอใจก็อย่าหวังจะมาเข้าใกล้บุตรชายสุดที่รัก
“หากเขาหายดีแล้วอิงเอ๋อต้องพาเขาไปพบท่านพ่อแน่” มู่อิงรับปาก แน่นอนว่ายามที่เขาพาหลิวเฉินซางไปพบบิดาต้องมีมารดาอยู่ด้วย
มารดาของเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจวน ไม่ว่าบิดาหรือพี่ชายต่างก็เกรงกลัวกันทั้งนั้น หากมารดาเขาไม่ขัดข้องมีหรือที่บิดาและพี่ชายของเขาจะกล้าแย้ง อย่างไรเสียมารดาของเขาก็อ่อนโยนกว่าบิดามาก