บทที่ 19 อยากให้เธอรักฉัน…….ในแบบที่ฉันเป็น“สายตลอด” เสียงบ่นจากเพื่อนสาวผู้ตรงเวลา ที่นั่งรออยู่ตรงที่นั่งบริเวณหน้าร้านหนังสือของห้างศูนย์การค้า คิดหรือว่าจะทำให้ฉันคนนี้รู้สึกผิดได้ แหมก็คนมันง่วงนี่คะ เมื่อคืนกว่าจะลากนังดนัยมาห้องได้ก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว แล้วไหน ชี จะตื่นมาโวยวายตั้งแต่ไก้โห่อีก
“แหมๆ แค่ ครึ่งชั่วโมง ถือว่าน้อยแล้วจ๊ะ” ฉันต้องรีบตัดบทเพราะเดี๋ยวคุณเธอจะหาเรื่องกินฟรีอีกสิคะ ช่วงนี้ยิ่งเที่ยวบ่อยอีก
เราทั้งสองตกลงกันหาอะไรกินกันก่อน กว่าจะเดินหาร้านอาหารที่มีที่นั่งได้ก็บ่ายกว่าๆแล้ว เราทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะเล็กๆ ข้างกระจกใส มองเห็นผู้ชายเดินผ่านไปมาได้ถนัดตา แอร๊ยยย รู้สึกเหมือนเป็น สาวตู้กระจกเลยค่ะ
“เรื่องแกกับหัวหน้าเป็นไงมั่ง” ฉันยิงคำถามไม่ให้นังธรได้ตั้งตัว มันสำลักน้ำเล็กน้อยก่อนจะมองมาทำตาเขียวให้
“ไม่มี ไม่ได้คุย ไม่ได้ติดต่อกันอีก…….แล้วก็เลิกคุย เลิกสนใจ เลิกหวังได้แล้ว”
“โถๆๆๆๆๆ แบบนี้ หัวหน้าสุดหล่อ สุดล่ำของฉันไม่ตรอมใจ ทำหน้าหงอมันทั้งวันแล้วหรือไงเนี่ย” ฉันหยอกล้อต่อ ทำเสียงน่าสงสาร โบกส้อมในมือไปมา ตีหน้าเศร้า ทำเห็นอกเห็นใจสุดๆ
“ก็หมดงาน เลี้ยงส่ง เลี้ยงขอบคุณเรียบร้อย ทำไมต้องเจอกันอีก” นังธรให้เหตุผล
“เฮ้อ ก็แค่อยากเจอทำไมต้องมีเหตุผลด้วยนะแก”
“ไม่ได้อยากเจอสักหน่อย” นังธรรีบตอบทันควัน ทำฉันยิ้มไม่หุบ
“ใครบอกว่าแก อยากเจอ ฉันหมายถึง หัวหน้าต่างหากที่อยากเจอ………….อย่าร้อนตัวสิคะ” ฉันหัวเราะอย่างเป็นสุข เมื่อได้นังธร คนเพอร์เฟค พลาดท่าเสียบ้าง
แหม ก็ทุกตอน เป็นฉันพลาดท่าตลอดนี่คะ
“แล้วคุณ ธนา ของแกล่ะ เป็นไง” นังธรไม่รอช้ารีบปรับสีหน้าของตนแล้วถามเรื่องของฉันบ้าง
“ก็ดีนะแก” ฉันตอบไป พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดเมื่อคืน คิดไปคิดมาก็เห็นหน้างนังธรจ้องมาที่ฉันแบบจับผิด
“แอร๊ย ก็ออกจะดูแลดี ไปรับไปส่ง เอาใจสารพัด ที่สำคัญ ใหญ่อีกต่างหาก แอร๊ยยย” ฉันรีบตีหน้าร่าเริงกลบเกลื่อน แต่ก็คงสายไปเสียแล้ว นังธร มัน จับความรู้สึกเก่ง หล่อนน่าจะไปทำงานเป็นคนสอบปากคำนะยะ
“ก็ดี…..แล้วแกจะบอกความจริงเขาหรือเปล่า” นังธรพูดทิ้งท้าย ก่อนจะสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าต่อ
“ครับ ฝันดีนะครับ” ฉันกล่าวฝันดีกับโทรศัพท์ คุณธนาวางสายไปแล้ว ฉันโยนโทรศัพท์ลงกับเตียงและทิ้งตัวลงนอน หัวใจมันอิ่มเอม ที่คุณธนาเองไม่ได้มีทีท่าที่จะโกรธเรื่องเมื่อคืนที่ฉัน ปฏิเสธไป เขายังโทรมาหา และทำตัวเหมือนเดิม คนดีๆแบบนี้ คงหาได้ยากเต็มที ดูๆแล้วถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองไปนัก คุณธนาเองก็ดูที่จะชอบพอฉันไม่น้อย แล้วไม่ต้องถามล่ะว่าฉันชอบเขาหรือเปล่า ยอมตั้งแต่หน้าประตูแล้วค่ะ คนนี้
“ผมไม่ชอบคนที่ออกสาวแบบคุณหรอก ขอโทษนะ”
เพียงแต่คำพูดนี้ก็หยุดความเพ้อฝันของฉันเสียหมดสิ้น เขาไม่ชอบคนออกสาว แล้วฉันล่ะ…….แต่ฉันก็แอ๊บ แล้ว มั่นใจว่าไม่มีหลุดแน่นอน ทำแบบนี้จะถือว่าโกหกเขา…….และโกหกตัวเองด้วยสินะ
“ก็ดี…..แล้วแกจะบอกความจริงเขาหรือเปล่า”
คำถามของนังธร ฉันเองยังไม่ได้ให้คำตอบไป เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่า คำตอบนั้นคืออะไร ถ้าฉันบอกไป แล้วคุณธนาหนีหายไปอีกคนล่ะ ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาก็จบสิ้นสิ แต่ถ้าไม่บอกความจริง ก็เท่ากับโกหก และที่สำคัญ เขาเองจะรับได้จริงๆหรือ เขาเองจะรักฉันได้จริงๆหรือ
ฉันกลิ้งตัวไปมาบนที่นอนนับสิบกว่ารอบได้ เวลาล่วงไปถึงเที่ยงคืนแล้ว แต่ฉันเองไม่ได้มีความง่วงเลย ในหัวมันแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ทั้งฝ่ายดี และตัวมาร ที่ต่อสู้กันเรื่องคำถามของนังธร
อยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าฉันเป็นอย่างไร แต่ฉันคงทนไม่ไหว หากนั่นเป็นเหตุที่ทำให้เธอเดินจากไป ฉันยังไม่พร้อมที่จะกลับไปอยู่ตัวคนเดียว เหมือนที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีนังธรอยู่เป็นเพื่อนก็ตาม…….แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความเงียบเหงาในใจผ่อนคลายลง
อยากจะบอกเขาเหลือเกิน ว่าฉันเหนื่อยกับการหลอกลวงแบบนี้ มันอึดอัดทุกครั้งที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง มันน่าเบื่อที่ต้องทำตรงข้ามกับความต้องการในใจ แต่รู้ไว้นะว่าฉันยอม ยอมที่จะอึดอัด ยอมเบื่อ ยอมฝืนใจ เพื่อที่จะมีคนเคียงข้างกาย
ถ้าเขาชอบฉันในแบบที่ฉันเป็นก็คงดี
เช้ารุ่งขึ้นฉันตื่นมาอย่างงัวเงีย เนื่องด้วยกว่าจะนอนได้เมื่อคืนก็ปาเข้าไปตีสามกว่าแล้ว แต่ด้วยวันนี้คุณธนานัดฉันไปเที่ยวอีกครั้งเพราะต้องการแก้ตัวเรื่องคืนวันศุกร์ เหลือเวลาอีก ครึ่งชั่วโมงในการแปลงโฉม
“สวัสดี ซัน” เขายิ้มต้อนรับอย่างเคย ฉันทักทายตอบแล้วเข้าไปนั่งในรถของเขา คุณธนาขอโทษฉันอีกครั้งเรื่อง ดนัย แต่ฉันก็ไม่ได้เอาความอะไร ออกจะเข้าใจดนัยเสียด้วยซ้ำ ว่าการถูกคนที่ชอบปฏิเสธมัน โหดร้ายแค่ไหน และฉัน ก็ไม่อยากที่จะเป็นแบบนั้นอีก
วันนี้ก็เหมือนเช่นเคย คุณธนาดูจะเอาใจใส่ฉันมากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ และนั่นทำให้ใจฉันพองโตด้วยความสุข
แต่ฉันคงจะลืมไป หาก ใจที่พองใหญ่นั้นโดนเข็มตำทิ่มเมื่อไร……..มันคงแตกสลายไป…..ไม่เหลืออะไร
“นั่งพักหน่อยนะ” คุณธนาดึงฉันไปนั่งที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ สวนสาธารณะ ยามบ่ายช่างร้อนเสียจริง แต่ก็ยังดีที่ได้น้ำเย็นชื่นใจ แน่นอนค่ะ มีแก้วเดียวเหมือนเคย เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ลมเย็นพัดผ่าน กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำเอาฉันไม่อยากจะไปไหน อยากนั่งนิ่งๆแบบนี้ นานเท่านาน
แต่ฝัน ก็คงเป็นแค่ความฝัน
เสียงหัวเราะจากคนข้างๆปลุกให้ฉันตื่นจากความจริง เมื่อสาเหตุของเสียงนั้นมาจาก เพื่อนสาวนางหนึ่ง ที่เธอกล้าที่จะใส่ส้นสูงมาเดินสวนสาธารณะ พร้อมด้วยร่มสีแดงสด ตัดกับสีผิวของหล่อน เดินผ่านพวกเราพร้อมกับ ทำท่าส่งจูบให้คุณธนาเสียด้วยสิ
“ตลกดีเนอะ ซัน” เขาหัวเราะไม่หยุด ผิดกับฉันที่ทำได้เพียงแค่นเสียงให้ออกมาจากลำคอ
ไม่ใช่ฉัน คงไม่ใช่ฉัน ไม่ได้เป็นเหมือนใครบางคนที่เธอฝันไว้
อยากให้เธอ รับรู้และเข้าใจ ถึงยังไงตัวฉันก็ต้องเป็นฉัน
แม้ว่าอยากจะทำให้เธอ ทุกสิ่งที่เธอต้องการ แต่ฉัน คงทำได้แค่นั้น
เปลี่ยนตัวฉันให้เป็นแบบใคร คงฝืนได้ไม่นาน ก็มันไม่ใช่ตัวฉันเลย
สิ่งที่เขาได้ทำมันวิ่งเข้ามาทิ่มแทงใจฉัน รู้สึกลึกๆในใจ ความจริงแล้วตัวฉันเองก็คิดเผื่อไว้เหมือนกันหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะทำอย่างไร แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆกลับทำได้ยากเสียจริง ฉันทำได้เพียงแกล้งหัวเราะไปด้วย มองผ่านดวงตาที่ย้อมไปด้วยน้ำตาแห่งความรู้สึกเสียใจ
เสียใจที่หัวเราะ เพื่อนสาวนางนั้น………………เสียใจที่คุณธนาหัวเราะ………. เสียใจที่ต้องหัวเราะ ตัวเอง
เย็นวันนั้น เราตกลงกันที่จะ ทานอาหารกันแบบสบายๆ ฉันดึงเขาเข้าร้านสุกี้ชื่อดัง คุณธนาเองก็ตามใจ เรานั่งสั่งอาหารกันไป คุยกันไปพลางๆ ไม่นานนัก วัตถุดิบทั้งหลายแหล่ก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ โดยพนักงานหนุ่มน้อยหน้าใส
“ของที่สั่งครบนะครับ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกใช้ผมได้เลยครับ ยินดีให้บริการ” หนุ่มน้อยพูดเสียงใส หน้าตายิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่อาจซ่อนสายตากรุ้มกริ่มที่มองไปทางคุณธนาได้หรอก
“ขอบคุณครับ” ฉันตอบไป เพื่อไล่ให้ ตัวแถมไปไกลๆเสีย แต่เจ้าตัวเหมือนจะไม่รู้สึกตัว ยืนทำทีเป็นจัดของนั่น โน่น นี่ แอร๊ยยยยย หล่อนร้ายกาจมาก
“คุณธนา นี่ครับ” ในเมื่อไล่ไม่ไปก็ต้องเล่นไม้นี้ค่ะ ฉันคืบเอาเนื้อเป็ด ยกป้อนให้อีกคนในจังหวะที่เจ้าหล่อนหันมามองทางนี้ ได้ผล เจ้าหล่อนอ้าปากค้าง คงนึกไม่ถึงล่ะสิยะ คริๆ
ให้มันรู้สิคะ ว่าของใคร
“ร้ายไม่ใช่เล่นนะ ซัน” คุณธนาหัวเราะ เมื่อเด็กหนุ่มเดินไปทางอื่น ทำเอาฉันหน้าแดงที่เผลอทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อีก และเขาคงเห็นว่าฉันอาย จึงหยุดหัวเราะและจัดแจงตักลูกชิ้นป้อนถึงปาก
เอ่อ นี่จะทำให้ฉันแย่กว่าเดิมใช่ไหมคะ คุณธนา
“เก็บตังค์ครับ” ฉันยกมือเรียกเด็กพนักงานคนนั้นเพื่อชำระค่าอาหาร เจ้าหล่อนเบะปากเล็กน้อย แต่ฉันเห็นนะยะ พึ่งกินผักบุ้งมาสายตาเลยดี หล่อนอิจฉาฉันล่ะสิ
“ทั้งหมด 635 บาทครับ” พนักงานแจ้งยอด มื้อนี้เป็นคิวของคุณธนาจ่าย (ฉันจ่ายตอนเที่ยงแล้วนะยะ อย่าหาว่าหลอกกินฟรีเด็ดขาด) เขาค้นกระเป๋าหยิบเอาแบงค์พันออกมา แต่จังหวะที่เจ้าหล่อนรับเงินนี่สิ แอบมีลูบมือคุณธนานะยะ
แอร๊ยยย…..แบงค์ตั้งใหญ่ มีที่เหลือตั้งเยอะทำไมไม่จับยะ
คุณธนาคงเห็นสีหน้าฉันเลยหดมือกลับอย่างเร็ว เจ้าหล่อน ยิ้มให้อย่างนางงามมิตรภาพ แล้วเดินจากไป ไม่นานนัก ก็กลับมาพร้อมกับเงินทอน แต่ไม่รู้ว่าเพราะมัวแต่จ้องคุณธนามากไปหรือยังไง ทำให้เจ้าหล่อนเดินสะดุดขาเก้าอี้ ไปชนกับแก้วน้ำตกลงแตกเสียงดัง แต่ไอ้ที่เสียงดังน่ะ มันอันนี้มากกว่า
“ว้าย แตกๆๆ แหก หมดแล้ว” พนักงานหนุ่มหน้าใสหลุดร้องออกมา อย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ แน่นอนคุณธนาเก็บอาการไว้แทบจะไม่อยู่รีบหันไปหัวเราะอีกทาง
ส่วนฉันได้เพียง รับเงินจากพนักงานแล้วช่วยจัดของที่ตกลง ให้เข้าที่ ถึงแม้พนักงานจะบอกห้ามก็เถอะ
“ขออภัย ที่ก่อเรื่องนะครับ” ก่อนจะกลับ เด็กสาวในร่างหนุ่มก็กล่าวขอโทษเราอีกครั้ง คุณธนาแทบจะอมยิ้มอยู่ตลอดทำเอาพนักงานไม่กล้ามองหน้า คงจะอายเสียมาก ฉันเอื้อมมือไปตบไหล่ให้กำลังใจ พร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร
ตลอดการเดินทางกลับห้อง หัวข้อการสนทนาก็หนีไม่พ้นเรื่องที่เกิดในร้านเมื่อสักครู่ คุณธนาเองเหมือนจะชอบใจ ท่าทางของเจ้าหล่อนที่หลุดออกมามากเสียจน ยิ้มไม่หุบ ผิดกับฉันที่ทำเพียงตอบโต้ บทสนทนาแบบผ่านไปที ฝืนยิ้มเป็นครั้งคราวที่เขาหันหน้ามา
“ซันมีเรื่องอยากบอกคุณธนา” ฉันเอ่ยปากเมื่อ รถจอดลงที่หน้าหอพัก เขามองมาอย่างสงสัย และเงียบรอฟัง
“คือ……….” ฉันพูดไม่ออก คุณธนา จ้องมาพร้อมรอยยิ้ม มันช่างมีความสุขเหลือเกินที่ได้รับรู้ว่ามีคนคนหนึ่งที่คอยเฝ้ามองมาที่เรา ไม่ใช่เป็นฉันฝ่ายเดียวที่มองไป
“ว่าไงครับ” น้ำเสียงชวนฝัน ล่องลอยเข้ากระทบประสาทการได้ยินของฉัน ทำให้ความคิดก่อนหน้านั้นค่อยๆจางหายไป รอยยิ้มที่เขามี ทำเอาสิ่งที่ติดค้างในใจเลือนหาย
“เปล่า ครับ” ฉันเลือกที่จะปฏิเสธไปเสีย
อยากให้เธอ รักฉัน อย่างที่ฉันเป็น รักกัน ที่ใจจริงข้างใน
อย่าบังคับ ให้ฉัน ต้องทำตัวเหมือนใคร ทำอย่างนั้น รู้ไหมมันทรมาน
อยากให้เธอ รักฉัน อย่างที่ฉันเป็น เพราะฉัน ไม่ใช่ที่เธอฝัน
จะยอมรับ ได้ไหม สุดแต่เธอแล้วกัน ว่าจะรักกันจริง แค่ไหน
อยู่ที่หัวใจเธอ กับฉัน
ค่ำคืนนี้เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่ฉันยืนอยู่ตรงระเบียง เงยหน้ามองหาดวงดาวสักดวง แต่แสงไฟในเมืองหลวงคงจะมากเกินไป มากเสียจนกลบแสงดาวเอาไว้ เหลือเพียงดาวไม่กี่ดวงที่เปล่งแสงเรืองรอง ฉันตั้งจิตขอพร กับดวงดาว ถ้าจะให้นับครั้ง ฉันคงบอกไม่ได้ว่าฉันขอพรกับดวงดาวมากี่ครั้งแล้ว แต่ฉันก็ยังคงร้องขอเรื่อยมา ด้วยคำขอเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดวงดาวเจ้าไม่ได้ยินเสียงของฉันบ้างหรือไร
หรือเพียงเพราะคำขอของฉันนั้น มันไม่มีทางเป็นจริง